วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๔๒



Tao Nam Kang - front re

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ขณะที่โดมนั่งกอดเข่ารอแม่อยู่หน้าห้อง เขาไม่อาจรู้เลยว่ายังมีอีกคน นั่งรออยู่ไม่ห่างกันด้วยใจเป็นห่วง เธอผู้นั้นไม่กล้าเข้ามาหา เพราะจากสายตาและภาพที่เห็น โดมดูคล้ายแก้วบางที่พร้อมจะปริร้าว แตกสลายได้ทุกเมื่อ

            ลานน้ำค้างไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่กล้ากระทบถูก กลัวพลาดพลั้ง ทำได้เพียงนั่งอยู่ห่าง ๆ คอยให้กำลังใจ และภาวนาร่วมกับเขา ขอให้มาตาปลอดภัย

            จนสุดท้าย...ความหวังดับสูญ หมอนภัทรเดินเข้ามาบอกลูกชายด้วยสีหน้าสงบ แววตาเห็นใจ โดมเดินเข้าห้องเหมือนคนไม่มีวิญญาณ ลานน้ำค้างจึงค่อยกล้าเดินตาม หมอนภัทรเห็นหล่อนก็พยักหน้า เป็นเชิงฝากลูกชาย
    
            คนเป็นพ่อย่อมรู้...เวลานี้...ตนเองไม่สามารถประคับประคองช่วยอะไรลูกชายได้เลย โดมจำเป็นต้องเผชิญความจริงด้วยตัวเอง ด้วยสองขาและหนึ่งใจที่กล้าเจ็บปวด

            หากจะมีใครยืนข้าง ๆ เขาได้ ก็อาจเป็นผู้หญิงคนนี้

            ลานน้ำค้างเห็นโดมทรุดตัวอยู่ข้างเตียงมาตา มือจับมือมารดาไว้ไม่ยอมปล่อย หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้โดยไม่กล้าพูดอะไร กลัววาจาตนจะไปเพิ่มริ้วรอยบาดแผลให้แก่ใจที่กำลังสูญเสีย

            สิ่งเดียวที่ลานน้ำค้างทำได้คือยืนดูสองแม่ลูก...ระยะห่างไม่เกินสองก้าว เห็นทุกอย่างชัดเจน แต่เหมือนว่า ตนเองกับโดมกำลังอยู่กันคนละโลก

            โดมจมอยู่ในความเศร้า โลกมืด โอบคลุมด้วยม่านความเจ็บปวด เสียใจ มองอะไรไม่เห็น แม้คนที่ยืนห่างกันแค่ชั่วมือเอื้อมถึง

            ลานน้ำค้างยืนดูในโลกความเป็นจริง เป็นคนนอกที่กำลังมองคนเป็น และคนตาย

            ความตาย...เป็นเช่นนี้เอง คนตาย...มีลักษณะเช่นนี้เอง

             ร่างที่หมดลมหายใจ เหลือเพียงธาตุดินธาตุน้ำประคองกันอย่างหลวม ๆ รอเวลาแยกคืนธาตุเดิมของตน ผู้หญิงสวยขนาดมาตาในเวลานี้ ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็จะเน่า อืด ไม่มีใครกล้ามอง

            ถ้าเช่นนั้น เด็กหนุ่มหล่อเหลาเช่นโดมในวันนี้ สักวันหนึ่งข้างหน้าก็ต้องทอดกายเป็นซากศพเช่นกัน อย่างไรเสียก็หนีไม่พ้น...วันนี้อยู่...พรุ่งนี้อาจตาย...ทุกคนในโลกล้วนยืนอยู่บนความไม่แน่นอน

            ชีวิต ร่างกาย เลือดเนื้อ มีอะไรเป็นของจริง...หมดลมหายใจ ธาตุไฟก็ดับ ธาตุดิน ธาตุน้ำแยกย้าย เป็นฝุ่นธุลี เป็นไออากาศ สุดท้ายไม่มีอะไรเหลือ

            มาจากความไม่มีอะไร...กลับไปสู่ความไม่มีอะไร

             มนุษย์เรา...แท้จริงไม่มีอะไร...ไม่มีอะไรเลย

            ความเข้าใจปรากฏชัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เข้าใจโดยไม่จำเป็นต้องพยายามครุ่นคิด ค้นคว้า เพียงแค่มองเห็น และยอมรับมัน ตามความเป็นจริง!



            โดมเริ่มรู้สึกตัว...มีใครบางคนอยู่ใกล้ ๆ เหลียวหน้าหันกลับไป พบลานน้ำค้างยืนมองอยู่ไม่ห่าง ดวงตาปลอบประโลม เข้าใจ... หล่อนไม่ทำอะไร ไม่เข้ามาใกล้เกินไป ไม่พูดจาปลอบโยน เหมือนรู้จิตใจเขายามนี้...ว่าไม่มีวาจา การกระทำใดจะมาช่วยถอนพิษความทุกข์เศร้า เสียใจออกมาได้

            เด็กหนุ่มยันกายลุกขึ้น วางมือแม่ไว้ใต้ผ้าห่มดังเดิม ดวงตาแห้งผาก ไม่มีน้ำตาสักหยด หันมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่เขาคิดถึงเหลือเกิน แต่ไม่อยากเจอเธอในเวลานี้

            “ลาน...” โดมเอ่ยปาก ออกเสียงอย่างลำบาก “ออกไปก่อน...ได้ไหม...”

            ลานน้ำค้างพยักหน้า เข้าใจ

            “อืม...ได้สิ...ถ้าโดมต้องการอย่างนั้น” หญิงสาวตอบเขาด้วยวาจา แววตาเข้าใจจริง

            โดมเห็นหล่อนขยับกายจะหันหลังกลับ หัวใจวิบวับแทบขาดรอน ใจหนึ่งอยากให้เธออยู่ใกล้ อีกใจก็ไม่อยากพบใคร...ไม่อยากให้ใครมาเห็นเขาเวลานี้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่เป็นเจ้าของหัวใจ

            “ลาน...” เขาหลุดเสียงเรียกอย่างไม่ตั้งใจ ลานน้ำค้างชะงัก หันกลับมา

            “ถ้าผม...” เด็กหนุ่มเรียบเรียงคำพูดแสนยากเย็น “ถ้าผมไม่โทรหา...ถ้าผมปิดโทรศัพท์...ถ้าผมไม่ติดต่อคุณสักระยะ...”

            คำพูดสุดท้ายคล้ายเป็นการขออภัย

            “อย่า...อย่าโกรธผมได้มั้ย” ดวงตาเขาฉายแววเว้าวอน...ขอร้อง...ขอให้เข้าใจ

            “ไม่โกรธ” ลานน้ำค้างยืนยันหนักแน่น “พี่จะรอ...เมื่อโดมพร้อม”

            หญิงสาวยิ้มอย่างเข้าใจ คำพูดมากกว่านี้ไม่มีความหมาย ขอเพียงรู้ ยอมเข้าใจ...ผู้ชายอย่างโดม ไม่มีวันยอมให้ใครเห็นน้ำตา ไม่มีวันยอมให้คนที่ตนเองรัก เห็นสภาพความอ่อนแอของเขา...

            เมื่อยามเป็นทุกข์หนัก...เขาไม่ให้ใครรับรู้ จะหลบเร้นรักษาตัวเองอย่างเดียวดาย...รอจนเมื่อใดแข็งแรงพอ เขาจะเดินมาหาเธอเอง

            ลานน้ำค้างรู้...ไม่เร่งเร้า ไม่เสียเวลาปลอบโยนอย่างไร้ประโยชน์ แต่ละคนมีความคิดไม่เหมือนกัน แต่ละคนย่อมมีวิธีจัดการความทุกข์แตกต่างกันไป...หล่อนยอมรับ และให้เกียรติทุกคน ดำเนินไปในเส้นทางแก้ไขความทุกข์ของตน โดยไม่เอาความคิดของหล่อนไปชี้นำ

            โดมรู้...ผู้หญิงตรงหน้าเข้าใจเขา เข้าใจจนกล้าที่จะถอยหลัง ไม่รุกมาข้างหน้าอย่างคนที่เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่...คิดอยากช่วยเหลือ ปลอบใจ โดยไม่รู้ว่าผู้รับต้องการหรือไม่...

            สองสายตาสบกัน ก่อนหญิงสาวจะหันหลังกลับ และเดินออกจากห้อง...

            ช่วงเวลานั้น โดมไม่อาจหยุดตัวเองได้ เขาก้าวตามลานน้ำค้าง เพียงสามสี่ก้าวก็ทัน และโอบกอดหล่อนไว้จากด้านหลัง วงแขนกระชับแน่น แผ่นหลังหล่อนปะทะหน้าอกเขา กลิ่นหอมอ่อน ๆ รอยอุ่นจากใจสัมผัสถึงใจชัดเจน



             ใจดวงหนึ่งเคว้งคว้าง...โหยหา

             ใจอีกดวงอบอุ่น...พร้อมเผื่อแผ่ด้วยความรัก และเมตตา



            ใบหน้าโดมซุกบนบ่าบอบบางของหญิงสาว คำพูดหลุดมาแผ่วเบา ไม่ยืดยาว

            “ขอร้อง...อย่าหนี...อย่าพูดอะไร...ผมขอเวลา...นิดเดียว”

            ลานน้ำค้างไม่คิดจะพูด ไม่คิดขัดขืน สายใยความสัมพันธ์อันอบอุ่นโอบกระหวัดหัวใจสองดวงอย่างอ่อนโยน เนิบช้า หญิงสาวยืนเป็นหลัก ปล่อยเวลาให้ผ่านไปช้า ๆ ไม่เร่งร้อน แม้หลักนี้จะไม่แข็งแรง มั่นคง แต่มันก็เป็นหลักที่พร้อมให้ความร่มเย็นอย่างเต็มใจ ตราบเท่าที่ยังมีเรี่ยวแรงกำลัง


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            รถยนต์ของเลียบเมืองขับออกนอกกรุงเทพฯ โดยมีลานน้ำค้างเป็นผู้โดยสารคนเดียว ที่น่าแปลกคือวันนี้เจ้าหล่อนพูดจาน้อยคำ เหมือนมีภาระทางใจบางอย่างติดมาด้วย ชายหนุ่มร่วมทางรู้สึกแปลกใจ แต่ไม่ซักถาม ใช้วิธีเปิดวิทยุในรถฟังเพลงกล่อมบรรยากาศแทน

            สถานีวิทยุส่วนใหญ่จะมีรายการเพลง หากสุ่มเปิดตามสถานีต่าง ๆ มักได้ยินเสียงเพลงเจื้อยแจ้วหลากหลายแนว น่าแปลกที่วันนี้เปิดไปสถานีไหนก็เจอเพลงของมาตา ฟังไปฟังมาจนได้คำตอบ



            “ทางรายการของเรา ต้องขอแสดงความเสียใจกับการจากไปของคุณมาตาด้วยครับ”
   
             “นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการเพลงบ้านเราเลยทีเดียว”

            “แรงอธิษฐาน คำภาวนาของพวกเราไม่สัมฤทธิ์ผล...”

            “ถึงอย่างไร ก็ขอให้ดวงวิญญาณของมาตา ไปสู่สุขคติในสัมปรายภพด้วยครับ”



            ลานน้ำค้างได้ยินทุกถ้อยคำ ได้ฟังทุกเพลงของมาตาที่เปิดทางสถานีวิทยุ หดหู่ใจบอกไม่ถูก คิดถึงใบหน้าของโดม นึกถึงน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับหมดเรี่ยวแรงของเขา และสัมผัสสุดท้ายก่อนลา บอกให้รู้ว่าเขาอ่อนแอแค่ไหน...แต่หล่อนไม่สามารถช่วยอะไรได้มากกว่านี้เลย

            “ท่าจะเป็นข่าวใหญ่นะครับ...มาตานี่เป็นนักร้องชื่อดังเลยทีเดียว” เลียบเมืองเอ่ยปากชวนคุย

            “คะ” ลานน้ำค้างขานรับ เพิ่งรู้สึกตัว

            “ใจลอยไปถึงไหน” เขาหันมายิ้มล้อเลียน “ผมบอกว่า ข่าวการตายของมาตานี่ คงเป็นข่าวใหญ่ไปอีกหลายวันเลย ลานเคยฟังเพลงของเขามั้ย”

            “เคยค่ะ” หล่อนเลือกตอบคำถามท้าย

            “วันนี้มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” ชายหนุ่มถาม

            “ก็...มีบ้างค่ะ” หญิงสาวไม่ปิดบัง

            “มิน่า...ผมเห็นลานเงียบตั้งแต่ขึ้นรถมาแล้ว...จะถามจะชวนคุยเลยไม่กล้า...”

            ได้ยินเลียบเมืองพูดอย่างนี้ นึกได้ว่าเขาอยากถาม อยากคุยเรื่องอะไร...เมื่อวานหล่อนบอกเขาเองว่ามีข้อมูลพิเศษเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องของปันปัน ซึ่งก็คือจดหมาย ภาพถ่ายของคุณกาญจนาตอนสาว ที่ส่งมาให้คุณสันติ

            ของทั้งหมดอยู่ในกระเป๋า ตอนเช้าเพิ่งกลับจากโรงพยาบาลมัวแต่เร่งรีบ ลานน้ำค้างยังหาจังหวะให้เขาไม่ได้ พอนั่งรถก็มัวใจลอยตลอดทาง คิดถึงเป็นห่วงผู้ชายอีกคน จนลืมคนนั่งข้าง ๆ ไป
        
            “ขอโทษจริง ๆ ค่ะ” ลานน้ำค้างพูดอย่างรู้สึกจริง “พอดีเมื่อคืน เจอเรื่องน่าเศร้า ที่เราไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย”

            “เกี่ยวกับน้อง...คนที่ลานไปให้กำลังใจเขาหรือเปล่า” เลียบเมืองยังจำเรื่องนี้ได้

            “ใช่ค่ะ...แม่ของเขาเพิ่งเสียเมื่อคืน ทั้งที่พวกเราก็พยายามช่วยอธิษฐาน ส่งกำลังใจกันอย่างเต็มที่แล้ว...แต่เธอก็ไปอยู่ดี...” คำพูดลานน้ำค้างไม่อาจปกปิดความหดหู่ เสียใจ

            “ความตาย...เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ขอร้องยังไงก็ไม่ยอมจริง ๆ นะ” เลียบเมืองพูดจากประสบการณ์ตรงที่เพิ่งสูญเสียมารดาเช่นกัน

            “ค่ะ...” ลานน้ำค้างนึกได้ว่าเขาก็มีประสบการณ์ตรงนี้เช่นกัน จึงไม่รู้จะพูดต่ออย่างไรดี

            เสียงเพลงของมาตา เข้ามาคั่นกลางความเงียบสั้น ๆ ระหว่างคนสองคน

            “ที่จริง ผมควรจะไปงานศพคุณมาตาเหมือนกันนะ...” เลียบเมืองพูดอย่างรู้ว่าหล่อนคงเข้าใจ...เรื่องที่คุณหญิงรัดเกล้ากับมาตาประสบอุบัติเหตุในรถคันเดียวกัน “ผมก็แย่จริง ๆ มัวแต่ยุ่ง ๆ เรื่องทางนี้ ไม่เคยแวะไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลสักที พอได้ข่าว...เธอก็เสียชีวิตไปแล้ว”

            ลานน้ำค้างรู้ว่าเขาพูดอย่างนี้ เพื่อไม่ให้หล่อนรู้สึกผิด ที่เอ่ยเรื่องความตายขึ้นมา

            “ลานต้องขอโทษนะคะ ที่พูดเรื่องนี้ ให้คุณปอนเสียใจ” คำพูดจากความรู้สึกผิดจริง ๆ

            “ไม่หรอกครับ” ชายหนุ่มตอบโดยไม่เสแสร้ง “ตอนนี้ความเสียใจในเรื่องของแม่ มันน้อยลงไปแล้ว...จะมีก็แต่...ความคิดถึง...ผมเชื่อว่า ‘เวลา’ จะรักษาความทุกข์ ความเศร้าใจได้”

            “หรือบางที ‘ความทุกข์’ มันก็จะจางหายไปเอง เมื่อเวลาผ่านไป” ลานน้ำค้างพูดจากอีกมุมมอง “เพราะความทุกข์ มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป เหมือนกับความสุข...และทุกสิ่งในโลก”

            คำพูดนี้กระทบใจคนเพิ่งผ่านความทุกข์หนักอย่างเช่นเลียบเมืองเต็มแรง

            “จริงสิ” เขาเข้าใจทันที เมื่อมองเห็นความจริงในใจ ตรงกับคำพูดหญิงสาว “ผมเพิ่งเห็นความทุกข์ในใจมันเปลี่ยนแปลงได้ก็ตอนลานพูดนี่เอง”

            ลานน้ำค้างยิ้ม...มองเห็นความทุกข์ ความหดหู่ในใจตนค่อยสลายลงไปเช่นกัน มีความสุข ความเบิกบานใจเคลื่อนมาแทนที่...บางทีมันน่าจะมาตั้งนานแล้ว ถ้าหล่อนไม่มัวหวงทุกข์ ครุ่นคิดซ้ำซาก รักษามันเอาไว้

            “อีกไกลมั้ยคะ กว่าจะถึง” ลานน้ำค้างถาม ตั้งใจเปลี่ยนเรื่องสนทนา

            “อีกไม่ไกลหรอกครับ ผมว่าจะพาคุณไปกินข้าวกลางวันก่อน แล้วค่อยไปบ้านคุณกาญจนา” ถึงตอนนี้ เลียบเมืองก็ยังไม่สะดวกปากที่จะเรียกว่ายายของปันปัน

            “ก็ดีค่ะ” ลานน้ำค้างพยักหน้า “ลานจะได้เอาของบางอย่างให้คุณดู”

            ถึงตอนนี้เลียบเมืองไม่ถามเซ้าซี้ว่าของสิ่งนั้นคืออะไร...อีกไม่เกินชั่วโมงลานน้ำค้างย่อมนำมาให้ดูเอง


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เลียบเมืองให้ลานน้ำค้างเป็นคนเลือกร้านอาหารกลางวัน หญิงสาวไม่ได้บอกปัด เลือกร้านอาหารตามสั่งริมถนนใกล้ ๆ ที่จอดรถสะดวก

            จากนั้นสั่งอาหารพื้น ๆ ธรรมดาแล้ว หยิบกล่องไม้ของคุณสันติยื่นให้ รอดูปฏิกิริยาจากชายหนุ่ม

            กล่องถูกเปิด ภาพถ่าย จดหมายวางรอให้คลี่อ่าน อาหารถูกนำมาเสิร์ฟรวดเร็ว แต่ไร้คนสนใจ เลียบเมืองดูรูปคุณกาญจนาตอนสมัยสาว ๆ พลิกอ่านลายเซ็น ข้อความด้านหลังแล้วก็อึ้ง หยิบจดหมายเปิดอ่านทีละฉบับ ไม่ตั้งใจอ่านทั้งหมด แต่มันก็ถูกหยิบมาดูจนครบ

            รูปและจดหมายถูกเก็บใส่กล่องคืนดังเดิม เลียบเมืองมองหญิงสาวด้วยแววตาคำถาม

            “ลานไปได้ของพวกนี้มาจากไหน”

            “จากห้องเก็บของในบริษัทค่ะ” ลานน้ำค้างเตรียมคำตอบไว้แล้ว

            “ได้มานานหรือยัง”

            “ไม่นานค่ะ” ตอบง่าย ๆ และอธิบายเพิ่มเติมอีกนิด “พอดีคุยกับพี่มุกเรื่องของเก่า ๆ ของคุณสันติว่ายังมีเหลืออะไรบ้าง ลานก็เลยไปดู”

            ลานน้ำค้างรู้ว่าเรื่องที่เล่ามีช่องโหว่มาก หากเลียบเมืองกลับไปถามมุกดาก็จะรู้ว่าหล่อนไม่ได้คุยเรื่อง ‘ของเก่าๆ’ แต่เจาะจงถึง ‘กล่องเก่าๆ’ เลยทีเดียว

            เลียบเมืองเงียบ ความสงสัยที่มาของกล่องใบนี้ยังมีอยู่ แต่มีความสงสัยอีกอย่างรุมเร้าใจมากกว่า

            “คุณปอนกำลังสงสัย อย่างที่ลานสงสัยหรือเปล่าคะ” ลานน้ำค้างเห็นเขาเงียบ จึงเอ่ยถามแบบโยนหินถามทาง

            “ลานคิดว่าผมสงสัยเรื่องอะไร”

            “จากรูปถ่าย จดหมายทั้งหมด บอกแน่ชัดว่าคุณกาญจนา ยายของปันปันเคยเป็นคนรักเก่าของพ่อคุณ จดหมายแต่ละฉบับพูดถึงความรักที่มีต่อกันแน่นแฟ้น แต่ต้องเจออุปสรรคมาพรากให้แยกจากกัน พ่อของคุณเก็บจดหมาย รูปถ่ายพวกนี้ไว้เหมือนเป็นสมบัติล้ำค่า แสดงว่ายังไงก็ไม่เคยลืมคุณกาญจนา...ทั้งหมดนี้อาจทำให้คุณปอนสงสัยว่า คุณปัณรสี เป็นลูกของคุณกาญจนากับพ่อของคุณใช่มั้ย!...”

            ลานน้ำค้างพูดตรงจนเลียบเมืองไม่กล้าบิดเบือนความคิด ความสงสัยในใจตนเอง

            “ในจดหมายพูดถึงแค่ความรัก ความคิดถึง ตัดพ้อชะตากรรม แต่ไม่มีการพูดเรื่องของลูก...” เลียบเมืองบอกเรียบ ๆ เหมือนย้ำกับตัวเอง “ดูจากวันที่ในจดหมายแล้ว...มันเป็นช่วงที่พ่อแม่ผมเพิ่งแต่งงานกัน แล้วปัณรสีกับผมก็น่าจะอายุไล่เลี่ยกัน...”

            เลียบเมืองถอนใจ ลานน้ำค้างหนักใจ รู้ถึงสิ่งที่ชายหนุ่มไม่กล้าพูดต่อ

            หากปัณรสีเป็นลูกคุณสันติกับคุณกาญจนาจริง ๆ ก็แสดงว่าคุณสันตินอกใจคุณหญิงรัดเกล้า!

            “อย่าเพิ่งปักใจอย่างนั้นเลยดีมั้ยคะ” ลานน้ำค้างบอก

            เลียบเมืองมองหญิงสาวอย่างสามารถสนิทใจได้ด้วย

            “ตอนที่แม่รับปันปันมา...ผมไม่รู้ประวัติของปัณรสีมากนัก ดูเหมือนเธอมีครอบครัวแตกแยก ไม่มีพ่อ...โดนผู้ชายหลอก พอตั้งท้องปันปัน เขาก็ทิ้งไม่เหลียวแล ต้องไปทำแท้ง...แม่ผมไปเจอที่คลินิกตอนตำรวจเข้าไปทลายพอดี...ปัณรสีก็พยายามจะไปทำแท้งอีก แม่ต้องเกลี้ยกล่อมเธอตั้งนาน กว่าจะยอมเก็บปันปันไว้ พอคลอดเสร็จ ยกให้แม่ผมแล้วก็ไป...”

            ชายหนุ่มหยุดพูด นัยน์ตาครุ่นคิด

            “พ่อผมรักปันปันมาก...มากกว่าทุกคนในบ้าน...จนมาถึงตอนนี้ ผมเริ่มสงสัยว่า ที่พ่อทุ่มเทความรักให้ปันปันขนาดนี้ เพื่อทดแทนให้ใครหรือเปล่า”

            พูดอย่างนี้ลานน้ำค้างก็นึกสงสัยเหมือนกัน คุณสันติเริ่มติดต่อกับหล่อนด้วยเรื่องของปันปัน เป็นห่วงผูกพันปันปันมากมายทั้งที่ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ

            ถ้าให้คิดในแง่อกุศลมันก็ดูไม่ยุติธรรมเกินไป ทางที่ดีควรถามเจ้าตัวเองน่าจะได้คำตอบมากกว่า...

            แต่...จะให้ไปถามที่ไหน ลานน้ำค้างพบคุณสันติครั้งสุดท้ายก็ในความฝัน ไม่ใช่ตอนลืมตาตื่นอย่างทุกครั้ง และต่อให้ลืมตาตื่น ก็ใช่ว่าจะเรียกให้มาพบได้ทุกครั้งที่อยากเจอเสียด้วย

            “ไม่ว่าเรื่องจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะค่ะ ตอนนี้ทั้งพ่อคุณและคุณหญิงท่านก็ไม่อยู่แล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาเสียเวลาคิดให้ปวดหัวเปล่า ๆ ลานคิดแค่ว่า ของที่เรามีอยู่นี้ น่าจะทำให้คุณกาญจนามั่นใจได้ว่าเราจะรักและเลี้ยงดูปันปันได้ดี อย่างที่คุณสันติต้องการแน่ ๆ”

            เลียบเมืองยิ้มเนือย ๆ มองกล่องไม้ในมือ รู้สึกแสลงใจเล็ก ๆ ถ้าเขากับปัณรสีเป็นพี่น้องกันจริง ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับปันปันก็จะกลายเป็นน้าหลาน หรือไม่ก็ลุงหลานกันแท้ ๆ หากคิดในแง่ดี มันน่าทำให้อีกฝ่ายเชื่อได้ว่าเขาจะรักและดูแลปันปันอย่างดีที่สุด ในฐานะสายเลือดเดียวกัน

            ถึงคิดอย่างนั้น หัวอกเลียบเมืองเหมือนมีหนามแหลมเสียดแทงลึก ๆ มันเจ็บหน่วง ๆ บอกไม่ถูก เมื่อคิดว่าครั้งหนึ่งพ่ออาจเคยนอกใจแม่ จนมีพยานรักมาถึงรุ่นหลาน...ไม่รู้ว่าเขาจะยังรักปันปันได้เหมือนเดิมหรือไม่

            ลานน้ำค้างไม่เข้าใจความรู้สึกของเลียบเมืองได้ละเอียดขนาดนั้น จึงเอ่ยปากชวนกินข้าว เตรียมตัวเดินทาง

            “รีบกินข้าวกันเถอะค่ะ จะได้รีบไปเจอคุณยายของปันปัน เผื่อเสร็จธุระเร็ว เราจะได้กลับไปรับปันปันทัน”

            เลียบเมืองยิ่งฝืดคอ กินข้าวแทบไม่ลงเมื่อได้ยินคำว่า ‘คุณยายของปันปัน’ แต่ก็ไม่ขัดใจหญิงสาว รีบไปก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยจะได้พบคำตอบที่ทำให้หายคาใจเสียที







บทที่ ๒๘



            ปันปันนั่งเล่นชิงช้าเดียวดายท่ามกลางสนามเด็กเล่นร้างผู้คน เพื่อน ๆ ต่างกลับบ้านกันหมดแล้ว ปกติจะมีคนขับรถที่บ้านมารับแม่หนูน้อยเป็นประจำ แต่วันนี้ยังไม่มา

            เลียบเมืองโทรศัพท์บอกครูประจำชั้นปันปันตั้งแต่บ่าย ว่าเขาจะมารับน้องสาวช้าสักหน่อย ฝากคุณครูช่วยดูแลด้วย ปันปันนั่งเล่นรอพี่ชายในห้องกับคุณครูนานเกินไปจนเบื่อ จึงขออนุญาตออกมาเล่นชิงช้าข้างนอก

            การเล่นชิงช้าคนเดียวโดยปราศจากเด็กคนอื่นเป็นเพื่อน ไม่มีใครมาแย่ง มันไม่ชวนให้สนุกเอาเสียเลย หนำซ้ำยังชวนให้ครุ่นคิดปรุงแต่ง จินตนาการเรื่องน่ากลัวต่าง ๆ นานา

            หนูน้อยแกว่งชิงช้าหงอย ๆ ไม่รู้จะเล่นอะไรดีไปกว่านี้ รู้สึกกลัวขึ้นมาเป็นวูบ ๆ หลงคิดว่า หากพี่ปอนไม่มารับเธอแล้วจะเกิดอะไรขึ้น จะเป็นอย่างไรถ้าปันปันต้องอยู่คนเดียว ในสถานที่แปลกหน้าโดยไม่มีพี่ชายที่คุ้นเคย

            แค่คิดเท่านั้น ใจดวงน้อยก็หวั่นไหว หวาดกลัวแทบร้องไห้ หยุดแกว่งชิงช้า นั่งนิ่ง ๆ พยายามมองหาใครสักคนเป็นเพื่อน แต่ไม่มีใคร...ไม่มีทั้งผู้คน...ไม่มีทั้ง ‘ไม่ใช่คน’

            ปันปันตัดสินใจกลับไปหาคุณครูที่ห้อง อย่างน้อยก็พออุ่นใจบ้างว่าไม่ได้อยู่คนเดียว...

            ลงจากชิงช้า เตรียมวิ่งตื้อไปยังห้องพักครู ก็เห็นพี่ปอนเดินมารับ ร่างสูงดูโดดเด่น ใบหน้ามีรอยยิ้มสว่าง ชวนให้รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย เด็กหญิงเปลี่ยนเส้นทางเป็นวิ่งจี๋กางแขนร่าเข้าไปหาพี่ชายอย่างดีใจ

            “พี่ปอน...พี่ปอน” เสียงร้องเรียกมาก่อนตัว

            เลียบเมืองย่อตัวโอบร่างน้อยไว้ในอ้อมแขน กอดปันปันเสียแน่น กระทั่งเจ้าตัวเล็กต้องร้องอุทธรณ์

            “โอ๊ย...พี่ปอนกอดแรงจัง...ปันปันอึดอัด”

            ชายหนุ่มหัวเราะสดใส ดวงตาทอประกายความสุข คลายวงแขนให้หลวมแล้วหอมสองแก้มข้างละฟอดใหญ่ ปันปันหัวเราะกิ๊กกั๊ก จั๊กจี้กับไรหนวดเคราเขียว ๆ

            “ไหน หอมแก้มพี่สิ” เลียบเมืองเอียงแก้ม บอกเจ้าตัวน้อย

            ปันปันแกล้งทำหน้าบึ้ง มึนตึง

            “ไม่หอม...พี่ปอนมารับปันปันช้า...เค้าไม่หอมให้หรอก”

            คนตัวใหญ่กว่าหัวเราะขัน กลับเป็นฝ่ายแกล้งหอมแก้มเจ้าตัวเล็กแทน แถมยังกอดรัดเสียแน่น หยอกเอินให้เจ้าวายร้ายได้บ่น

            ภาพของชายหนุ่มที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเด็กหญิงตัวน้อยปรากฏในสายตาลานน้ำค้าง รอยยิ้มบาง ๆ แตะที่ริมฝีปาก มันเป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกชื่นชม ยินดีไปด้วย...หล่อนรู้ว่าเลียบเมืองกำลังดีใจ...ดีใจอย่างยิ่ง...ความสุข ความดีใจเหล่านั้น จึงนำมามอบแก่ปันปัน

            ลานน้ำค้างอดคิดไม่ได้ว่า...ภาพที่เห็น...ไม่ใช่แค่การแสดงความรักฉันท์พี่ชายน้องสาว แต่มันเป็นการแสดงความรักอย่างบริสุทธิ์ หนักแน่นเช่นพ่อมีต่อลูกสาวผู้เป็นที่รัก...

            ความรัก ความผูกพันที่เลียบเมืองมีต่อปันปันลึกซึ้ง แน่นแฟ้นกว่าเดิม...ตั้งแต่ได้พบคุณกาญจนา ยายของปันปัน...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP