วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
ศิวาดล ๓๗
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
“ไหน...ลองเล่ามาสิ เรื่องทั้งหมดเป็นยังไง?”
ครูแกลงกลับมาที่ห้องก่อนอาหารมื้อเย็น บอกให้ปู่หลานทั้งสี่นั่งประจำที่ แล้วเริ่มต้นด้วยคำถามข้างต้น
ตอนพิจิก เมษามาถึงเมื่อคืน ไม่มีเวลาซักถามมากมาย แค่เห็นรอยดำที่แขนก็รู้ว่าอาการหนัก ต้องรีบเร่งรักษาก่อน ไม่เช่นนั้นอาจไม่รอด
พอสองผู้เฒ่ามาถึงตอนบ่าย สภาพยอบแยบเต็มที มีเวลาถามแค่สาเหตุโดนอาคม ก็ต้องให้ยาฟื้นฟูกำลัง พักผ่อนเรียกเรี่ยวแรง จนพอมีกำลังอย่างนี้ค่อยถามไถ่เรื่องราวเบื้องหลังได้
การที่ครูแกลงพูดว่า ‘เรื่องทั้งหมด’ ย่อมหมายถึงเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่แรก
ฝ่ายคนแก่จึงเริ่มต้นเล่าเรื่องราวส่วนของตนก่อน ตั้งแต่ไปปราบผีที่เรือนพระยาคงเวทในปีสองพันห้าร้อย จนถึงเหตุการณ์พลาดพลั้ง บาดหมางกันเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
จากนั้นสองหนุ่มสาวค่อยเล่าเรื่องในส่วนของตน ที่ได้รับภารกิจปิดผนึกอาคม แล้วปลอมตัวเข้าไปในศิวาดล จนถึงเหตุการณ์ต่อสู้เมื่อคืนอย่างละเอียด
ครูแกลงฟังเรื่องราวจากลูกศิษย์ หลานศิษย์โดยไม่เอ่ยขัด ไม่ถามแทรก รอจนทั้งสองฝ่ายเล่าเรื่องทั้งหมดจนจบ กระจ่างชัด ไม่ตกหล่นเหตุการณ์สำคัญใด ๆ แล้ว ค่อยเอ่ยคำถาม...
“รู้มั้ย...ทำไมปู่พวกเธอถึงสั่งให้แข่งขันปิดผนึกอาคมกัน” เป็นคำถามที่สองหนุ่มสาวคิดไม่ถึง
“ไม่...” เมษากำลังจะพูดว่าไม่ทราบ...พิจิกรีบบอกคำตอบมาก่อน
“การแข่งขันนี้ มันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องที่ปู่ทั้งสองพลาดพลั้งเมื่อสิบกว่าปีก่อนหรือเปล่าครับ...” พิจิกหยุดพูด เหลือบมองปู่ของตนแวบหนึ่งก่อนพูดต่อ “บางที...ผลการแข่งขันของผมกับหมวยเล็ก อาจช่วยให้เกิดการตัดสินบางอย่าง ทำให้ปมในใจของท่านคลี่คลายลงได้”
ครูแกลงหัวเราะเบา ๆ มองหน้าสองศิษย์ชราด้วยแววตาเข้าใจ ผู้เฒ่าทั้งสองไม่กล่าวแก้ไข คนเป็นครูจึงอธิบายให้หนุ่มสาวฟัง
“เธอยังไม่เข้าใจจิตใจปู่ตัวเองดีพอ” พูดอย่างนี้แสดงว่าการแข่งขันมีเบื้องหลังลึกซึ้งกว่านั้น “เผด็จกับเล้งมีเรื่องหมางใจ มองหน้ากันไม่ติดก็จริง แต่พวกเขาไม่มีทางเอาความรู้สึกส่วนตัวมาผูกไว้กับลูกหลาน...ให้ลูกหลานต้องร่วมรับผิดชอบด้วยหรอก”
พิจิก เมษาตั้งใจฟัง ปู่เผด็จ ปู่คงคายิ้มน้อย ๆ ให้คนเป็นครู
“การเข้าไปในศิวาดล เผชิญหน้าผู้ทรงเวทในเงาทั้งผี และคน มันเป็นเรื่องอันตรายมาก...สองคนนี้ไม่มีทางส่งหลานรักตัวเองไปแข่งขัน เอาชนะ เพื่อตอบสนองอัตตาตัวเองแน่นอน”
“แล้ว...เพราะอะไรคะ” เมษาถาม
“มันคือบททดสอบสุดท้ายว่าพวกเธอจะเป็นผู้ทรงเวทตัวจริงได้มั้ย!”
คำพูดนี้จุดประกายความเข้าใจแก่สองหนุ่มสาวชั่วแวบ
“พวกเธอเรียนอาคมมาตั้งแต่เด็ก คงจำได้ว่าปู่เธอจะมีบททดสอบความรู้อยู่เสมอ...ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยให้ลงสนามด้วยกันครั้งแรก การแยกให้ไปทำงานเดี่ยว ๆ ในที่อันตราย และจากนั้นก็จะมีโจทย์ยากขึ้นเรื่อย ๆ จนมาถึงบททดสอบสุดท้าย...เป็นข้อสอบยากที่สุด...ใช้การแข่งขันกับเพื่อนร่วมสำนัก เพื่อให้พวกเธอข้ามขีดข้อจำกัดของตัวเอง เพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้ทรงเวทเต็มตัว!”
คำอธิบายกระจ่างชัด การแข่งขันครั้งนี้ จุดประสงค์เพื่อให้แต่ละฝ่ายพึ่งความสามารถตัวเองล้วน ๆ จะล้าหลังอีกฝ่ายไม่ได้ เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดตัวเองในที่สุด
การที่ปู่ค่อย ๆ ให้ข้อมูลทีละเรื่องเท่าที่จำเป็น ตามสถานการณ์ที่เกิด ก็เป็นการให้พวกตนฝึกรับมือกับปัญหาที่คาดไม่ถึง โดยปู่ทั้งสองจะคอยดูอยู่ห่าง ๆ ช่วยเหลือให้ปัจจัยเท่าที่จำเป็น...
นอกจากนั้น เรื่องราวบางอย่างสองผู้เฒ่าก็ลำบากใจที่จะบอกออกไปก่อน จำเป็นต้องรอจนถึงเวลาสำคัญ...หากไม่บอกจะทำให้หลานตนพลาดพลั้ง จึงยอมฝืนใจเล่าออกมา
“เข้าใจแล้วครับ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
เมษา พิจิกพูดเกือบจะพร้อมกัน
“เข้าใจแล้วก็ออกไปก่อน...เรามีบางเรื่องจะคุยกับปู่พวกเธอ”
ครูแกลงบอกสองหนุ่มสาว...รอจนทั้งคู่ออกจากห้อง ปิดประตูเรียบร้อย จึงหันมองสองลูกศิษย์ชรา
“ที่เราพูดไปเมื่อครู่...ถูกต้องมั้ย” ครูแกลงถาม
“ถูกครับครู” ปู่เผด็จตอบ
“ผมยังจำบททดสอบสุดท้ายที่ต้องแข่งกับไอ้เผด็จมันได้” ปู่คงคาบอก
รอยยิ้มละไมแตะริมฝีปากครูแกลง
“ที่จริง...มันเป็นรูปแบบการฝึกฝนที่ครูบาอาจารย์ท่านรักษาสืบต่อกันมา...การแข่งขันระหว่างศิษย์ เพื่อให้แต่ละคนก้าวข้ามขีดจำกัดตัวเองให้ได้...แต่...”
ครูแกลงหยุดพูด จ้องมองศิษย์ทั้งสอง
“แต่...ครั้งนี้พวกเธอตั้งบททดสอบสุดท้ายให้หลานผิดพลาดไปหน่อย”
ปู่เผด็จถอนใจ หลุบตาต่ำอย่างรับรู้
“ผมทราบครับ” ปู่คงคาเอ่ยปากยอมรับ
ครูแกลงอธิบาย
“ที่ผิดพลาดเพราะ...เด็กสองคนนั่น...รักกัน...ยังไงเสีย พวกเขาอดช่วยเหลือกันไม่ได้ มันทำให้ไม่สามารถดึงพลังแฝงเร้นในตัวออกมาสำเร็จ เลยก้าวข้ามขีดจำกัดตัวเองไม่ได้สักที”
“ครับ” ปู่เผด็จพยักหน้า
“เดี๋ยวเราจะตั้งโจทย์ให้พวกเขาแข่งขันกันใหม่” ครูแกลงบอก
สองลูกศิษย์มองอาจารย์อย่างงุนงง ตามความคิดไม่ทัน
“ก่อนที่เราจะออกไปบอกโจทย์ให้เด็กทั้งสอง...ขอถามอะไรหน่อย”
ดวงตาอ่อนโยนฉายประกายจริงจังกึ่งตำหนิ...
“เพราะอะไรถึงไม่มาหาเรา...ตั้งแต่ตอนเกิดเรื่องบาดหมางกัน”
สองศิษย์สะดุ้งเฮือก แววตามีความละอาย ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากก่อน
“หรือละอายใจ ที่จะเจอหน้าเรา...”
ผู้เฒ่าทั้งสองพยักหน้ารับ ถอนใจอย่างอับจนวาจา
“เราเคยบอกนานแล้ว...ศิษย์สำนักเดียวกันผูกพันยิ่งกว่าพี่น้อง ไม่ว่าผิดใจ ขัดแย้งกันขนาดไหน อย่าให้กินแหนงใจกันเกินสามวัน”
วาจาตำหนิชัด
“แล้วนี่...สิบกว่าปี” ครูแกลงพูดพลางถอนใจ
“การที่มาหาเราครั้งนี้ ไม่ใช่ว่ากลัวตาย...ถอนอาคมเองไม่ได้...แต่เพราะเป็นห่วงหลาน ถ้าตัวเองเป็นอะไรไป จะไม่ใช่ใครช่วยเมษา พิจิก...ใช่มั้ย” ครูแกลงพูดเหมือนนั่งอยู่กลางใจลูกศิษย์
ปู่เผด็จ ปู่คงคาพยักหน้ารับ
เมื่อคืนพวกตนครุ่นคิดไตร่ตรอง พยายามถอนอาคมยาสั่งมาทั้งคืน รู้ว่าไม่สามารถรักษาตัวเองได้ อาจไม่รอดเกินหนึ่งวัน...ความตายไม่น่ากลัว แต่ความรัก เป็นห่วงหลานมันรุนแรง หากตนเองตายไป ใครจะช่วยหลานรักได้
ทั้งคู่จึงยอมฝืนความละอายใจบากหน้ามาหาครูบาอาจารย์ เพื่อให้ท่านช่วยเหลือ
ครูแกลงเห็นลูกศิษย์ยอมรับอย่างนั้นจึงพูดต่อ
“ที่จริงการที่พวกเธอไม่ยอมมาพบหน้าเรา...มันไม่ใช่แค่ละอายใจเท่านั้นหรอก” ครูแกลงเข้าใจศิษย์ลึกซึ้งกว่านั้น “แต่ที่ผ่านมา พวกเธอยังไม่ยอมให้อภัยตัวเอง...ซึ่งเท่ากับไม่ให้อภัยกันและกัน...”
เจอคำพูดนี้ปู่เผด็จ ปู่คงคาต่างถอนใจเฮือกใหญ่ บางสิ่งที่อุดตันในใจคล้ายกำลังขยับเคลื่อนออกมา
“คนเราน่ะ...ยิ่งแก่ อัตตายิ่งพองใหญ่...ถ้าไม่สังเกตใจตัวเองดี ๆ ก็จะถูกความเห็นผิดครอบงำได้ง่าย...อย่างพวกเธอที่คอยย้ำกับตัวเองเสมอว่า ‘กู’ ผิด ‘กู’ ไม่น่าทำอย่างนั้น...ถ้า ‘กู’ ไม่ทำอย่างนั้น ถ้า ‘มึง’ ไม่ทำอย่างนี้ มันคงไม่เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น”
สองผู้เฒ่าคอตก ความที่เป็นผู้ใหญ่ คนนับหน้าถือตาทั้งเมือง จึงไม่เคยมีใครกล้าตอกหน้า สั่งสอนตรง ๆ แบบนี้มานานแล้ว
ยามอยู่ต่อหน้าครูแกลง ทั้งคู่คล้ายย้อนคืนสู่วัยเยาว์ ที่ยินดีน้อมรับคำอบรมสั่งสอนจากครูบาอาจารย์
ครูแกลงสังเกตเห็นศิษย์มีจิตใจโอนอ่อน รับฟังคำพูดตนด้วยใจยอมรับขนาดนี้...รู้ว่าหากจะถอนก้อนความทุกข์ ปรับเปลี่ยนจิตใจพวกเขาคงไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้ในทันที จึงปิดท้ายด้วยวาจาอ่อนโยน นุ่มนวล
“เราไม่หวังให้ความสัมพันธ์พวกเธอกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรอก...เพราะความจริงแล้ว จิตใจคนเรามันแปรเปลี่ยนกันทุกขณะจิต...แต่ถ้ามันต้องเปลี่ยนไป ก็ขอให้เปลี่ยนไปในทางที่ ‘รู้จริง’‘เข้าใจ’ ความจริงมากขึ้น จนมองเห็นว่า...อดีต...มันก็แค่เรื่องที่เกิดขึ้น และจบไปแล้ว...มันมีตัวตน เป็นจริงเป็นจังแค่ในความทรงจำของเราเท่านั้น...อย่าเก็บความทรงจำเหล่านั้น มาสร้างก้อนทุกข์ในปัจจุบัน...อย่าทำให้เสียชื่อ...ว่าเป็นศิษย์มีครู!”
ปู่เผด็จ ปู่คงคาสะท้านเยือกคล้ายตื่นจากความฝันอันยาวนาน น้ำตาเอ่อคลอดวงตา ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วคลานเข้าไปกราบแทบเท้าครูแกลงด้วยใจเต็มตื้น สำนึกบุญคุณอย่างที่สุด
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
พิจิก เมษาออกมาเดินเล่นอยู่ริมทางเท้าหน้าร้านขายสมุนไพร ดูความคึกคักของรถราบนถนนกลางเมือง แต่มองไม่เห็นรถของปู่ทั้งสอง สงสัยว่านายเดชา นายแหลมคนสนิทของปู่น่าจะนำมันไปจอดที่อื่น เพื่อไม่ให้เกะกะหน้าร้าน
ตี๋เล็กขับมอเตอร์ไซค์มาจอด เด็กหนุ่มยังอยู่ในชุดนักเรียน ปล่อยชายเสื้อรุ่ยร่าย พอลงจากรถก็รีบถามสองหนุ่มสาวทันที
“ทวดเป็นยังไงบ้าง”
“ท่านตื่นตั้งแต่บ่าย ดูอาการพวกพี่เสร็จแล้ว...ตอนนี้กำลังพูดคุย ตรวจอาการปู่พี่อยู่มั้ง” เมษาตอบ
“อะไร...มีคนเจ็บมาให้ทวดดูอีกเหรอ” เด็กหนุ่มหน้าบึ้ง “ไม่รู้เลยเหรอว่าท่านต้องพักผ่อนมาก ๆ ตอนนี้ไม่มีแรงช่วยใครได้แล้ว”
“ท่านแค่พูดคุยกันเฉย ๆ น่าจะยังไม่ได้รักษาใครหรอก” เมษาบอก
“นั่นแหละ ทวดใจดีจะตาย ไม่ค่อยห่วงตัวเอง ช่วยคนอื่นจนตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงแบบนี้หลายครั้งแล้ว” ตี๋เล็กบ่น
“งั้นก็...ขอโทษด้วยครับ...อาจารย์อา!” พิจิกพูดหน้าตาเฉย เด็กหนุ่มเกือบปล่อยหัวเราะพรืด ดวงตาฉายแววขำขัน อารมณ์หงุดหงิดหายไป
“ปู่พวกพี่เป็นลูกศิษย์ครูแกลง...อย่างนั้นพวกพี่ก็น่าจะเป็นหลานศิษย์ของอาจารย์อาใช่มั้ย” พิจิกอธิบายแกมหยอกล้อ
ตี๋เล็กแกล้งทำหน้าบึ้ง เดินตัวโคลงเข้าร้านด้วยอาการกลั้นหัวเราะเต็มที่
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ออกจากห้องตรวจรักษา ครูแกลงนั่งบนรถเข็น เรียกพิจิก เมษาให้ช่วยเข็นรถออกไปทางหลังร้าน ซึ่งมีทางเดินเล็กเลียบสนามหญ้าทอดไปสู่บ้านเดี่ยวสองชั้น ซ่อนจากสายตาคนทั่วไป
ภายในบ้านหลังนั้น ครูแกลงบอกให้สองหนุ่มสาวเข็นรถเข้าไปในห้องหนังสือ ผนังรอบด้านเต็มไปด้วยชั้นวางหนังสือเก่า ตำราเขียนด้วยมือหลายเล่ม
กลางห้องมีโต๊ะขนาดกลาง วางเก้าอี้นั่งล้อมวงคุยกันได้
“ปกติแล้ว อาคมยาสั่งรวมกับยันต์ปิดกั้นแบบที่ปู่พวกเธอโดน ไม่มีจอมเวทคนใดสามารถถอนรักษาได้”
ครูแกลงเริ่มต้นอย่างนี้ หลานศิษย์ฟังแล้วใจไม่ดี ท่านเห็นสีหน้าสองหนุ่มสาวจึงยิ้มอ่อนโยนพูดให้คลายใจ
“พอดีเรามีตำราวิชาที่ใช้แก้ไข ถอนอาคมนั้นได้...แต่...”
จังหวะที่ท่านพูดถึงตรงนี้ ตี๋เล็กก็เข้ามาในห้อง พร้อมกับนำกระดาษมาวางไว้ตรงหน้าเมษา พิจิกคนละสองแผ่น
“...แต่เราไม่มีกำลังรักษาปู่พวกเธอ...ดังนั้น...เธอต้องเป็นคนรักษา ถอนอาคมยาสั่งด้วยตัวเอง”
พิจิก เมษาเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ ไม่มั่นใจตนเอง สบตาครูแกลงแล้วก้มลงเอื้อมมือหยิบกระดาษที่เด็กหนุ่มวางตรงหน้าขึ้นมาอ่าน
กระดาษสองแผ่นนั้นเป็นคำอธิบายหลักการถอนยันต์ และบทสาธยายมนตราที่ใช้สลายอาคมยาสั่ง
“จำได้มั้ย ที่เราบอกว่า...ก่อนจะเป็นผู้ทรงเวทตัวจริง ต้องผ่านบททดสอบสุดท้าย” ครูแกลงพูดเรียบ ๆ แต่มีพลังบางอย่างกระตุ้นให้คนฟังมีจิตใจฮึกเหิม “การรักษาปู่พวกเธอจะเป็นการแข่งขัน เพื่อวัดว่าใครจะสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองไปได้”
ใบหน้าชรา เส้นผมสีขาวเหลือบเงินอมยิ้มน้อย ๆ ราวกับในใจรู้สึกสนุกกับโจทย์การแข่งขันของตน
“เอาล่ะ...พร้อมฟังกติกากันหรือยัง?”
บทที่ ๒๒
ยันต์กลางหลังสองผู้เฒ่าลวดลายไม่เหมือนกัน บอกถึงอาคมที่ใช้สะกดมีความแตกต่าง แค่คิดจะถอนยันต์ชิ้นเดียวเพื่อสลายอาคมยาสั่ง ก็ต้องใช้พลังจิต อำนาจมนตราเต็มกำลัง ไม่มีทางเหลือมาถอนยันต์ลายที่สองได้เลย
ต่อให้ครูแกลงร่างกายสมบูรณ์ พลังเต็มร้อยก็ไม่มีทางแก้ยันต์ สลายอาคมยาสั่งรวดเดียวสองชิ้นได้ ผู้ทรงเวทในเงาจึงมั่นใจนักหนา ว่าศัตรูชราทั้งสองไม่มีทางรอดชีวิตแน่นอน
พวกนั้นคำนวณผิดไปเรื่องเดียว นั่นคือพิจิกสามารถรอดชีวิต ถอนอาคมพร้อมฟื้นฟูกำลังรวดเร็ว
เรื่องที่ครูแกลงทำคนเดียวไม่สำเร็จ แต่หากพิจิก เมษาสองคนร่วมมือกัน ย่อมไม่ยากเกินไป
กระดาษสองแผ่นที่ตี๋เล็กนำมาวางตรงหน้า อธิบายการถอนยันต์บนหลังปู่ทั้งสองอย่างละเอียด มีบทสาธยายมนตร์กำกับชัดเจน มือระดับนี้อ่านรวดเดียวเข้าใจทะลุปรุโปร่ง
เพียงแต่กติกาที่ครูแกลงบอกนั้นทำให้สองหนุ่มสาวนิ่งอึ้งคาดไม่ถึง
“พิจิกไปถอนยันต์สลายอาคมให้ปู่เมษา...ส่วนเมษาไปถอนยันต์ช่วยปู่พิจิก!”
“ทำไมอย่างนั้นล่ะคะ” เมษาไม่เข้าใจ
“ให้ผมถอนยันต์ปู่ตัวเองดีกว่าครับ” พิจิกเสนอ
“นี่คือการแข่งขัน!” ครูแกลงบอกเรียบ ๆ ไม่มีท่าทีโอนอ่อนต่อวาจาสองหนุ่มสาว
ปกติแล้ว...หมอทั่วไปมักไม่รักษา ผ่าตัดให้กับคนในครอบครัว เพราะความผูกพันอาจทำให้เกิดแรงกดดัน หวั่นไหว ไม่สามารถทำงานเต็มประสิทธิภาพได้
พิจิก เมษาเจอโจทย์ยากกว่านั้น...พวกเขาต้องช่วยชีวิต ‘คนสำคัญที่สุด’ ของคนรัก หากพลาดพลั้งทำไม่สำเร็จ ตลอดชีวิตที่เหลือจะไม่สามารถมองหน้าอีกฝ่ายได้เลย
แรงกดดันนี้เหมือนภูเขาลูกมหึมาโถมทับลงมาไม่ทันตั้งตัว
ครูแกลงมองหน้าสองหนุ่มสาว รอยยิ้มบาง ๆ แตะริมฝีปาก
“อ่านขั้นตอนถอนยันต์ มนตร์สลายอาคมยาสั่งแล้ว มีใครสงสัยอยากให้เราอธิบายอะไรเพิ่มมั้ย”
พิจิกถอนใจเบา ๆ
“ครูแกลงได้มนตร์ชุดนี้มาจากไหนครับ ปู่สอนวิชาของครูมาให้ผมหมดแล้ว จำได้ว่าไม่เคยมีวิชาพวกนี้เลย”
เมษาสะดุดใจ อยากฟังคำตอบเช่นกัน
“นี่ไม่ใช่วิชาที่เราเรียนมาเหมือนกัน” ครูแกลงตอบ
“อ้าว...” คราวนี้คนถามงงเสียเอง
“ตอนนี้เรายังไม่บอกหรอกว่า วิชาชุดนี้มาจากไหน” ผู้เฒ่าจ้องหน้าหนุ่มสาวแล้วพูดต่อ “สิ่งสำคัญที่สุดคือ นี่เป็นวิชาที่เธอยังไม่เคยเรียนก็จริง แต่สามารถช่วยชีวิตปู่เธอได้...พวกเธอต้องทำความเข้าใจมันให้กระจ่างก่อนนำไปใช้”
“ครับ...ผมเข้าใจ” พิจิกตอบรับ
“หนูก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ”
สำหรับสองหนุ่มสาว เรื่องมนตรา อาคมมันซึมซาบเข้าสายเลือดแล้ว ต่อให้ไม่เคยเรียนวิชาเหล่านี้มาก่อน แค่อ่านเคล็ดขั้นตอน รายละเอียดบทสวดมนตรา ในหัวก็เกิดมโนภาพเข้าใจความหมายกระจ่างชัด อีกทั้งสามารถเทียบเคียงกับวิชาเดิมที่เคยเรียน แล้วนำมาต่อยอดกับกำลังสมาธิของตนได้อย่างกลมกลืน
ปัญหาเดียวที่ยากจัดการคือ แรงกดดันมหาศาลที่อัดแน่นในหัวอกนี้
ครูแกลงพยักหน้ารับ ยิ้มอย่างพอใจ เข้าใจความรู้สึกหลานศิษย์ที่กำลังประสบ แต่เลือกจะไม่พูดถึง
“งั้นก็ดีแล้ว หลังอาหารเย็นคืนนี้ พวกเธอเริ่มทำพิธีได้ เราจะจัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้...แต่เธอมีเวลาแค่ไม่เกินเที่ยงคืน”
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ยามเย็น บนดาดฟ้าอาคารพาณิชย์ เหนือร้านขายสมุนไพร
เมื่อมองจากด้านหน้าดาดฟ้าจะเห็นถนนเส้นหลักกลางเมือง รถราแล่นขวักไขว่ และเมื่อเหลียวมองกลับด้านหลังตึก จะเห็นบ้านสองชั้นหลังกะทัดรัด ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้ร่มรื่น สนามหญ้าเขียวขจี มีทางออกเป็นถนนเส้นเล็กเชื่อมต่อไปยังซอยด้านหลังได้
ดาดฟ้าแบ่งเป็นสองส่วน...ด้านหนึ่งจัดเรียงต้นไม้ ทำเป็นสวนหย่อมไว้พักผ่อน สูดอากาศสำหรับครอบครัวตี๋เล็กและลูกจ้างในร้าน อีกด้านทำเป็นสถานที่ตากสมุนไพร พื้นที่ไม่กว้างมากนัก
พิจิก เมษานั่งมองพระอาทิตย์ยามเย็น แดดทอแสงสีเหลืองอ่อน ขอบฟ้าฉาบสีสันสวยงาม แสงลำสุดท้ายอาบใบหน้าหนุ่มสาวเป็นสีระเรื่อ
ทั้งคู่มองดวงตะวันกำลังตกดินเงียบ ๆ โดยไม่พูดจาครู่ใหญ่ ปล่อยสายลมเย็นโพยพัดรอบกายเป็นสิ่งขับเคลื่อน หวังให้มันขจัดขับไล่ความอึดอัด คับข้องในใจหายไป
“ไว้ใจฉันมั้ย?” พิจิกพึมพำเบา ๆ สายตามองไกลยังปลายขอบฟ้า
“แกล่ะ...ไว้ใจฉันหรือเปล่า...” เมษาพูดเสียงไม่ดังกว่ากัน คล้ายรำพึงกับตนเอง
วาจาหลุดออกมาความหมายไม่ผิดแผกกัน...เสียงที่กังวานในใจยิ่งไม่แตกต่าง
คำพูดแท้จริงที่อยากถามอีกฝ่ายก็คือ...
“ถ้าฉันพลาด...แกจะให้อภัยได้มั้ย?”
การถอนยันต์ สลายอาคมยาสั่งปู่ทั้งสองเป็นเรื่องยาก แทบสุดกำลังพวกตน ต่อให้เข้าใจวิธีการ รู้มนตราสลายอาคม แต่ความสามารถเพียงลำพัง ยากหวังผลสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์
ทว่า...งานนี้พลาดไม่ได้ ต้องสำเร็จเท่านั้น!
แรงกดดันในใจขณะนี้ ขับสลายยากพอกับอาคมยาสั่งของผู้ทรงเวทในเงาทีเดียว
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|