ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

เมื่อเกิดวิจิกิจฉาในขณะนั่งสมาธิ ควรทำอย่างไร



ถาม – ระหว่างที่ดิฉันนั่งสมาธิ ขณะที่นึกถึงเรื่องไม่ถูกใจ
รู้สึกว่ามีความอึดอัดคัดแน่นกลางอก
แต่รู้สึกว่าความอึดอัดนั้นครึ่งหนึ่งอยู่ในกายเนื้อ แต่อีกครึ่งหนึ่งอยู่นอกตัว
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร จะเป็นเพราะสมาธิน้อยเกินไปหรือเปล่า
แบบนี้ควรจะทำอย่างไรคะ



เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตอนอยู่ในสมาธินะ
สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่รายละเอียด ไม่ใช่ความถูกความผิด
ไม่ใช่ความรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแบบที่อธิบายกันได้
อันนี้ข้างนอกอันนี้ข้างใน อันนั้นเกิดขึ้นที่จิต
อันนั้นเกิดขึ้นที่กาย ตรงจุดไหนอะไรต่างๆ นะ
เราไม่ได้ต้องการความรู้นะ โดยเฉพาะช่วงแรกๆ
เราได้สมาธิเสียก่อน มีความนิ่งเสียก่อน มีความตั้งมั่นเสียก่อน
แล้วค่อยไปพัฒนาต่อยอดเป็นความรู้ซึ่งเรียกว่าวิปัสสนาในภายหลัง



ช่วงแรกๆ ถ้าหากว่ายังมีความเป๋ออกจากโฟกัสของสมาธิ
อาการเป๋นั้นน่ะไม่ว่าจะเกิดจากคำถามแบบไหนก็แล้วแต่
ให้ตีค่าเป็นวิจิกิจฉาหรือความลังเลสงสัยเสียให้หมด

วิจิกิจฉานี่ก็เป็นหนึ่งในนิวรณ์
นิวรณ์ก็แปลว่าอุปสรรคเครื่องถ่วงความเจริญ
แทนที่เราจะเจริญสติรุดหน้าไปเรื่อยๆ
ถ้าหากว่ามีนิวรณ์แล้วก็จะถูกขวาง ถูกกั้นไว้ถูกกางไว้ ไม่ให้ไปไหนไม่ให้ก้าวต่อนะครับ
เหมือนอย่างนี้ถ้าเราเกิดความรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมา มีความอึดอัดขึ้นมา
แล้วเราไปสงสัยไปแยกแยะ เอ๊ มันข้างในหรือข้างนอก ความรู้สึกมันจำแนกไม่ถูก
แบบนี้แทนที่เราจะเห็นภาวะที่ควรจะเห็น
กลับกลายไปเป็นสงสัยภาวะที่ไม่ควรสงสัย



คือจิตนี่ถ้ายังไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิจริงนะ มันแยกแยะอะไรไม่ออกหรอก
ตรงไหนอยู่ในกายตรงไหนอยู่ในจิต ตรงไหนเป็นข้างนอกตรงไหนเป็นข้างใน
มิติของจิตนี่ยังคลุมเครืออยู่ มันยังครึ่งๆ กลางๆ ลูกผีลูกคนนะ
ระหว่างจิตที่มันคิดๆ นึกๆ กับจิตที่เริ่มรู้บ้างแล้ว
ทางที่ดีที่สุดคือเราตั้งไว้ล่วงหน้า ตั้งไว้ในใจกำหนดรู้ว่า
ทำไว้ในใจล่วงหน้า มีโยนิโสมนสิการไว้ล่วงหน้าว่า
ระหว่างอยู่ในสมาธิ ระหว่างฝึกสมาธิ สิ่งที่เราต้องการคือโฟกัสเดียว
ถ้าหากว่าเรามีหลายโฟกัส จิตใจจะซัดส่าย
มีความกระสับกระส่าย มีความลังเลสงสัยไม่สิ้นสุด ทำไว้ในใจแบบนี้



เวลาที่พระพุทธเจ้าท่านให้ดู สภาวะง่ายๆ
ที่จะปรากฏให้นักทำสมาธิมือใหม่ได้ดูก่อนเป็นอันดับแรกๆ
ก็คือนิยามไปเลยว่าในขณะนั้นเรากำลังเป็นสุขหรือว่าเป็นทุกข์
กำลังอึดอัดหรือว่ากำลังสบาย กำลังปลอดโปร่งหรือว่ากำลังทึบตันนั่นเอง
ตัวเวทนานั่นน่ะนะ ก็คือความรู้สึกทั้งหมดที่กำลังปรากฏอยู่จังๆ เลย
ถ้านิยามไม่ถูกว่าตอนนี้กำลังเป็นสุขหรือเป็นทุกข์อยู่
ก็เอาลักษณะของความทุกข์ความสุขนั่นแหละ
ไม่ว่ามันจะมาในรูปของความกระสับกระส่าย
กระวนกระวาย ทึบตัน หนักอก อึดอัด รุ่มร้อน
ลักษณะที่มันปรากฏชัดๆของความทุกข์นั้นน่ะ
ให้เราดู และนิยามไปคำเดียวสั้นๆ ว่าเป็นทุกข์


ถ้ามันอยู่ข้างนอกหรือข้างในนะ
มันหลอกล่อด้วยอาการประหลาดพิสดารเป็นปรากฏการณ์ที่แปลก
แล้วมันเหมือนกับว่าถ้าเรามีความรู้ที่กระจ่าง อธิบายได้อธิบายถูก
ว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่าอะไรแล้ว
นึกว่ามันเป็นความฉลาด อันนั้นแหละผิดทาง



ขั้นแรกๆ เราต้องมีความสามารถที่จะรู้ให้ได้จริงๆ ก่อน
ว่าลักษณะที่กำลังปรากฏนั้นน่ะเกิดขึ้นไม่นานแล้วมันก็จะหายไปให้ดู

ตัวนี้สำคัญมาก ถ้าหากว่าเราไม่ถูกเทรน หรือไม่เทรนตัวเอง
ให้เห็นความสำคัญของอนิจจังเป็นอันดับแรก
ไปเซทค่าไพรออริตี (
priority) ผิด ความเจริญของสติจะเกิดยากมาก
โอกาสที่จะหลงเขวไปกลายเป็นคิดมากระหว่างทำสมาธินี่จะสูงเลย
แล้วคนนะทำสมาธิกันไม่สำเร็จก็เพราะเครื่องล่ออะไรแบบนี้แหละ
พอมีเหยื่อล่อมา มีปรากฏการณ์ทางใจแปลกๆ ประหลาดๆ ไม่เคยเจอมาก่อนในระหว่างวัน
ก็เกิดความลังเลสงสัยหรือไม่ก็เกิดความติดใจ
อยากค้นคว้า อยากหาข้อมูล อยากบัญญัติเป็นศัพท์ออกมาให้ชัดๆ
ว่าอย่างนี้เขาเรียกอะไร เรามาถึงขั้นไหนแล้ว
เอ มันจะถูกหรือผิดถ้าหากว่าเราไม่รู้ให้ชัดว่านี่มันข้างนอกหรือข้างใน


บางทีนะปรากฏการณ์ทางใจ
อธิบายให้ตายก็สื่อกันไม่รู้เรื่อง ถ้าไม่มีประสบการณ์ตรงกัน
แต่ว่าประสบการณ์ที่เราจะสามารถจูนกันติดได้
แล้วตรงกันกับแนวทางของพระพุทธเจ้าแน่ๆ
ก็คือปรากฏการณ์นั้นจะพิลึกพิลั่นพิสดารแค่ไหนก็ตาม
เราดูโดยความเป็นของไม่เที่ยงเอาไว้ก่อน

ถ้าเกิดความอึดอัดขึ้นมาจะแปลกแค่ไหน จะข้างนอกหรือข้างใน
จะให้ความรู้สึกว่ามันเป็นตัวเราหรือไม่เป็นตัวเราก็แล้วแต่
หากเราไปวิเคราะห์ไปค้นคว้าเข้าแล้วนะ
จิตมันเข้าไปยึดโดยไม่รู้ตัวเลย แล้วเมื่อไหร่ที่จิตเข้าไปยึด
กระโดดเข้าไปเกาะ กระโดดเข้าไปมีส่วนร่วม
มันจะเกิดอุปาทานขึ้นมาทันที มันจะนึกว่านี่เป็นตัวเรา
มันจะนึกว่าอาการนั้นๆ มีตัวตนขึ้นมาทันที
น่าสงสัยน่าสนใจหรือว่าน่าไขว่คว้าเอาโดยไม่รู้ตัว
คือเราจะรังเกียจมันหรือว่าชอบมันก็แล้วแต่นะ
อาการยึดของใจนี่มันจะทำให้รู้สึกว่า
ความทุกข์แบบนั้นๆ ความอึดอัดแบบนั้นๆ
หรือว่าปรากฏการณ์ทางใจแบบนั้นๆ เป็นตัวเรา



แต่เมื่อไหร่ที่เราตั้งเป้าไว้ถูกล่วงหน้า ทำโยนิโสมนสิการ
คือมีการทำไว้ในใจโดยแยบคายว่า
ทุกข์สักแต่เป็นทุกข์ ความอึดอัดสักแต่เป็นความอึดอัด
เราสนใจแค่ว่าเห็นความอึดอัดมันเกิดขึ้น
แล้วเมื่อเห็นด้วยใจที่มันสบายๆ ใจที่มันไม่ค้นคว้า ใจที่มันไม่สงสัยอะไรมาก
มันก็จะเกิดการคลี่คลายหายไปให้ดู



จำไว้ว่าหลักการง่ายๆ เลยนะ โดยเฉพาะในขณะนั่งสมาธิ
เราเห็นอะไร เรารู้อะไรอย่างถูกต้อง มันจะหายไปให้ดู

แต่ถ้าอะไรมันเกิดขึ้นแล้วเราเห็นมันไม่ถูก
มันจะกลายเป็นก้อนตัวก้อนตน มันจะกลายเป็นก้อนอัตตาขึ้นมาให้ยึดทันที
เพราะความเคยชินของจิตที่มีมาชั่วกัปชั่วกัลป์
ก็คืออะไรเกิดมันยึดทันทีนะ เกิดปุ๊บยึดปั๊บ
ที่เรามาฝึกกันก็เพื่อที่จะให้เกิดปุ๊บเห็นปั๊บว่ามันไม่เที่ยง
หรือมันมาตามปัจจัย แล้วหายไปเมื่อปัจจัยหมด
ตรงนี้ขอให้แม่นนะ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP