วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๑๐



Tao Nam Kang - front re

 
ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            โดมกำลังเตรียมย้ายของออกจากบ้านบูรพา สองสามวันที่ผ่านมาเขาได้พักผ่อนเต็มที่ ร่างกายฟื้นตัวเร็วจนนึกเกรงใจเจ้าของบ้าน ไม่อยากรบกวนนานกว่านี้

            เสื้อผ้า สมบัติส่วนตัวแทบไม่มีอะไร เก็บ ๆ ยัด ๆ ไม่เท่าไหร่ก็เสร็จ เหลือแค่บอกลาเจ้าของบ้านเท่านั้น

            เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขาเหลือบมองหมายเลขปลายสาย เกิดความลังเลใจชั่วครู่ ก่อนตัดสินใจรับ แน่ใจว่าผู้โทรต้องไม่ยอมแพ้ โทรมาซ้ำ ๆ จนกว่าเขาจะยอมคุยด้วย

            “ครับ” เสียงรับสายนิ่ง ไม่บ่งบอกความรู้สึก

            เสียงจากปลายสายบอกความโล่งใจแกมฉุนเฉียว

            “ผมสบายดี” โดมตอบสั้น ๆ เมื่อได้รับคำถามแรก มองดูรอยฟกช้ำบนร่างกายก่อนคิดหยัน ๆ ...นี่แหละ สบายดีในแบบของเขา...

            ปลายสายตั้งคำถามมาอีก

            โดมถอนใจก่อนตอบ

            “ผมไม่อยากออกไป...”

            เสียงปลายสายอ่อนลง พยายามชักชวน โน้มน้าวใจ

            “ผมไม่ได้เป็นอะไร แค่ไม่อยากไป...พบ...เท่านั้น”

            ปลายสายพูดยืดยาว มีเสียงคล้ายสะอื้นปะปน ทำให้ดวงตาผู้ฟังอ่อนลง

            “ครับ” คำตอบสั้นจำใจ

            เพียงเท่านี้เสียงของอีกฝ่ายก็ดีขึ้น

            “มีธุระเท่านี้ใช่มั้ยครับ” เขาถามเป็นการตัดบทสนทนา

            ฝ่ายนั้นมีน้ำเสียงตัดพ้อ พยายามพูดคุยต่ออีกยืดยาว...โดมแค่ถือหูโทรศัพท์รับฟังโดยไม่ปริปาก...ไม่แม้แต่จะกดโทรศัพท์ตัดสาย ครู่ใหญ่กว่าฝ่ายนั้นจะวางหู เด็กหนุ่มวางโทรศัพท์ แววตาอ้างว้างเจ็บปวดปรากฏขึ้นชั่วขณะ

            เอนหลังพิงพนักโซฟา ดวงตาคู่สวยปิดลง ลมหายใจหนัก ล้า หัวใจเหมือนไขว่คว้าหาสิ่งบางอย่าง...บางอย่าง ที่กระทั่งตนเองยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร...

            รู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์แล่นมาจอดหน้าบ้าน ยันตัวลุกขึ้น หันไปมองนอกหน้าต่าง...รถของลุงคงเดช พ่อบูรพา นึกแปลกใจที่วันนี้มาเร็ว ปกติจะกลับช้ากว่าลูกชาย

            “ไอ้บูล่ะ” ลุงคงเดชถาม น้ำเสียงเป็นกันเอง คุ้นเคยกว่าเดิม

            “ไม่อยู่ครับ” โดมตอบแบบไม่ให้รายละเอียด อีกฝ่ายก็ไม่เซ้าซี้ถามว่าลูกชายไปไหน

            บ้านนี้อยู่กับแบบบุฟเฟต์ ตัวใครตัวมัน ถึงอย่างนั้นโดมก็สังเกตเห็นสายใยความผูกพัน ที่โยงใยเชื่อมหากันโดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดจา

            ลุงคงเดชเข้าไปในห้องชั่วครู่ ก่อนออกมาพร้อมกระเป๋าเดินทาง

            “บอกไอ้บูมันทีนะ ว่าพ่อมันไปทำงานแล้ว เดือนหน้าถึงจะกลับ” คำบอกกล่าวง่ายดาย ไม่ต่างจากคนในครอบครัวเดียวกัน

            “ครับ...งั้นผมก็ต้องขอลาคุณลุงเหมือนกัน” โดมหยุดพูดนิดหนึ่ง ดูปฏิกิริยาฝ่ายตรงข้าม... “ขอบคุณมากครับที่ไว้ใจ ให้ผมพักอยู่ที่นี่ตั้งหลายวัน”

            เด็กหนุ่มคิดว่าลุงคงเดชได้ยินแล้วจะโล่งใจ ที่แขกแปลกหน้าไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าออกจากบ้านไปเสียที เพราะตอนแรกแกก็ไม่เต็มใจให้ร่วมชายคาอยู่แล้ว

            ผิดคาด ลุงคงเดชมองเขาด้วยแววตาแปลกใจ ลากเก้าอี้มานั่งใกล้ ๆ

            “อะไรกัน หายดีแล้วหรือ”

            “ผมแข็งแรงขึ้นแล้วครับ” เขาตอบ

           “มีที่อยู่ใหม่แล้วสิ”

            “ยังครับ” โดมตอบตามตรง “แต่คิดว่าคงหาไม่ยาก”

            “อยู่ที่นี่อึดอัดใจอะไรหรือเปล่า” ลุงคงเดชถาม

            “เปล่าครับ” เด็กหนุ่มตอบตามความรู้สึกจริง ที่นี่อาจเหมือนหอพักที่ต่างคนต่างอยู่ ไม่รบกวนกัน แต่มีสายใยความเป็นห่วงเชื่อมโยง...สายใยนั้นทำให้โดมอบอุ่นใจเสมอเมื่ออยู่ร่วมชายคา

            ลุงคงเดชเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาหรี่ลง ขบคิดปัญหาบางอย่าง ก่อนเงยหน้าพูดด้วยประโยคที่โดมต้องแปลกใจ

            “ขอโทษด้วยนะ ที่ฉันเป็นเจ้าของบ้านที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่ใส่ใจเธอเท่าที่ควร แถมยังไล่เธอตั้งแต่วันแรกที่มาถึง”

            “โอ๊ย ไม่หรอกครับ” โดมรีบร้องปฏิเสธ ถึงช่วงเวลาที่อยู่บ้านหลังนี้ เขาจะไม่ค่อยมีโอกาสพูดจากับลุงคงเดชนัก แต่ก็รู้ว่าฝ่ายเจ้าของบ้านไม่มีความรังเกียจ รำคาญต่อคนมาพักเช่นเขาเลย

            “ถ้าเธอยังหาที่อยู่ไม่ได้ จะพักที่นี่ต่อก็ไม่เป็นไรนะ ฉันไม่ว่า” คำพูดนี้แทบทำให้โดมคิดว่าตัวเองหูฟั่นเฟือนชั่วคราว

            เด็กหนุ่มอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ฝ่ายสูงวัยกว่าจึงพูดต่อ

            “บ้านฉันก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ ไม่ค่อยมีคนอยู่...ต่างคนต่างมีธุระของตัวเอง ดูเหมือนไม่สนใจกัน ถึงสองสามวันมานี่ ฉันจะไม่ค่อยพูดจากับเธอเลย แต่ก็รู้ว่าเธอไม่มาทำความเดือดร้อนให้ที่นี่แน่...เพราะฉะนั้น ถ้าเธอจะไปโดยยังหาที่อยู่ใหม่ไม่ได้ ก็อยู่ที่นี่เสียก่อนเถอะ พอหาที่ทางดี ๆ ได้แล้วค่อยไป... ไม่ต้องเกรงใจฉันหรอก”

            โดมไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ฝ่ายเจ้าของบ้านยิ้มอย่างจริงใจ ไม่คะยั้นคะยอ คาดคั้น ไม่พูดอะไรต่อ...สิ่งที่อยู่ในใจได้เปิดเผยมาหมดแล้ว ที่เหลือปล่อยให้เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายตัดสินใจเอง

            น่าแปลก บางคนอยู่ร่วมกันไม่กี่วัน สบตาไม่กี่ครั้ง แทบไม่ได้พูดจากัน แต่มีความรู้สึกดี ๆ แก่กันโดยไม่มีคำอธิบาย...

            บ้านที่คล้ายเงียบเหงา โล่งว่าง ว้าเหว่ กลับมีความอบอุ่นที่มองไม่เห็นแทรกอยู่ เป็นความอบอุ่นแบบคนไร้ราก เดินทางรอนแรมมาไกล จะสัมผัสได้...



            เป็นครั้งแรกที่โดมมาบ้านลานน้ำค้าง...

            บ้านเก่า หลังไม่ใหญ่โต มีเนื้อที่ บริเวณปลูกต้นไม้ ให้ความร่มรื่น สวยงาม ในบ้านสะอาด เป็นระเบียบ ข้าวของแต่ละชิ้นผ่านการใช้สอยคุ้มค่า มีประโยชน์ บอกนิสัยเจ้าของบ้านว่าสมถะ เป็นระเบียบเพียงใด

            โดมตอบไม่ถูก เหตุใดจึงยอมตามมาบ้านหลังนี้ง่ายดาย เพียงแค่ได้ยินคำชวนจากบูรพา

            “เย็นนี้ไปกินข้าวนอกบ้านกันมั้ย...บ้านของลานน่ะ”

            โดมพยักหน้ารับคำแบบไม่ต้องคิด มองเห็นหญิงสาวดวงตาจรัส ทอประกายแห่งความมีชีวิตชีวา รอยยิ้มเปิดเผย จริงใจ เสียงใสเสนาะหู วาจาง่าย ตรงไม่อ้อมค้อม เป็นผู้หญิงที่อยู่ใกล้แล้วสบายใจ ชวนให้มีรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว

            ตกเย็น บูรพานำโดมซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปบ้านหญิงสาวที่อยู่ไม่ห่างกันนัก ที่บ้านหลังนั้น นอกจากลานน้ำค้างแล้ว ยังมีคุณดาริกา แม่ของเธอ...

            แม่...เป็นผู้หญิงที่โดมเห็นแล้วรู้สึกเกรงใจตั้งแต่ชั่ววินาทีแรก พอได้ยินคำทักทาย อาการเกร็งค่อยคลายลง

            “ชื่อโดมใช่มั้ยจ๊ะ เจ้าลานมันเล่าให้ฟังบ่อย เพิ่งเห็นหน้าชัด ๆ วันนี้เอง...ใช่คนที่เล่นกีตาร์วันเกิดแม่ในร้านอาหารหรือเปล่า”

            “ครับ” โดมตอบรับพร้อมรอยยิ้ม สัมผัสถึงความเป็นผู้ใหญ่ใจดีผ่านน้ำเสียงอันอบอุ่นนั้นได้

            อาหารเย็นมื้อนี้ ทุกคนไม่เหมือนเจ้าของบ้านกับแขก แต่กลายเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ร่วมรับประทานอาหารประจำวัน เสียงพูดคุยหยอกล้อระหว่างบูรพากับลานน้ำค้างเป็นสีสันช่วยให้อาหารมีรสชาติ

            “กินเยอะไปแล้วเจ้าหมู เดี๋ยวก็กลายเป็นหมูจริง ๆ หรอก” ลานน้ำค้างเบรกเพื่อนหนุ่ม

            “เฮ้ย คนอย่างเราไม่อ้วนง่าย ๆ อีกแล้ว ออกกำลังกายประจำแบบนี้...แล้วนาน ๆ ได้กินอาหารฝีมือแม่สักที ถ้ากินน้อยไปเดี๋ยวแม่จะเสียใจ...” ท้ายเสียงเขาหันมายิ้มประจบคุณดาริกา ไม่ต่างจากลูกชายคนหนึ่ง

            “จริงมั้ยจ๊ะแม่”

            “เธ่อ...เหตุผลของคนตะกละ คอยดูนะ ถ้าอ้วนเหมือนเมื่อก่อน ฉันจะหัวเราะเยาะแกสามวัน แล้วถ่ายรูปแกไปติดประจานทั่วมหา’ ลัยเลยเชียว”

            “เออ...ให้มันจริงเถอะ ถ้าจะให้ดีก็แนบเบอร์โทรศัพท์เราไว้ที่รูปด้วยนะ รับรองสาว ๆ โทรมากันตรึม”

            “โทรมาสมน้ำหน้าแกน่ะสิ!”

            ถึงสองหนุ่มสาวจะเป็นฝ่ายผูกขาดการสนทนาเพียงสองคน แม่กับโดมก็ไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนเกินบนโต๊ะอาหาร...ทั้งคู่เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว จึงสบายใจที่เป็นผู้ฟัง ถึงอย่างนั้น แม่ก็มีเรื่องพูดคุยซักถามอยู่ดี

            “อ้อ...จริงสิ แม่ลืมถามไป ทำไมวันนี้พ่อของบูไม่มาด้วยกันล่ะ”

            “ไปทำงานแล้วจ้ะแม่” บูรพาตอบ “ผมกลับมาถึงบ้านก็ไม่เจอ เขาฝากบอกโดมว่าไปทำงาน เดือนหน้าถึงกลับ”

            “แหม อย่างนี้ก็เหงาแย่เลย” แม่พูด

           “ชินแล้วจ้ะ ตอนนี้ยังดี มีเจ้าโดมเป็นเพื่อน” บูรพาพูดราวกับโดมเป็นคนในครอบครัว ไม่ใช่แค่ผู้อาศัยชั่วคราว

            “เอ่อ...” พอเรื่องวกมาถึงตัวเอง โดมก็คิดว่าควรพูดเหมือนกัน “ผมก็กำลังจะย้ายเหมือนกันครับ”

            “อ้าว หาที่พักใหม่ได้แล้วเหรอ” บูรพาหันมาถาม แม่กับลานน้ำค้างมองอย่างสนใจ

            “ยังหรอกครับ ผมแข็งแรงแล้ว คิดว่าคงหาไม่ยาก อีกอย่างพรุ่งนี้ก็ต้องกลับไปทำงาน มันจะไม่สะดวก ถ้าต้องกลับตอนดึก ๆ ดื่น ๆ”

            เหตุผลของโดมทำให้คนฟังเข้าใจ ยอมรับไม่ยาก เขาเล่นดนตรีกลางคืน กลับบ้านค่ำมืดดึกดื่น บางทีเกือบเช้า ถ้ายังอาศัยบ้านบูรพาต่อ คงสร้างความเดือดร้อน รำคาญใจไม่มากก็น้อย

            โดมคิดว่าคงไม่มีใครคัดค้าน พูดกันตามความจริง บูรพาและลานน้ำค้างต่างไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเขา ไม่ได้เป็นญาติ ไม่ใช่พี่น้อง ไม่ใช่คนรู้จัก เพื่อนสนิท...ที่ยอมให้มาพักรักษาตัวสองสามวันนี่ก็ถือว่าจิตใจกว้างขวางมากกว่าคนทั่วไปแล้ว เมื่อเขาแข็งแรง ก็ควรย้ายออกไปเอง ดีกว่าให้เจ้าของบ้านกระอักกระอ่วนใจที่จะขับไล่

            “อย่างนั้นเหรอ” บูรพาพยักหน้า เข้าใจ “จะไปเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน พี่จะช่วยขนของให้”

            “คงไม่มีอะไรหรอกครับ ผมมีกระเป๋าแค่ใบเดียวเอง” โดมตอบ บูรพาไม่เซ้าซี้



            “ที่จริงไม่ต้องเสียเวลาหาที่พักอื่นก็ได้นะโดม...บ้านเจ้าหมูมันก็ว่างอยู่แล้ว ปกติไม่ค่อยมีใครอยู่ โดมมาอยู่นี่ ก็เท่ากับให้เจ้าหมูมันมีเพื่อนด้วย” ลานน้ำค้างออกความเห็น

            “ผมเลิกงานดึกครับ พี่บูจะลำบากเปล่า ๆ” โดมอธิบาย

            “งั้นก็อยู่จนกว่าห้องพักอาแปะแกว่างก็ได้ โดมตั้งใจมาเช่าที่นั่นอยู่แล้วนี่ พอห้องแกว่างโดมค่อยย้ายไป ถือว่ายังไงก็ได้อยู่ใกล้กัน” หญิงสาวหาวิธีให้อีกทาง

            บูรพายิ้ม ไม่เสริมคำพูด ไม่มีกิริยาคัดค้าน เขาไม่ใช่คนเรื่องมาก มีน้ำใจ แต่ไม่ชอบเซ้าซี้ร่ำไร...การที่โดมขอย้ายออกทั้งที่ยังไม่มีที่พักใหม่นั้นเขาเข้าใจ หรือจะขออยู่ต่อก็ไม่ลำบากใจ หนำซ้ำยังเต็มใจด้วย

            “ผม...เกรงใจ” โดมพูดเท่านี้ก็ไม่มีใครคะยั้นคะยออีก

            วันนี้เด็กหนุ่มนั่งไตร่ตรองมาตั้งแต่คุยกับลุงคงเดชแล้ว พิจารณาเหตุผล การควร ไม่ควร ต่าง ๆ ก็เห็นว่าตนเอง ไม่ควรอยู่ แม้เจ้าของบ้านจะมีน้ำใจเพียงไรก็ตาม

            “ถ้างั้น วันนี้ถือโอกาสเลี้ยงส่งโดมก็แล้วกัน” ลานน้ำค้างยอมรับ พูดออกมาอย่างร่าเริง เด็กหนุ่มมองหล่อน ด้วยแววตายากอธิบาย ถอนใจเบา แม่ที่ไม่ค่อยพูดจากลับสังเกตเห็น

            “ดีสิ อย่างนั้นต้องออกไปหาของกินมาเพิ่มแล้ว เลี้ยงส่งกันทั้งทีแบบนี้” บูรพาส่งเสียงสนับสนุน

            “แกจะหาเรื่องกินอีกล่ะสิเจ้าหมู แค่กับข้าวบนโต๊ะก็พอแล้วน่า” ลานน้ำค้างดักคออย่างรู้ทัน

            “จะเลี้ยงส่งทั้งที ไม่มีเครื่องดื่ม ของหวานได้ยังไงจริงมั้ย” ชายหนุ่มเถียงตาใส

            “แกอยากกินก็บอกมาเถอะ”

            “อือ...พูดยังกะว่า ถ้าเราซื้อมาแล้วเธอจะไม่กินด้วยงั้นแหละ” บูรพาย้อนทันกัน

            หญิงสาวหัวเราะสดใส ใบหน้ามีประกายความสุข อารมณ์อันรื่นรมย์ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มนี้เรียกความสุขร่วมกันจากทุกคนบนโต๊ะอาหาร

            โดมบอกต่อตนเอง...ถึงเขาจะย้ายจากบ้านบูรพา แต่คงไม่สามารถ ทำตัวออกห่างจากหญิงสาวคนนี้ได้... ลานน้ำค้างมีแรงดึงดูด ที่ทำให้หัวใจเขาอ่อนไหว ไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้าน ขณะเดียวกัน แรงดึงดูดนั้นก็ช่วยให้จิตใจ มีความสุข กระชุ่มกระชวย...

            เมื่อเขาได้พบแหล่งน้ำอมฤตแก่หัวใจเช่นนี้แล้ว...คงยากที่ไปไหน ห่างไกลจากเธอ...



            เลียบเมืองเดินกึ่งวิ่งจากที่จอดรถเข้าตัวอาคารโรงพยาบาล เสียงจากโทรศัพท์ที่บอกข่าวเกี่ยวกับปันปัน ทำให้จิตใจร้อนรุ่ม กระวนกระวายเกินกว่าจะสงบลงได้ ยังดีที่พอมีสติถามทางโรงพยาบาลกลับไปได้บ้าง

            “คุณโทรบอกเรื่องนี้กับแม่ผมหรือยัง”

            “ยังค่ะ พอดีสายของคุณหญิงไม่ว่าง ทางเราเลยโทรบอกคุณก่อน”

            “ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นคุณอย่าเพิ่งบอกแม่ผมตอนนี้ เอาไว้ผมจะบอกท่านเอง”

            “ค่ะ” ผู้โทรมาจากโรงพยาบาลรับคำ

            เวลาขณะนี้นับว่าดึกทีเดียว เลียบเมืองจำได้ว่าแม่กำลังร่วมงานการกุศลของเหล่าไฮโซ ซึ่งอาจกำลังติดสาย ไม่ก็ปิดโทรศัพท์ไว้ ทำให้พลาดการรับสายจากทางโรงพยาบาล

            สำหรับเขา ถือว่านี่เป็นเรื่องดี แม่จะได้ไม่ต้องห่วงกังวลมากเกินไป รอให้เขาได้เข้ามาดูแลก่อน ค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะจัดการอย่างไร

            ชายหนุ่มมาถึงห้องของปันปัน เห็นภายในกำลังวุ่นวายกันใหญ่ หมอ พยาบาลทำงานอย่างหนัก เสียงเครื่องมือแพทย์ เสียงสั่งงานดังเป็นระยะ เลียบเมืองยืนอยู่หน้าห้อง รอจังหวะถามไถ่อาการน้องสาวตน

            ครู่เดียว หมอน้ำทิพย์มองเห็นเขา จึงรีบเดินออกมานอกห้อง

            “น้องสาวผมอาการเป็นยังไงบ้างครับ” ชายหนุ่มถาม

            “มีอาการแทรกซ้อน อาจต้องผ่าตัดซ้ำ” คุณหมอตอบ

            “แล้วไม่เป็นอันตรายหรือครับ” เขาถาม

            “มีความเสี่ยงสูง แต่ถ้าไม่ทำจะเสี่ยงมากกว่า”

            เลียบเมืองใจหล่นวูบ ทำอะไรไม่ถูก

            หมอน้ำทิพย์เห็นอย่างนั้นก็เข้าใจ เธอมีเรื่องสำคัญจำเป็นต้องบอกอีกเรื่อง

            “ถ้าผ่าตัด จำเป็นต้องใช้เลือด แต่เลือดของน้องปันปันเป็นกรุ๊ปพิเศษ หายาก ที่เรามีอยู่ตอนนี้มันไม่พอ...”

            ชายหนุ่มเข้าใจ ปันปันต้องการเลือดเพื่อใช้สำรองในการผ่าตัดโดยด่วน เลือดกรุ๊ปพิเศษนี้ น่าจะหาได้จากคนในครอบครัว

            “อาจารย์หมอท่านจะผ่าตัดปันปันเมื่อไหร่” เขากังวลใจ

            “ถ้าควบคุมอาการตอนนี้ได้แล้ว ท่านก็อยากผ่าตัดให้เร็วที่สุด” คำตอบง่าย ตรง ก่อนยิงเป้าหมายที่หมอต้องการทันที “คุณพอจะหาเลือดให้น้องปันปันได้มั้ย”

            เลียบเมืองนิ่งอั้น สบตาหมอน้ำทิพย์ด้วยแววตายากอธิบาย

            “ผมจะพยายามครับ”

            หมอน้ำทิพย์กลับเข้าไปในห้องผู้ป่วยอีกครั้ง ชายหนุ่มเลี่ยงออกมายืนตรงระเบียงด้านนอกโรงพยาบาล ขมวดคิ้ว ครุ่นคิดหนัก

            ...เขาจะหาเลือดจากไหนมาให้ปันปัน...

            ผ่าตัดคราวที่แล้วก็หาเลือดมาได้เฉียดฉิว คราวนี้เลือดสำรองไม่พอ ต้องขอเลือดจากคนในครอบครัว...แต่...ครอบครัวเขา ไม่มีใครมีเลือดกรุ๊ปนี้สักคน

            ...เพราะอะไร...

            เหตุผลนี้ทุกคนรู้ดี...ปันปันไม่ใช่ลูกแม่ ไม่ใช่น้องสาวเขา ไม่ใช่แม้กระทั่งเป็นคนในครอบครัว!

            แม่ของปันปันเป็นหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งท้องไม่มีพ่อ กำลังรอทำแท้ง พอดีคลินิกเถื่อนแห่งนั้นถูกจับ เธอติดร่างแหต้องตามไปสถานีตำรวจ

            ตอนนั้นคุณหญิงรัดเกล้าทำงานด้านสังคมสงเคราะห์ ได้เข้าไปแนะนำสิ่งดี ๆ แก่หญิงสาวคนนั้น พยายามชักจูงให้เธอเอาลูกไว้ หญิงสาวพูดถึงปัญหามากมายของตน ปัญหาที่เป็นเหตุจำเป็นให้เอาเด็กออก

            ไม่ทราบเป็นเพราะความผูกพันหรืออย่างไร คุณรัดเกล้าถูกชะตากับหญิงสาวคนนี้ เห็นใจความลำบาก สงสารชีวิตที่อาภัพของเธอ จึงตกปากรับคำ จะเลี้ยงดูส่งเสียลูกน้อยให้เธอ

            พอปันปันเกิด คุณรัดเกล้าก็หลงรักเด็กผู้หญิงคนนี้เหมือนสายเลือดในอก จากที่เคยบอกว่าจะช่วยส่งเสียเลี้ยงดู ก็เปลี่ยนเป็นขอมารับเลี้ยงเอง หญิงสาวคนนั้นยินดียกปันปันให้เป็นบุตรบุญธรรมคุณรัดเกล้า หลังจากนั้นเธอก็หายสาบสูญ ตามตัวไม่เจอ มีข่าวจากคนรู้จักบอกว่า เธอได้สามีชาวต่างชาติ และย้ายถิ่นฐานไปแล้ว

            เมื่อปันปันมาอยู่ในบ้าน แม่หนูน้อยก็เป็นที่รักของทุกคน โดยเฉพาะคุณสันติ พ่อของเลียบเมือง ซึ่งเคยมีแต่ลูกชาย พอได้ลูกสาวคนใหม่ หน้าตาน่ารักน่าชัง ยิ่งโตยิ่งช่างพูด ฉอเลาะ ประจบเก่ง ทำให้คุณสันติรักปันปันมากกว่าลูกชายตนเองที่โตเป็นหนุ่มนักบินแล้วด้วยซ้ำ

            เหมือนหนูน้อยปันปันจะรู้ว่าใครมีความสำคัญที่สุดในบ้าน เธอจึงเป็นฝ่ายติดคุณสันติแจ ยิ่งกว่าคุณรัดเกล้า ที่ดูจะมีงานสังคมสงเคราะห์นอกบ้านมากขึ้น ตั้งแต่ได้รับตำแหน่งคุณหญิง

            จนกระทั่งคุณสันติเสียชีวิต ปันปันร้องห่มร้องไห้ด้วยความไม่เข้าใจ ตามประสาเด็กไม่รู้เดียงสา คุณหญิงลดงานสังคมลง ให้เวลากับหนูน้อยมากขึ้น เลียบเมืองลาออกจากกองทัพ ฯ สามคนแม่ลูกจึงใกล้ชิดกันกว่าเคย

            เลียบเมืองถอนใจยาว มองฝ่าความมืดราวกับต้องการหาคำตอบ สายลมเย็นชืดพัดผ่านผิวกาย ชวนให้รู้สึกตะครั่นตะครอ จมูกได้กลิ่นคุ้นเคยความทรงจำ...

            ...กลิ่นของพ่อ...กลิ่นนี้มีแต่ลูกชายที่สนิทคุ้นเคยเช่นเขา จึงสามารถจดจำ

            ชายหนุ่มเหลียวมองรอบ ๆ ขนลุกซู่ไม่มีเหตุผล รอบตัวมีกระแสลมเอื่อย ๆ หมุนวน เขาเคลื่อนเท้าจากจุดที่ยืนอยู่ ขยับตัวสอดส่ายสายตาหา...ตอบตนเองไม่ได้ว่าต้องการค้นหาอะไร

            “พ่อ...” ในที่สุด เขาก็หลุดคำนี้มาโดยไม่ตั้งใจ

            ฉับพลัน นัยน์ตาก็มองเห็นร่างหนึ่งปรากฏขึ้นชั่วแวบ...แวบเดียวเท่านั้นก่อนจะหายวับ ราวกับโดนจักษุประสาทหลอกหลอน

            ถึงอย่างนั้น เลียบเมืองก็มั่นใจว่าตนไม่ได้ตาฝาด พ่อมาปรากฏตัวให้เห็นจริง ๆ

            “ผมอยากช่วยปันปัน...เราจะมีวิธีหาเลือดมาจากไหนครับ” เขาส่งคำถามไปกับสายลม หวังว่าจะมีคำตอบพัดพากลับมาพร้อมกับสายลมระลอกต่อไป...

            ทว่า...ไม่มีคำตอบใด...สายลมชืดชายังคงโพยพัดอย่างไร้สรรพสำเนียง...

            ครู่ใหญ่ เลียบเมืองได้สติ...เขาไม่มีทางหาคำตอบจากคนตาย วิธีเดียวที่จะช่วยปันปัน คือต้องหาคำตอบจากคนเป็น!

            ชายหนุ่มกดโทรศัพท์หามารดาด้วยเบอร์ส่วนตัว ถ้าแม่เห็นเบอร์นี้ อย่างไรเสียก็ต้องรับสายโดยด่วน เรื่องนี้เขาจะรอช้าอีกไม่ได้แล้ว

            ไม่นานคุณหญิงรัดเกล้าก็รับสาย

            “มีอะไรจ๊ะเลียบ”

            “มีเรื่องด่วน สำคัญมากครับแม่” เขาพูดเพื่อให้แม่เตรียมใจ ก่อนเข้าสู่เป้าหมายสำคัญ “ปันปันต้องผ่าตัดซ้ำ เราจะหาเลือดกรุ๊ปเดียวกับปันปันมาจากไหนได้บ้างครับ”

            แน่ใจว่าเรื่องที่พูดต้องทำให้แม่ตกใจ ขนาดยอมเสียมารยาทออกจากงานกลางคัน เขาก็ยอม เรื่องนี้สำคัญจริง ๆ

            ปันปันไม่ใช่เป็นแค่ลูกรักของพ่อแม่เท่านั้น เจ้าตัวเล็กยังเป็นน้องสาวที่เขาทั้งรัก เอ็นดู ห่วงหวงเช่นเดียวกับสมบัติมีค่า ทางใดที่ช่วยได้ เขาไม่รีรอเลย



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP