วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เร้น ๕



Ren



ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ห้องผู้ป่วย

            ดวงสุดา มารดาพิจิก ธันวาเป็นสตรีวัยห้าสิบกว่าที่ยังสวยสะดุดตาสมวัย ดวงหน้าละม้ายบุตรชายทั้งสอง เพียงแต่เพิ่มความสวยหวาน และริ้วรอยกาลเวลาเข้าไป

            ส่วน ‘ร้อยกรอง’ สตรีชราวัยแปดสิบกว่านั่งกึ่งเอนนอนบนเตียง ดวงหน้าดุ มีอำนาจ แฝงความเด็ดขาด เอาจริงเอาจัง ลักษณะท่าทางแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกัน

            “สวัสดีค่ะคุณย่ากรอง คุณแม่ดา” มีนายกมือไหว้ เข้าไปกอดหอมแก้มผู้เฒ่าบนเตียงก่อน แล้วค่อยโอบเอวซบบนไหล่แม่ธันวา พิจิกอย่างสนิทสนม

            “ว่ายังไงจ๊ะลูกมีน จะกลับบ้านทั้งที ทำไมไม่มากับเจ้าธัน...ขับรถคนเดียวอันตรายออก ดีนะที่มันเสียไม่ไกลเมืองเท่าไหร่” ดวงสุดาพูดจาไพเราะ หวานเหมือนใบหน้า สองสตรีสูงวัยรู้เรื่องคร่าว ๆ จากพิจิกแล้ว

            “แหม...แม่ดาขา มีนไม่เป็นไรหรอก ทำอะไรคนเดียวสะดวกจะตาย” หญิงสาวตอบ

            ธันวาไม่สนใจฟังคำสนทนาระหว่างมีนากับมารดาตน เดินเข้าไปยกมือไหว้คุณย่าที่เตียง แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างไม่มีให้ใครบ่อยนัก

            “คุณย่าไม่สบาย ทำไมไม่บอกผมตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วล่ะครับ”

            “ถ้าบอกแล้วแกจะไม่กลับกรุงเทพฯ อยู่ดูแลย่าเองหรือไงล่ะ” คำพูดประชดติดงอนนิด ๆ

            พิจิกยิ้มกว้าง เข้าไปยืนข้างเตียง

            “แหมคุณย่า...พี่ธันเขาเห็นผมอยู่ที่นี่ ทำหน้าที่หลานชายกตัญญูอยู่แล้ว เลยไม่ห่วงไง”

            พูดพลางลอยหน้าเข้าใกล้ ผู้เฒ่าหมั่นไส้ อดไม่ได้ต้องจิ้มหน้าผากผลักไสออกไป

            “หนอย...หลานกตัญญูอะไรยะ...กตัญญูเฉพาะกับปู่แกคนเดียวสิ ไม่เห็นมาดูแลรักษาย่าเลย จะไปไหนก็ไป...”

            “แหม...ผมเป็นหมอฟัน ไม่ใช่หมอรักษาคนป่วยซะหน่อย...ถ้าคุณย่าอยากได้ฟันปลอมอันใหม่ตอนไหน รับรองผมจะจัดการให้เนี๊ยบเลย” ทันตแพทย์หนุ่มหยอก

            “ไปทำให้ปู่แกโน่นไป๊” คุณย่าหัวเราะพลางกวักมือเรียกมีนา

            “หมวยมีน...มาหาย่าหน่อย ไม่เจอกันตั้งนาน”

            มีนายิ้มขัน มีญาติผู้ใหญ่ไม่กี่คนหรอกที่เรียกหล่อนว่า ‘หมวยมีน’ อย่างตอนเด็ก

            คราวนี้สามสาวสามวัยได้โอกาสจับกลุ่มสนทนากันอย่างออกรส สนุกสนาน สองหนุ่มอย่างธันวา พิจิกจึงเลี่ยงมาอยู่วงนอก ปล่อยให้สาวแก่มาก จนถึงสาวแก่น้อยคุยกันตามสะดวก

            เวลาผู้หญิงจับกลุ่มคุยกัน สามารถหยิบยกเรื่องราวเล็กน้อยสารพัด ตั้งแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง จนถึงเรื่องชวนสะดุดหูมาพูดคุยกันได้ยืดยาว ไม่จบไม่สิ้น

            หลังจากเวลาผ่านไปเกือบยี่สิบนาที สองหนุ่มจึงได้ยินเรื่องสะดุดหูจากกลุ่มสาวสามวัยเหล่านั้น



            “ถ้าไอ้เสี่ยหมงมันไม่ตาย ย่าคงไม่ลำบากอย่างนี้หรอก” ร้อยกรองหลุดปากเรื่องคาใจตน

            “เขาตายด้วยอุบัติเหตุจริงหรือคะ” มีนาได้โอกาสยิงคำถามที่รอมานาน

            “ใคร ๆ ก็ว่าอย่างนั้น มีแต่แม่ณีรนุช พี่สาวเขานั่นแหละ ร้องแรกแหกกระเชอว่าน้องชายถูกฆ่าตาย ผีมาปรากฏให้เห็น บอกให้หาฆาตกร”

            “คุณย่ารู้จักคุณณีรนุช พี่สาวเสี่ยหมงด้วยหรือคะ” โปรดิวเซอร์สาวมองเห็นช่องทางเข้าถึงตัวผู้ให้สัมภาษณ์

            “รู้จักสิ...แม่ดาก็รู้จักเหมือนกัน ไม่งั้นจะพาเสี่ยหมงมารู้จักย่า จนโดนกล่อมให้ร่วมลงทุนโครงการเมืองใหม่ของมันเหรอ” ยิ่งพูดคุณย่ายิ่งอารมณ์เสีย

            “แล้วเขามาเยี่ยมคุณย่าที่โรงพยาบาลบ้างมั้ยคะ” มีนาถาม

            “มันไม่กล้ามาล่ะสิ” คุณย่าชักโมโห “นี่นะ ย่าว่าจะให้แม่ดาเขาไปคุยกับมันหน่อยว่า พอจะมีทางยกเลิกสัญญาได้มั้ย อย่างน้อยก็ขอเอาโฉนดที่ดินเรากลับมาก่อน”

            “แม่ดาจะไปหาคุณณีรนุชวันไหนคะ” ถามแบบซื่อใส ไม่มีเจตนาแอบแฝง

            “แม่ว่าจะไปพรุ่งนี้จ้ะ บอกคนขับรถไว้ว่าจะออกตอนสาย ๆ” ดวงสุดาตอบ

            “ไปกับคนขับรถแค่สองคนเองหรือคะ” หญิงสาวถามอย่างเป็นห่วง

            “จ้ะ...” ตอบอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก

            “อุ๊ย...อย่างนี้ให้มีนไปเป็นเพื่อนด้วยดีมั้ยคะ เผื่อจะช่วยแม่ดาพูดกับทางเขาบ้าง?” มีนาตีหน้าซื่อถาม

            “ดีเลยลูก...มีนไปด้วยก็ดี...เนี่ยเห็นมั้ย แม่พูดขนาดนี้ ยังไม่มีลูกชายคนไหน ออกปากว่าจะตามไปเป็นเพื่อนเลยสักคน” พูดพลางหันไปค้อนให้สองลูกชายที่นั่งอยู่บนโซฟาคนเฝ้าไข้

            พิจิกอมยิ้ม ไม่แก้ตัวอะไร ขณะที่ธันวาหันไปสบกับดวงตาที่กำลังเต้นยิบยับอย่างยินดีของมีนาอย่างรู้เท่าทัน



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ดึกสงัด

            เสียงแมลงราตรีกรีดปีกระงม ธันวาออกมายืนนอกระเบียงห้อง มองข้ามรั้วไปยังบ้านอีกหลัง ซึ่งห้องนอนชั้นสองตรงกัน ไฟในห้องนั้นเปิดสว่าง บอกให้ทราบเจ้าของห้องยังไม่นอน

            เสียงเคาะประตูดังสองครั้งพอเป็นพิธี ก่อนคนเคาะถือวิสาสะเปิดเข้ามาโดยไม่รอคำอนุญาต เห็นเจ้าของห้องยืนนอกระเบียง จึงเดินตามออกไปพูดคุย

            “คุณปู่นอนแล้ว พรุ่งนี้พี่ธันค่อยแวะไปหาแล้วกัน”

            พิจิกเอ่ยอย่างนี้เพราะเจ้าตัวมีหน้าที่ดูแลท่านผู้เฒ่าวัยใกล้เก้าสิบ โดยมากจะนอนเป็นเพื่อนปู่ที่บ้านอีกหลังในบริเวณเดียวกัน

            “อืม...ไม่เป็นไร” ธันวาแสดงอาการรับทราบโดยไม่สนใจน้องชาย

            ทันตแพทย์หนุ่มมองตาพี่ชาย แล้วแลเลยไปยังบ้านอีกหลัง เห็นแสงไฟห้องนอนด้านนั้นยังเปิดอยู่จึงสัพยอก

            “น่าเสียดายเนอะพี่ธัน บ้านเรามีที่ดินกว้างเกินไป ไม่งั้นรั้วบ้านติดกันอย่างนี้ มองเข้าไปในห้องนอนต้องเห็นแน่ว่ากำลังทำอะไรอยู่”

            “อย่าทำเป็นพูดอย่างกับรู้ใจขนาดนั้น” พี่ชายบ่นแกมดุ

            “ผมก็รู้ใจพี่ธันจริงนี่น่า” พิจิกไม่เกรงใจ

            ธันวาเหลือบมองน้องชาย แววตาท้าทาย

            “รู้มั้ยว่าตอนนี้พี่กำลังคิดอะไร” คำถามลองภูมิ

            พิจิกยิ้มกว้างตอบอย่างมั่นใจ

            “กำลังคิดว่าเจ้าผีตัวนั้นตามเจ้มีนเข้าไปถึงในห้องหรือเปล่า”

            ได้คำตอบชัดเจนเช่นนี้ เรียกรอยแย้มขึ้นที่ริมฝีปากธันวาอย่างผิดคาด

            “ถ้ารู้ว่าพี่คิดอะไรอยู่ ตอบคำถามในใจพี่ตอนนี้ได้มั้ย?”

            “พี่ธันไม่ได้แค่ ‘คิด’ หรอก แต่ใจน่ะ ‘เป็นห่วง’ คนในห้องนั้นมาก ๆ ต่างหาก” พิจิกแกล้งเจาะลึกถึงใจพี่ชายโดยอีกฝ่ายไม่ได้ร้องขอ ก่อนตอบคำถามให้คลายใจ

            “ไม่ต้องห่วงหรอก บ้านนั้นน่ะมี ‘ของขลัง’ เพียบไม่แพ้บ้านเรา แถมปู่ของเจ้เขาน่ะ ร่ายมนตร์ป้องกันครอบบ้านไว้ตั้งนานแล้ว ผีเกะกะเร่ร่อนทั่วไป ไม่มีทางเข้าไปทำอันตรายเจ้มีนได้หรอก”

            อาการระบายลมหายใจแผ่วอย่างโล่งใจของธันวาเป็นการยืนยันวาจาน้องชาย

            “รู้มั้ยว่าผีในลิฟต์เป็นใคร” คนเป็นจิตแพทย์ถามอย่างไม่กลัวใครว่าบ้า

            “ผมเดาว่าคงเป็นเสี่ยหมง” พิจิกตอบตามความรู้สึก “เพราะพอเราพูดถึงชื่อเขา...ก็มาปรากฏตัวทันที”

            ธันวาคิดถึงเหตุการณ์ตรงโค้งอันตราย ตอนสัมผัสถึงกระแสพลังงานของวิญญาณเร่ร่อน

            “รู้มั้ยว่าเสี่ยหมงเกิดอุบัติเหตุตรงไหน” เอ่ยปากถามทั้งที่พอมีคำตอบในใจ

            “ตรงโค้งอันตรายก่อนเข้าเมือง” พิจิกตอบแล้วฉุกใจนึกได้ “ที่พี่ธันโทรมาบอกว่ารถเจ้มีนเสียตรงทางโค้ง...ใช่โค้งนี้หรือเปล่า”

            “ใช่” ธันวาตอบสั้น

            “ตอนที่พี่ไปเจอเจ้มีน รู้สึกอะไรแปลก ๆ มั้ย”

            คราวนี้จิตแพทย์หนุ่มพยักหน้ารับ พิจิกไม่จำเป็นต้องซักถามรายละเอียดก็สามารถเข้าใจเรื่องราวตลอดสาย

            “แสดงว่าเสี่ยหมงแกตามเจ้มีนมาจากโค้งนั้นน่ะสิ”

            “ทำไมเขาต้องตามมีนา” ธันวาสงสัย

            “เจ้มีนแกมีจิตสื่อวิญญาณอยู่แล้ว อีกอย่างผมสังเกตว่าแกสนใจเรื่องเสี่ยหมงมาก ตั้งแต่ตอนเราคุยกันในลิฟต์ พอคุยกับคุณย่าก็ยิ่งชัด มันทำให้มีใจเชื่อมโยงกันอยู่ แล้วดวงวิญญาณแบบนี้ พอรู้ว่าใครสามารถสื่อสารกับตัวเองได้ ก็พยายามติดต่อเพื่อขอความช่วยเหลือ...อย่างน้อย ๆ ก็ขอส่วนบุญนั่นแหละ”

            อธิบายขนาดนี้เหมือนเป็นหมอผีมากกว่าหมอฟัน

            “มีนาจะปลอดภัยมั้ย” ธันวาถาม

            “ถ้าไม่ตกใจร้องกรี้ด ๆ จนถึงขั้นหัวใจวาย เป็นแค่หลอดเสียงอักเสบก็ไม่เท่าไหร่หรอก” พิจิกมีอารมณ์หยอกล้อ

            ธันวาไม่ขำด้วย ใช้กิริยานิ่งมองน้องชายแทนการรอคำอธิบายจริงจังเป็นเรื่องเป็นราว

            ‘หมอผี’ เห็นแววตานั้นอดขันไม่ได้ ต่อหน้าผู้หญิงทำท่าเฉย ๆ เหมือนไม่แคร์ แท้จริงกลับ ‘ซ่อนเร้น’ ความห่วงใย หวังดีมากมายโดยอีกฝ่ายไม่มีทางรับรู้ได้เลย

            “ตอนนี้ไม่มีปัญหาหรอก ผีเสี่ยหมงเข้าไปวุ่นวายเจ้แกไม่ได้แม้กระทั่งเข้าฝัน” พิจิกรับรอง

            “ถ้าไม่ได้อยู่ในบ้านที่ปู่คงคาครอบมนตร์รักษาไว้ล่ะ” ถึงจะเชื่อมือปู่หญิงสาว แต่หากเป็นนอกเขตอาคม มันยังน่าเป็นห่วง

            “แหม...ถ้าห่วงกันขนาดนั้น ตามประกบเขาเลยมั้ย” น้องชายอดแหย่ไม่ได้

            ธันวามองตรงไม่พูดอะไร พิจิกจึงอธิบายด้วยท่าทางสบาย ๆ

            “ธรรมชาติจิตของผีอย่างเสี่ยหมงนี่...มันเหมือนคนอยู่ในความฝันนั่นแหละ มันวูบวาบเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่ค่อยมีสติ ควบคุมความรู้สึกตัวอย่างคนที่ตื่นนอนแล้วไม่ได้...ต่อให้มีเจตจำนงแรงกล้า มีสิ่งค้างคาใจมากยังไง ก็ไม่มีทางตามติดเจ้มีนขนาดเป็นเงาตามตัวได้หรอก”

            “แล้วเราน่ะ พอจะช่วยมีนาได้มั้ย” ธันวาถามน้องชาย

            “ผมเหรอ” พิจิกยิ้มเจ้าเล่ห์ “พรุ่งนี้ผมต้องไปอบรมต่างประเทศเดือนนึง”

            “อบรมอะไร” ธันวาขมวดคิ้ว “จำได้ว่าแกเรียนเฉพาะทางจบแล้วนี่...พวกทันตแพทย์เขามีอบรมพิเศษสั้น ๆ ในต่างประเทศแค่เดือนเดียวด้วยหรือ”

            โดนคนเป็นพี่ชายถามดักคอรู้ทัน พิจิกแกล้งไม่ตอบ นัยน์ตาทอประกายยิบยับ อย่างคนไม่อยากโกหก

            “อบรมประเทศไหน” คราวนี้ธันวาเริ่มสงสัย

            “ประเทศเดียวกับที่หมวยเล็กไปทำงานแหละ”

            ได้ยินอย่างนี้เข้าใจชัด ไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม

            “นี่เอาเรื่องอบรมบังหน้า ตั้งใจไปหาแฟนใช่มั้ย”

            พิจิกหัวเราะอย่างยอมรับ หากแต่ในดวงตานั้นซ่อนนัยบางอย่างที่คนเป็นพี่ชายสะกิดใจ

            “เดี๋ยวก่อน...ถึงตอนนี้คุณปู่ยังแข็งแรงดี แต่คุณย่าเพิ่งเข้าโรงพยาบาล เราคงไม่มีอารมณ์ไปเดทกับแฟนที่ต่างประเทศหรอกมั้ง”

            ธันวาพูดอย่างคนรู้จักนิสัยน้องชายดี

            “แหม...เป็นจิตแพทย์หรือหมอดูกันแน่นี่...แม่นจริง” พูดอย่างนี้แสดงว่าเจ้าตัวยอมรับ

            หมอดู ‘จิตแพทย์’ ไม่สนใจคำแกล้งยอของน้องชาย ตั้งใจรอฟังเหตุผลของเขา

            “บริษัทหมวยเล็กเพิ่งรับงานใหญ่ในต่างประเทศครั้งแรก เพราะโปรเจ็กต์ตรงนั้นไม่เคยมีใครทำสำเร็จ พอหมวยเล็กไป ถึงได้รู้ว่าที่ตรงนั้นมัน ‘ไม่ธรรมดา’ มีปัญหาพิเศษที่ศาสตร์ทั่วไปแก้ไขไม่ได้”

            คราวนี้คนเป็นพี่ชายไม่ซักไซ้ ถามรายละเอียด เขารู้ว่าปู่ได้ถ่ายทอดวิชาด้านไสยเวทให้พิจิกจนหมด ซึ่งหลานชายอาจมีฝีมือเหนือกว่าผู้เฒ่าด้วยซ้ำ แต่การมีความสามารถเช่นนี้ ก็มี ‘หน้าที่’ บางอย่างพ่วงตามมาด้วย

            ธันวาไม่ค่อยใส่ใจเรื่อง ‘หน้าที่’ งานพิเศษของน้องชาย คิดว่ามันอยู่นอกเหนือความสนใจของตนเอง จนกระทั่งเวลานี้ เริ่มรู้สึกว่า จำเป็นต้องพึ่งความสามารถแบบนั้นแล้ว

            “หมวยเล็กจัดการคนเดียวไม่ได้หรือ” เขารู้ว่าเมษาได้รับถ่ายทอดวิชาจากปู่เธอจนหมดเช่นกัน

            “มันก็ไม่ได้บอกว่าจัดการคนเดียวไม่ได้หรอก” พิจิกทำหน้าอย่างคนรู้จักนิสัยแฟนตนเองดี “แต่ผมสังเกตดูแล้ว ที่นั่นน่าจะตึงมือพอสมควร เลยว่าจะโผล่ไปสักหน่อย...ถ้าเสร็จงานเร็ว อาจโดดอบรมกลับบ้านเลยก็ได้”

            เจ้าตัวพูดให้ความหวังขนาดนั้น ธันวายังไม่สบายใจ

            พิจิกยิ้มกริ่มรู้ใจพี่ชาย ล้วงมือไปในกระเป๋า หยิบของบางอย่างออกมายื่นให้

            “ผงว่านปลุกเสก...ครูแกลง...อาจารย์ของปู่ท่านทำไว้หลายสิบปีแล้ว...ช่วยขับไล่คุณไสย ป้องกันผีร้ายต่าง ๆ ได้”

            สิ่งที่ธันวาได้รับเป็นผงสีน้ำตาลอมทอง บรรจุอยู่ในกรอบพลาสติกใสขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือ พร้อมเชือกถักไว้ห้อยคอ

            “ปู่เคยสอนว่า...สิ่งที่มีประโยชน์กว่าเครื่องรางของขลังคือสติ...และจิตที่มีความเมตตา” พิจิกบอก

            คนเป็นจิตแพทย์รับของชิ้นนั้นมาด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก...ไม่ได้ลบหลู่ เห็นเป็นสิ่งไร้สาระ...เพียงแต่คิดไม่ถึง วันหนึ่งตนเองต้องก้าวเข้ามาในโลกที่เคยเห็นแต่ปู่กับน้องชายย่ำเดิน

            ...โลกแห่งไสยเวท...



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ตั้งแต่เด็กจนโต เขาเห็นพิจิก เมษา กับปู่ทั้งสอง อยู่ในโลกเฉพาะกลุ่มตนบ่อย ๆ ท่านผู้เฒ่าสองบ้านไม่เคยหวงห้าม กีดกันหลานชาย หลานสาวคนโต ไม่ให้ร่วมเรียนรู้ด้วย

            เพียงแต่มีนากลัวผี เพราะมีจิตสื่อวิญญาณ เจ้าหล่อนจึงมักเลี่ยงหนี พยายามไม่รับรู้เรื่องพวกนี้ ส่วนธันวาก็มีโลกส่วนตัวของตน เขาเห็น ‘พฤกษ์’ บิดาผู้เป็นนายตำรวจมือฉกาจ เหมือนวีรบุรุษในใจ จึงยึดถือพ่อเป็นแบบอย่าง เห็นว่าพ่อไม่สนใจเรื่องไสยเวท ตนเองก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน

            ถึงจะมองเห็นว่าพิจิก เมษาเติบโตเป็นเด็กปกติ ฉลาดรอบรู้ สดใสสมวัย ไม่มีกลิ่นอายจอมขมังเวทใด ธันวาก็ยังรู้สึกว่า โลกแห่งไสยเวท มนตรามันลึกลับ ซ่อนเร้น ไกลตัวเหลือเกิน

            ความคิดของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลง เมื่อได้ไปร่วมงานศพบุคคลหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้

            ‘ครูแกลง’ อาจารย์ของ ‘เผด็จ’ ปู่เขา ‘คงคา’ หรือปู่เล้ง...ปู่ของมีนา เสียชีวิตในวัยหนึ่งร้อยปีเต็ม

            ผู้คนมาร่วมงานศพท่านมากมาย แน่นขนัดตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย มีทั้งลูกศิษย์รุ่นแรกอย่างปู่พวกเขาและครอบครัว ไปจนถึงศิษย์รุ่นหลาน รวมไปถึงผู้คนที่เคยได้รับการช่วยเหลือ รักษา แผ่พระคุณจากท่านจำนวนนับไม่ถูก

            ทุกคนมาร่วมงานท่านด้วยความรัก อาลัย ด้วยใจเคารพในคุณงามความดีซึ่งท่านสร้างมาตลอดชีวิต

            ในวันฌาปนกิจ เผาสังขาร ครอบครัวธันวา ครอบครัวมีนา ต่างมาร่วมงานพร้อมหน้า ครบทุกคนไม่มีขาด นับเป็นเรื่องที่เกิดได้ยากในยามต่างคนเติบโต แยกย้ายทำงานคนละจังหวัด

            ‘เผด็จ’ ปู่ธันวา เป็นผู้นำพาทุกคนในตระกูล เข้าไปกราบคารวะศพครูแกลงครั้งสุดท้าย

            ทุกคนนั่งเรียงกันตามลำดับอาวุโส อยู่ในอาการสงบ สำรวม จุดธูปเตรียมไว้ในมือ ท่านผู้เฒ่าอาวุโสสุดในตระกูลเอ่ยปากกับลูกหลานด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทรงพลังผิดกับวัย

            “ถ้าไม่มีครูแกลงสั่งสอนพ่อ...ปู่...ก็จะไม่มี ‘เผด็จ’ อย่างทุกวันนี้ ท่านเป็นผู้มีพระคุณ สั่งสอนสรรพวิทยา ความรู้ ท่านเป็นครู ‘ผู้ให้’ ด้วยใจกรุณา ท่านเมตตา แม้ในยามที่ศิษย์คนนี้ดื้อรั้น ทำเรื่องโง่เขลา หัวใจท่านเหมือนมหาสมุทร ยิ่งใหญ่ กว้างขวาง ตลอดชีวิตของไอ้เผด็จคนนี้ ไม่เคยพบใครเหมือนท่านอีกแล้ว”

            ธันวาสัมผัสถึงกระแสใจอันเปี่ยมล้นด้วยความสำนึกบุญคุณ เคารพ ศรัทธาด้วยจิตน้อมคารวะอย่างอ่อนราบทำให้เขาตัวชา ขนลุกซู่ เหลือบมองน้องชายที่นั่งข้าง เห็นหยาดน้ำใสเอ่อคลอจาง ๆ มันไม่ได้เกิดจากความเศร้าโศก แต่มาจากใจที่เปี่ยมปีติ แน่นหัวอกรู้สึกตามวาจาผู้นำตระกูล

            ธูปถูกปักที่ละคนจนครบ จากนั้นก้มลงกราบพร้อมกันโดยไม่จำเป็นต้องนัดหมาย

            ครอบครัวต่อมาเป็นของ ‘คงคา’ หรือปู่เล้ง เพื่อนคู่หูเผด็จ

            ปู่เล้งไม่พูดจายืดยาว ทุกคนในครอบครัวย่อมทราบ ท่านรักและเคารพอาจารย์ท่านนี้ไม่น้อยกว่าเพื่อนคู่หู

            พิธีการดำเนินต่อไปอย่างขรึมขลัง หลังจากสองครอบครัวศิษย์รุ่นแรกกราบคารวะเรียบร้อย ครอบครัวศิษย์รุ่นหลัง จนถึงหลานศิษย์ค่อยทยอยตามเข้าไปอย่างเป็นระเบียบ

            พอลูกศิษย์ หลานศิษย์ครูแกลงพาครอบครัวกราบคารวะเสร็จสิ้น ก็มาถึงการกราบคารวะ และกล่าวทวนคำปฏิญาณครั้งสุดท้าย ต่อหน้าครูแกลง ซึ่งเป็นการให้คำปฏิญาณเฉพาะลูกศิษย์ หลานศิษย์แท้ ๆ ไม่เกี่ยวกับครอบครัว



            ธันวามองเห็นการเรียงลำดับแต่ละรุ่นอย่างตื่นตาตื่นใจ ไม่คิดว่าลูกศิษย์ หลานศิษย์จำนวนมากจะสามารถจัดระเบียบ เรียงลำดับอาวุโสได้อย่างสงบสวยงาม โดยไม่จำเป็นต้องมีใครเป็นผู้นำสั่งการ

            ศิษย์ที่เรียนกับครูแกลงโดยตรงจะเริ่มต้นจากเผด็จ คงคา ผู้มีอาวุโสสูงสุด ตามด้วยอายุลดหลั่นกันไป จนถึงน้อยสุดเป็นเด็กหนุ่มอายุไม่เกินสิบแปดสิบเก้าปี ใบหน้าใส คมคาย เหมือนดารานักร้องวัยรุ่นที่สาว ๆ หลงใหลตามกรี๊ด ดูไม่น่าเชื่อว่าลักษณะเช่นนี้จะรู้จักเรื่องอาคม ไสยเวท

            แถวหลังจะเป็นรุ่นหลานศิษย์ เรียงตามลำดับอายุมีจำนวนหลายสิบคน ที่อายุน้อยสุด นั่งท้ายแถวคือพิจิก เมษา น้องชายและน้องสาวข้างบ้านธันวา

            หลังจากทั้งหมดนั่งเรียบร้อย ‘คงคา’ ปู่เล้งเป็นคนกล่าวนำขึ้นมา

            “พวกเรามาร่วมส่งครูสู่สัมปรายภพ ทุกคนมั่นใจว่าทุกสิ่งที่ท่านกระทำมาตลอดชีวิต ย่อมนำครูไปสู่ภพภูมิที่สูงส่งกว่าปัจจุบัน จนไม่สามารถเทียบได้”

            “การน้อมส่งครูครั้งนี้ พวกเราพร้อมใจกันมากล่าวทวนคำปฏิญาณ แทนการยืนยันกับครูว่า...ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน พวกเราไม่เคยลืมคำมั่นสัญญานั้นเลย”

            คงคาหยุดพูดชั่วขณะ ก่อนหันมาให้สัญญาณกับศิษย์ร่วมสำนัก

            “พร้อมนะ...”

            ทุกคนอยู่ในอาการสงบสำรวม แขกผู้ร่วมงานจำนวนมากต่างนิ่งงัน ไม่กล้าส่งเสียง ทั่วศาลาตกอยู่ในบรรยากาศขรึมขลัง เต็มไปด้วยกระแสพลังแห่งความเคารพ ศรัทธา

            “ข้าพเจ้า...จะตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม ไม่ใช้วิชาที่เรียนไปในทางที่ผิดเด็ดขาด”

            เสียงทวนคำปฏิญาณดังกระหึ่มพร้อมเพรียง

            “ข้าพเจ้า...จะใช้วิชาที่ร่ำเรียนเพื่อช่วยเกื้อกูล ปัดเป่าทุกข์ภัยแก่ผู้ลำบาก โดยไม่หวังลาภสักการะใด ๆ ทั้งสิ้น”

            วาจาหนักแน่น ดังเป็นเสียงเดียว ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนสู่จิตใจผู้ฟังทุกคน

            “สุดท้าย...วิชาที่เรียนนี้ เพื่อใช้กำราบคนชั่ว วิญญาณร้าย จะไม่ใช้ทำร้ายคนดีแม้สักคนเดียว”

            คลื่นแห่งสัจจะจำนวนมากถักทอหนาแน่น แผ่กระจายออกไปดังกระแสคลื่นแผ่กว้างสุดลูกหูลูกตา กระทบใจผู้ฟังจนเกิดอาการสะท้าน น้ำตาคลอโดยไม่มีเหตุผล

            ธันวาไม่เคยบังเกิดความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน จากที่เคยคิดว่าไสยเวทเป็นสิ่งลึกลับ ซ่อนเร้น กลับเห็นว่ามันกระจ่าง สว่างไสว การรวมตัวของผู้เรียนเวทจำนวนมาก หลายรุ่น หลายวัย ทำให้เห็นว่ามันอยู่ใกล้ตัวกว่าเคย

            คนที่ช่วยให้ธันวามองโลกของผู้ทรงเวทเปลี่ยนไปในอีกมุมหนึ่ง ไม่ใช่น้องชายอย่างพิจิก น้องสาวข้างบ้านอย่างเมษา แต่เป็นเด็กหนุ่มที่นั่งเป็นคนสุดท้ายในแถวลูกศิษย์สายตรงครูแกลง



            หลังเสร็จพิธีทวนคำปฏิญาณของลูกศิษย์ หลานศิษย์ ยังต้องรอเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมง กว่าจะได้เคลื่อนศพครูแกลงขึ้นสู่เมรุ

            ธันวาเห็นเด็กหนุ่มท้ายแถวหลบไปนอกศาลา อากัปกิริยาภายนอกดูสงบ ปกติ ทว่ากระแสความเศร้าโศก เสียใจกลับลอยมากระทบ จนอดไม่ได้ต้องลุกขึ้นเดินตามออกไป

            เด็กหนุ่มแอบไปนั่งอยู่บริเวณด้านหลังวัด ตรงที่เก็บโกฐิ อัฐิผู้ตายจำนวนมาก แล้วนั่งก้มหน้าปล่อยให้น้ำตาไหลพรากโดยไร้เสียงสะอึกสะอื้น

            หากเป็นธรรมดา ธันวาคงเลี่ยงหลบไม่รบกวน ปล่อยเจ้าตัวร้องไห้เต็มที่ เพราะการแอบมาร้องไห้คนเดียวอย่างนี้ ก็เพื่อไม่ต้องการให้ใครเห็นน้ำตาตน

            ครั้งนี้เขากลับยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน ในใจคิดถึงภาพเด็กหนุ่มตอนอยู่ท้ายแถวศิษย์ครูแกลง เวลานั้นเจ้าตัวดูสงบ สำรวม ไร้ร่องรอยเศร้าสร้อยในแววตา อารมณ์ปกติ สงบระงับโดยไม่ฝืนเสแสร้ง ดูแล้วน่าเลื่อมใสไม่น้อยกว่าศิษย์อาวุโสท่านอื่น

            พอตอนนี้ ผู้ทรงเวทคนเดียวกันกลับแอบร้องไห้คนเดียว ดูแล้วเกิดความขัดแย้ง แตกต่างจนน่าสนใจ

            น่าสนใจจนต้องพยายามนึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้เกี่ยวพันกับครูแกลงขนาดไหน นอกจากความเป็นศิษย์อาจารย์

            ไม่นานค่อยนึกออก ตอนปู่พาไปรู้จักครอบครัว คนในตระกูลครูแกลง จำได้ว่ามีเด็กหนุ่ม เด็กสาวหน้าใสคู่หนึ่งที่ถูกแนะนำว่าเป็นเหลนของท่าน

            เด็กหนุ่มคนนั้นน่าจะชื่อ...เพชร

            ธันวาก้าวเข้าไปหา เด็กหนุ่มรู้สึกตัว เงยหน้าขึ้นปาดน้ำตา เปลี่ยนกิริยาจากเด็กน้อยขี้แย เป็นเด็กผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง

            “น้อง...ชื่อเพชรใช่มั้ย” ธันวายื่นผ้าเช็ดหน้าให้

            “ใช่...พี่เป็นพี่ชายของพี่จิก” เพชรตอบโดยไม่รับผ้าเช็ดหน้า ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาซ้ำอีกครั้ง “พวกผู้ใหญ่เรียกผมว่าตี๋เล็ก...พี่จะเรียกอย่างนั้นก็ได้”

            “คิดถึงคุณทวดหรือ” ถามอย่างไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาคุย ธันวาไม่มีนิสัยชอบปลอบคนอื่น

            “อือ...ผมอยู่กับทวดมากกว่าพ่อแม่ตัวเองอีก” เด็กหนุ่มตอบ

            “อ๋อ...” ธันวาเข้าใจ

            “อย่าไปบอกพี่จิก พี่เมษานะว่าเห็นผมที่นี่” เพชรบอก

            “ทำไม...คนเรียนอาคมร้องไห้ไม่ได้หรือ” ผู้สูงวัยกว่าถาม

            “เปล่า...” คำตอบง่ายไม่มีฟอร์ม “คนเรียนอาคม วิชาอย่างพวกผมก็เป็นคนธรรมดา ไม่พิเศษกว่าใคร อยู่ใต้กฎแห่งกรรมเหมือนกัน...แต่...”

            เด็กหนุ่มอ้ำอึ้ง ธันวามองอย่างเอ็นดู ไม่ซักไซ้อะไร จนเจ้าตัวเป็นฝ่ายยอมพูดเอง

            “พี่จิก พี่เมษาเขาเรียกผมว่า ‘อาจารย์อา’ เลยไม่อยากเสียหน้าเท่านั้นแหละ” น้ำเสียงมีรอยเขินนิด ๆ

            ประกายตาธันวามีรอยยิ้ม มองเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ต่างจากวัยรุ่นฟอร์มจัดคนหนึ่ง

            “พี่ไม่บอกหรอก” ธันวารับปาก

            เด็กหนุ่มเปิดรอยยิ้มกว้าง ใบหน้าสว่างไสว

            “ขอบคุณครับ” ตี๋เล็กลุกขึ้นยืน อารมณ์เศร้าจางหาย “อ้อ...อย่าไปบอกพี่จิกอีกเรื่องนึงนะ...ผมว่า...พี่หล่อกว่าพี่จิกเยอะเลย”

            ธันวายืนขึ้นตาม มือตบไหล่เด็กหนุ่มอย่างเอ็นดู รู้สึก ‘อาจารย์อา’ คนนี้ ไม่เหมือนผู้ทรงเวท คนเรียนคาถา อาคมใดเลย

            หากจะว่าไป ธันวาเห็นพิจิก เมษาตั้งแต่เกิดจนโต ทั้งคู่มีลักษณะไม่ต่างจากเด็กหนุ่มคนนี้ ร่าเริง แจ่มใส ขี้เล่น ใช้ชีวิตปกติอย่างคนหนุ่มสาว ไม่เคร่งขรึม ทรงภูมิแบบผู้ทรงเวทตามความคาดหมายคนทั่วไป

            ยกเว้นตอนเผชิญหน้ากับอันตรายที่มองไม่เห็น ทั้งคู่จะเปลี่ยนเป็นอีกคน ที่เขารู้สึกห่างไกล ทว่าชวนให้เลื่อมใส วางใจได้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP