ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta
นิวาปสูตร ว่าด้วยข้อเปรียบเทียบด้วยเหยื่อล่อสัตว์
กลุ่มไตรปิฎกสิกขา
[๓๐๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี.
ครั้งนั้น พระองค์ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า
ภิกษุทั้งหลาย พรานเนื้อมิได้ปลูกหญ้าไว้สำหรับฝูงเนื้อด้วยคิดว่า
เมื่อฝูงเนื้อกินหญ้าที่เราปลูกไว้นี้ จะมีอายุยั่งยืน มีผิวพรรณ มีชีวิตอยู่ยืนนาน
โดยที่แท้ พรานเนื้อปลูกหญ้าไว้สำหรับฝูงเนื้อ ด้วยมีความประสงค์ว่า
ฝูงเนื้อเข้ามาสู่ป่าหญ้าที่เราปลูกไว้นี้แล้ว จักลืมตัวกินหญ้า
เมื่อเข้ามาแล้วลืมตัวกินหญ้าก็จักมัวเมา เมื่อมัวเมา ก็จักประมาท
เมื่อประมาท ก็จักถูกเราทำเอาได้ตามชอบใจในป่าหญ้านี้.
อุปมาฝูงเนื้อฝูงที่หนึ่ง
[๓๐๒] ภิกษุทั้งหลาย บรรดาฝูงเนื้อเหล่านั้น
ฝูงเนื้อฝูงแรกเข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อ ลืมตัวกินหญ้าอยู่
เมื่อเข้าไปแล้วลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมา ก็ประมาท
เมื่อประมาท ก็ถูกพรานเนื้อทำเอาได้ตามชอบใจในป่าหญ้านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝูงเนื้อฝูงแรกนั้น ก็ไม่รอดพ้นอำนาจของพรานเนื้อได้.
อุปมาฝูงเนื้อฝูงที่สอง
[๓๐๓] ภิกษุทั้งหลาย ฝูงเนื้อฝูงที่สอง คิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า
ฝูงเนื้อฝูงแรกเข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อ ลืมตัวกินหญ้าอยู่
เมื่อเข้าไปแล้วลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมา ก็ประมาท
เมื่อประมาท ก็ถูกพรานเนื้อทำเอาได้ตามชอบใจในป่าหญ้านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝูงเนื้อฝูงแรกก็ไม่รอดพ้นอำนาจของพรานเนื้อไปได้
ถ้ากระไร เราต้องเว้นจากการกินหญ้าเสียทั้งสิ้น
เมื่อเว้นจากการกินหญ้าที่เป็นภัยแล้ว ต้องเข้าไปอยู่ตามราวป่า
ครั้นคิดดังนี้แล้วจึงเว้นจากการกินหญ้าเสียทั้งสิ้น
เมื่อเว้นจากการกินหญ้าที่เป็นภัยแล้ว ก็เข้าไปอยู่ตามราวป่า.
ครั้นถึงเดือนท้ายฤดูคิมหันต์ เป็นเวลาที่สิ้นหญ้าและน้ำ
ฝูงเนื้อเหล่านั้นก็มีร่างกายซูบผอม เมื่อมีร่างกายซูบผอม กำลังเรี่ยวแรงก็หมดไป
เมื่อกำลังเรี่ยวแรงหมดไป จึงพากันกลับมาสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อนั้นอีก
ฝูงเนื้อเหล่านั้นพากันเข้าไปในป่าหญ้านั้น ลืมตัวกินหญ้าอยู่
เมื่อเข้าไปแล้วลืมตัว กินหญ้าอยู่ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมา ก็ประมาท
เมื่อประมาท ก็ถูกพรานเนื้อทำเอาได้ตามชอบใจในป่าหญ้านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ฝูงเนื้อฝูงที่สองนั้น ก็ไม่รอดพ้นอำนาจของพรานเนื้อได้.
อุปมาฝูงเนื้อฝูงที่สาม
[๓๐๔] ภิกษุทั้งหลาย ฝูงเนื้อฝูงที่สาม คิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า
ฝูงเนื้อฝูงแรกเข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อ ลืมตัวกินหญ้าอยู่
เมื่อเข้าไปแล้ว ลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมา ก็ประมาท
เมื่อประมาท ก็ถูกพรานเนื้อทำเอาได้ตามชอบใจในป่าหญ้านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ เนื้อฝูงแรกนั้น ก็ไม่รอดพ้นอำนาจของพรานเนื้อไปได้
อนึ่ง ฝูงเนื้อฝูงที่สอง ก็คิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า
ฝูงเนื้อฝูงแรกเข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อ ลืมตัวกินหญ้าอยู่
เมื่อเข้าไปแล้ว ลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมา ก็ประมาท
เมื่อประมาท ก็ถูกพรานเนื้อทำเอาได้ตามชอบใจในป่าหญ้านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ เนื้อฝูงแรกนั้น ก็ไม่รอดพ้นอำนาจของพรานไปได้.
ถ้ากระไร เราต้องเว้นจากการกินหญ้าเสียทั้งสิ้น เมื่อเว้นจากการกินหญ้าที่เป็นภัยแล้ว
ต้องเข้าไปอยู่ตามราวป่า ครั้นคิดดังนี้แล้ว จึงเว้นจากการกินหญ้าเสียทั้งสิ้น
เมื่อเว้นจากการกินหญ้าที่เป็นภัยแล้ว ก็เข้าไปอยู่ตามราวป่า
ครั้นถึงเดือนท้ายฤดูคิมหันต์ เป็นเวลาที่สิ้นหญ้าและน้ำ ฝูงเนื้อเหล่านั้นก็มีร่างกายซูบผอม
เมื่อมีร่างกายซูบผอม กำลังเรี่ยวแรงก็หมดไป เมื่อกำลังเรี่ยวแรงหมดไป
จึงพากันกลับมาสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อนั้นอีก
ฝูงเนื้อเหล่านั้นพากันเข้าไปในป่าหญ้านั้น ลืมตัวกินหญ้าอยู่
เมื่อเข้าไปแล้วลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมา ก็ประมาท
เมื่อประมาท ก็ถูกพรานเนื้อทำเอาได้ตามชอบใจในป่าหญ้านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝูงเนื้อฝูงที่สองนั้น ก็ไม่รอดพ้นอำนาจของพรานเนื้อไปได้
ถ้ากระไร เราต้องซุ่มอาศัยอยู่ใกล้ ๆ ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อนั้น
ครั้นซุ่มอาศัยอยู่ใกล้ ๆ ป่าหญ้านั้นแล้ว
เราจะไม่เข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อนั้น จักไม่ลืมตัวกินหญ้า
เมื่อไม่เข้าไปแล้ว ไม่ลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็จักไม่มัวเมา เมื่อไม่มัวเมา ก็จักไม่ประมาท
เมื่อไม่ประมาท ก็จักไม่ถูกพรานเนื้อทำได้ตามชอบใจในป่าหญ้านั้น.
ครั้นคิดดังนี้แล้ว ฝูงเนื้อเหล่านั้น ก็เข้าไปซุ่มอาศัยอยู่ใกล้ ๆ ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อนั้น
ครั้นเข้าไปซุ่มอาศัยอยู่ใกล้ ๆ ป่าหญ้านั้นแล้ว
ก็ไม่เข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อนั้น ไม่ลืมตัวกินหญ้าอยู่
เมื่อไม่เข้าไปในป่าหญ้านั้น ไม่ลืมตัวกินหญ้า ก็ไม่มัวเมา เมื่อไม่มัวเมา ก็ไม่ประมาท
เมื่อไม่ประมาท ก็ไม่ถูกพรานเนื้อทำเอาตามชอบใจในป่าหญ้านั้น
ภิกษุทั้งหลาย ทีนั้น พรานเนื้อกับบริวารคิดว่า
ฝูงเนื้อฝูงที่สามนี้ คงเป็นสัตว์แกมโกงคล้ายกับมีฤทธิ์ ไม่ใช่สัตว์ธรรมดา
จึงกินหญ้าที่ปลูกไว้นี้ได้ เราไม่ทราบทางมาทางไปของพวกมัน
อย่ากระนั้นเลย เราต้องเอาตาข่ายขัดไม้หลาย ๆ อัน ล้อมป่าหญ้าที่ปลูกไว้นี้ให้รอบไปทั้งป่า
บางทีเราจะพบที่อยู่ของฝูงเนื้อฝูงที่สามในที่ซึ่งเราจะไปจับเอาได้
ครั้นคิดฉะนี้แล้ว พวกเขาก็ช่วยกันเอาตาข่ายขัดไม้เป็นอันมาก
ล้อมป่าหญ้าที่ปลูกไว้นั้นรอบไปทั้งป่า.
พรานเนื้อกับบริวารก็ได้พบที่อยู่ของฝูงเนื้อฝูงที่สาม ในที่ซึ่งเขาจะไปจับเอาได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ฝูงเนื้อฝูงที่สามนั้น ก็ไม่รอดพ้นอำนาจของพรานเนื้อไปได้.
อุปมาฝูงเนื้อฝูงที่สี่
[๓๐๕] ภิกษุทั้งหลาย ฝูงเนื้อฝูงที่สี่ คิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า
ฝูงเนื้อฝูงแรกเข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อ ลืมตัวกินหญ้าอยู่
เมื่อลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมา ก็ประมาท
เมื่อประมาท ก็ถูกพรานเนื้อทำเอาได้ตามชอบใจในป่าหญ้านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ เนื้อฝูงแรกก็ไม่รอดพ้นอำนาจของพรานเนื้อได้
อนึ่ง ฝูงเนื้อฝูงที่สอง ก็คิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า
ฝูงเนื้อฝูงแรกเข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อ ลืมตัวกินหญ้าอยู่
เมื่อเข้าไปแล้วลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมา ก็ประมาท
เมื่อประมาท ก็ถูกพรานเนื้อทำเอาตามชอบใจในป่าหญ้านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ เนื้อฝูงแรกนั้นก็ไม่รอดพ้นอำนาจของพรานเนื้อไปได้
ถ้ากระไร เราต้องเว้นจากการกินหญ้าเสียทั้งสิ้น
เมื่อเว้นจากการกินหญ้าที่เป็นภัยแล้ว ต้องเข้าไปอยู่ตามราวป่า
ครั้นคิดดังนี้แล้ว จึงเว้นจากการกินหญ้าเสียทั้งสิ้น
เมื่อเว้นจากการกินหญ้าที่เป็นภัยแล้ว ก็เข้าไปอยู่ตามราวป่า
ครั้นถึงเดือนท้ายฤดูคิมหันต์ เป็นเวลาสิ้นหญ้าและน้ำ
ฝูงเนื้อเหล่านั้นก็มีร่างกายซูบผอม เมื่อมีร่างกายซูบผอม กำลังเรี่ยวแรงก็หมดไป
เมื่อกำลังเรี่ยวแรงหมดไป จึงพากันกลับมาสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อนั้นอีก
ฝูงเนื้อเหล่านั้นพากันเข้าไปในป่าหญ้านั้น ลืมตัวกินหญ้าอยู่
เมื่อเข้าไปแล้วลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมา ก็ประมาท
เมื่อประมาท ก็ถูกพรานเนื้อทำเอาได้ตามชอบใจในป่าหญ้านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝูงเนื้อฝูงที่สองนั้น ก็ไม่รอดพ้นอำนาจของพรานเนื้อไปได้
อนึ่ง ฝูงเนื้อฝูงที่สาม ก็คิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า
ฝูงเนื้อฝูงแรก เข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อ ลืมตัวกินหญ้าอยู่
เมื่อเข้าไปแล้วลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมา ก็ประมาท
เมื่อประมาท ก็ถูกพรานเนื้อทำเอาได้ตามใจชอบในป่าหญ้านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ เนื้อฝูงแรกนั้นก็ไม่รอดพ้นอำนาจของพรานเนื้อไปได้
อนึ่ง ฝูงเนื้อฝูงที่สอง ก็คิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า
เนื้อฝูงแรกเข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อลืมตัวกินหญ้าอยู่
เมื่อเข้าไปแล้วลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมา ก็ประมาท
เมื่อประมาท ก็ถูกพรานเนื้อทำเอาตามชอบใจในป่าหญ้านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝูงเนื้อฝูงแรกไม่รอดพ้นอำนาจของพรานเนื้อไปได้
อนึ่ง ฝูงเนื้อฝูงที่สอง ก็คิดร่วมกันอย่างนี้ว่า
ฝูงเนื้อฝูงแรกเข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อ
ลืมตัวกินหญ้าอยู่ เมื่อลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็มัวเมา
เมื่อมัวเมา ก็ประมาท เมื่อประมาท ก็ถูกพรานเนื้อทำเอาได้ตามชอบใจในป่าหญ้านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝูงเนื้อฝูงแรกก็ไม่รอดพ้นอำนาจของพรานเนื้อไปได้
ถ้ากระไร เราต้องเว้นจากการกินหญ้าเสียทั้งสิ้น
เมื่อเว้นจากการกินหญ้าที่เป็นภัยแล้ว ต้องเข้าไปอยู่ตามราวป่า
ครั้นคิดดังนี้แล้ว จึงเว้นจากการกินหญ้าเสียทั้งสิ้น
เมื่อเว้นจากการกินหญ้าที่เป็นภัยแล้ว ก็เข้าไปอยู่ตามราวป่า
ครั้นถึงเดือนท้ายฤดูคิมหันต์ เป็นเวลาที่สิ้นหญ้าและน้ำ
ฝูงเนื้อเหล่านั้นก็มีร่างกายซูบผอม เมื่อมีร่างกายซูบผอม กำลังเรี่ยวแรงก็หมดไป
เมื่อกำลังเรี่ยวแรงหมดไป จึงพากันกลับมาสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อนั้นอีก
ฝูงเนื้อเหล่านั้นพากันเข้าไปสู่ป่าหญ้านั้น ลืมตัวกินหญ้าอยู่
เมื่อเข้าไปแล้วลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมา ก็ประมาท
เมื่อประมาท ก็ถูกพรานเนื้อทำเอาได้ตามชอบใจในป่าหญ้านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝูงเนื้อฝูงที่สองนั้น ก็ไม่รอดพ้นอำนาจของพรานเนื้อไปได้
ถ้ากระไร เราต้องซุ่มอาศัยอยู่ใกล้ ๆ ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อนั้น
ครั้นซุ่มอาศัยอยู่ใกล้ ๆ ป่าหญ้านั้นแล้ว เราจะไม่เข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อนั้น
จะไม่ลืมตัวกินหญ้า เมื่อไม่เข้าไปแล้ว ไม่ลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็จักไม่มัวเมา
เมื่อไม่มัวเมา ก็จักไม่ประมาท
เมื่อไม่ประมาท ก็จักไม่ถูกพรานเนื้อทำเอาได้ตามชอบใจในป่าหญ้านั้น
ครั้นคิดดังนี้แล้ว ฝูงเนื้อเหล่านั้น ก็เข้าไปซุ่มอาศัยอยู่ใกล้ ๆ ป่าหญ้านั้น
ไม่เข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อนั้น ไม่ลืมตัวกินหญ้าอยู่
เมื่อไม่เข้าไปในป่านั้น ไม่ลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็ไม่มัวเมา เมื่อไม่มัวเมา ก็ไม่ประมาท
เมื่อไม่ประมาท ก็ไม่ถูกพรานเนื้อทำเอาได้ตามชอบใจในป่าหญ้านั้น.
ภิกษุทั้งหลาย ทีนั้น พรานเนื้อและบริวารได้คิดว่า
ฝูงเนื้อฝูงที่สามนี้คงเป็นสัตว์แกมโกง คล้ายกับมีฤทธิ์ ไม่ใช่สัตว์ธรรมดา
จึงกินหญ้าที่ปลูกไว้นี้ได้ เราไม่ทราบทางมาทางไปของพวกมัน
อย่ากระนั้นเลย เราต้องเอาตาข่ายขัดไม้หลาย ๆ อัน ล้อมป่าหญ้าที่ปลูกไว้นี้ให้รอบไปทั้งป่า
บางทีเราจะพบที่อยู่ของฝูงเนื้อฝูงที่สาม ในที่ซึ่งเราจะไปจับเอาได้
ครั้นคิดฉะนี้แล้ว พวกเขาก็ช่วยกันเอาตาข่ายขัดไม้เป็นอันมาก ล้อมป่าหญ้าที่ปลูกไว้นั้นรอบไปทั้งป่า
พรานเนื้อกับบริวารก็ได้พบที่อยู่ของฝูงเนื้อฝูงที่สาม ในที่ซึ่งเขาจะไปจับเอาได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ฝูงเนื้อฝูงที่สามนั้น ก็ไม่รอดพ้นอำนาจของพรานเนื้อไปได้
ถ้ากระไร เราต้องอาศัยอยู่ในที่ซึ่งพรานเนื้อกับบริวารไปไม่ถึง
ครั้นอาศัยอยู่ในที่นั้นแล้ว ต้องไม่เข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อนั้น
เมื่อไม่ลืมตัวกินหญ้า ก็จะไม่มัวเมา เมื่อไม่มัวเมา ก็จะไม่ประมาท
เมื่อไม่ประมาท ก็จะไม่ถูกพรานเนื้อทำเอาได้ตามชอบใจในป่าหญ้านั้น.
ครั้นคิดดังนี้แล้ว ฝูงเนื้อเหล่านั้นก็พากันอาศัยอยู่ในที่ซึ่งพรานเนื้อกับบริวารไปไม่ถึง
ครั้นอาศัยอยู่ในที่นั้นแล้ว ก็ไม่เข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อนั้น
ไม่ลืมตัวกินหญ้าอยู่ เมื่อไม่เข้าไปในป่าหญ้านั้น ไม่ลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็ไม่มัวเมา
เมื่อไม่มัวเมา ก็ไม่ประมาท
เมื่อไม่ประมาทก็ไม่ถูกพรานเนื้อทำเอาตามชอบใจในป่าหญ้านั้น.
ภิกษุทั้งหลาย ทีนั้น พรานเนื้อกับบริวารคิดเห็นว่า
ฝูงเนื้อฝูงที่สี่นี้คงจะเป็นสัตว์แกมโกง คล้ายกับมีฤทธิ์ ไม่ใช่สัตว์ธรรมดา
จึงกินหญ้าที่ปลูกไว้นี้ได้ อนึ่ง เราก็ไม่ทราบทางมาทางไปของพวกมัน
อย่ากระนั้นเลย เราต้องเอาตาข่ายขัดไม้หลาย ๆ อัน ล้อมป่าหญ้าที่ปลูกนี้ไว้ให้รอบไปทั้งป่า
บางทีเราจะพบที่อยู่ของฝูงเนื้อฝูงที่สี่ในที่ซึ่งเราจะไปจับเอาได้
ครั้นคิดฉะนี้แล้ว พวกเขาจึงเอาตาข่ายขัดไม้เป็นอันมาก ล้อมป่าหญ้าที่ปลูกไว้นั้นรอบไปทั้งป่า
แต่ก็หาได้พบที่อยู่ของฝูงเนื้อฝูงที่สี่ในที่ซึ่งตนจะไปจับเอาได้ไม่
ทีนั้น พรานเนื้อกับบริวารจึงคิดตกลงใจว่า ถ้าเราขืนรบกวนฝูงเนื้อฝูงที่สี่ให้ตกใจแล้ว
ก็จะพลอยทำให้ฝูงเนื้ออื่น ๆ ตกใจไปด้วย ฝูงเนื้อทั้งหลายคงไปจากป่าหญ้าปลูกไว้หมดสิ้น
อย่ากระนั้นเลย เราเพิกเฉยฝูงเนื้อฝูงที่สี่เสียเถิด
ครั้นคิดดังนี้แล้ว พรานเนื้อกับบริวารก็เพิกเฉยฝูงเนื้อฝูงที่สี่เสีย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝูงเนื้อฝูงที่สี่ก็รอดพ้นอำนาจของพรานเนื้อไปได้.
[๓๐๖] ภิกษุทั้งหลาย เราอุปมาให้ฟัง เพื่อให้เข้าใจเนื้อความได้ชัดขึ้น.
ในคำอุปมานั้น มีอธิบายดังนี้.
คำว่า “ป่าหญ้า” เป็นชื่อของปัญจกามคุณ.
คำว่า “พรานเนื้อ” เป็นชื่อของมารผู้ใจบาป.
คำว่า “บริวารของพรานเนื้อ” เป็นชื่อของบริวารของมาร.
คำว่า “ฝูงเนื้อ” เป็นชื่อของเหล่าสมณพราหมณ์.
สมณพราหมณ์พวกที่หนึ่ง
[๓๐๗] ภิกษุทั้งหลาย ในสมณพราหมณ์เหล่านั้น
สมณพราหมณ์พวกที่หนึ่ง เข้าไปสู่ปัญจกามคุณของมารอันเป็นโลกามิสแล้ว
ลืมตัว บริโภคปัญจกามคุณ เมื่อเธอเหล่านั้นเข้าไปในปัญจกามคุณนั้น
ลืมตัว บริโภคปัญจกามคุณ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมาก็ประมาท
เมื่อประมาท ก็ถูกมารทำเอาได้ตามชอบใจในปัญจกามคุณนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์พวกที่หนึ่งนั้นก็ไม่พ้นอำนาจของมารไปได้.
ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสมณพราหมณ์พวกที่หนึ่งนี้ว่า เปรียบเหมือนเนื้อฝูงที่หนึ่งนั้น.
สมณพราหมณ์พวกที่สอง
[๓๐๘] ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกที่สองคิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า
สมณพราหมณ์พวกที่หนึ่งเข้าไปสู่ปัญจกามคุณของมารอันเป็นโลกามิสแล้ว
ลืมตัว บริโภคปัญจกามคุณ เมื่อเธอเหล่านั้นเข้าไปในปัญจกามคุณนั้น
ลืมตัว บริโภคปัญจกามคุณ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมา ก็ประมาท
เมื่อประมาท ก็ถูกมารทำเอาได้ตามชอบใจในปัญจกามคุณนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์พวกที่หนึ่งนั้น ก็ไม่หลุดพ้นอำนาจของมารไปได้
ถ้ากระไร เราต้องงดเว้นจากการบริโภคปัญจกามคุณ อันเป็นโลกามิสเสียทั้งสิ้น
เมื่องดเว้นจากการบริโภคที่เป็นภัยแล้ว ต้องเข้าไปอาศัยอยู่ตามราวป่า
ครั้นคิดดังนี้แล้ว จึงงดเว้นจากการบริโภคปัญจกามคุณ อันเป็นโลกามิสเสียทั้งสิ้น
เมื่องดเว้นจากการบริโภคปัญจกามคุณอันเป็นโลกามิสเสียทั้งสิ้น
งดเว้นจากการบริโภคที่เป็นภัยแล้ว ก็เข้าไปอาศัยอยู่ตามราวป่า
เธอเหล่านั้นมีผักดองเป็นภักษาบ้าง มีข้าวฟ่างเป็นภักษาบ้าง มีลูกเดือยเป็นภักษาบ้าง
กากข้าวเป็นภักษาบ้าง มีสาหร่ายเป็นภักษาบ้าง มีรำเป็นภักษาบ้าง
มีข้าวตังเป็นภักษาบ้าง มีกำยานเป็นภักษาบ้าง มีหญ้าเป็นภักษาบ้าง
มีโคมัยเป็นภักษาบ้าง มีเหง้าไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหาร บริโภคผลไม้หล่นเอง
เยียวยาอัตตภาพอยู่ในราวป่านั้น ครั้นถึงเดือนท้ายฤดูคิมหันต์ เป็นเวลาที่สิ้นหญ้าและน้ำ
เธอเหล่านั้นก็มีร่างกายซูบผอม เมื่อมีร่างการซูบผอม กำลังเรี่ยวแรงก็หมดไป
เมื่อกำลังเรี่ยวแรงหมดไป เจโตวิมุตติก็เสื่อม เมื่อเจโตวิมุตติเสื่อมแล้ว
พวกเธอก็กลับหันเข้าสู่ปัญจกามคุณอันเป็นเหยื่อล่อของมารซึ่งเป็นโลกามิสนั้นอีก
เมื่อเข้าไปแล้ว ลืมตัว บริโภคปัญจกามคุณก็มัวเมา เมื่อมัวเมาก็ประมาท
เมื่อประมาทก็ถูกมารทำเอาได้ตามชอบใจในปัญจกามคุณนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้สมณพราหมณ์พวกที่สองนั้น ก็ไม่หลุดพ้นอำนาจของมารไปได้
ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสมณพราหมณ์พวกที่สองนี้ว่า เปรียบเหมือนฝูงเนื้อฝูงที่สองนั้น.
สมณพราหมณ์พวกที่สาม
[๓๐๙] ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกที่สามคิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า
สมณพราหมณ์พวกที่หนึ่งเข้าไปสู่ปัญจกามคุณของมารอันเป็นโลกามิสแล้ว
ลืมตัวบริโภคปัญจกามคุณ เมื่อเธอเหล่านั้นเข้าไปในปัญจกามคุณนั้น
ลืมตัวบริโภคปัญจกามคุณก็มัวเมา เมื่อมัวเมาก็ประมาท
เมื่อประมาทก็ถูกมารทำเอาตามชอบใจในปัญจกามคุณนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์พวกที่หนึ่งนั้น ก็ไม่หลุดพ้นอำนาจของมารไปได้
ส่วนสมณพราหมณ์พวกที่สองคิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า
สมณพราหมณ์พวกที่หนึ่ง เข้าไปสู่ปัญจกามคุณของมารอันเป็นโลกามิสแล้ว
ลืมตัวบริโภคปัญจกามคุณ เมื่อเธอเหล่านั้นเข้าไปในปัญจกามคุณนั้น
ลืมตัวบริโภคปัญจกามคุณก็มัวเมา เมื่อมัวเมา ก็ประมาท
เมื่อประมาท ก็ถูกมารทำเอาได้ตามชอบใจในปัญจกามคุณนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์พวกที่หนึ่งนั้น ก็ไม่หลุดพ้นอำนาจของมารไปได้
ถ้ากระไร เราต้องงดเว้นจากการบริโภคปัญจกามคุณอันเป็นโลกามิสเสียทั้งสิ้น
เมื่องดเว้นจากการบริโภคที่เป็นภัยแล้ว ต้องเข้าไปอาศัยอยู่ตามราวป่า
ครั้นคิดดังนี้แล้ว จึงงดเว้นจากการบริโภคปัญจกามคุณ อันเป็นโลกามิสเสียทั้งสิ้น
เมื่องดเว้นจากการบริโภคที่เป็นภัยแล้วก็เข้าไปอยู่ตามราวป่า
เธอเหล่านั้นมีผักดองเป็นภักษาบ้าง มีข้าวฟ่างเป็นภักษาบ้าง มีลูกเดือยเป็นภักษาบ้าง
มีกากข้าวเป็นภักษาบ้าง มีสาหร่ายเป็นภักษาบ้าง มีรำเป็นภักษาบ้าง
มีข้าวตังเป็นภักษาบ้าง มีกำยานเป็นภักษาบ้าง มีหญ้าเป็นภักษาบ้าง มีโคมัยเป็นภักษาบ้าง
มีเหง้าไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหารบ้าง บริโภคผลไม้หล่นเอง
เยียวยาอัตภาพอยู่ในราวป่านั้น ครั้นถึงเดือนท้ายฤดูคิมหันต์ เป็นเวลาที่สิ้นหญ้าและน้ำ
เธอเหล่านั้นก็มีร่างกายซูบผอม เมื่อร่างกายซูบผอม กำลังเรี่ยวแรงก็หมดไป
เมื่อเรี่ยวแรงหมดไป เจโตวิมุตติก็เสื่อม เมื่อเจโตวิมุตติเสื่อมแล้ว
พวกเธอก็กลับหันเข้าสู่ปัญจกามคุณอันเป็นเหยื่อล่อของมาร ซึ่งเป็นโลกามิสนั้นอีก
เมื่อเข้าไปแล้ว ลืมตัวบริโภคปัญจกามคุณก็มัวเมา เมื่อมัวเมาก็ประมาท
เมื่อประมาทก็ถูกมารทำเอาได้ตามชอบใจในปัญจกามคุณนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้สมณพราหมณ์พวกที่สองนั้น ก็ไม่หลุดพ้นอำนาจของมารไปได้
ถ้ากระไร เราจะต้องอาศัยอยู่ใกล้ ๆ ปัญจกามคุณอันเป็นเหยื่อล่อของมารซึ่งเป็นโลกามิสนั้น
ครั้นอาศัยอยู่ในที่นั้นแล้ว ก็ไม่เข้าไปหาปัญจกามคุณ อันเป็นเหยื่อล่อของมารซึ่งเป็นโลกามิส
เมื่อไม่ลืมตัวบริโภคปัญจกามคุณ ก็จะไม่มัวเมา เมื่อไม่มัวเมา ก็จะไม่ประมาท
เมื่อไม่ประมาท ก็จะไม่ถูกมารทำเอาได้ตามชอบใจในปัญจกามคุณนั้น.
ครั้นคิดฉะนี้แล้ว สมณพราหมณ์เหล่านั้น ก็อาศัยอยู่ใกล้ๆ ปัญจกามคุณ
อันเป็นเหยื่อล่อของมารซึ่งเป็นโลกามิสนั้น. ครั้นอาศัยอยู่ในที่นั้นแล้ว
ก็ไม่เข้าไปหาปัญจกามคุณอันเป็นเหยื่อล่อของมารซึ่งเป็นโลกามิส
เมื่อไม่ลืมตัวบริโภคปัญจกามคุณก็ไม่มัวเมา เมื่อไม่มัวเมาก็ไม่ประมาท
เมื่อไม่ประมาทก็ไม่ถูกมารทำเอาได้ตามชอบใจในปัญจกามคุณนั้น.
แต่ว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้นมีความเห็นอย่างนี้ว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง
โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง
สัตว์ตายแล้วเกิด สัตว์ตายแล้วไม่เกิด สัตว์ตายแล้วเกิดก็มี ไม่เกิดก็มี
สัตว์ตายแล้วเกิดก็มิใช่ ไม่เกิดก็มิใช่
เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์พวกที่สามนั้น ก็ไม่หลุดพ้นอำนาจของมารไปได้
ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสมณพราหมณ์พวกที่สามนี้ว่า เปรียบเหมือนฝูงเนื้อฝูงที่สามนั้น.
สมณพราหมณ์พวกที่สี่
[๓๑๐] ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกที่สี่คิดเห็นรวมกันอย่างนี้ว่า
สมณพราหมณ์พวกที่หนึ่งเข้าไปสู่ปัญจกามคุณของมารอันเป็นโลกามิสแล้ว
ลืมตัวบริโภคปัญจกามคุณ เมื่อเธอเหล่านั้นเข้าไปในปัญจกามคุณนั้น
ลืมตัวบริโภคปัญจกามคุณก็มัวเมา เมื่อมัวเมาก็ประมาท
เมื่อประมาทก็ถูกมารทำเอาได้ตามชอบใจในปัญจกามคุณนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์พวกที่หนึ่งนั้นก็ไม่หลุดพ้นอำนาจของมารไปได้
ส่วนสมณพราหมณ์พวกที่สองคิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า
สมณพราหมณ์พวกที่หนึ่งเข้าไปสู่ปัญจกามคุณของมารอันเป็นโลกามิสแล้ว
ลืมตัว บริโภคปัญจกามคุณก็มัวเมา เมื่อมัวเมาก็ประมาท
เมื่อประมาทก็ถูกมารทำเอาได้ตามชอบใจในปัญจกามคุณนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์พวกที่หนึ่งนั้น ก็ไม่หลุดพ้นอำนาจของมารไปได้
ถ้ากระไร เราต้องงดเว้นจากการบริโภคปัญจกามคุณ อันเป็นโลกามิสเสียทั้งสิ้น
เมื่องดเว้นจากการบริโภคที่เป็นภัยแล้ว ต้องเข้าไปอาศัยอยู่ตามราวป่า
เธอเหล่านั้นมีผักดองเป็นภักษาบ้าง มีข้าวฟ่างเป็นภักษาบ้าง มีลูกเดือยเป็นภักษาบ้าง
มีกากข้าวเป็นภักษาบ้าง มีสาหร่ายเป็นภักษาบ้าง มีรำเป็นภักษาบ้าง
มีข้าวตังเป็นภักษาบ้าง มีกำยานเป็นภักษาบ้าง มีหญ้าเป็นภักษาบ้าง มีโคมัยเป็นภักษาบ้าง
มีเหง้าไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหาร บริโภคผลไม้หล่น
เยียวยาอัตภาพอยู่ในราวป่านั้น ครั้นถึงเดือนท้ายฤดูคิมหันต์ เป็นเวลาที่สิ้นหญ้าและน้ำ
เธอเหล่านั้นก็มีร่างกายซูบผอม เมื่อมีร่างกายซูบผอมกำลังเรี่ยวแรงก็หมดไป
เมื่อกำลังเรี่ยวแรงหมดไป เจโตวิมุตติก็เสื่อม เมื่อเจโตวิมุตติเสื่อมแล้ว
พวกเธอก็กลับหันเข้าสู่ปัญจกามคุณอันเป็นเหยื่อล่อของมาร ซึ่งเป็นโลกามิสนั้นอีก
เมื่อเข้าไปแล้ว ลืมตัว บริโภคปัญจกามคุณก็มัวเมา เมื่อมัวเมาก็ประมาท
เมื่อประมาทก็ถูกมารทำเอาได้ตามชอบใจในปัญจกามคุณนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้สมณพราหมณ์พวกที่สองนั้น ก็ไม่หลุดพ้นอำนาจของมารไปได้
ส่วนสมณพราหมณ์พวกที่สามคิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า
สมณพราหมณ์พวกที่หนึ่งเข้าไปสู่ปัญจกามคุณของมารอันเป็นโลกามิสแล้ว
ลืมตัวบริโภคปัญจกามคุณ เมื่อเธอเหล่านั้นเข้าไปในปัญจกามคุณนั้น
ลืมตัว บริโภคปัญจกามคุณก็มัวเมา เมื่อมัวเมาก็ประมาท
เมื่อประมาทก็ถูกมารทำเอาได้ตามชอบใจในกามคุณนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์พวกที่หนึ่งนั้น ก็ไม่หลุดพ้นอำนาจของมารไปได้
ส่วนสมณพราหมณ์พวกที่สองคิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า
สมณพราหมณ์พวกหนึ่งเข้าไปสู่ปัญจกามคุณของมารอันเป็นโลกามิสแล้ว
ลืมตัวบริโภคปัญจกามคุณ เมื่อเธอเหล่านั้น เข้าไปในปัญจกามคุณนั้น
ลืมตัวบริโภคปัญจกามคุณก็มัวเมา เมื่อมัวเมาก็ประมาท
เมื่อประมาท ก็ถูกมารทำเอาได้ตามชอบใจในปัญจกามคุณนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์พวกที่หนึ่งนั้นก็ไม่หลุดพ้นอำนาจของมารไปได้
ถ้ากระไร เราต้องงดเว้นจากการบริโภคปัญจกามคุณอันเป็นโลกามิสเสียทั้งสิ้น
เมื่องดเว้นจากการบริโภคที่เป็นภัยแล้ว ต้องเข้าไปอาศัยอยู่ตามราวป่า
เธอเหล่านั้น มีผักดองเป็นภักษาบ้าง มีข้าวฟ่างเป็นภักษาบ้าง มีลูกเดือยเป็นภักษาบ้าง
มีกากข้าวเป็นภักษาบ้าง มีสาหร่ายเป็นภักษาบ้าง มีรำเป็นภักษาบ้าง
มีข้าวตังเป็นภักษาบ้าง มีกำยานเป็นภักษาบ้าง มีหญ้าเป็นภักษาบ้าง
มีโคมัยเป็นภักษาบ้าง มีเหง้าไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหาร บริโภคผลไม้หล่นเอง
เยียวยาอัตภาพ อยู่ในราวป่านั้น ครั้นถึงเดือนท้ายฤดูคิมหันต์ เป็นเวลาที่สิ้นหญ้าและน้ำ
เธอเหล่านั้นก็มีร่างกายซูบผอม เมื่อมีร่างกายซูบผอม กำลังเรี่ยวแรงก็หมดไป
เมื่อกำลังเรี่ยวแรงหมดไป เจโตวิมุตติก็เสื่อม เมื่อเจโตวิมุตติเสื่อมแล้ว
พวกเธอก็กลับหันเข้าสู่ปัญจกามคุณอันเป็นเหยื่อล่อของมาร ซึ่งเป็นโลกามิสนั้นอีก
เมื่อเข้าไปแล้ว ลืมตัวบริโภคปัญจกามคุณก็มัวเมา เมื่อมัวเมาก็ประมาท
เมื่อประมาทก็ถูกมารทำเอาได้ตามชอบใจในปัญจกามคุณนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้สมณพราหมณ์พวกที่สองนั้น ก็ไม่หลุดพ้นอำนาจของมารไปได้
ถ้ากระไร เราจะต้องอาศัยอยู่ใกล้ ๆ ปัญจกามคุณอันเป็นเหยื่อล่อของมารซึ่งเป็นโลกามิสนั้น
ครั้นอาศัยอยู่ในที่นั้นแล้ว ก็ไม่เข้าไปหาปัญจกามคุณอันเป็นเหยื่อล่อของมารซึ่งเป็นโลกามิส
เมื่อไม่ลืมตัวบริโภคปัญจกามคุณก็จะไม่มัวเมา เมื่อไม่มัวเมาก็จะไม่ประมาท
เมื่อไม่ประมาทก็จะไม่ถูกมารทำเอาได้ตามชอบใจในปัญจกามคุณนั้น
ครั้นคิดฉะนี้แล้ว สมณพราหมณ์เหล่านั้นก็อาศัยอยู่ใกล้ ๆ ปัญจกามคุณอันเป็นเหยื่อล่อของมาร
ซึ่งเป็นโลกามิสนั้น ครั้นอาศัยอยู่ในที่นั้นแล้ว ก็ไม่เข้าไปหาปัญจกามคุณอันเป็นเหยื่อล่อของมาร
ซึ่งเป็นโลกามิส เมื่อไม่ลืมตัวบริโภคปัญจกามคุณก็ไม่มัวเมา เมื่อไม่มัวเมาก็ไม่ประมาท
เมื่อไม่ประมาทก็ไม่ถูกมารทำเอาได้ตามใจชอบในปัญจกามคุณนั้น
แต่ว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้นมีความเห็นอย่างนี้ว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง
โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง
สัตว์ตายแล้วเกิด สัตว์ตายแล้วไม่เกิด สัตว์ตายแล้วเกิดก็มี ไม่เกิดก็มี
สัตว์ตายแล้วเกิดก็มิใช่ ไม่เกิดก็มิใช่ เมื่อเป็นเช่นนี้
สมณพราหมณ์พวกที่สามนั้น ก็ไม่หลุดพ้นอำนาจของมารไปได้
อย่ากระนั้นเลย เราต้องอาศัยอยู่ในที่ซึ่งมารและบริวารของมารไปไม่ถึง
ครั้นอาศัยในที่นั้นแล้ว ก็ไม่เข้าไปหาปัญจกามคุณของมารอันเป็นโลกามิสนั้น
จะไม่ลืมตัวบริโภคปัญจกามคุณ เมื่อไม่เข้าไปหา ไม่ลืมตัวบริโภคปัญจกามคุณก็จะไม่มัวเมา
เมื่อไม่มัวเมา ก็จะไม่ประมาท
เมื่อไม่ประมาทก็จะไม่ถูกมารทำเอาได้ตามชอบใจในปัญจกามคุณนั้น
ครั้นคิดดังนี้แล้ว สมณพราหมณ์เหล่านั้น ก็อาศัยอยู่ในที่ซึ่งมารและบริวารของมารไปไม่ถึง
เมื่ออาศัยในที่นั้นแล้ว ก็ไม่เข้าไปหาปัญจกามคุณอันเป็นเหยื่อล่อของมารซึ่งเป็นโลกามิสนั้น
ไม่ลืมตัวบริโภคปัญจกามคุณ เมื่อไม่ลืมตัวบริโภคปัญจกามคุณก็ไม่มัวเมา
เมื่อไม่มัวเมา ก็ไม่ประมาท
เมื่อไม่ประมาทก็ไม่ถูกมารทำเอาได้ตามชอบใจในปัญจกามคุณนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์พวกที่สี่นั้น ก็หลุดพ้นอำนาจของมารไปได้.
ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสมณพราหมณ์พวกที่สี่นี้ว่า เปรียบเหมือนฝูงเนื้อฝูงที่สี่นั้น.
ที่ซึ่งมารและบริวารของมารไปไม่ถึง
[๓๑๑] ภิกษุทั้งหลาย ก็ที่ซึ่งมารและบริวารของมารไปไม่ถึง เป็นอย่างไร?
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
ภิกษุทั้งหลาย นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด
คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอย ถึงความไม่เห็นของมารใจบาป.
ภิกษุทั้งหลาย ยังมีอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุบรรลุทุติยฌาน
มีความผ่องใสแห่งจิตภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรากล่าวว่า
ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอย
ถึงความไม่เห็นของมารใจบาป.
ภิกษุทั้งหลาย ยังมีอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะเสวยสุขด้วยนามกาย
เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า
ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
ภิกษุทั้งหลาย นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด
คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอย ถึงความไม่เห็นของมารใจบาป.
ภิกษุทั้งหลาย ยังมีอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข
เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
ภิกษุทั้งหลาย นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด
คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอย ถึงความไม่เห็นของมารใจบาป.
ภิกษุทั้งหลาย ยังมีอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุได้บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน ซึ่งมีบริกรรมว่า
อากาศหาที่สุดมิได้ อยู่ เพราะเพิกรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง
เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจนานัตตสัญญา
ภิกษุทั้งหลาย นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด
คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอย ถึงความไม่เห็นของมารใจบาป.
ภิกษุทั้งหลาย ยังมีอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุล่วงอากาสานัญจายตนฌาน โดยประการทั้งปวงแล้ว
ได้บรรลุวิญญาณัญจายตนญาน ซึ่งมีบริกรรมว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ อยู่
ภิกษุทั้งหลาย นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด
คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอย ถึงความไม่เห็นของมารใจบาป.
ภิกษุทั้งหลาย ยังมีอีกข้อหนึ่ง คือภิกษุล่วงวิญญาณัญจายตนฌาน โดยประการทั้งปวงแล้ว
ได้บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน ซึ่งมีบริกรรมว่า อะไร ๆ ไม่มี อยู่
ภิกษุทั้งหลาย นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด
คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอย ถึงความไม่เห็นของมารใจบาป.
ภิกษุทั้งหลาย ยังมีอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุล่วงอกิญจัญญายตนฌาน โดยประการทั้งปวงแล้ว
ได้บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน อยู่
ภิกษุทั้งหลาย นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด
คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอย ถึงความไม่เห็นของมารใจบาป.
ภิกษุทั้งหลาย ยังมีอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
โดยประการทั้งปวงแล้ว ได้บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ อยู่
ก็และเพราะเห็นด้วยปัญญา เธอย่อมมีอาสวะสิ้นไป
ภิกษุทั้งหลาย นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด
คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอย ถึงความไม่เห็นของมารใจบาป
เป็นผู้ข้ามพ้นตัณหาอันข้องอยู่ในอารมณ์ต่าง ๆ ในโลกเสียได้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระพุทธพจน์นี้จบลงแล้ว
ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่นชม ยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วแล.
นิวาปสูตรที่ ๕ จบ
(นิวาปสูตร พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๑๘)
< Prev | Next > |
---|