วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
อาคม ๓๑
นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
ค่อนข้างดึก ห้องผู้ป่วยคุณหญิงอัปสรยังเปิดไฟสีนวล ๆ ไม่มีพยาบาลพิเศษคอยเฝ้า คุณหญิงปรับเตียงเอนนั่งกึ่งนอน รอคอยสามีหลังจากโทรศัพท์บอกให้เขามาหาในคืนนี้
นัยน์ตาคุณหญิงมีอาการสับสน ครุ่นคิด สมองเต็มไปด้วยเรื่องราวหลากหลาย เหตุการณ์ตั้งแต่เมื่อกลางวันทำให้คุณหญิงนอนไม่หลับ มีปัญหาคาใจมากมายคลี่คลายไม่ออก
ท่านธีรนัฐมาถึงห้องคุณหญิงในเวลาดึก เสื้อผ้ายังอยู่ในชุดสูท เพิ่งออกมาจากการประชุมงานสำคัญ สีหน้าอิดโรย เหน็ดเหนื่อย
“มีอะไรหรือคุณ” ผู้เป็นสามีถาม
คุณหญิงมองสามีด้วยแววตาแปลกแปร่ง
“รู้ไหม วันนี้มีเรื่องชวนให้โมโหหลายเรื่อง แต่ฉันกลับไม่โกรธมากเท่าที่คิด”
“เรื่องอะไร”
“ฉันเพิ่งรู้ว่าคู่หมั้นของตาภูมิ เคยเป็นแฟนกับ...เด็กนั่น”
ถึงตอนนี้ คุณหญิงก็ยังไม่คิดนับญาติ หรือเรียกชื่อทีเกื้อตรง ๆ อยู่ดี แต่ท่านธีรนัฐก็คุ้นเคยกับสรรพนามแบบที่ภรรยาใช้เรียกลูกนอกสมรสของตนมานานจนไม่จำเป็นต้องย้อนถามอีก
“แล้วคุณรู้ได้ยังไง ว่าหนูดีเคยเป็นแฟนกับเกื้อ”
“เจ้าตัวมันยอมรับเอง...ทั้งผู้ชาย และผู้หญิง!” คุณหญิงบอกเสียงหนักแน่น
แน่นอน...เหตุผลที่คุณหญิงเรียกสัตตบงกชมาคุยที่ห้องตน ก็เพราะต้องการทราบความสัมพันธ์สองหนุ่มสาวให้ชัดเจน...สัตตบงกชสามารถตอบเลี่ยงได้ว่าไม่มีอะไร เพราะแค่การเอาข้าวกล่องให้กันนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนสนิทคุ้นเคย โดยเฉพาะกับคนที่เธอรู้ว่าเป็นน้องชายคู่หมั้นตนเอง
สัตตบงกชกลับไม่โกหก เธอตอบตามตรงไม่มีปิดบัง คุณหญิงโกรธในวูบแรก แต่ไม่ได้แสดงท่าทีเกรี้ยวกราดอย่างที่คิดจนตนเองยังแปลกใจ
อาจเป็นเพราะความชัดเจน ตรงไปตรงมา ไม่เสแสร้งของสัตตบงกช ทำให้เธอรู้สึกกำลังเผชิญหน้ากับคนจริง เธอจึงต้องย้อนถามไปแบบคนจริงเช่นเดียวกันว่า...
“ตอนนี้เธอยังรักมันอยู่ไหม”
สัตตบงกชอึ้งไปครู่หนึ่ง เธอรู้ว่าคำตอบนี้จะตัดสินอนาคตตนเองทันที
“ค่ะ” หล่อนตอบตรงไปตรงมา “แต่ความรัก...มันไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดของหนูดีในเวลานี้ ตราบใดที่หนูดี ยังมี ‘หน้าที่’ ตรงนี้อยู่ หนูดีขอรับรองด้วยชีวิต ว่าจะไม่ทำเรื่องเสียหายทั้งต่อหน้า และลับหลังคุณหญิงเด็ดขาด!”
คุณหญิงอึ้งต่อคำตอบที่เธอไม่คิดว่าจะได้ยินจากหญิงสาวที่ตนเองเคยดูถูกว่า ‘ซื้อได้ด้วยเงิน’ คำพูดชัด วาจาตรงขนาดนี้ ทำให้คุณหญิงตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะยอมรับ หรือขับไล่หญิงสาวคนนี้ดี
เวลานั้นธีรภูมิก็เดินเข้ามา เขาได้ยินบทสนทนาทั้งหมด จึงเข้ามาอธิบาย บอกความจริงในส่วนที่เขารู้ให้เธอฟัง... คำพูด และความรู้สึกอ่อนโยน เข้าใจของลูกชายที่เธอรัก ช่วยละลายโทสะ ให้คุณหญิงรู้สึกอ่อนลง
จากนั้นไม่นาน ทีเกื้อก็ตามเข้ามาอย่างที่ธีรภูมิคาดไว้
ธีรภูมิกับสัตตบงกชหลบอยู่ที่ห้องเล็ก ได้ยินทุกคำพูดของทีเกื้อ
...ไม่น่าเชื่อว่า ที่สุดแล้ว ทั้งทีเกื้อ และสัตตบงกชต่างก็มีวาจา จิตใจตรงกัน หนำซ้ำ คำพูด คำสัญญาต่อท้ายก็เกือบจะไม่ผิดเพี้ยน บอกชัดถึงหัวใจสองหนุ่มสาวว่ามีความเด็ดเดี่ยว มั่นคงเพียงไร
ท่านธีรนัฐรับฟังเรื่องจากภรรยาจนจบก็ถอนใจเบา ๆ
“รู้อย่างนี้ แล้วคุณจะทำอย่างไร” ท่านถามคุณหญิง
“เพราะฉันตอบตัวเองไม่ได้น่ะสิ ถึงต้องรอมาปรึกษาคุณไง”
ท่านธีรนัฐยิ้มละไม นึกไม่ถึง อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบ ๆ ปีอย่างนี้ คุณหญิงเพิ่งจะมีเรื่องมา ‘ปรึกษา’ เขาจริงจังครั้งแรก
“ถ้าเป็นเมื่อก่อน คุณจะทำอย่างไรล่ะ” ผู้เป็นสามีถาม
“ฉันก็เฉดหัวมันทิ้งไปน่ะสิ...เอาไว้ทำไม ผู้หญิงแบบนี้ ไม่เหมาะกับลูกภูมิเลยสักนิด”
“แล้วตอนนี้ ทำไมคุณถึงลังเลใจล่ะ” ท่านถามโดนใจ
คุณหญิงนิ่งคิด...จริงสิ...ทำไมเธอถึงลังเล?
อาจเป็นเพราะ เพิ่งผ่านความตายมา...อาจเป็นเพราะได้มีโอกาสเห็นการกระทำต่าง ๆ ของตน ผ่านมุมมองสายตาของ ผู้ดู และอาจเป็นเพราะส่วนลึก เธอรู้ว่าตนเองรอดชีวิตหวุดหวิด เพราะพี่สาวของผู้ชายคนนั้น
“เมื่อก่อน...ฉันทำเรื่องเลวร้ายไว้เยอะ” คุณหญิงพูดทบทวนความหลัง “ไม่ต้องนับถึงเรื่องเด็กสองคนนั่น...ในเรื่องการทำธุรกิจ ฉันก็ใช้วิชามารสารพัด สัมปทานโพรเจ็กต์ใหญ่เมื่อห้าหกปีก่อน ฉันได้มายังไงคุณก็รู้...และเพราะโพรเจ็กต์นั้น ฉันถึงต้องร่วมลงขัน ทำเรื่องเลวร้ายต่อท่านทรงพลไป มาตอนนี้ ก็ต้องชดใช้กรรมเกือบตาย...”
หลังจากฟื้นขึ้นมา คุณหญิงซักถามสามี เกี่ยวกับสาเหตุที่ตนเองเจ็บป่วยเจียนตายคราวนี้ ท่านธีรนัฐกับธีรภูมิจึงเล่าเรื่องราวต้นสายปลายเหตุให้ฟังโดยไม่ปิดบัง ทำให้คุณหญิงนึกเสียวสันหลังตนเอง ยิ่งเห็นว่า คนที่ร่วม ‘ลงขัน’ คราวนั้นตายเกือบหมดแล้ว เหลือแค่ ‘ท่าน’ เพียงคนเดียว ส่วนเธอโชคดีขนาดไหนที่รอดชีวิตอย่างไม่น่าเชื่อ
ชีวิตที่เหลือนี้ คุณหญิงจึงเห็นว่ามีค่าอย่างยิ่ง
คุณหญิงอัปสรถอนใจอย่างเหน็ดเหนื่อย แววตาคลับคล้ายหญิงชราที่อ่อนล้าต่อความเลวร้ายในโลก
“ตอนนี้...กับชีวิตที่เหลืออยู่ ฉันรู้สึกว่า...ไม่อยากทำอะไรไม่ดีอีกแล้ว...”
ในที่สุด คุณหญิงก็ระบายความในใจออกมา เป็นความรู้สึกส่วนลึกที่เธอไม่สามารถบอกใครได้ แม้แต่ลูกชายสุดที่รักของตน
ท่านรัฐมนตรียิ้มอ่อนโยน เอื้อมมือเกาะกุมมือภรรยาตน
“ในเมื่อรู้ว่ามันไม่ดี ก็อย่าทำสิ”
“แต่ฉันอึดอัดใจ โมโหเหมือนโดนหลอก เสียดายเงินสินสอด เงินที่ไปเคลียร์หนี้ไถ่สมบัติให้มันตั้งเยอะแยะ”
ผู้เป็นสามีหัวเราะเบา ๆ เข้าใจจิตใจภรรยาชัดเจน...นิสัยบางอย่าง ใช่ว่าสามารถเปลี่ยนได้เพียงชั่วข้ามคืน
“ผมถามหน่อยสิคุณหญิง...คุณจะเสียดายเงินอีกมั้ย ถ้าสามารถทำใจ...ยอมรับเกื้อ กับเอื้อ...เป็นคนในครอบครัวเดียวกับเรา” ท่านธีรนัฐจงใจหลีกเลี่ยง ไม่ใช้คำว่า ‘ลูก’ ให้คุณหญิงแสลงใจ
คุณหญิงอึ้ง จ้องตาสามีอย่างนึกไม่ถึง
คำถามนี้...หากเอ่ยเมื่อเดือนที่แล้ว รับรองต้องมีการอาละวาด โวยวายชนิดบ้านแตกแน่ ๆ แต่ท่านธีรนัฐกลับถามในเวลานี้...เวลาที่ส่วนลึกในใจคุณหญิง รู้สึกติดค้างบุญคุณเอื้อกานต์อย่างยิ่ง
เป็นบุญคุณที่คุณหญิงรู้ว่า ยากจะทดแทนง่าย ๆ
คำถามของท่านธีรนัฐจึงเหมือนการเอาค้อนไปทุบกระดองอัตตาของเธอเข้าอย่างแรง...นอกจากจะทำให้เธอมึนเบลอ ตอบไม่ถูกในวินาทีแรกแล้ว...คุณหญิงก็เริ่มมองเห็นอะไรบางอย่าง ที่ตลอดชีวิต เธอไม่สามารถลืมตามองดูมันได้เลย
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
สนธยาโรยตัวมาอีกครั้ง...
ฮันเตอร์ คิมยืนอยู่หน้าเตาเผา จิตสัมผัสถึงสภาวะผู้อยู่ภายในนั้นชัดเจน
เวลาผ่านมาครบรอบวัน ช่วงเวลานั้นฮันเตอร์ คิมคอยลดไฟ ดับไฟเป็นช่วง ๆ ก่อนจะปล่อยไฟให้โหมเต็มที่ในช่วงเวลาสุดท้าย
จนถึงวินาทีนี้ วินาทีที่เขารู้ว่ามันพอแล้ว สิ่งที่ใช้เคี่ยวกรำลูกศิษย์ตนได้ทำหน้าที่ของมันสมบูรณ์ เขาจึงดับไฟ...ดับแบบสนิท ไม่เหลือเชื้อ
จากนั้นจึงยืนรอ เชื่อว่าเวลาแห่งการรอคอยไม่นาน
เวลาผ่านไปไม่ถึงนาที ฝาเตาเผาเปิดออก ความร้อนแผ่วูบออกมาปะทะ จากนั้นร่างของทรงกลดก็ค่อย ๆ คลานออกมา
ร่างสูง ผอมยืนตรงหน้าฮันเตอร์ คิมโดยไม่มีริ้วรอยเผาไหม้จากเปลวไฟสักน้อย มีแค่กระไอร้อนที่ยังติดตัว ครอบคลุมร่างตามมาจาง ๆ
นัยน์ตาทรงกลดทอประกายสีแดงเข้มชั่วขณะ ก่อนแปรเป็นสีดำสนิท ดำลึกล้ำคล้ายมหาสมุทรไม่อาจหยั่งความลึก
“เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย” ฮันเตอร์ คิมถาม
“ครับ” คำตอบสั้น แฝงกระแสพลังจนคนเป็นอาจารย์รู้สึกสะท้าน
“ถ้างั้นไปจัดการกับเหยื่อรายสุดท้ายได้แล้ว”
“ยัง...” คำค้านที่ไม่ก้าวร้าวแต่เด็ดขาด
“จำเป็นต้องไปช่วยคุณหมอคนนั้นอีกหรือ?” คนถามรู้ใจลูกศิษย์ตน
“เพราะต้องช่วยเธอ ผมถึงยอมฝึกฝนแบบนี้”
“แกน่าจะรู้...ผู้ทรงอาคม...ไม่ควรมีภาระ รุงรังทางใจ”
“ครับ...” ตอบรับแต่แววตามีคำค้าน “แต่ผู้ทรงอาคม...ก็ต้องเป็นผู้ทรงในสัจจะเช่นเดียวกัน”
คำย้อนบอกชัด วาจาของอาจารย์ ไม่อาจสั่นคลอนเขาได้อีกแล้ว
“ได้...อย่าลืมปณิธานของตนเองล่ะ”
“ผมไม่ลืม...ไม่ลืมว่าที่ต้องทนลำบาก อยู่อย่างคนไม่มีตัวตนเช่นนี้เพื่ออะไร...และเพราะใคร!”
คำพูดหนักแน่น...ยืนยัน เขาไม่ละเว้นเหยื่อรายสุดท้ายแน่นอน
“หวังว่าคงไม่ลืมคำพูดตัวเอง”
ฮันเตอร์ คิมทิ้งท้าย ทรงกลดก้มศีรษะรับ พอเงยหน้าอีกครั้ง ผู้เป็นอาจารย์ก็กลืนหายไปกับความมืดแล้ว
ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาว มองดูมือทั้งสองข้างของตน...มือคู่นี้อาจไม่เคยเปื้อนเลือดใคร ไม่เคยใช้มันเข่นฆ่า สังหารศัตรู...แต่ไม่อาจบอกได้ว่า ตนเองไม่ใช่ฆาตกร
ฆาตกรคนนี้...จะขอใช้ความสามารถ พลังทั้งหมดที่มี ช่วยชีวิตผู้หญิงที่มีค่าที่สุดของตน...เพื่อเป็นความดีสักครั้ง...ในชีวิต...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
บทที่ ๒๗
อาการของเอื้อกานต์เริ่มผิดปกติตั้งแต่เย็น อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นทีละนิด พอตกค่ำก็มีเหงื่อซึมตามใบหน้า ผิวหนัง ทีเกื้อเรียกหมอมาดูอาการ ทั้งแพทย์ พยาบาลช่วยได้แค่ลดอุณหภูมิร่างกายเธอลง
ผู้ป่วยนอนสงบนิ่งบนเตียงไม่แสดงอาการผิดปกติกว่าเดิม ได้รับการตรวจเช็คอีกครั้ง คณะแพทย์ค่อยวางใจออกไป ทีเกื้อกลับรู้สึกตรงกันข้าม เพียงแค่สัมผัสมือพี่สาวก็รับรู้ว่าพิษอาคมกำลังกระจายออกมาอย่างเชื่องช้า เบาบาง สีหน้าเอื้อกานต์ไม่เข้มขึ้นกว่าเดิม ทว่าการกระจายพิษเช่นนี้มันยากควบคุม ทั้งยังไม่อาจเผอเรอปล่อยไว้ได้
ยังไม่ครบสามสัปดาห์ตามที่ทรงกลดบอกว่าจะมาช่วยรักษา เหตุใดพิษในร่างเอื้อกานต์ถึงกระจายแบบผิดปกติเช่นนี้ ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ ที่มันกำเริบแล้วเขาสามารถสะกดมันลงได้
หรือว่าพิษอาคมในร่างเอื้อกานต์จะเชื่อมโยงกับพลังของทรงกลด เมื่อพลังของทรงกลดเพิ่มมากขึ้น พิษในร่างของเธอก็ทวีความแรงตาม
ชายหนุ่มบีบมือพี่สาว ถ่ายพลังเป็นเส้นสีขาวลงไปกดข่ม บีบคั้นให้พิษอาคมกลับสู่สภาพเดิม
มันอาจดูไม่ยากกว่าครั้งก่อน ทว่าการที่พิษมันกระจายเบาบางเช่นนี้ แล้วให้พลังของเขาไปกวาดรวบรวมพิษที่กระจายไปทั่ว จากนั้นค่อยกดข่มมันลงที่จุดเดิมก็นับเป็นเรื่องลำบาก กินแรง อีกทั้งไม่รู้ว่าพิษกระจายยังส่วนใด หรือหลบเร้นอยู่ซอกมุมไหนบ้าง
ครู่ใหญ่กว่าทีเกื้อจะปล่อยมือเอื้อกานต์ แล้วยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผากตนเอง อุณหภูมิหญิงสาวอยู่ในสภาพปกติ ตัวเลขบนเครื่องวัดต่างอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
ทีเกื้อตอบไม่ถูก ทั้งที่ทุกอย่างดูปกติอย่างนี้ ใจเขายังนึกหวั่น สังหรณ์จะมีเหตุเกินคาดหมายขึ้น รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวทรงกลด และความเปลี่ยนแปลงในพลังของทรงกลดนั้นจะส่งผลมาถึงพิษในร่างเอื้อกานต์ด้วย
ทันใด อาการของเอื้อกานต์ก็เปลี่ยนโดยฉับพลัน พิษอาคมที่คิดว่าถูกสะกด กดข่มไว้แล้วกลับมีกำลังกล้าขึ้นมานับร้อยเท่าในช่วงเวลาสั้น ๆ ใบหน้าเอื้อกานต์เปลี่ยนจากสีเทาจางเป็นซีดขาว แล้วแปรเป็นสีแดงฉานจัดตาขึ้นเรื่อย ๆ
ทีเกื้อตกใจในวูบแรก แล้วเกิดสติตั้งมั่นทันที ความที่เคยเผชิญกับเหตุการณ์เกินคาดหมายบ่อย ๆ จึงไหวตัวเร็ว รู้ว่าควรทำอะไรก่อนหลัง
เขาลุกขึ้นยืนข้างเตียง มือสองข้างประสาน ทาบบนหน้าอกหญิงสาว รวบรวมสมาธิเป็นหนึ่ง กำหนดแสงสีขาวอันอบอุ่นขึ้น แล้วถ่ายทอดผ่านฝ่ามือลงไปยังร่างเอื้อกานต์ทันที
ขณะที่ฝ่ามือทาบบนหน้าอก พลังงานความอบอุ่นอันสว่าง ขาวพร่างครอบคลุมร่างทีเกื้อ แล้วกอรปเป็นเส้นสายผ่านมือ ซึมแทรกเข้าไปยังร่างคนป่วย ทว่าพิษอาคมนั่นเป็นเสมือนกำแพงหนาคอยค้ำยันเอาไว้ พลังแห่งการรักษาจึงไม่สามารถแทรกซึมเต็มที่
ทีเกื้อหลับตา กำหนดดวงสว่างที่กลางอก ระลึกให้แสงสว่างนั้นเจิดจ้ากว่าเดิม เพิ่มกำลังการรักษา ถ่ายทอดเข้าไปอีก ซึ่งมันเกิดผลเพียงเล็กน้อย สีแดงบนใบหน้าเอื้อกานต์เริ่มจัดขึ้น แรงขึ้น ต้านกำลังกับทีเกื้อโดยไม่ยอมลดทอน ถอยหลัง หนำซ้ำยังเพิ่มแรงต้านขึ้นเรื่อย ๆ ร้อยเท่า พันเท่า จนแทบกลายเป็นพลังอนันต์มหาศาลอย่างไม่เคยเจอมาก่อน
ชายหนุ่มรู้สึกถึงเจ้าของพิษนั้นมีความเปลี่ยนแปลงอย่างน่ากลัว จนทำให้พิษของเขาในร่างเอื้อกานต์กำเริบเร็วขนาดนี้ ทางเดียวที่จะช่วยได้คือตัวทรงกลดต้องมาจัดการเอง
ทันใดนั้น พลังอันมหาศาลจากพิษอาคมก็หยุดการต่อต้านลง มันค่อยหดตัวช้า ๆ จนทีเกื้อค่อยกล้าระบายลมหายใจยาว ลืมตา
เมื่อสายตารับภาพรอบกายชัดเจน เขาก็แทบสะดุ้ง เห็นคนที่ตนเองคิดถึงกำลังยืนอยู่ข้างเตียงฟากตรงข้ามนี่เอง
ชายคนนั้นอยู่ในชุดสีดำสนิททั้งตัว ขับให้ร่างดูผอมสูง เห็นผิวขาวเผือด ค่อนข้างซีด ที่ทำให้ทีเกื้อแปลกใจคือใบหน้านั้น...มันไม่ใช่ใบหน้าจืด ๆ เรียบ ๆ ของคิมอย่างเคย ที่เห็นนี้เป็นใบหน้าคมคาย นัยน์ตาโตลึก จมูกเป็นสันชัด อย่างที่ทีเกื้อคุ้นตา รู้จักดี
“พี่กลด...” นายตำรวจหนุ่มพึมพำเบา ๆ
ทรงกลดมาในใบหน้าเดิมของตน ไม่ใช่ใบหน้าของคิมอย่างที่เขาเห็นเมื่อคราวก่อน
ผู้มาใหม่กำลังยืนนิ่ง ยันฝ่ามือมาเบื้องหน้า นัยน์ตาทอประกายเจิดจ้า รู้สึกถึงพลังงานอันมหาศาลจนน่าตระหนก กลางฝ่ามือนั้นมีกลุ่มควันสีเทาจาง ๆ หมุนวนคล้ายกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก สีหน้าของเอื้อกานต์เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ฝ่ามือขาวซีดของทรงกลดเริ่มเป็นสีเทาอมแดง และเข้มขึ้นทุกนาทีที่เวลาผ่านไป
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน ไร้การเคลื่อนไหว มีเพียงเสียงหวิว ๆ ของสายลม กระแสคลื่นแห่งอาคม มนตรา ที่เชี่ยวกราก จากการดึงดูดของผู้ทรงฤทธิ์
สุดท้าย กระแสอาคมหยุดนิ่ง ฝ่ามือทรงกลดเป็นสีดำอมแดง เขากำมือแล้วถอนใจเบา ๆ
ทีเกื้อเอื้อมมือไปสัมผัสมือพี่สาว รับรู้ได้ถึงร่างที่ปราศจากพิษ หนำซ้ำ กระแสจิตที่เคยเชื่อมโยง ติดต่อ รับรู้ถึงการมีอยู่ของกันและกันก็กลับคืนมา
เอื้อกานต์พ้นขีดอันตรายแล้ว ขณะนี้เธอกำลังอยู่ในสภาวะพักผ่อน ฟื้นตัว ไม่ได้อยู่ในสภาพเจ้าหญิงนิทราอย่างเดิม
“ขอบคุณครับพี่กลด” ทีเกื้อบอกต่อชายอีกคนในห้อง
ทรงกลดเดินมาชิดเตียง ก้มมองดูใบหน้าเอื้อกานต์ที่สงบนิ่ง มีเลือดฝาด ทรวงอกกระเพื่อมหายใจเป็นจังหวะ และแลลึกถึงอาการภายในก่อนถอนใจยาว
“หมดหน้าที่ของพี่แล้วนะ” เขาพูดพลางเตรียมจากไป
“เดี๋ยวสิครับ” ทีเกื้อส่งเสียงเรียก “ขอผมคุยด้วยสักครู่ได้มั้ยพี่กลด”
ทรงกลดหันมาสบตาชายหนุ่มรุ่นน้อง นัยน์ตาสีดำสนิท ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ
“ทรงกลดตายไปแล้ว ลืมเรื่องที่เราเจอกันให้หมด...เอื้อปลอดภัยอย่างนี้ พี่ก็ไม่มีอะไรติดค้างอีก”
“พี่กลด...” ทีเกื้อเรียกเสียงอ่อน เว้าวอน...รู้ว่าหากปล่อยทรงกลดไปเช่นนี้ ตลอดชีวิตจะไม่มีทางเจอกันอีก
“ผมมีเรื่องอยากคุยกับพี่เยอะเลย...นะครับ”
นานครั้ง ทีเกื้อจะลงท้ายเสียงอ่อน ขอร้อง อ้อนวอนกับใครขนาดนี้สักที...ทรงกลดสบตาฝ่ายตรงข้าม เห็นแววมุ่งมั่น ขอร้องอยู่ในทีนั้น
“ขึ้นไปคุยข้างบนแล้วกัน พี่มีเวลาให้ไม่มากนะ” พูดพลางพยักหน้าไปทางชั้นดาดฟ้า
“ครับ” ทีเกื้อเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย
ทรงกลดไม่ต้องการให้เอื้อกานต์ได้ยินเรื่องที่คุยกัน แม้จะรู้ว่าเธออยู่ในสภาพหลับใหล
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ยามค่ำ บนดาดฟ้าตึกผู้ป่วยแลโล่ง เงียบสงัด ลมค่อนข้างแรงพัดผ่านร่างชายหนุ่มสองคนที่ยืนเงียบ ๆ โดยไม่พูดจา ชายหนึ่งผอมสูง ผิวขาวจนเผือดซีด นัยน์ตาดำสนิท ลึกเร้น แผ่รังสีเข้มข้น ดำมืด อีกหนึ่งเป็นชายร่างสูงเพรียว ผิวคล้ำกว่าชายคนแรก กำลังมองอีกฝ่ายด้วยแววตาสับสน ลังเล จิตใจกำลังเรียบเรียง เลือกสรรคำถามแรกขึ้น
“ผมมีเรื่องอยากถามพี่กลดหลายเรื่อง แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มเรื่องไหนก่อน” ทีเกื้อพูด
“เลือกถามในเรื่องที่คิดว่าพี่จะตอบให้ได้ก็แล้วกัน” ทรงกลดบอกเรียบ ๆ
“พี่ขึ้นเครื่องบินลำที่ระเบิดหรือเปล่า”
“ขึ้น”
“แล้วพี่รอดมาได้ยังไง”
“มีคนช่วย”
“ใคร”
“อาจารย์”
“เขาเป็นใคร?” ทีเกื้อหลุดปากถาม แล้วรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงไม่ตอบ
“ถามคำถามอื่นเถอะ” ทรงกลดให้เขาเปลี่ยนคำถามจริงดังคาด
ถึงตอนนี้ ทีเกื้อไม่จำเป็นต้องอยากรู้ เรื่องการรอดชีวิตของทรงกลดอีกแล้ว และไม่จำเป็นต้องถามเรื่องความสามารถพิเศษต่าง ๆ ที่มี เพราะเมื่อทรงกลดหลุดคำว่า ‘อาจารย์’ ออกมา มันก็แปลว่า อาจารย์ได้ช่วยชีวิตทรงกลด อีกทั้งยังถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ ให้เพื่อแก้แค้นด้วย
นั่นทำให้ทีเกื้อไม่จำเป็นต้องถามต่ออีกว่า...ทรงกลดหายไปไหนถึงห้าปี...เพราะการที่จะเรียนวิชา อาคมจนเก่งขนาดนี้ ตามความรู้สึกของเขา เวลาแค่ห้าปียังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ
ถ้าอย่างนั้น ยังเหลือปัญหาใดอีกที่เขาอยากรู้
“คิม...คือใคร?” ทีเกื้อตั้งคำถามใหม่
“มันเป็นหน้ากากหนัง กับชื่อปลอมที่พี่ใช้” ทรงกลดตอบแบบไม่ปิดบัง
“แล้วชื่อ ‘คิม’ มีความหมายอะไรมากกว่านี้มั้ยครับ” ทีเกื้อเน้นถามเรื่องนี้
ทรงกลดสะดุดใจ รู้ว่าทีเกื้อได้เค้าเงื่อนบางอย่างที่เขาไม่รู้
“เกื้ออยากรู้เรื่องอะไร”
“ผมเห็นชื่อผู้โดยสารบนเที่ยวบินนั้น มีคนหนึ่งชื่อ ฮันเตอร์ คิม...เขาเป็นนักเขียนที่ไม่ดังมาก แต่งานของเขาเท่าที่ผมรู้ จะเขียนเรื่องเกี่ยวกับการแก้แค้นโดยมือไม่เปื้อนเลือด...”
ทีเกื้อหยุดสังเกตสีหน้าทรงกลดชั่วขณะ ก่อนยิงคำถามสำคัญ
“ผมอยากรู้ว่า...ฮันเตอร์ คิมเป็นอาจารย์ที่ช่วยชีวิต และสอนวิชาอาคมให้พี่กลดใช่หรือเปล่าครับ”
นายตำรวจหนุ่มโยงชื่อผู้โดยสารที่เขาสะดุดตา มาเชื่อมกับ ‘อาจารย์’ ที่ทรงกลดไม่ยอมอธิบาย
ทรงกลดนิ่ง...การนิ่งเฉยเช่นนี้ ทีเกื้อถือว่าเป็นการยอมรับ จากตรงนี้ข้อสงสัยหลายอย่างในหัวก็เริ่มคลี่คลายออกมา
เขารู้แล้วว่า ‘ใคร’ เป็นคนมาท้าทายเขากับเอื้อกานต์ ด้วยการบอกเวลา และสถานที่ในการสังหารเหยื่อรายที่หก...คุณหญิงอัปสร
และ ‘ใคร’ ที่สามารถขโมยกระเป๋ากล้องของคิมออกจากรถเขาได้ แต่ไม่ทำ หนำซ้ำกลับใส่ข้อมูลของเหยื่อรายที่เจ็ดมาให้ทราบล่วงหน้า เพื่อดูฝีมือ ว่าพวกเขาจะขัดขวางอย่างไร
คนที่ทำเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ทรงกลด แต่เป็นอาจารย์ของเขา...ฮันเตอร์ คิม
“เรื่องที่พี่ตอบได้คงมีเท่านี้” หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ทรงกลดก็เอ่ยปาก เตรียมจากไป
“พี่กลด” ทีเกื้อรั้ง “หยุดการจองเวรไว้แค่นี้เถอะครับ”
นัยน์ตาทรงกลดฉายแววอำมหิตรุนแรง คนอยู่ใกล้รู้สึกหนาวสะท้าน
“พี่เว้นชีวิตคุณหญิงอัปสร เพื่อเห็นแก่เอื้อกับเกื้อ แค่คนเดียวก็คงพอแล้ว” น้ำเสียงแข็งกร้าว
ทีเกื้อได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจ ต่อให้เอื้อกานต์สละชีวิตเพื่อช่วยชีวิตคุณหญิงได้ครั้งหนึ่ง แต่หากทรงกลดมุ่งจะฆ่าเธอให้ตายด้วยการส่งอาคมมาอีกรอบ ต่อให้คุณหญิงมีอีกกี่สิบชีวิตก็คงไม่เหลือ
ตามหน้าที่ของตำรวจ ทีเกื้อได้ยินอย่างนี้ ยืนต่อหน้าฆาตกรแบบนี้ เขาควรยื่นมือจับกุม แต่รู้ว่าไม่มีประโยชน์ เป็นการกระทำที่เสียเวลาเปล่า สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือขอร้องให้อีกฝ่ายยอมหยุด...
“ขอบคุณครับพี่ที่เห็นแก่เอื้อ...แต่ที่เหลือจากนี้...ผมขอได้มั้ย...”
“รายสุดท้าย...พี่เว้นให้ไม่ได้” ทรงกลดสวนคำนัยน์ตาวาวโรจน์ ราวกับบรรจุมหาเปลวเพลิงนรกเอาไว้
“แต่...ท่าน...คนนั้น...เขา...” ทีเกื้อพยายามพูดโน้มน้าวใจ
“มันเป็นคนสั่งระเบิดเครื่องบิน!” ทรงกลดขัดด้วยน้ำเสียงกร้าว “เกื้อคิดว่าพี่จะยอมให้คนอย่างมันรอดอีกเหรอ”
“พี่กลด...”
“ถ้ามีใครสักคนมาฆ่าเอื้อ...แล้วฉีกร่างเอื้อเป็นชิ้น ๆ กระจัดกระจายจนหาศพไม่ครบ...เกื้อจะทำยังไงกับมัน?” ทรงกลดถามด้วยเสียงเคียดแค้น
ทีเกื้ออึ้ง...นึกอยากเอ่ยปากค้าน หากใจที่คิดตามคำพูดนั้น ทำให้เขาปฏิเสธไม่ออก...
ชีวิตเขามีเอื้อกานต์เป็นคนเดียวในครอบครัว เป็นทั้งพี่สาว เป็นทั้งแม่ ทั้งเพื่อนสนิทที่รู้ใจกัน...แค่คิดว่าเอื้อกานต์ตายในตอนนั้น เขาก็คลุ้มคลั่ง แทบเสียสติ พอรู้ว่าเธอโดนพิษอาคมจนกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราเขาก็ไม่ยอมห่างจากเธอไปไหน คับแค้นคนทั่วไปจนไม่อยากเอ่ยปากพูดจา
หากมีใครมาทำกับพี่สาวเขาอย่างทรงกลดบอก...รับรอง เวลานั้นเขาต้องโยนกฎหมายทิ้ง แล้วตามล่ามันไปจนสุดขอบโลก จัดการให้มันได้ชดใช้ความผิดอย่างสาสม
เห็นทีเกื้อยืนนิ่งเช่นนั้น ทรงกลดก็เดินมาใกล้ แววตาที่มองมีความอ่อนโยนกว่าเดิม เฉกเช่นเห็นเอื้อกานต์อยู่ในดวงตาของทีเกื้อ
“ก่อนไป พี่มีเรื่องจะขอร้องเกื้อเรื่องนึงเหมือนกัน”
“ครับ” ทีเกื้อรู้ว่าทรงกลดต้องการขอร้องอะไร
“อย่าให้เอื้อรู้เรื่องของพี่...อย่าให้เอื้อรู้ว่าพี่คือคิม...ปล่อยให้ทรงกลดในความทรงจำของเธอ เป็นผู้ชายที่ตายไปแล้ว แต่เป็นคนดี สมบูรณ์แบบในหัวใจของเธอตลอดไปจะได้มั้ย”
ก้อนแข็ง ๆ แล่นมาจุกตันลำคอทีเกื้อ สายตาที่ประสานกับชายหนุ่มตรงหน้ารับรู้ถึงความรักอันมากมายที่มีต่อพี่สาวเขา...รัก...จนยอมขอแค่เป็นความทรงจำดี ๆ ไม่ต้องการให้เธอได้เห็น รับรู้ปัจจุบันของตนเอง
ทรงกลดยอมเป็นคนดีที่ตายไปแล้ว มากกว่าคนเลวที่ยังมีชีวิตอยู่ในสายตาของเอื้อกานต์
“แล้ว...อย่างนี้ มันจะยุติธรรมกับเอื้อหรือครับ” ทีเกื้อถามเสียงแปร่ง
“เวลานี้...เอื้อมีความสุขดีอยู่แล้วใช่มั้ย?” ทรงกลดถาม
ทีเกื้อจำใจพยักหน้า นึกถึงถ้อยคำที่เคยคุยกับเอื้อกานต์เรื่องการ ‘จากเป็น’ กับ ‘จากตาย’ คำพูดเหล่านั้นยังอยู่ในความทรงจำ
“ตอนนี้เอื้อไม่เหลือความทุกข์จากการพลัดพรากครั้งนั้นแล้ว...การที่ยังมีพี่กลดอยู่ในใจก็ไม่ทำให้เจ็บปวดอะไร”
“การยอมรับความจริงว่า ‘มีพบ’ ต้อง ‘มีจาก’ และไม่มีใครเป็น ‘ของเรา’ ต่างหาก ที่เป็นตัวบอกว่า เราจะเจ็บปวดกับมันได้นานแค่ไหน”
ทุกวาจาของเอื้อกานต์ในวันนั้น บอกให้รู้ชัด เวลา ๕ ปีที่ผ่านมา ได้ให้การเรียนรู้ และเยียวยาหัวใจเธอจนเป็นปกติแล้ว ควรหรือที่เขาจะยอมสะกิดรอยความรักเก่า เพื่อให้เธอกลับเป็นทุกข์กับความจริงของทรงกลดในปัจจุบัน
ทรงกลดที่ไม่ใช่ทรงกลดคนเดิมอีกแล้ว!
พอเห็นว่าทีเกื้อเข้าใจ ทรงกลดก็หันหลังเดินจากไป
ร่างในชุดดำคล้อยหลังทีเกื้อได้เพียงสองสามก้าว ก็ได้ยินเสียงนายตำรวจหนุ่มดังขึ้น
“พี่กลด!”
เสียงเรียกทำให้ทรงกลดหยุดยืน ไม่หันกลับไปมอง...ทีเกื้อก็ไม่หันกลับไปทางทรงกลดเช่นกัน แต่รู้ว่า คนที่เป็นเหมือนพี่ชายคนนี้ จะได้ยิน และรับฟังทุกคำพูดของเขา
“ผมเป็นตำรวจครับพี่กลด...ผมจะต้องขัดขวาง และไม่ยอมให้พี่ทำผิดอีกแน่ ๆ”
“พี่รู้” น้ำเสียงไม่แคร์ “เกื้อทำตามหน้าที่ของตัวเองได้เลย”
ทีเกื้อหันกลับ ร่างของทรงกลดก็เลือนลับกับความมืด สายลมวู้หวิว กรรโชกแรงพัดผ่านชวนให้สั่นสะท้าน ชายหนุ่มรู้สึกหนาว...หนาวเย็นไปจนถึงขั้วหัวใจ
ทรงกลดเก่งขนาดนี้ เขาจะมีปัญญาขัดขวาง จับกุมได้หรือ?
หลังจากหายไปสามสัปดาห์ ทรงกลดคนใหม่ดูกระด้าง อำมหิต น่ากลัวกว่าเดิม มีรังสีดำมืดเข้มข้น จนยากที่แสงสว่างใดจะทะลุเข้าไปได้
แต่เขาก็รู้...จากนี้ ทรงกลดจะไปทำอะไร ที่ไหน...โอกาสยังมี เขาต้องทำตามหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks
< Prev | Next > |
---|