วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๔๑



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            บาดแผลถูกยิงสมานตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ติดเชื้อจนต้องส่งโรงพยาบาล พลเทพแข็งแรงตามลำดับยอมอยู่แต่ในห้องไม่ออกไปไหนเพราะรู้ตำรวจกำลังค้นหาตนอยู่

            ขนาดได้รับตะกร้าผลไม้ ยาสมุนไพรทุกปี เจ้าพ่อใหญ่ไม่เคยรู้ว่ายายแช่มจะรู้จักยาสมุนไพรดีจนช่วยรักษาแผลได้ขนาดนี้ ซึ่งทำให้ไม่ต้องซื้อยาตามร้านจนผิดสังเกต ตำรวจตามรอยถึง

            ที่หลบภัยไม่มีอินเตอร์เน็ต สองแม่ลูกใช้โทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าไม่ใช่สมาร์ทโฟน พลเทพติดตามข่าวสารต่าง ๆ จากหนังสือพิมพ์กับโทรทัศน์จอตู้เก่า ๆ ทำให้ทราบว่าตำรวจยังไล่ล่าตนเอง และร้ายกว่านั้น ‘พ่อเลี้ยงบุญชัย’ ถูกล่าสังหารกลางถนน

            เนื้อข่าวแค่รายงานเหตุการณ์ ไม่เจาะลึกประเด็นสืบสวนสอบสวน จิตใจกระวนกระวายทั้งแค้นใจแทนน้องรัก เป็นห่วงขุนคีรีที่ตนเอ็นดูเหมือนลูกชาย

            พลเทพปะติดปะต่อข่าวคราวเท่าที่มี รวมกับประสบการณ์โชกโชนในวงการพอคาดเดา ‘ผู้ร้าย’ รายนี้ไม่ยาก พ่อเลี้ยงบุญชัยโดนไล่ล่าคืนเดียวกับการประชุมผู้ค้ายาเสพติดโดนกวาดล้าง ย่อมไม่ใช่เหตุบังเอิญ เป็นการวางแผนอย่างแนบเนียน...ของบัณฑิต!

            ช่วงรักษาตัวจึงเป็นเวลาครุ่นคิดหาวิธี ‘เอาคืน’

            หลายคนคิดว่าเจ้าพ่อใหญ่โดนกวาดล้างหมดอำนาจบารมี ทรัพย์สินทั้งหมดโดนอายัด หนทางให้เลือกมีแค่ไม่ติดคุกก็หลบหนีกระเซอะกระเซิง มีไม่กี่คนทราบ...พลเทพไม่เคยประมาทเตรียมทางถอยแก่ตัวเองเสมอ

            เขามีทรัพย์สินก้อนใหญ่ลงทุนในนามบริษัทตัวแทนที่ต่างประเทศ ปลอดภัยสูงกฎหมายไทยเอื้อมแตะไม่ถึง สามารถระดมเงินมหาศาลจ้าง ‘มือดี’ ทั่วโลกแก้แค้นไม่ยากเย็น

            ขอแค่หายเจ็บ แข็งแรง สามารถหลบหนีออกนอกประเทศได้เสียก่อน เสือแก่ไม่จำเป็นต้องหมดเขี้ยวเล็บเสมอไป




--------------- ------------ --------------




            สถานที่ดาบตำรวจพนานัดหมายขุนคีรี เข้มมาพบเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวตกแต่งแปลกตา ประดับด้วยใบปิดหนังเก่า แต่ละใบซีลพลาสติกอย่างดีเข้ากรอบไม้เรียบ ๆ โดยมีภาพใบปิดใส่กรอบเด่นสุดจากหนังดังในอดีต ‘ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ’

            เวลาบ่ายแก่ ๆ ลูกค้าว่างวาย เด็กในร้านทยอยเก็บโต๊ะทำความสะอาด เจ้าของร้านเป็นชายกลางคน ใบหน้าคล้ำสีหน้าหมอง ดวงตาอ่อนโรยคล้ายเรือน้อยผ่านมหาสมุทรคลื่นลมมากมายก่อนแล่นพักเทียบท่า            

            ขุนคีรีเดินเข้าไปหาเอ่ยถามเข้าประเด็น

            “ดาบพนานัดผมมาที่นี่ ไม่ทราบมาถึงหรือยังครับ”

            “ยัง นั่งดื่มน้ำรอก่อนสิ” บอกเสียงเรียบ ดวงตาตวัดมองประเมินผู้มาใหม่ทั้งสองชั่วแวบ

            “ขอบคุณครับ”

            ตอบรับแล้วนั่งเงียบ ๆ ไม่ซักถามมากกว่านั้น

            ดาบตำรวจพนาติดต่อขอหลักฐานความผิดบัณฑิตตั้งแต่ตอนบ่ายวันที่ได้รับหมายเลขโทรศัพท์ หลังจากสำเนาส่งไปให้ สองฝ่ายติดต่อกันอีกครั้งสองครั้ง ไม่เคยนัดหมายแบบพบหน้าจนถึงวันนี้

            น้ำดื่มถูกนำมาเสิร์ฟ สองหนุ่มจิบพอเป็นพิธี รออีกไม่กี่นาทีดาบตำรวจพนามาถึงร้านพร้อมกับชายหนุ่มอีกคนซึ่งคาดเดาว่าเป็นตำรวจเหมือนกัน

            “หวัดดีหมวด” นายตำรวจอาวุโสทักทายเจ้าของร้าน “ขออนุญาตใช้สถานที่หน่อยนะ”

            “อือ”

            คำตอบรับง่าย ๆ ลุกจากเก้าอี้เดินนำเข้าไปด้านใน ขุนคีรีเพิ่งทราบว่าอีกฝ่ายเป็นตำรวจเก่าเหมือนกัน

            ทั้งหมดไม่เสียเวลาทักทาย แค่มองแล้วพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้การมีอยู่ซึ่งกันและกันก็พอ



            บนชั้นสองห้องทำงานส่วนตัวเจ้าของร้านค่อนข้างกว้าง โต๊ะคอมพิวเตอร์ตั้งมุมห้อง ผนังด้านหนึ่งเป็นชั้นหนังสือสารพัดประเภท ส่วนใหญ่ภาษาอังกฤษ อีกด้านเป็นชั้นวางม้วนวิดีโอ แผ่นซีดี ดีวีดี บลูเรย์หนังหายากบอกรสนิยมซึ่งขัดกับภาพลักษณ์เจ้าตัวที่เห็น

            กลางห้องตั้งโต๊ะญี่ปุ่นวางเบาะนั่งครบคน ผู้ชายตัวโต ๆ ห้าคนนั่งตามสบายโดยไม่รู้สึกอึดอัด นับเป็นการประชุมพูดคุยระหว่างคนไม่คุ้นเคยที่ดูเป็นกันเองเหลือเชื่อ

            ดาบตำรวจพนาทำหน้าที่แนะนำทุกคนให้รู้จักกัน ขุนคีรี เข้มค่อยทราบว่าชายหนุ่มอีกคนเป็นตำรวจระดับผู้กองชื่อไทธัต ส่วนเจ้าของร้านวัยกลางคนเป็นอดีตนายตำรวจชื่อรัชตะ

            “หลังจากได้หลักฐานความผิดนายบัณฑิตมาแล้ว ทางเราประชุมวางแผนจับกุมแต่มันยังมีช่องโหว่ให้ประธานใหญ่คนนี้สามารถดิ้นหลุดได้”

            พนาเริ่มต้นแล้วมองหน้าอีกสามคนที่ไม่ได้เป็นตำรวจก่อนพูดเข้าประเด็น

            “ทางตำรวจอยากได้ความร่วมมือจากคุณ...ขุนคีรี...แล้วก็ผู้หมวดรัชตะด้วย”

            “ผมไม่ได้เป็นตำรวจแล้ว อย่าเรียกอย่างนี้เลย” รัชตะบอกเรียบ ๆ

            “ขอโทษทีมันเคยปากแล้ว”

            “จะให้ผมช่วยอะไรครับ” ขุนคีรีถาม

            “ผมจะให้ผู้กองไทธัตเป็นคนอธิบายแล้วกัน” นายตำรวจอาวุโสยกหน้าที่ให้คนยศสูงกว่า

            “แผนจับกุมของเราจะทำในวันประชุมใหญ่เกรทนภากรุ๊ป...” ไทธัตเริ่มต้นแล้วอธิบายภาพรวมคร่าว ๆ โดยไม่เจาะลึกรายละเอียด

            “ผมอยากให้พี่รัชตะติดต่อแฮกเกอร์ที่รู้จักช่วยงานของเราหน่อย”

            “ตำรวจก็มีแฮกเกอร์ฝีมือดีหลายคน ทำไมไม่ใช้งานพวกเขา”

            “พูดตรง ๆ คืองานนี้อาจสุ่มเสี่ยงให้พวกเราโดนฟ้องกลับ พรบ. คอมพิวเตอร์ เลยอยากใช้คนนอกทำงานแบบไม่มีร่องรอยให้สืบสาว”

            “รู้ได้ยังไงว่าผมรู้จักแฮกเกอร์มือพระกาฬระดับนั้น”

            ไทธัตยิ้มตอบตรงไม่อ้อมค้อม

            “ดูจากที่พี่ช่วยสืบหาข้อมูลให้ดาบแกมาสองปี ก็รู้แล้วว่าคนนั้นไม่ธรรมดา”

            “เขาจะรับปากช่วยหรือเปล่าไม่รู้นะ” ตอบแบบกั๊ก ๆ ไม่ให้ความหวังเต็มที่ “จะให้ทำอะไรลองบอกมาสิ”

            นายตำรวจหนุ่มบอก ‘งาน’ ที่ต้องการให้แฮกเกอร์ช่วยจัดการ ขุนคีรี เข้มฟังแล้วรู้สึกเห็นด้วย ตนก็อยากให้ ‘เล่น’ กันแบบนี้แม้จะเสี่ยงพรบ.คอมพิวเตอร์ก็ตาม

            “ถ้าเขายอมรับงานแล้วจะติดต่อไปแล้วกัน” รัชตะบอกแค่นั้น

            “ตำรวจจะให้พวกผมทำอะไร” ขุนคีรีถาม

            “นอกจากหลักฐานคดียาเสพติดที่คุณส่งมาให้ คลิปเกี่ยวกับคดีพ่อคุณอีกสองคลิป และคลิปเสียงสารภาพของ ‘จอห์น’ ก่อนตาย ทางผู้ใหญ่อยากเอาผิดในคดีพวกนี้ด้วยแต่หลักฐานทั้งหมดในคลิปอ่อนเกินไป อยากให้พวกคุณช่วย ‘เล่นละคร’ สักหน่อย”

            “เล่นละคร...แบบไหน”

            ไทธัตเล่ารายละเอียด ผู้ฟังทุกคนนิ่งอั้นไม่คิดว่าคนคิดแผนแบบนี้จะเป็นตำรวจระดับผู้ใหญ่

            “ไหวมั้ยพี่เข้ม” ชายหนุ่มถามพี่ชาย

            “ขุนว่าไงพี่ก็ว่างั้น” มุมปากเข้มมีรอยยิ้มบาง ๆ

            “เอาเป็นว่า พวกผมจะพยายามเล่นละครให้สมบทบาทที่สุดแล้วกัน”

            สองตำรวจต่างวัยถอนใจ แววตายังมีรอยกังวลไม่โล่งอกเสียทีเดียว ขุนคีรีสังเกตเห็นจึงถามทันที

            “นอกจากนี้ยังมีอะไรอีกหรือครับ”

            “ตอนนี้เรามีหลักฐาน แผนการรัดกุมระดับหนึ่ง...แต่ถ้าบัณฑิตมันไม่ยอมตกหลุมพราง หรือได้ทีมทนายฝีมือดีรวมตัวกันก็อาจช่วยมันรอดคดีได้...เพราะขาดสิ่งสำคัญอีกอย่าง”

            “อะไร”

            “พยาน!”

            ขุนคีรี เข้มนิ่งอั้น คาดเดาเหตุผลสำคัญอีกอย่างที่สองนายตำรวจเรียกพวกตนมาประชุมครั้งนี้แล้ว

            ...พยานสำคัญคดียาเสพติด เมื่อจอห์นเสียชีวิตแล้ว จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าพ่อพลเทพ...

            “ผมทราบว่าพ่อเลี้ยงบุญชัยมีสายสัมพันธ์อันดีกับพลเทพ ต่อให้สองฝ่ายไม่เคยร่วมมือมีส่วนในกิจการกันและกัน แต่นับถือกันเหมือนพี่น้อง”

            ผู้กองไทธัตกล่าวอ้อมค้อม ลูกชายพ่อเลี้ยงพูดเข้าประเด็นเสียเอง

            “คุณเลยคิดว่าผมให้ที่หลบซ่อนลุงพล หรืออย่างน้อยรู้ว่าท่านอยู่ไหน”

            ดาบตำรวจพนาพูดแทนบ้าง

            “ผมมั่นใจว่าทางคุณไม่ได้ให้ที่หลบซ่อนพลเทพแน่...แต่อย่างน้อยก็อาจรู้ว่าเขาซ่อนตัวที่ไหน”

            “คุณบอกว่า...มั่นใจ...แสดงว่าส่งคนติดตามพวกเราอยู่เหมือนกัน” เข้มแทรกขึ้น

            “ใช่” ฝ่ายตำรวจยอมรับ “แค่ช่วงแรก ๆ เท่านั้น พอเห็นทางคุณวุ่นวายจัดงานศพพ่อเลี้ยง เตรียมรับมือคู่อริ แถมไม่มีการติดต่อกับลูกน้องพลเทพเลยค่อยแน่ใจ”

            “อย่างนั้นทำไมไม่เรียกผมไปสอบสวนเสียเลย” น้ำเสียงขุนคีรีท้าทาย

            “ถ้าสอบสวนคุณก็คงตอบว่า...ไม่รู้...” นายตำรวจอาวุโสย้อน “ตอนนี้พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ต้องการเอาผิดคนที่มีอิทธิพลไม่แพ้พลเทพ แถมยังมีหน้าตาทางสังคมเป็นที่ยอมรับมากกว่า”

            “อ๋อ...พอดาบเห็นผมเอาหลักฐานมาให้ แสดงว่ายังไงต้องร่วมมือทุกเรื่องแน่ เลยถามถึงลุงพลโดยอ้างว่าจะให้เป็นพยานเอาผิดบัณฑิต...คิดว่า...ผมคงไม่ปฏิเสธ”

            น้ำเสียงขุนคีรีเรียบเรื่อยจนคนฟังไม่แน่ใจรู้สึกอย่างไร

            “ถ้าผมบอกว่า...ไม่รู้จริง ๆ ลุงพลซ่อนตัวอยู่ไหน ดาบกับผู้กองจะเชื่อมั้ย”

            สีหน้านายตำรวจต่างวัยแสดงออกชัดเจน คนเอ่ยปากกลับเป็นอดีตนายตำรวจ

            “ผมเชื่อ...คุณอยากลากคอบัณฑิตเข้าคุกยิ่งกว่าใคร บางทีอาจอยากฆ่ามันกับมือโดยไม่สนใจวิธีการด้วยซ้ำ ถ้ารู้ว่าพยานสำคัญอย่างพลเทพอยู่ที่ไหนต้องไปเกลี้ยกล่อมให้เขามอบตัวแน่ ๆ”

            ลูกชายพ่อเลี้ยงมองรัชตะ คาดไม่ถึงภายใต้สีหน้าหม่นหมอง แววตาเฉยชากลับ ‘อ่าน’ เขาออกชัดเจนเพียงแค่รู้จักกันไม่กี่นาที

            “ครับ...ผมไม่รู้จริง ๆ ลุงพลซ่อนตัวอยู่ไหน แต่ขอรับปากว่าจะพยายามตามหาแกอย่างสุดความสามารถ...ถ้าเป็นไปได้จะหาให้พบก่อนวันประชุมใหญ่เกรทนภากรุ๊ป”

            “ขุน!” เข้มเอ่ยทัก ไม่อยากให้รับปากเรื่องเกินกำลังขนาดนี้

            “ไม่เป็นไรพี่เข้ม” น้องชายบอกง่าย ๆ “สั่งคนของเราให้สืบหาร่องรอยลุงพลวันนี้เลย น่าจะมีหลายคนสนิทสนมกับลูกน้องเก่าของแก น่าจะพอได้เบาะแสบ้าง”

            “ตกลง”

            นายตำรวจปัจจุบันและอดีตนายตำรวจมองการสั่งการและการตอบรับอย่างทึ่ง ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าแต่มีลักษณะท่าทางน่าเชื่อถือไว้ใจจนชายอีกคนยอมรับ กระทำตามคำสั่งโดยไม่แสดงสีหน้าไม่พอใจสักนิด

            ...คนจะเป็นนายคนย่อมมีบารมีเช่นนี้เอง...











บทที่ ๒๔



            ลำคลองไหลเอื่อยเป็นคลื่นลูกสีน้ำตาลสะท้อนแดดยามบ่าย สองฟากฝั่งมีบ้านเรือนตั้งห่าง ๆ บางช่วงเป็นเรือกสวนรกร้าง ไม่ไกลนักจะออกสู่แม่น้ำสายใหญ่

            พลเทพขึ้นเรือที่นี่ หนีไปได้แค่กลางแม่น้ำก่อนถูกยิงตกเรือหายสาบสูญ ขุนคีรีปิดเปลือกตาระบายลมหายใจผะแผ่ว เปิดดวงตายมทูตติดต่อดวงวิญญาณตลอดลำน้ำสายนี้

            เพียงชั่วครู่ค่อยทราบพลเทพยังไม่ตาย ดวงวิญญาณบริเวณใกล้ลำคลอง แม่น้ำต่างยืนยัน กระสุนไม่สังหาร สายน้ำไม่ได้กลืนกินชีวิต วิญญาณชายหญิงแปลกหน้าสองดวงช่วยอำพรางตอนสลบอยู่ริมฝั่ง ชักพาผู้ช่วยเหลือมารับไปรักษาดูแล แต่ภูตผีริมแม่น้ำตอบไม่ได้คนผู้นั้นพาไปไหน

            ชายหนุ่มต้องการทราบ ผู้ช่วยเหลือพลเทพเป็นใคร รูปร่างลักษณะอย่างไร

            ภาพบุคคลนั้นปรากฏขึ้นชั่วขณะ รู้สึกคุ้นตาเหมือนเคยเห็นนานมาแล้ว จดจำไม่ได้อยู่ดีว่าเป็นใคร ลืมตาปรับสติกลับมาอยู่กับโลกปกติ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทันที

            “ได้ความว่ายังไงบ้างพี่เข้ม”

            “อยากฟังข่าวดีหรือข่าวร้ายก่อน”

            “ข่าวดี”

            “หมวดรัชตะเพิ่งแจ้งผ่านดาบพนามาว่าแฮกเกอร์มือพระกาฬที่ชื่อ ‘กลุ่มคนหลังจอ’ รับปากช่วยพวกเราแล้ว”

            “พวกนี้เก่งขนาดไหนน่ะ”

            “ดาบพนารู้ว่าบัณฑิต พ่อเลี้ยง และท่านพลเทพมีความเกี่ยวพันทางธุรกิจก็ด้วยฝีมือกลุ่มนี้ และอีกผลงานนึงที่ดังมาก...ขุนจำข่าวพระเอก ‘ลุย รอยเธียร’ ถูกใส่ความว่าทำดาราตัวประกอบหญิงท้องแล้วไม่รับจนเธอไลฟ์สดฆ่าตัวตายได้มั้ย”

            “จำได้...ข่าวนานสามสี่ปีแล้วนะ”

            “แฮกเกอร์ที่ขุดหลักฐานมาล้างข้อกล่าวหาให้เขาก็กลุ่มนี้ล่ะ ทั้งโพสต์คลิปแก้ไขความเข้าใจผิดในตัวพระเอก ดึงภาพจากกล้องวงจรปิดมาแฉว่าผู้หญิงท้องแต่ทำไมยังไปดื่มเหล้าเที่ยวชนแก้วกับหนุ่ม ๆ ในผับ ที่เด็ดสุดคือสามารถดึงข้อมูลลับอย่างบัญชีเงินฝากมาโชว์ในโลกออนไลน์ ให้ทุกคนรู้ว่าวันสองวันก่อนไลฟ์สดฆ่าตัวตายมีเงินก้อนใหญ่เข้าบัญชีเธอ และหลังจุดกระแสใส่ความติดก็มีเงินอีกก้อนเข้ามาสมทบ...ข้อมูลเหล่านี้ถูกแชร์ไม่นานก็โดนลบเกลี้ยง กระทรวงไอซีทียังสืบไม่ได้ว่าใครเป็นคนปล่อย...”

            ขุนคีรียิ้มออก

            “เก่งขนาดนี้...อยากรู้จริงเขาเป็นใคร”

            ปากหลุดวาจา จิตเกิดความสนใจ ดวงตายมทูตเปิดอีกครั้ง ภาพนิมิตบุคคลหนึ่งปรากฏชั่วแวบ

            ...หญิงสาวดวงตาโตดำขลับหลังแว่นกรอบหนา เส้นผมยาวหยักเป็นลอนทิ้งตัวสวย สวมที่คาดผมสีดำเรียบร้อยไม่สะดุดตาผู้คน...

            แฮกเกอร์มือพระกาฬเป็น ‘เธอ’ ไม่ใช่ ‘เขา’ และอาจมีแค่คนเดียวไม่เป็นกลุ่มก้อนอย่างคนนอกคาดเดา

            ภาพนิมิตดับวูบพร้อมเสียงตอบจากเข้ม

            “ไม่มีใครรู้หรอก แฮกเกอร์พวกนี้ซ่อนตัวเก่งจะตาย แค่ยอมรับปากช่วยเราก็ดีแล้ว”

            “จริงพี่” รอยยิ้มแตะมุมปาก แทนคำขอบคุณ ‘เธอ’ ผู้เห็นหน้าเพียงชั่วแวบ

            “ใช่...อย่างนี้เราไม่ต้องกลัวพวกนักล่าในสายลมแล้ว” น้ำเสียงเข้มโล่งอก

            เหตุใดเมื่อแฮกเกอร์ช่วยเหลือ ถึงไม่ต้องกลัวนักล่าในสายลมอีกต่อไป?

            ข้อมูลที่ได้จากภากรบอกว่า กลุ่มนักฆ่าลึกลับทำงานเป็นเอกเทศไม่ขึ้นตรงต่อใครแม้แต่ผู้ว่าจ้าง พวกเขาสามารถยกเลิกสัญญาทันทีเมื่อภารกิจอาจเป็นเหตุให้ถูกเปิดเผยตัวตน และเมื่อใดผู้ว่าจ้างถูก ‘แฉ’ ออกสื่อวงกว้าง งานที่รับสุ่มเสี่ยงทำให้นักล่าโดนเปิดโปงตาม นั่นถือเป็นเหตุให้ยกเลิกได้ทันทีเหมือนกัน

            ถ้าตำรวจนำหลักฐานเผยแพร่ออกสื่อย่อมผิดกฎหมายเสียเอง ‘ผู้ใหญ่’ ระดับสูงในสำนักงานตำรวจฯ รู้จุดอ่อนทีมนักล่าอยู่แล้ว จึงขอให้อดีตนายตำรวจติดต่อแฮกเกอร์กลุ่มนี้ทำงานแทน

            “หมดปัญหาเรื่องนักล่าในสายลมถือเป็นข่าวดี...แล้วข่าวร้ายล่ะพี่เข้ม”

            “พวกสายสืบบอกมาว่า ลูกน้องท่านพลเทพไม่มีใครรู้ท่านซ่อนอยู่ไหน ทุกคนแยกย้ายกระจัดกระจายกันก็จริงแต่โดนตำรวจติดตามจับตามองตลอด กระดิกตัวทำอะไรแทบไม่ได้ ต่อให้ระแคะระคายก็ไม่กล้าออกไปสืบหาช่วยเหลือหรอก”

            ขุนคีรีถอนใจ ทบทวนภาพนิมิตคนที่ช่วยเหลือเจ้าพ่อจากริมฝั่งแม่น้ำอีกครั้ง

            “พี่เข้มพอจะจำลูกน้องลุงพลที่ตัวผอม ๆ อายุสักสี่สิบ ท่าทางเหมือนคนทำงานหนักมาตลอดบ้างมั้ย”

            “ลักษณะที่บอกนี่มีหลายคนเลยนะ เอาจุดเด่นชัด ๆ สังเกตง่ายมีมั้ย”

            ระลึกภาพนิมิตละเอียดอีกครั้ง ช่วงเวลาพบร่างพลเทพสลบริมตลิ่ง ผู้ช่วยเหลือพยายามปลุก เขย่าร่างให้รู้สึกตัวโดยมีแค่เสียงอู้อี้ออกมา ไม่มีวาจาหลุดจากปากสักคำ

            ...เขาเป็นใบ้...

            “...เป็นใบ้...พี่เข้มเคยเห็นลูกน้องลุงพลที่เป็นใบ้มั้ย”

            เข้มมักตามครอบครัวขุนคีรีมาพักคฤหาสน์พลเทพตั้งแต่สมัยวัยรุ่นบ่อย ๆ รู้จักลูกน้องคนสนิทคนทำงานที่นั่นหลายคน

            “ถ้าเป็นใบ้...พี่จำได้คนเดียวชื่อช่วง เป็นคนดูแลสวนเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนหลังไปบ้านท่านก็ไม่เจอแล้ว เห็นพวกพี่ ๆ ที่นั่นบอกว่าท่านพลเทพให้ทุนไปเปิดร้านอาหาร ทำมาหากินข้างนอกนานแล้ว”

            “น่าจะคนนี้ล่ะ ช่วยหาที่อยู่ปัจจุบัน หรือร้านอาหารที่เขาเปิดให้ที”

            “ได้สิ”

            เข้มตอบรับ ไม่ซักไซ้มากความ ตั้งแต่ขุนคีรีแทนตำแหน่งบิดาก็มีหลายอย่างในตัวเปลี่ยนแปลงจากเดิม ที่สังเกตชัดคือ ‘ลางสังหรณ์’ ช่วยตัดสินใจกระทำเรื่องต่าง ๆ จนสำเร็จราบรื่นเกินคาด

            หวังว่าสังหรณ์ครั้งนี้จะมีประโยชน์เช่นกัน




--------------- ------------ --------------




            ‘ช่วงโภชนา’ ร้านอาหารตามสั่งเล็ก ๆ ตั้งอยู่ในซอยล้อมรอบด้วยหอพัก อพาตเม้นท์ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้เช่าหอ คนในซอย วินมอเตอร์ไซค์ แท็กซี่

            เวลาเย็นลูกค้าเต็มเกือบทุกโต๊ะ ทั้งรับประทานในร้านและห่อกลับบ้าน ช่วงทำอาหารหน้าเตาขมีขมัน มารดาสูงวัยแต่แข็งแรงรับหน้าที่เสิร์ฟ ห่ออาหารกล่องคล่องแคล่ว รวดเร็วสมกับทำงานมาตลอดชีวิต

            ขุนคีรีจอดมอเตอร์ไซค์ไว้ริมถนน เดินผ่านหน้าร้านกวาดสายตาสังเกตภายในร้านและบริเวณโดยรอบ สัมผัส ‘คลื่น’ แปลกปลอมครอบคลุมจาง ๆ เดินไปนั่งโต๊ะว่างมุมร้าน สั่งอาหารจานเดียวง่าย ๆ เหมือนลูกค้าทั่วไป

            มื้อเย็นยังไม่มาเสิร์ฟ เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามมีอาคันตุกะนั่งลงถึงสอง ‘ตน’

            “ขุนมาก็ดีแล้ว พ่ออยู่ข้างในช่วยหน่อยได้มั้ยจะพาไปซ่อนตัวที่อื่นก็ได้ รบกวนช่วงกับแม่แช่มมานานแล้ว ใจจริงแพรอยากให้มอบตัวชดใช้ความผิดมากกว่า ขุนช่วยพูดเกลี้ยกล่อมได้มั้ย พ่อจะได้ไม่ต้องเป็นผู้ร้ายหนีคดีคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ แบบนี้”

            ชายหนุ่มเงยหน้ามอง สายตาแสดงอาการรับรู้ไม่ปริปากตอบ

            “พ่ออาการดีขึ้นแล้ว แม่แช่มใช้สมุนไพรรักษาแผลเกือบหายสนิท กระสุนไม่ฝังในให้หมอตรวจอีกทีก็ดีนะ ช่วยคุยกับแกหน่อย พ่อหัวดื้อไม่ฟังใคร แพรเองแค่ช่วยห่าง ๆ ติดต่อสื่อสารพ่อไม่ได้เลย มีแต่ขุนคนเดียวพอพูดได้”

            วิญญาณแพรตะวันพูดคนเดียวจนเริ่มรำคาญ ‘เพื่อนเก่า’ ไม่ตอบวาจาเสียที

            “อย่าแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ได้ยินนะขุน บอกมาจะช่วยพ่อหรือเปล่า”

            เจ้าหล่อนเริ่มขึ้นเสียงวิญญาณชายหนุ่มข้าง ๆ สะกิดเบา ๆ

            “ถ้าเขาตอบเราตอนนี้ ลูกค้าในร้านจะเห็นว่าบ้าเอานะแพร”

            ขุนคีรีหันไปพยักหน้าให้ผู้เป็นปากเสียงแทน หลิ่วตาทักทายเพื่อนสาว

            “พี่ยาไม่ต้องแก้ตัวแทนไอ้ขุนเลย ถ้ามันอยากพูดกับเราก็มีวิธีสื่อสารเยอะแยะ ท่าทางแบบนี้ตั้งใจแกล้งยั่วให้โมโหเล่นเฉย ๆ” เป็นเพื่อนตั้งแต่เด็กทำไมจะไม่รู้จักนิสัยสันดานกัน

            มุมปากชายหนุ่มขยับยิ้มน้อย ๆ กระแสใจส่งเป็นคำพูดชัด

            “ยายคุณหนูตัวร้ายขี้โมโหเหวี่ยงทั้งวันแบบนี้ คุณสัตยาทนได้ยังไงน่ะ”

            “นั่นไงมันแกล้งจริง ๆ เห็นมั้ย” แพรตะวันชี้หน้าแทบอยากลุกขึ้นยีหัวอีกฝ่าย

            “ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้วเหรอ ถึงอยู่ด้วยกันแบบนี้ได้” ผู้ช่วยยมทูตแกล้งถาม

            “เออสิ...แพรกับพี่ยารักกันจริงใจมีแค่กันและกัน ไม่ต้องเสียเวลาพูดจาปรับความเข้าใจอะไรเลย ไม่เหมือนขุนกับสาว ๆ ทั้งโขยงหรอก ต้องคอยสับราง เสียเวลาแต่งเรื่องโกหก ไม่งั้นรถไฟชนกัน ทะเลาะเดือดร้อนวุ่นวายเพื่อนฝูงให้มาช่วยเคลียร์”

            พอได้ทีวิญญาณสาวเท้าความเรื่องเก่า ขุดวีรกรรมสมัยขุนคีรีเป็นหนุ่มฮอตในมหาวิทยาลัยมาแฉ

            “อืม...ความรักชนะทุกสิ่งว่างั้น”

            “เฮอะ ผู้ชายเจ้าชู้ไม่มีหัวใจอย่างขุนไม่มีวันเข้าใจคำนี้หรอก” ภาพ ‘ขุนคีรี’ ในความทรงจำเธอคือผู้ชายลักษณะนั้นจริง ๆ

            “ก็ดี งั้นอย่าขอให้คนไม่มีหัวใจมาช่วยสิ”

            “ไอ้ขุน...มันคนละเรื่องกัน แยกแยะไม่ออกหรือไง”

            “ถ้าจะให้ช่วยก็พูดดี ๆ พูดเพราะ ๆ น่ะเป็นมั้ย” เสียงทางใจตอบโต้

            “จะช่วยหรือไม่ช่วย” เจ้าหล่อนไม่ยอมแพ้

            ขุนคีรีแกล้งเฉย อาหารถูกนำมาส่งพอดีจึงเงยหน้ายิ้มให้หญิงชรา

            “ขอบคุณครับ”

            ยายแช่มคุ้นตาหนุ่มผมเกรียน นึกไม่ออกเคยเห็นที่ไหน ไม่มีเวลาสงสัยนานต้องรีบเสิร์ฟอาหารโต๊ะอื่นต่อแล้ว

            “พี่ยาเห็นมั้ย ตัดผมสั้นทั้งทีนิสัยมันไม่ดีขึ้นเลย” หญิงสาวฟ้องแฟนหนุ่ม

            “บางคนตายเป็นผีแล้วยังไม่เลิกนิสัยคุณหนูอารมณ์ร้ายเหมือนกันล่ะวะ” กระแสเสียงทางใจตอบสวนทันที

            คนกลางอย่างสัตยาไม่รู้ควรทำอย่างไร ได้แต่ตอบตรงแบบทื่อ ๆ

            “คุณขุนมาที่นี่ ไม่ใช่ตั้งใจช่วยพ่อแพรเหรอ”

            คำพูดกึ่งเตือนสติ อีกทั้งคาดเดาเจตนาชายหนุ่มแม่นยำสามารถยุติวิวาทะคนกับผีชั่วคราว

            ขุนคีรีตักข้าวใส่ปากแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่ใส่ใจดวงตาผีสาวถลึงมองหมั่นไส้เต็มที



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP