วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๔


cover rabamvej

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             เอื้อกานต์นึกถึงคำเตือนคุณตา แล้วนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เสียงเรียกที่ได้ยิน มั่นใจว่าหูไม่แว่ว แต่เปล่าประโยชน์ที่จะไปพิสูจน์ พอวางใจเช่นนั้นก็เร่งฝีเท้าไปยังลิฟต์ให้เร็วกว่าเดิม

             ระหว่างทางก่อนถึงลิฟต์ หญิงสาวตะครั่นตะครอใจผิดปกติ ต้นคอเย็นวะวาบเหมือนมีลมชืดๆ พัดผ่าน สายตากวาดมองรอบตัว เห็นควันสีเทาบางๆ ลอยเรี่ยพื้นไล่ตามมาเป็นแผง

             หัวใจเต้นรัวเร็วเมื่อแน่ใจในความผิดปกติ ความหวั่นเกรงก่อตัวทีละน้อย หญิงสาวเร่งฝีเท้าขึ้นจนเกือบเป็นวิ่ง รู้สึกได้ว่ากลุ่มควันที่เริ่มหนาตัวนั้นตามติดชนิดไม่ห่าง แทบสัมผัสตัวอยู่รอมร่อ

             พอก้าวเข้าไปในลิฟต์ค่อยโล่งอกขึ้นวูบหนึ่ง กดชั้นที่ต้องการเรียบร้อยก็ถอยไปยืนพิงพนัก ระบายลมหายใจเพื่อผ่อนคลาย ทว่าลมหายใจที่ออกมานั้นกลับเย็นยะเยือกผิดปกติ

             มองที่ประตูลิฟต์ กลุ่มควันสีเทาจางๆ นั้นกำลังแทรกตัวเข้ามาอย่างเชื่องช้า พาให้อากาศภายในเย็นเยียบ แสงสลัวหรี่ลง เอื้อกานต์ถอยชิดผนังจนไม่มีทางให้หนีอีกแล้ว

             “เอื้อ...เอื้อ...คุณหมอ...เอื้อ...” ข้างหูมีเสียงกระซิบแว่วดังสลับไปมา ปนเสียงหัวเราะก้องกังวานดังจะล่อหลอกให้ประสาทเสีย

             เอื้อกานต์ใจเต้นรัวเร็ว แขนขาชาวาบ เห็นเจ้ากลุ่มควันนั่นไหลมารวมกันบนพื้น แล้วก่อตัวขึ้นมาเป็นร่างเงาจางๆ เกือบสิบร่าง แน่นขนัดเต็มลิฟต์

             “ฮิๆๆ...” เสียงหัวเราะกังวานผ่านหู ไม่ได้มาจากร่างเงาปิศาจเหล่านั้น

             หญิงสาวสูดลมหายใจยาวลึก รู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รีบกดปลายเท้ากระตุ้นตัวเอง เรียกสติที่เตลิดเปิดเปิงให้กลับมา

             ชั่วขณะที่สติเกิด จิตถอยตัวออกมาเป็นผู้ดู เห็นความกลัวเป็นก้อนหนา แน่นเต็มหน้าอก ส่งผลให้มือเท้าชาเป็นระยะ พอจิตเห็นเช่นนั้น ก้อนความกลัวก็คลายตัว เปิดให้เห็นความว่างโล่ง จิตตั้งมั่น เห็นกระทั่งอาการมือเท้าชาเป็นแค่เวทนาที่เกาะแขนขาชั่วคราว ไม่นานก็หายไป

             แม้ทุกสิ่งยังปรากฏหลอนหลอกต่อหน้า จิตใจก็หมดความกลัวเสียแล้ว อีกทั้งยังกลับมาตั้งมั่น มีกำลังสัมผัสถึงกระแสความรู้สึกจากร่างเงาเหล่านั้นได้ชัดเจน

             มันเป็นคลื่นพลังงานจากหลายๆ ชีวิต ถูกเรียกใช้ให้มีเจตจำนงพุ่งตรงมายังเธอ

             เอื้อกานต์สัมผัสลึกลงไปอีก เห็นว่าพวกเขาไม่ได้มีความเกลียดชัง อาฆาตแค้นอะไร ที่มุ่งมาก็เป็นไปตามคำสั่ง เหมือนทาสที่ไม่อาจขัดบัญชานาย พวกเขาไม่ได้ยินดีหรือเต็มใจที่ถูกใช้งานแบบนี้ ความรู้สึกภายในของพวกเขาเต็มไปด้วยความหม่นซึม อ่อนแอ ไม่มีจุดหมาย

             เมื่อใจรับรู้ความทุกข์จากผู้อยู่รอบตัว เมตตาในใจก็บังเกิดโดยไม่ต้องร้องขอ ใจแผ่ความอบอุ่น อารี เอื้อเฟื้อ ออกไปกว้างขวาง คล้ายแจกจ่ายน้ำดื่มอันชุ่มเย็นออกไปเจือจานแก่ผู้ทุกข์ยากโดยไม่มีหมด...ไม่มีประมาณ

             ประตูลิฟต์เปิด เอื้อกานต์ก้าวออกมา เดินตรงไปยังห้องของตน รับรู้ด้วยสัมผัสภายในว่าพวกเขายังตามมาห่างๆ ไม่คิดทำร้าย เพียงแต่ไม่อาจปล่อยเธอไปได้

             เสียบการ์ดเปิดประตูห้อง นึกหนักใจเล็กน้อย หากพวกนั้นจะตามเฝ้าเธออยู่ตลอดเวลา คืนนี้อาจไม่ได้หลับไม่ได้นอนกัน

             ประตูเปิด หญิงสาวเข้าห้อง และทันทีที่ปิดประตู เธอก็รับรู้ได้เองว่า “พวกนั้น” ไม่สามารถตามเข้ามาในนี้ได้แล้ว

             ถอนใจอย่างโล่งอก นึกดีใจว่าอย่างน้อยก็เจอ ‘ผี’ ที่มีมารยาท เจ้าของบ้านไม่เชิญ เลยไม่กล้าเข้ามา

             สิ่งหนึ่งซึ่งเอื้อกานต์ไม่รู้ ไม่ทันสังเกตเห็น นั่นก็คือ เหนือบานประตูห้องของเธอ มีจุดแต้มบางๆ สามจุด ลักษณะคล้ายยันต์กันภัยติดอยู่

             มนุษย์ธรรมดาทั่วไปไม่รู้สึกกริ่งเกรงอะไร แต่กับ ‘พวกนั้น’ นี่คือเกราะแกร่งที่คุ้มกันภายในห้องอย่างแน่นหนา ไม่อาจให้เล็ดลอดผ่านไปได้แม้สักตนเดียว

             และ...เอื้อกานต์ก็ไม่อาจรู้อีกเช่นกัน ว่าใครแอบมาเขียนยันต์คุ้มครองนี้ไว้ไห้เธอ...



             เพิ่งหัวค่ำตอนที่เอื้อกานต์อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย หญิงสาวนั่งเหยียดขาบนโซฟายาวอย่างโล่งใจที่ไม่มีสิ่งแปลกปลอมเข้ามารบกวน ส่งกระแสจิตเข้าไปสัมผัสถึงน้องชายฝาแฝดที่อยู่ห่างกันหลายร้อยกิโลเมตร รับรู้ได้ว่าเขาว่างพอจะคุยได้ จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตั้งใจโทร. หาเพื่อพูดคุยปรึกษาถึงเรื่องราวที่เกิดในช่วงสองสามวันมานี้ รวมถึงถามความเห็นเกี่ยวกับเจ้าพวกที่ตามเธอขึ้นลิฟต์มาด้วย

             พวกมันมาจากไหน ใครส่งมา และมีเจตนาแท้จริงอย่างไร...นี่ล้วนเป็นข้อสงสัยคาใจทั้งสิ้น

             ยังไม่ทันกดโทรศัพท์ ก็มีเสียงกดกริ่งดังหน้าประตูห้อง

             ...ติ๊งต่อง...

             ลุกขึ้นไปเช็คดูว่าใครมาหา หวั่นใจเล็กๆ กลัวเป็นแขกไม่ได้รับเชิญ หรือไม่ก็หน้าประตูว่างโล่ง ไม่มีคน

             “คุณหมอเจ้าหญิง...”

             เสียงใสแจ๋วดังจากหน้าประตูทำให้หญิงสาวโล่งใจ เปิดประตูต้อนรับง่ายดาย หลังบานประตูเป็นเด็กหญิงตัวเล็กแก้มใส ยืนยิ้มแป้นอยู่ และโผเข้ามากอดเธอทันทีที่มองเห็นหน้า เอื้อกานต์โอบรับร่างน้อยไว้อย่างคุ้นเคย

             “หนูผักกาด...มาหาหมอถึงบ้านได้ยังไงคะ” หญิงสาวถามอย่างสงสัย

             ‘หนูผักกาด’ เคยเป็นคนไข้ของเอื้อกานต์มาก่อน เจ้าตัวน้อยติดคุณหมอมาก แถมยังเรียกขานเธอว่า ‘คุณหมอเจ้าหญิง’ จนติดปาก

             “น้าหมากพามา” พูดพลางชี้มือไปทางน้าชายที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

             นอกจากผักกาดจะเป็นคนไข้ของเอื้อกานต์แล้ว ยังเป็นหลานสาวคนเดียวของหมอหมากด้วย...จะว่าไป การที่หมอหมากได้มารู้จักเอื้อกานต์ ก็เพราะมีเจ้าตัวเล็กนี้เป็นสื่อ

             “มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ มาหาเอื้อถึงนี่ได้”

             เธอเอ่ยถามชายหนุ่มซึ่งยืนมองมาด้วยดวงตาทอประกายวิบวับ ใบหน้ายังเปื้อนด้วยเคราเขียวๆ ริมฝีปากสีแดงสดคลี่ยิ้มกว้าง

             “ผมมาชวนหมอเอื้อไปงานขึ้นบ้านใหม่” เขาพูดง่าย

             เอื้อกานต์มองเสื้อยืด กางเกงขาสามส่วนของเขา แล้วนึกไม่ออกว่าเจ้าตัวจะไปงานทั้งสภาพแบบนี้จริงหรือ

             “บ้านใหม่ใครคะ” ถามพร้อมเตรียมคำพูดปฏิเสธไว้ในใจ สภาพเธอตอนนี้อยากพักผ่อนมากกว่าออกไปข้างนอก

             “บ้านผมเอง” คำตอบชวนให้งงงัน

             “หือ?” เอื้อกานต์มองน้าชาย แล้วก้มดูหลานสาวในอ้อมแขน

             “ไปนะ...ไปนะคุณหมอ...บ้านน้าหมากอยู่ใกล้นี้ดเดียวเอง” เจ้าผักกาดคะยั้นคะยอ

             “นิดแค่ไหน...ถ้าออกไปไกลมากหมอต้องขอตัวนะ อยากพักผ่อน ขี้เกียจเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ด้วย” หญิงสาวตอบทั้งหลานสาวและคนเป็นน้าชายในคราวเดียวกัน

             ...คิดดู จะชวนไปงานทั้งทีก็ไม่บอกล่วงหน้า เล่นเอาเด็กมามัดมือชกแบบนี้มันน่าไปด้วยเสียที่ไหน



             “อยู่ข้างบนนี้เอง คุณหมอสวยอยู่แล้ว ไปชุดไหนก็ได้”

             หลานสาวตอบ คนเป็นน้าชายส่งประกายตาวิบวับแทนคำตอบรับ ยืนยัน

             “ข้างบน?” เอื้อกานต์ทวนคำ สงสัย

             ชายหนุ่มหัวเราะ นัยน์ตาเรียวรีฉายประกายพราว ริมฝีปากฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม

             “ผมอยู่คอนโดฯ นี้เอง...สูงกว่าหมอสองชั้น ท่านสารวัตรน้องชายหมอไม่เคยบอกหรือครับ วันที่ผมเพิ่งย้ายมาใหม่ สารวัตรยังช่วยขนของ แล้วขึ้นไปนั่งดื่มเบียร์ด้วยกันเลย”

             เอื้อกานต์เบิกตากว้าง งงงันแกมขัดใจ นึกถึงคำพูดของทีเกื้อก่อนขึ้นเหนือคราวนี้ได้

             ‘ถ้าเมื่อไหร่เอื้อสามารถหลุดจาก “เงา” ความรักในอดีตได้ เอื้อก็น่าจะรักผู้ชายคนใหม่ได้ไม่ยาก อย่างไอ้หมอเคราเขียวคนนี้ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ’

             มิน่า ทีเกื้อถึงออกปากสนับสนุนขนาดนี้... ถ้าถึงขั้นไปนั่งดื่มเบียร์ด้วยกันแล้ว แสดงว่าน้องชายเธอคงสกรีนคุณหมอเคราเขียวคนนี้จนให้บัตรผ่านเรียบร้อย

             “ไปนะ...คุณหมอ...ไปนะคะ” เจ้าตัวน้อยเขย่าแขนเชิญชวน

             เอื้อกานต์พยักหน้ารับ หาเหตุผลมาปฏิเสธไม่ออก นึกอาฆาตในใจ ถ้ามีโอกาสคุยกับทีเกื้อเมื่อไร จะจัดการเสียให้เข็ด โทษฐานปิดบังพี่สาวจนเผลอปล่อยไก่ไม่รู้ตัว

             ปิดประตู เดินตามสองน้าหลานไปโดยไม่อิดเอื้อน ไม่มีพิธีรีตอง ความที่รับแขกคนคุ้นเคยโดยไม่คาดหมาย ทำให้เอื้อกานต์ลืมใช้สัมผัสพิเศษตรวจสอบบริเวณหน้าห้องตนเอง

             หากเธอมีโอกาสทำเช่นนั้น จะทราบว่าที่หน้าห้องปราศจากสิ่งแปลกปลอมมารอเฝ้าอย่างที่ควรเป็น พวกมันแตกกระจายหายไปตั้งแต่หมอหมากพาหลานสาวมายืนหน้าประตูห้องแล้ว!



             พูดถึงงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ ใครๆ มักนึกถึงงานที่มีข้าวปลาอาหาร เครื่องดื่มเพียบ มีเพื่อนฝูงญาติมิตร แขกเหรื่อเต็มงาน เปิดเพลงเสียงดัง บรรยากาศครึกครื้น

             ถ้าจัดในห้องพักที่คอนโดฯ นี้ งานก็ไม่น่าใหญ่โตนัก คงไม่มีการเปิดเพลงเสียงดังรบกวนห้องข้างๆ แขกเหรื่ออาจมีเฉพาะเพื่อนฝูงที่สนิทจริงๆ ไม่น่าเกินสิบคน

             แม้จะคิดเช่นนั้น แต่งานขึ้นบ้านใหม่ของหมอหมากก็ตรงข้ามกับความคิดของเอื้อกานต์ชนิดเป็นคนละเรื่อง!

             มองสภาพแล้ว บอกว่าชวนเธอมากินข้าวเย็นที่บ้านน่าจะถูกต้องมากกว่า

             ห้องคุณหมอหนุ่มอยู่สูงขึ้นไปสองชั้นก็จริง แต่ไม่ใช่ห้องใหญ่ พื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง เล่นระดับ แยกห้องนอนเป็นอีกชั้นอย่างห้องของเธอ

             ห้องนี้เล็กกะทัดรัด เหมาะสำหรับหนุ่มโสด พื้นที่ใช้สอยไม่มากนัก จัดแบ่งเป็นสัดส่วน ลงตัว สมกับเป็นคอนโดฯ หรูมีระดับ

             ที่ห้องเวลานี้มีพี่สาวเจ้าของบ้านจัดเตรียมอาหารรออยู่คนเดียว เธอยิ้มต้อนรับทุกคนเมื่อเปิดประตูเข้ามา

             “สวัสดีค่ะคุณข้าวหอม” เอื้อกานต์เอ่ยทักพี่สาวหมอหมาก แม่ของผักกาด

             “สวัสดีค่ะ แหม...เจ้าผักกาดเก่งจัง ลงไปชวนคุณหมอมากินข้าวด้วยกันได้” ข้าวหอมมีโครงหน้าคล้ายน้องชาย อายุไม่น้อยแล้ว หากใบหน้ายังดูสาว สดใส จากการดูแลสุขภาพที่ดี

             “ค่ะ...เห็นบอกว่าชวนมางานขึ้นบ้านใหม่” เอื้อกานต์พูดกึ่งฟ้อง

             “งานขึ้นบ้านใหม่ที่ไหนกัน เจ้าหมากก็พูดซะเวอร์...แค่ฉลองห้องใหม่ กันเองในครอบครัวเท่านั้นแหละ”

             “ถ้าไม่บอกอย่างงั้นหมอเอื้อจะมาเรอะ หรือจะให้บอกความจริงไปเลยล่ะ ว่าตัวหาเรื่องมากินข้าวนอกบ้าน เพราะสามีไม่อยู่ ไปดูงานต่างประเทศ” คนเป็นน้องชายแขวะพี่สาว

             “ผักกาดคิดถึงคุณหมอด้วย” แม่หนูน้อยอ้อนคุณหมอ

             “จ้า...จ้ะ...จะเป็นงานอะไรก็เถอะ มาช่วยกันกินเยอะๆ ดีแล้ว พี่เตรียมของกินไว้เพียบเลย”

             เจ้าตัวพูดพลางชี้มือไปยังโต๊ะอาหาร ที่มีทั้งกับข้าว ของหวาน ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มหลากหลายพร้อมสรรพ ทั้งที่มีผู้ใหญ่ร่วมงานแค่สาม กับเด็กอีกหนึ่งคนเท่านั้น

             “ขนของกินมาเยอะขนาดนี้ จะเอามาถมที่หรือไงข้าว” หมอหมากแซวพี่สาว

             “กินๆ เข้าไปเหอะน่า ถ้าเหลือแกก็เก็บไว้กินวันอื่นก็ได้ ฉันรู้...อย่างแกไม่มีปัญญาทำอะไรกินเองหรอก แค่เวฟอาหารแช่แข็งกินเป็นก็บุญแล้ว” พี่สาวสวนกลับทันที



             อาหารมื้อนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ บรรยากาศสนุกสนานเป็นกันเอง เอื้อกานต์นั่งร่วมโต๊ะ กินอาหาร พูดคุยกันไม่กี่นาที ก็รู้สึกคุ้นเคยกับครอบครัวนี้ราวกับรู้จักกันแรมปี

             “เสียดาย น้องชายคุณหมอไม่อยู่ ไม่งั้นคงครึกครื้นกว่านี้” ข้าวหอมพูดถึงทีเกื้อที่เธอได้เจอตอนพาผักกาดไปหาหมอเอื้อกานต์ที่โรงพยาบาล

             “เกื้อไปทำงานทางเหนือค่ะ อีกนานกว่าจะได้ย้ายกลับมา” หญิงสาวตอบ

             “ผักกาดจำได้...น้องชายคุณหมอล้อหล่อ...หล่อกว่าน้าหมากอีก” ผักกาดพูดแจ้วๆ

             “เฮ้ย! หล่อกว่าน้าได้ยังไง ผักกาดดูดีแล้วเหรอ” น้าชายไม่ยอมรับ

             “ดูดีแย้ว...หล่อกว่าน้าหมากตั้งเยอะ” หลานสาวยืนยัน

             ผู้ใหญ่ฟังแล้วอดหัวเราะไม่ได้

             “เห็นว่าเป็นฝาแฝดกันหรือคะ” ข้าวหอมถามเอื้อกานต์

             “ค่ะ...แต่หน้าตาคงไม่เหมือนเป๊ะเท่าไหร่” หญิงสาวตอบรับ

             “ที่จริงเจ้าหมากก็มีฝาแฝดกับเขาเหมือนกันนะคะ หน้าตานี่โขกกันมาแทบจะไม่ผิดเพี้ยนเลย”

             ข้าวหอมเล่าอย่างติดลม เอื้อกานต์เริ่มสนใจ

             “จริงหรือคะ?” หญิงสาวถามชายหนุ่ม เห็นเขานิ่งนิดนึง ก่อนยิ้มให้อย่างคนไม่มีอะไรปิดบัง

             “ครับ” เขาตอบ

             “แล้วอยู่ที่ไหนคะ เป็นหมอเหมือนกันหรือเปล่า” เอื้อกานต์ถามต่อ

             “อุ๊ย...ขอโทษที” ข้าวหอมเอ่ยขึ้นอย่างนึกได้ มองน้องชายด้วยแววตารู้สึกผิด

             “ไม่เป็นไรหรอก เล่าได้...เล่นพูดมาซะขนาดนี้แล้วนี่” หมอหมากบอกกึ่งประชด

             ข้าวหอมยิ้มแหยๆ แต่ก็เล่าต่อ

             “เอ่อ...พลู...ฝาแฝดของหมาก เขาเสียไปเกือบยี่สิบปีได้แล้วค่ะ”

             เอื้อกานต์สะดุดนิดนึง มองชายหนุ่มพร้อมส่งรอยยิ้มอย่างรู้สึกผิด

             “ขอโทษค่ะ...เอื้อไม่ทราบ เสียใจจริงๆ”

             “ไม่เป็นไรหรอกครับ พลูมันตายไปตั้งเกือบยี่สิบปีแล้ว ถ้าไปเกิดเป็นคนใหม่ ป่านนี้โตเป็นหนุ่มมีลูกได้แล้วละ” ชายหนุ่มบอกอย่างไม่ถือสา

             หลังจากนั้น คนรับช่วงเล่าเรื่องต่อคือข้าวหอม

             “หมากกับพลูเป็นชื่อที่คุณย่าตั้งให้ สมัยเด็ก เจ้าคู่นี้เป็นเด็กแสบเด็กซนประจำหมู่บ้านเลยทีเดียว เข้าคู่เข้าขากันดีจนพวกผู้ใหญ่ส่ายหน้าระอาใจกันหมด”

             “บ้านอยู่ต่างจังหวัดหรือคะ” เอื้อกานต์สนใจ

             “ใช่ค่ะ พวกพี่ตอนเด็กๆ อยู่บ้านคุณปู่คุณย่าที่ต่างจังหวัด เพราะคุณพ่อคุณแม่ท่านเป็นข้าราชการ โยกย้ายบ่อย จะกระเตงลูกไปตลอดก็ไม่ไหว เลยเอาพวกเราไปฝากคุณปู่คุณย่าไว้ เราเลยคุ้นเคยกับคนแก่ดี”

             “ตอนนี้ท่านอยู่กรุงเทพฯ หรือเปล่าคะ”

             “โอ๊ย...ตอนนี้เกษียณกันหมดแล้วค่ะ ไปอยู่ต่างจังหวัดแทนคุณปู่คุณย่าที่เสียไปแล้วทั้งคู่”

             “เอื้อกับน้องชายก็เป็นเด็กต่างจังหวัดเหมือนกัน เกิดแล้วก็โตที่บ้านคุณตาเลยค่ะ” หญิงสาวเล่าถึงตรงนี้ก็หยุด ปล่อยให้ฝ่ายเจ้าของบ้านเล่าต่อ

             “เอ...คุณหมอกับเจ้าหมากนี่มีอะไรเหมือนกันหลายอย่างนะคะ ทั้งมีพี่น้องฝาแฝดเหมือนกัน โตมากับญาติผู้ใหญ่เหมือนกัน เคยเป็นเด็กต่างจังหวัดเหมือนกัน...แล้ว...”

             “แล้วก็มีอาชีพเป็นหมอเหมือนกันด้วยใช่มั้ยคะ” เอื้อกานต์ต่อให้อย่างรู้ทัน

             “ค่ะ...” ข้าวหอมหัวเราะ “ที่จริง คนที่อยากเป็นหมอคือพลู...ไม่ใช่เจ้าหมาก หมอนี่น่ะฝันไกลจะตาย เคยบอกว่าอยากเรียนวิศวะ แล้วก็จะไปทำงานเป็นวิศวกรที่นาซ่า!”

             “หา...” เอื้อกานต์อุทาน มองเจ้าตัวอย่างไม่อยากเชื่อ

            หมอหมากทำหน้าเฉยๆ แกล้งพูดติดตลก

             “ก็ตอนนั้นติดการ์ตูนญี่ปุ่น อ่านเรื่องเกี่ยวกับยานอวกาศแล้วชอบ สนุกดี อยากไปท่องอวกาศตามดวงดาวต่างๆ บ้าง”

             “ตอนนี้น้าหมากก็ยังอ่านการ์ตูน” หลานสาวแฉ

             “เราก็แอบมาขโมยการ์ตูนของน้าไปอ่านเหมือนกันแหละเจ้าตัวยุ่ง” น้าชายย้อนทันควัน

             เอื้อกานต์มองเด็กกับผู้ใหญ่หยอกล้อกันแล้วรู้สึกอบอุ่นในความผูกพัน

             “ทำไมถึงเปลี่ยนความคิดตอนหลังล่ะคะ...มันสมองระดับคุณหมออย่างนี้ไม่ใช่เรื่องยากที่จะไปนาซ่าเลย”

             “ก็...” คราวนี้คนเป็นพี่สาวลำบากใจจะตอบ มองหน้าน้องชายเป็นเชิงขออนุญาต ซึ่งเขาก็พยักหน้า ยิ้มให้อย่างไม่ติดใจอะไร ข้าวหอมจึงค่อยสบายใจที่จะเล่าต่อ

             “หลังจากพลูเสีย...หมากเขาก็เลยเปลี่ยนความตั้งใจ เขาบอกกับทุกคนว่า...เขาจะทำทุกอย่างแทนพลู...ให้เหมือนกับว่า พลูยังอยู่...ไม่จากไปไหน”

             เอื้อกานต์อึ้ง แรงสะเทือนแล่นขึ้นมาในอก มองชายหนุ่มร่วมโต๊ะอย่างเข้าใจ ...นึกถึงตนเองกับน้องชาย...สายสัมพันธ์ผูกโยงระหว่างฝาแฝดของเขากับเธอคงไม่แตกต่างกัน

             เธอเชื่อว่า หากทีเกื้อเป็นอะไรไป ตนเองก็จะช่วยทำตามความฝัน ความต้องการของเขา ให้สุดความสามารถเช่นกัน

             “แล้วคุณหมอก็ทำสำเร็จจริงๆ คุณเป็นหมอที่ยอดเยี่ยมมาก” หญิงสาวเอ่ยชมจากใจจริง

             “ไม่หรอกครับ” ชายหนุ่มปฏิเสธ สบตาเธอตรงๆ “ถึงยังไงผมก็สู้พลูมันไม่ได้...ถ้าพลูยังอยู่ มันจะเป็นหมอที่เก่งที่สุดในโลก!”

             คำพูด แววตาของเขา ไม่ได้บอกว่าโอ้อวดหรือล้อเล่น สิ่งที่เอื้อกานต์สัมผัสได้ คือความรู้สึกแท้จริงจากใจ ที่ต้องการให้เธอรับรู้...รู้จักตัวตนของเขากับน้องชายฝาแฝดมากกว่าใครๆ

             มันเป็นความจริงใจที่ชัดเจนเกินกว่าจะแกล้งเมินเฉย ไม่สนใจ



             หลังจากพูดคุยเรื่องเก่าจนทำให้ผู้ร่วมโต๊ะตกอยู่ในบรรยากาศหม่นๆ ชั่วครู่ ข้าวหอมก็ดึงทุกคนกลับมาสู่ความรื่นเริงสนุกสนาน เธอเล่าเรื่องราวความแสบ วีรกรรมของน้องชายตอนเด็ก เล่าเรื่องการเป็นคู่แค้นคู่กัดกับหลานสาวตัวน้อยตั้งแต่แบเบาะ จนบรรยากาศในห้องเล็กๆ ของคอนโดฯ อบอวลด้วยความอบอุ่นอีกครั้ง

             เครื่องดื่มหมด หมากอาสาลงไปซื้อให้ที่ร้านค้ายี่สิบสี่ชั่วโมงชั้นล่างคอนโดฯ โดยหลานสาวขอตามไปด้วย ข้าวหอมกับเอื้อกานต์จึงอยู่คุยตามลำพังในห้อง

             “ที่จริง...พี่ไม่น่าเล่าเรื่องของพลูให้ฟังเลย ไม่รู้หมากจะไม่สบายใจอีกหรือเปล่า”

             “คุณหมอเขายังคิดถึงน้องชายอยู่หรือคะ”

             “หมากมันไม่เคยลืมพลูเลยต่างหาก พี่จำได้...ตอนที่พลูตาย หมากเหมือนคนไม่มีชีวิต ไม่มีวิญญาณ สองคนนั่นรักกันมาก เห็นคนนึงก็ต้องเห็นอีกคน พอเกิดเรื่องขึ้น หมากไม่ยอมพูดกับใครเป็นเดือน นั่งเฝ้าข้างศพพลูตลอด ร้องโวยวายแทบบ้าตอนเขาจะเอาศพพลูไปเผา...กว่าจะดีขึ้นก็ใช้เวลานานเป็นเดือนๆ ทีเดียว”

             “ขอโทษนะคะ...คุณพลูเป็นอะไรถึงเสียชีวิต” เอื้อกานต์ถาม

             “เกิดอุบัติเหตุตอนสมัยมัธยมฯ ตอนนั้นสองคนนั่นเพิ่งจะสิบสี่สิบห้า นั่งรถบัสไปเที่ยวกับเพื่อนๆ แล้วเกิดเหตุรถคว่ำ ตายกันเกือบหมดคัน หมากรอดมาได้ แต่สภาพจิตใจบอบช้ำเหลือเกิน เขาเที่ยวบอกใครๆ ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้พลูตาย”

             เอื้อกานต์ฟังด้วยความสลดใจ เข้าใจจิตใจเด็กในวัยนั้นว่ายามทุกข์ใจ เศร้าโศก มันมีความรุนแรงขนาดไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...กับคนที่เสมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต

             “ตอนที่พี่หลุดปากเรื่องพลู ยังกลัวใจเจ้าหมากเลยว่าจะเดินหนีไปเฉยๆ นี่เขายอมให้พี่เล่าเรื่องนี้อย่างเต็มใจ แสดงว่าเขาเห็นคุณหมอเป็นคนพิเศษแน่ๆ”

             “คง...ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ” เอื้อกานต์เลี่ยง

             “โธ่...คุณหมอไม่รู้อะไร” ข้าวหอมอมยิ้ม “เห็นเจ้าหมากดูเซอร์ๆ อย่างนี้ สาวๆ มาชอบมันเยอะนะคะ แต่พี่ไม่เคยเห็นเขายอมพูดเรื่องของพลูให้ผู้หญิงคนไหนฟังเลย ตอนกลับมาเมืองไทยคราวนี้ เขาบอกพี่ว่าตั้งใจพักผ่อนแค่อาทิตย์เดียวก็จะกลับไปทำงานกับมูลนิธินั่นอีก เห็นว่าคราวนี้อยากสมัครไปที่ลำบาก กันดารกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่พอได้ยินเจ้าผักกาดพูดถึงคุณหมอบ่อยๆ จนต้องพาเจ้าตัวยุ่งไปหาคุณหมอด้วยตัวเองนั่นแหละ กลับมาบ้านจนถึงวันนี้ หมากไม่เคยพูดถึงเรื่องเดินทางไปไหนอีกเลย แถมยังซื้อห้องในคอนโดฯ เดียวกับคุณหมอ...อย่างนี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือคะ”

             เอื้อกานต์ทำได้แค่ยิ้มรับ จะบอกว่าเข้าใจหรือยอมรับกับพี่สาวเขาก็คงไม่มีประโยชน์ ถึงคนเป็นน้องชายจะแสดงออกด้วยสีหน้าแววตาชัดเจน แต่ก็ไม่เคยเอ่ยปากจริงจัง หญิงสาวจึงนิ่ง และดูการกระทำของเขาต่อไปเท่านั้น



             อาหารค่ำผ่านไปอย่างราบรื่น มีความสุข พอข้าวหอมพาลูกสาวตัวยุ่งกลับบ้าน หมอหมากก็เดินมาส่งเอื้อกานต์ถึงหน้าห้อง ทั้งที่เธอเห็นว่าไม่จำเป็นต้องมาก็ได้

             “ขอบคุณที่ให้เกียรติมากินข้าวด้วยกันนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยเมื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้อง

             “เรื่องเล็กน้อยค่ะหมอ ...แล้วเจอกันนะคะ” หญิงสาวพูดก่อนเสียบการ์ด เปิดประตู

             “คนไข้ของคุณเมื่อวานนี้ หายดีหรือยัง” หมอหมากยกเรื่องนี้มาพูดเหมือนต้องการยืดเวลาพูดคุยระหว่างกันออกไปอีก

             “ค่ะ ดูจากผลเลือด อาการล่าสุด คิดว่าอีกวันสองวันน่าจะออกจากโรงพยาบาลได้”

             “ครับ...” ชายหนุ่มรับคำ ยืนนิ่งครู่หนึ่งคล้ายกำลังชั่งใจในเรื่องบางอย่าง

             เอื้อกานต์เงยหน้ามองเขา สัมผัสถึงความลังเลในใจ รู้ว่าเรื่องที่เขาจะพูดต่อไปนี้ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่พี่สาวเขาเกริ่นนำไว้ล่วงหน้าเลย

             “ตอนที่หมอรักษาคนป่วยรายนั้น” ชายหนุ่มหยุดพูด พยายามเรียบเรียงถ้อยคำ “ผมเห็น...คุณใช้พลังบางอย่างถ่ายทอดลงไปในตัวคนไข้ ทำให้เขารอดชีวิต ในขณะที่คนป่วยอีกสองรายที่อาจารย์หมอเล่าให้ฟัง ไม่รอด”

             หมอหมากจ้องตาเธอ ก่อนเข้าสู่ปัญหาสำคัญที่อยากรู้

             “คุณพอจะบอกผมได้มั้ย...ว่าได้พลังนั้นมายังไง?”

             เอื้อกานต์นิ่งอั้น ตกใจตั้งแต่เขาบอกว่ามองเห็นพลังพิเศษนั้นแล้ว ยิ่งเขาถามต่อถึงเรื่องที่เธอไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยนอกจากน้องชาย จึงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

             หมอหมากถอนใจ ยิ้มอ่อนโยนเพื่อให้เธอคลายใจ

             “หมอไม่ต้องกลัวว่าผมจะเอาไปบอกใครหรอก จำได้มั้ยที่ผมบอกว่า...ถ้าพลูยังอยู่ เขาจะเป็นหมอที่เก่งที่สุดในโลก ผมไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้โอ้อวดนะ เพราะพลู...ก็สามารถทำได้อย่างคุณ แถมยังมีพลังมากกว่า...แทบจะเทียบเท่ามือของพระเจ้าที่คนเขาร่ำลือกัน ผมเองตอนเกิดอุบัติเหตุ ถ้าไม่ใช่เพราะพลังของพลูช่วยเอาไว้ ผมคงไม่รอด แต่พลู...มัวแต่เป็นห่วง คิดแต่จะช่วยผม เลยไม่เหลือพลังพอ...จะรักษาตัวเอง...”

             คราวนี้เอื้อกานต์ยิ่งพูดอะไรไม่ออก ตอบคำถามไม่ถูก...ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะเปิดเผยเรื่องของตนเองขนาดนี้...เปิดเผยกระทั่งเหตุที่เขาโทษตัวเองในเรื่องความตายของน้องชาย...

             เมื่อเขายอมเปิดใจขนาดนี้แล้ว เธอเอง...ควรทำอย่างไร?







บทที่ ๔



             อุบัติเหตุเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว

             รถบัสปรับอากาศคันใหญ่ พาเด็กหนุ่มสาวนักเรียนมัธยมไปทัศนศึกษาทางภาคเหนือ เส้นทางบนเขาลดเลี้ยว หวาดเสียว ขนาดคนขับชำนาญทางยังไม่กล้าประมาท พยายามทำหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง เด็กนักเรียนในรถกำลังตื่นตาตื่นใจกับวิวข้างทางซึ่งมองลงไปเห็นทิวเขาสลับซับซ้อน ป่าไพรเขียวชอุ่ม เสียงพูดคุยหยอกล้อเล่นหัวกันดังเจี๊ยวจ๊าว ใบหน้าแต่ละคนเปื้อนด้วยรอยยิ้ม มีความสุข

             เบาะหลังรถมีเด็กหนุ่มสองคนผิวขาวสะอาด ใบหน้าสดใส นัยน์ตาเรียวรี คิ้วเข้มเป็นเส้นสวยไม่แตกต่างกัน ริมฝีปากแดงสดขยับยิ้ม หัวเราะไปพร้อมกับเพื่อนๆ

             ใบหน้าเด็กหนุ่มทั้งสองเสมือนกระจกเงา สะท้อนกันและกัน ทั้งรูปปาก คิ้ว นัยน์ตา ทรงผม รอยยิ้ม ต่างกันเพียงสีเสื้อผ้าที่ใส่เท่านั้น

             พวกเขาเหล่านั้นกำลังมีความสุข รื่นเริง โดยไม่อาจรู้...ช่วงเวลาแห่งความสุข...ไม่ยาวนานเลย

             เอี๊ยดดดด...โครมมม...พลั่กกก!!!

             เสียงดังสนั่นเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน!

             ก่อนเกิดเสียงเหล่านั้น รถบัสของเด็กนักเรียนขับอย่างถูกทาง ระมัดระวัง ที่ผิดพลาดคือรถกระบะคันหลังที่ขับแซงเร่งขึ้นมาด้วยความใจร้อน ไม่ทันสังเกตข้างหน้าว่ามีรถใหญ่แล่นสวนมาเกือบเต็มเลน

             รถกระบะแซงไม่พ้น ต้องเบียดตัดหน้ารถบัส ส่งผลให้รถบัสเสียหลัก เหยียบเบรกชะลอความเร็ว แต่ก็ยังไม่ทัน ชนโครมเข้ากับรถกระบะจนพากันเสียหลัก หลุดโค้งตกลงไปยังทางลึกลาดชัน รถพลิกคว่ำหลายตลบ ก่อนสงบนิ่งอยู่เบื้องล่าง

             ขณะเกิดอุบัติเหตุ เด็กหนุ่มฝาแฝดไม่คาดคิด ไม่ทันระวังตัว เช่นเดียวกับเพื่อนฝูงคนอื่นบนรถ เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นรวดเร็วจนคาดไม่ถึง หลายคนถูกกระแทกจนคอหักเสียชีวิตคาที่ บางคนกระเด็นออกไปนอกรถ กระแทกโขดหิน เสียชีวิต

             หมากกับพลู สองพี่น้องฝาแฝดติดอยู่ในรถ ไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกาย ทั้งสองอยู่ใกล้กันพอที่จะเอื้อมมือถึง พลูฟื้นขึ้นมาก่อน เห็นพี่ชายนอนสลบ เลือดแดงฉาน ร่างติดอยู่กับอะไรบางอย่างที่มองเห็นไม่ถนัด จึงพยายามส่งเสียงเรียกออกไป

             “หมาก...หมาก” เสียงเรียกแหบโหย อ่อนล้า

             อีกฝ่ายยังนิ่ง จึงต้องเรียกซ้ำ

            “หมาก...ฟื้นสิ...หมาก...” เสียงอ่อนลง เรี่ยวแรงเหือดหาย สติเริ่มพร่าเลือน ต้องพยายามฝืนรวบรวมพลังข้างในออกมาให้เข้มแข็งขึ้น

             “หมาก!” เสียงเรียกครั้งนี้ดังสะเทือนเข้าไปถึงภายในจิตใจอีกฝ่าย หวังปลุกให้สำเร็จ

             หมากลืมตา เห็นน้องชายฝาแฝดฟุบร่างอยู่ใกล้ ใบหน้ามีเลือดอาบ นัยน์ตามองตรงมาที่เขาด้วยประกายเข้มแข็งกว่าทุกครั้ง

             “พลู...” หมากส่งเสียงตอบน้องชายแผ่วเบา อ่อนล้า ร่างกายไม่อาจขยับเขยื้อน ไม่รู้สึกเจ็บปวด ไม่รู้สึกถึงสิ่งใดในร่างกายเลย

             “ตั้งสติดีๆ หมาก” พลูฝืนเรี่ยวแรงส่งเสียง พร้อมยื่นมือมาประคองใบหน้าพี่ชายอย่างยากลำบาก

             “ไม่...” หมากร้องค้าน รู้ว่าน้องชายต้องการทำอะไร “รักษาตัวเองก่อนพลู...”

             พลูไม่อาจส่งเสียงตอบ มือของเขาแตะที่แก้มหมาก นัยน์ตาสื่อถึงกัน ความรู้สึกถูกเชื่อมโยง

             “ไม่เป็นไร...ช่วยมึงก่อน...หมาก” เสียงก้องในหัวพี่ชาย

             หมากไม่มีแรงค้าน นัยน์ตาพลูหลับลง ริมฝีปากคลี่ยิ้ม คนเป็นพี่ชายยอมหลับตาตาม รับรู้ถึงพลังสีขาวอ่อนละมุนจากอีกฝ่ายที่ก่อตัวขึ้นแล้วถ่ายเทมาช้าๆ ต่อเนื่องราวกับแม่น้ำสายเมตตาที่รินไหลไม่รู้เหือดหาย สายธารกระแสพลังสีขาวซึมแทรกเข้าไปในร่าง ช่วยเยียวยา ผสานบาดแผลและอาการบาดเจ็บทั้งภายในภายนอกร่างกาย จนทำให้หมากรู้สึกเป็นปกติ รับทราบสัมผัสทุกส่วนไม่มีติดขัด

             “พลู...” หมากส่งเสียงเรียกเบาๆ เมื่อรับรู้ได้ว่าพลังการรักษาขาดหายไป

             นัยน์ตาพลูหลับพริ้ม ริมฝีปากทิ้งรอยยิ้มสุดท้ายไว้ให้ ใบหน้ายังอาบด้วยเลือดแดงฉาน ทว่าหมากกลับเห็นพลูสว่าง ผ่องใสอย่างยิ่ง เสมือนเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ สง่างาม เปล่งแสงแห่งเมตตากรุณาออกมาได้ด้วยตัวเอง

             พลูจากไปแล้ว...หมากรับรู้ในวินาทีนั้น

             จากนี้...ไม่มีพลูอีกต่อไปแล้ว...

             ความเศร้าโศกเสียใจพลุ่งขึ้นมาในอก แล้วแล่นมาจุกตันลำคอ น้ำตาไหลพรากโดยไม่อาจเปล่งเสียง จิตใจไม่อาจทนทานรับการสูญเสียร้ายแรงครั้งแรกในชีวิตได้

             ในหัวพร่ำเพียงคำว่า...ทำไมพลูไม่ช่วยตัวเองก่อน...ถ้าพลูไม่มัวช่วยเขา...พลูก็ยังไม่ตาย...

             ความรู้สึกผิด โทษตัวเอง ผสมกับความเสียใจจากการสูญเสียครั้งใหญ่ ทำให้จิตใจเด็กหนุ่มวัยรุ่นไม่อาจทนทานรับได้ เขาสลบไสล...เข้าสู่การหลับลึก เพื่อจะไม่ต้องรับรู้ความจริงอันโหดร้าย...ความรู้สึกผิดที่เกาะกินหัวใจ...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP