วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๓๐


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             ทีเกื้อนั่งกระสับกระส่าย ตัดสินใจไม่ถูก ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืน กำลังจะก้าวออกจากห้อง พอดีประตูเปิด นภ เพื่อนสนิทเข้ามาด้วยใบหน้าอิดโรย ท่าทางอ่อนเพลีย

             มาทำอะไรแต่เช้าวะ ทีเกื้อทัก

             เช้าเหรอ...กูยังไม่ได้นอนเลย ตั้งใจมาเยี่ยมหมอเอื้อก่อนกลับบ้าน พูดแล้วก็ไปยืนอยู่ข้างเตียง ยิ้มให้หญิงสาวที่ไม่มีทีท่าจะฟื้นขึ้นมาง่าย ๆ

             ทีเกื้อเห็นแล้วสงสาร ช่วงเวลาที่เอื้อกานต์นอนโรงพยาบาลอย่างนี้ นภจะมาเยี่ยมทุกวัน ทั้งที่ต้องรับผิดชอบงานในคดีของคิมแทนเขา

             เป็นไงบ้าง ทีเกื้อถามเพื่อน

             เป็นไงเรื่องอะไร...เรื่องกูหรือเรื่องงาน

             มึงอยากเล่าเรื่องไหนก็เล่ามาเถอะ ทีเกื้อบอกง่าย ๆ

             เรื่องของกูก็อย่างที่มึงเห็นนี่แหละ ทำงานแทนมึงแทบไม่หลับไม่นอน นภพูดกึ่งประชด

             ท่านรองฯ ว่าไงบ้าง ทีเกื้อถามเรื่องงาน

             หลังจากเขาให้นภเอากระเป๋ากล้องของคิมที่มีเอกสารสำคัญไปให้ท่านรองฯ คดีก็ได้รับความกระจ่างจนเกือบหมด อย่างน้อยก็รู้เหตุผล ตัวการสำคัญแล้ว ที่สำคัญยังรู้ตัวเหยื่อรายต่อไปอีกด้วย

             ก็สั่งงานพวกกูจนหัวหมุนสิวะ นภบอกแกมบ่น

             ท่านรองฯ ลงสนามเองเลยเหรอวะ ทีเกื้อถาม

             ก็งั้นสิ...เหยื่อรายต่อไปเป็นคนสำคัญขนาดนั้น

             แล้วตอนนี้ทำอะไรไปถึงไหนแล้ว

             พอได้ยินคำถามจากเพื่อน นภก็นิ่งไปครู่หนึ่ง มองซ้ายขวาราวกับกลัวใครได้ยิน

             กูกับท่านรอง ฯ เพิ่งพา ท่าน ไปส่งที่เซฟเฮาส์เมื่อคืนนี้เอง กูถึงเพิ่งมาถึงกรุงเทพนี่แหละ

             เฮ้ย แล้วเคลียร์เรื่องอื่นแล้วหรือยัง...ท่านรองฯ ไม่ได้บอกเหรอว่าคนร้ายรายนี้มันเล่นของ ถึงจะพาท่านไปหลบแล้วก็จริง ถ้ามันส่ง ของมาได้ จะหลบไปไหนก็ไม่พ้น

             เรียบร้อยแล้ว กูก็เพิ่งรู้ว่าท่านรองฯ ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน...แต่ว่าก็ว่าเถอะ ตั้งแต่ทำงานมา กูเพิ่งเจอคดีแบบนี้เป็นครั้งแรกเลยว่ะ

             ได้ยินอย่างนี้แล้วทีเกื้อค่อยโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง แต่ให้สบายใจเต็มร้อยก็ยังไม่เต็มที่ เหมือนมีอะไรบางอย่างมากระทุ้งเตือนว่า คิม หรือทรงกลดอาจมีวิธีเล่นงานเหยื่อหลายแบบที่เขายังไม่รู้

             เมื่อไหร่หมอเอื้อจะฟื้นวะ มึงรู้มั้ย นภอดถามเพื่อนไม่ได้

             ทีเกื้อไม่มีคำตอบ จิตใจนึกโยงไปถึงผู้ชายอีกคนที่เคยรับปาก ให้คำสัญญาเอาไว้...ทรงกลดจะช่วยเอื้อกานต์อย่างไรเขาไม่รู้ แต่นึกสงสัยว่า...ทรงกลดจะวางแผนจัดการเหยื่อรายที่เจ็ดอย่างไร ในขณะที่หาทางช่วยเอื้อกานต์ไปด้วย

             เขาไม่คิดว่าทรงกลดจะละเว้นเหยื่อรายนี้...บุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการคว่ำท่านทรงพลอย่างแท้จริง

             บางขณะในใจเขาก็อยากให้คนเหล่านี้ตายไปเสีย เพื่อชดใช้ความผิดของตน แต่ด้วยสำนึกของความเป็นตำรวจ เขาก็อยากให้กฎหมายเป็นผู้ลงโทษคนผิด มากกว่าใช้อำนาจเร้นลับแบบนี้

             นภ... จู่ ๆ ทีเกื้อก็เรียกชื่อเพื่อนขึ้นมา

             เออ...มีอะไร

             ฝากบอกท่านรองด้วย...บางที คนร้ายอาจไม่ใช้วิธีการอย่างเดิมก็ได้...คราวนี้เขาอาจไม่ใช้วิธีเล่นของ ส่งมนต์ดำมาทำร้ายเหยื่อ แต่อาจมาในวิธีอื่นที่เราคาดไม่ถึง

             มึงหมายความว่ายังไงวะ นภสงสัย

             ทีเกื้อถอนใจ เขาก็อธิบายไม่ได้ เพียงแต่สัมผัสพิเศษ รวมกับสัญชาตญาณบางอย่างกระตุ้นเตือนให้ความคิดนี้แวบออกมา...ออกมาทั้งที่เขาก็ไม่เข้าใจความหมายของมันนัก

             กูก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาตอบง่าย

             ไอ้ทีเอ๊ย...พูดอย่างนี้มึงก็น่าจะไปช่วยงานท่านรองฯ กับกูดีกว่ามั้ง

             ไม่ได้หรอก ทีเกื้อบอกชัดเจน กูต้องอยู่ดูแลเอื้อ

             นภไม่เซ้าซี้ ร่ำไร ทีเกื้อไม่ได้พูดประโยคนี้เป็นครั้งแรก ทั้งที่ไม่รู้ว่าทีเกื้ออยู่เฝ้าเอื้อกานต์แล้วจะมีประโยชน์อะไร แต่นภก็มักรู้สึกว่า สีหน้าเอื้อกานต์จะดูดีกว่าปกติ หากน้องชายเธออยู่ใกล้ ๆ

             งานสำคัญชิ้นนี้อาจไม่มีทีเกื้อ แต่มันก็ไม่ได้ยืนยันว่า...จะพลาดพลั้ง




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




บทที่ ๒๖



             หลังจากคุยธุระ เยี่ยมเยียนเอื้อกานต์เรียบร้อย นภก็กลับไปพักผ่อนที่บ้าน ปล่อยให้ทีเกื้ออยู่ในห้องตามลำพัง

             พออยู่คนเดียว ชายหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงสัตตบงกชอีกครั้ง ไม่รู้ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง จะโดนวาจาเชือดเฉือนจากคุณหญิงสักแค่ไหน จะโดนสอบสวนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างไร และคุณหญิงจะมีปฏิกิริยาขนาดไหนเมื่อได้รู้ความสัมพันธ์เก่าก่อนนั้น

             ทีเกื้อกระสับกระส่าย ลังเลใจไม่นาน ก็ตัดสินใจไปที่ห้องคุณหญิงอัปสร โดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไร จะช่วยหญิงสาวแบบไหน ในหัวมีแต่ภาพร้าย ๆ ที่เธอโดนคุณหญิงกระทำให้เจ็บช้ำน้ำใจอย่างเดียว ไม่ผิดกับที่เขาและเอื้อกานต์เคยโดนมาแล้ว

             ประตูห้องคุณหญิงเปิดแง้ม ทีเกื้อยืนมองผ่านช่องกระจกด้านบนประตู จากมุมนั้นเห็นรายละเอียดบริเวณเตียงคนป่วยไม่ชัดนัก มีแค่เงาคุณหญิงอัปสรบางส่วน ไม่พบสัตตบงกช

             ทีเกื้อเคาะประตูเบา ๆ สองสามครั้งก่อนผลักเข้าไป สิ่งที่เจอค่อนข้างผิดคาด ต่างจากที่จินตนาการไว้

             คุณหญิงอัปสรนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงเพียงคนเดียว นัยน์ตามองนอกหน้าต่าง สีหน้าราบเรียบแววตาคล้ายรอคอยใครบางคน พอได้ยินเสียงเปิดประตูเธอก็หันกลับ จ้องตรงชายหนุ่มที่ไม่เคยคาดว่าจะมาหาเธอที่นี่

             มีธุระอะไร คำถามแรกเรียบนิ่ง

             เอ่อ... ทีเกื้อนึกคำพูดไม่ออก สุดท้ายก็หลุดวาจาแบบไม่ผ่านการไตร่ตรอง คุณหญิงมีธุระอะไรกับหนูดี

             สีหน้าคุณหญิงมีแววแปลกใจเล็กน้อยกับคำพูดโพล่ง ๆ แบบนี้

             แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแก คำลงท้ายฟังดูแรง หากน้ำเสียงไม่แรงอย่างเคยได้ยิน

             ก็...ไม่มีอะไร ถ้าเรื่องที่คุณหญิงจะพูดกับเขามันไม่เกี่ยวกับผม

             คุณหญิงยิ้มหยัน ประกายตาวาววับ

             แกคิดว่า...เรื่องที่ฉันจะคุยกับคู่หมั้นลูกชาย มีอะไรเกี่ยวกับแกงั้นหรือ?

             ทีเกื้อสูดลมหายใจยาวลึก เขาไม่ชอบพูดเยิ่นเย้อ วกวนจึงเข้าประเด็นทันที

             คุณหญิงอาจเข้าใจผิด ที่เห็นเขามาเยี่ยมเอื้อ

             เรื่องนั้นมีอะไรให้น่าเข้าใจผิด ดูเหมือนคุณหญิงจงใจโยกโย้ ทั้งยังคุมอารมณ์ได้ดี จนชายหนุ่มกลายเป็นฝ่ายพลาดไป

             ถึงตอนนี้ ทีเกื้อรู้แล้วว่าตนเองใจร้อน เป็นห่วงหญิงสาวเกินไป ต่อให้คุณหญิงสงสัยพฤติกรรมของสัตตบงกชที่มาเยี่ยมเอื้อกานต์ เอาข้าวกล่องมาให้เขา จนถึงขนาดต้องเรียกตัวมาสอบสอน หญิงสาวเองก็น่าจะหาเหตุผลมาอธิบายเอาตัวรอดได้ง่าย ๆ การที่เขาร้อนใจรีบตามมาพูดแบบนี้ เท่ากับร้อนตัว เป็นวัวสันหลังหวะ

             ถ้าคุณหญิงไม่เข้าใจผิด...ผมก็ต้องขออภัยด้วย ทีเกื้อเป็นฝ่ายยอมถอย ไม่เห็นประโยชน์ที่จะอยู่ต่อ

             ขอโทษ...ที่มารบกวน

             ทีเกื้อก้มศีรษะแสดงความเคารพ ก่อนถอยหลัง เตรียมออกจากห้อง

             รู้มั้ย คุณสมบัติข้อหนึ่งของลูกสะใภ้ฉันคืออะไร? คุณหญิงพูดลอย ๆ ทีเกื้อชะงักเท้า จ้องตาฝ่ายตรงข้าม

             ฉันไม่ชอบลูกสะใภ้ที่หน้าไหว้หลังหลอก แต่งเรื่องโกหก ตีหน้าซื่อ แล้วแอบทำอะไรไม่ดีลับหลังฉัน

             อะไรบ้าง ที่คุณหญิงบอกว่าไม่ดี ทีเกื้อเน้นคำ ดวงตาเป็นประกายเตรียมพร้อม

             อย่างเช่น...แอบมีใจให้ผู้ชายคนอื่น ทั้งที่ยังเป็นคู่หมั้นลูกชายฉันอยู่!”

             พฤติกรรมอย่างไรบ้าง ที่คุณหญิง ตีความว่า แอบมีใจ ให้คนอื่น ชายหนุ่มถามต่อโดยไม่เกรง

             เยอะแยะไป ตัวอย่างง่าย ๆ เช่นแอบเอาข้าวกล่องไปให้ผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่คู่หมั้นตัวเอง

             ทีเกื้อขบกรามแน่น

             แค่คนเขามีน้ำใจ เอาข้าวกล่องมาฝากกัน คุณหญิงจะสรุปได้ยังไงว่าเขามีใจให้กันชายหนุ่มถามเสียงเข้ม เอาจริง

             คุณหญิงอัปสรจ้องตาชายหนุ่มรุ่นลูกโดยไม่หลบ น้ำเสียงตอบของเธอเชื่องช้า ทว่าชัดเจนทุกคำ

             งั้นแกก็ยืนยันให้ฉันฟังทีสิ ว่าแกกับสัตตบงกช...ไม่เคยมีใจให้กัน...เขาเอาข้าวกล่องมาให้ เพราะว่าแกเคยเป็น...ตำรวจติดตามท่าน

             ที่จริง คุณหญิงควรจะบอกว่า...เพราะเขาเป็นน้องชายของธีรภูมิ...แต่หากพูดอย่างนี้ก็เท่ากับนับเขาเป็นคนในครอบครัวด้วย

             ทีเกื้ออึ้ง การจะโกหกว่าไม่เคยมีใจให้กันนั้นมันง่ายดาย แต่เขาพูดไม่ออก...ยิ่งเห็นคุณหญิงเป็นศัตรู เป็นคนที่เขารังเกียจมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่อยากทำตัวให้คุณหญิงดูถูก ด้วยการเป็นคนโกหก ตลบตะแลง

             ใช่...ผมกับหนูดี...เคยมีใจให้กัน เขาตอบชัดเจน

             นัยน์ตาคุณหญิงทอประกายบางอย่างวูบหนึ่ง ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันสังเกตเห็น

             แต่นั่นมันนานมาแล้ว...เราเลิกกันตั้งแต่หนูดีเรียนจบ กลับมาจากต่างประเทศ...เลิกกันก่อนที่หนูดีจะรับหมั้นพี่ภูมิด้วยซ้ำ

             เขามั่นใจว่าทุกคำพูดออกมาจากใจ ไม่มีคำโกหก เสแสร้ง

             แล้วตอนนี้ล่ะ...ไม่มีใจต่อกันอีกแล้วใช่มั้ย คุณหญิงถาม ต้องการคำตอบจริง

             มีใจหรือไม่มีใจมันไม่ใช่ปัญหาอีกแล้ว...เราสองคนโตพอที่จะยอมรับความจริงว่า อะไรคือเรื่องที่เหมาะสม สมควรทำ อะไรที่ไม่ใช่ ก็ไม่ควรแม้แต่จะคิด...เรื่องที่จบแล้ว ก็ต้องจบ ไม่มีประโยชน์อะไรจะมารื้อฟื้นกันอีก

             มุมปากคุณหญิงมีรอยยิ้มเยาะ

             ฉันจะเชื่อคำพูดแกได้สักแค่ไหน...แกมันก็เหมือนแม่แก ที่ชอบลักกินขโมยกิน!”

             คำพูดเหมือนใบมีดอาบน้ำกรด กรีดเข้ากลางใจเขาอย่างจัง ทีเกื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ ริมฝีปากขบแน่น นัยน์ตาเป็นประกายกร้าว เจิดจ้า

             คำพูดเผ็ดร้อน วาจารุนแรงเตรียมขึ้นมาตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม คำพูดที่สามารถทำให้คุณหญิงแดดิ้นด้วยโทสะ ร้อนรุ่มด้วยไฟโกรธ กำลังจะหลุดจากปาก อย่างที่เคยประคารมกันมาหลายต่อหลายครั้ง

             ทว่า...เมื่อได้สติ วาจาเหล่านั้นก็ถูกระงับไว้ที่ริมฝีปาก ใจอ่อนยวบ แววตาเจ็บล้า

             ใช่...แม่ผมเคยทำผิด ทีเกื้อพูดเสียงอ่อนลงจนคุณหญิงต้องมองอย่างแปลกใจ สิ่งที่แม่ทำพลาดไป ทำให้แม่ต้องเป็นทุกข์ทรมานอยู่หลายปี...ผมจะไม่ยอมทำผิดแบบเดิม อย่างที่แม่เคยทำหรอก

             อาจเพราะน้ำเสียงจริงใจ แววตายอมรับจริง ๆ คุณหญิงจึงมีท่าทีอ่อนลง

             ที่จริง คนที่อยากเป็นลูกสะใภ้ของฉันมีเยอะแยะ...ถ้าคนไหนคุณสมบัติไม่ดีพอ ฉันก็มีโอกาสเปลี่ยนใหม่ได้...ยังไงเสีย ตาภูมิก็ยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานเสียหน่อย

             ทีเกื้อถอนใจ เขาควรยินดีกับคำพูดคุณหญิง แต่นั่นมันเท่ากับเขายอมรับว่าตนเองเป็นแมวที่คอยกินปลาย่าง

             ผมไม่รู้ ว่าคุณหญิงต้องการเลือกลูกสะใภ้แบบไหน แต่อย่านำผม...อย่านำเรื่องที่จบไปแล้วระหว่างผมกับหนูดีมาตัดสินด้วยเลย ดูที่ปัจจุบันดีกว่า...ตอนนี้หนูดีเขาไม่มีข้อบกพร่องอะไรให้ต้องติได้เลยไม่ใช่หรือ?

             แกยินดีที่สัตตบงกชแต่งงานกับตาภูมิงั้นสิ

             ผมยินดี กับทุกสิ่งที่เขาเต็มใจเลือกเอง

             คุณหญิงนิ่งไปครู่ใหญ่ ทีเกื้อถอนใจ...เขาควรออกจากห้องนี้ได้แล้ว ไม่ควรอยู่ให้คุณหญิงรำคาญตา เกิดโทสะอีก...แต่อีกใจยังมีความค้างคา คล้ายยังทำงานไม่เสร็จ มีบางสิ่งที่เขาจำเป็นต้องบอกก่อนจากไป

             คุณหญิงครับ... นานครั้ง ทีเกื้อถึงจะพูดมีคำลงท้ายแบบสุภาพ น้ำเสียงไม่กระด้างเช่นนี้กับคุณหญิงอัปสรสักที

             ผมขอร้อง...ขอให้มองหนูดีในปัจจุบัน เรื่องของผมกับเขามันจบแล้วจริง ๆ ผมรับรองว่าหนูดีจะไม่มีทางทำเรื่องเสื่อมเสียให้แก่คุณหญิงแน่นอน

             ถ้าอย่างนั้น...ฉันขอถามแกข้อเดียว แววตาคุณหญิงบอกชัด คำถามนี้ต้องการคำตอบตรงไปตรงมา

             แกยังรักสัตตบงกชอยู่ไหม

             ทีเกื้ออึ้งไปพักใหญ่ จ้องตาคุณหญิงอย่างเปิดเผย ก่อนตอบแบบไม่ปิดบัง

             ผมยังรักเธออยู่ เพราะรัก...ผมถึงบากหน้ามาขอร้องคุณหญิงอย่างนี้ และเพราะรัก...ผมถึงกล้าให้สัญญาต่อคุณหญิงเลยว่า...ตราบใดที่หนูดีเป็นของพี่ภูมิ ผมจะไม่มีวันทำให้เธอเสื่อมเสียเลยแม้แต่นิดเดียว!”

             พูดจบ เขาเดินออกจากห้อง ไม่สนใจคุณหญิงอัปสรจะรู้สึกอย่างไร จะเชื่อคำพูดเขาหรือไม่ สิ่งที่ค้างคาใจ...สิ่งที่อยากพูด ได้พูดออกมาหมดแล้ว ทั้งหมดคือความจริงจากใจ ไม่จำเป็นต้องรออธิบายอะไรมากกว่านี้ เพื่อให้ใครมายอมรับ เชื่อถือ

             เพราะทีเกื้อไม่สนใจหันกลับไปมองด้านหลัง จึงไม่เห็นว่าสีหน้าคุณหญิงยังเรียบเฉย ไม่มีริ้วรอยโทสะ อยากอาละวาดอย่างเคย...หนำซ้ำ...เวลานี้ในห้องไม่ได้มีแค่คุณหญิงเพียงคนเดียว

             ห้องคนป่วยระดับวีไอพีของคุณหญิง จะมีห้องเล็กติดกัน สำหรับญาติมาเฝ้าไข้ ซึ่งเวลานี้ ประตูห้องนั้นเปิดกว้าง พร้อมกับมีสองคนเดินออกมา

             ธีรภูมิ กับสัตตบงกช...




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             ทีเกื้อกลับมาถึงห้องด้วยใจกระปลกกระเปลี้ย บอกไม่ถูก ทำไมตนถึงกล้าพูดแบบนั้น ทั้งที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกฝังอยู่ในใจอย่างมิดชิด

             มาถึงห้องคิดว่าจะได้พักผ่อน ที่ไหนได้ กลับมีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาถึงสองคน ซึ่งเขาไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย หนึ่งเป็นหญิงสาว อายุมากกว่าเขาราวห้าหกปี อีกหนึ่งเป็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารัก ที่เขาน่าจะเคยผ่านตา แต่จำไม่ได้แล้ว

             ขอโทษนะคะที่เข้ามาโดยไม่ได้ขออนุญาต หญิงสาวอาคันตุกะเอ่ยปากก่อน

             ไม่เป็นไรครับ มีธุระอะไรหรือเปล่า เขาถาม

             ผักกาดมาเยี่ยมคุณหมอเจ้าหญิง เสียงใส ๆ จากเด็กหญิงตัวน้อย

             สรรพนาม คุณหมอเจ้าหญิงแบบนี้ ทีเกื้อเคยได้ยินผ่านหูมาครั้งหนึ่ง จึงก้มหน้ามองแม่หนูน้อยพร้อมทบทวนความทรงจำ

             คืออย่างนี้ค่ะ... หญิงสาวผู้เป็นแม่เริ่มอธิบาย น้องผักกาดแกเคยเป็นคนไข้ของหมอเอื้อกานต์...วันนี้แกมาตรวจร่างกาย ไม่เจอคุณหมอ เลยถามกับพยาบาล พอรู้ว่าคุณหมอนอนป่วยอยู่ที่นี่ เลยรบเร้าให้พามาเยี่ยม

             อ๋อ...ครับ ทีเกื้อพยักหน้า เข้าใจ

             คุณหมอเจ้าหญิงไม่ฉะบายเป็นอะไรคะ หนูน้อยเงยหน้าถามเขา

             อืม... ทีเกื้อตอบไม่ถูก ไม่รู้จะอธิบายให้เด็กฟังได้อย่างไรว่า เอื้อกานต์โดนพิษอาคมร้ายจนไม่ฟื้น

             แล้วเมื่อไหร่คุณหมอเจ้าหญิงจะฟื้นคะ เมื่อไม่ได้คำตอบแรก เจ้าตัวเล็กก็ถามต่อ

             คง...อีกไม่นานหรอกจ้ะ เขาตอบทั้งที่ไม่แน่ใจ

             ขอโทษนะคะ หญิงสาวผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้น เห็นพยาบาลบอกว่า อาการคุณหมอยังหาสมมุติฐานโรคไม่ได้...พอดีน้องชายดิฉันเป็นหมอที่เก่งคนหนึ่ง แกทำงานอยู่ต่างประเทศ ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ลองส่งข้อมูล รายละเอียดอาการของโรคไปให้เขาที่โน่นดีมั้ยคะ เผื่อยังไงพอจะช่วยได้

             ไม่เป็นไรหรอกครับ อาจารย์หมอที่นี่ท่านก็พยายามดูแล ตรวจอาการหาสาเหตุกันอยู่ ทีเกื้อตอบปฏิเสธ

             ผักกาดจะกอดคุณหมอ แม่หนูน้อยร้องบอก พยายามจะปีนขึ้นเตียง

             ไม่เอาลูก เดี๋ยวคุณหมอจะติดเชื้อโรคจากหนู คุณแม่ดุ

             ไม่ติดหรอก เวลาผักกาดไม่ฉะบาย มาหาคุณหมอ...คุณหมอเจ้าหญิงแค่กอดเดี๋ยวเดียว ผักกาดก็หายเลย

             เด็กหญิงพูดแจ้ว ๆ คนเป็นแม่ส่ายหน้าไม่เชื่อถือ ทีเกื้อค่อยนึกออก จำได้ว่าแม่หนูคนนี้เคยมานอนอยู่โรงพยาบาล แล้วแอบหนีพยาบาลมาหาเอื้อกานต์ อ้อนว่าไม่สบาย เอื้อกานต์เลยกอด แล้วหอมแก้มเบา ๆ เจ้าตัวเล็กก็หาย

             ทีเกื้ออยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย...เห็นทีแรกยังขำ แต่ก็รู้ว่าเอื้อกานต์สามารถรักษา บางคน ได้ด้วยการกอดจริงๆ

             ไม่เป็นไรครับ...ผักกาดจะกอดคุณหมอก็ได้ เดี๋ยวพี่อุ้มขึ้นเตียงให้

             ชายหนุ่มพูดเสียงอ่อนโยน พลางอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นบนเตียง เด็กหญิงมองหน้าเอื้อกานต์แล้วยิ้มหวาน โน้มตัวลงไปกอดหญิงสาวด้วยท่าทางอบอุ่น จริงใจอยู่ครู่หนึ่ง

             ถึงจะรู้ว่าไม่มีผลอะไร ทีเกื้ออดอมยิ้มไม่ได้...แต่ทว่า ขณะที่แม่หนูน้อยกำลังโอบกอดเอื้อกานต์อยู่นั้น เขาสัมผัสถึงกระแสพลังงานอันอบอุ่น บริสุทธิ์ใสสะอาด แผ่ออกมาจากร่างน้อย ๆ นั้น

             ทีเกื้อตั้งสมาธิจับที่พลังงานของเด็ก ครู่หนึ่งมันก็หายไป ไม่มีผลอะไรต่อเอื้อกานต์...แม่หนูผักกาดขยับตัวขึ้นมา ก้มลงหอมแก้มคุณหมอของเธอเบา ๆ

             หายเร็ว ๆ นะค้า...คุณหมอเจ้าหญิง

             สองแม่ลูกกลับไปแล้ว ทีเกื้อยังนั่งอยู่ข้างเตียง มองใบหน้าพี่สาวด้วยความครุ่นคิด

             พลังงานบริสุทธิ์แบบเด็กๆ

             คำนี้ผุดขึ้นมา...มันเป็นพลังงานแห่งความรัก ความปรารถนาดี จริงใจแบบไม่มีการเสแสร้ง บิดเบือน

             ถึงพลังงานใจบริสุทธิ์ของหนูผักกาดจะไม่สามารถทำให้พิษอาคมในตัวเอื้อกานต์คลายออกมาได้ แต่สิ่งที่เจ้าตัวเล็กกระทำ ก็ปลุกความทรงจำทีเกื้อขึ้นมา ถึงตอนเอื้อกานต์ยังเด็ก เพิ่งรู้จัก พลังพิเศษ ของตนใหม่ๆ

             มันเป็นพลังที่ไม่ใช่ว่านึกอยากใช้ตอนไหนก็ใช้ได้เลย กระทั่งเอื้อกานต์ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับสิ่งพิเศษที่ตนเองมีอยู่นี้



             จนครั้งหนึ่ง เห็นลูกนกตกมาจากรัง ปีกหัก ไม่รู้จะพาไปหาหมอที่ไหน...เอื้อกานต์อยากจะช่วย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยนำนกมานอนกอดด้วยทั้งคืน...รุ่งเช้าปีกก็หายเป็นปกติ ขยับได้แทบบินปร๋อ

             อีกครั้งตอนเจอลูกหมาถูกรถชน กระดูกหัก ช้ำในอาการหนัก...หมอแถวบ้านบอกว่ายังไงก็ไม่รอด...เอื้อกานต์สงสารหมาจนน้ำตาร่วง อุตส่าห์นำผ้าขนหนูมาห่อตัวเจ้าหมาน้อย โผล่มาแค่หน้า มันยังลืมตาแป๋ว เด็กน้อยอุ้มมันอยู่อย่างนั้นทั้งวัน นอนกอดทั้งคืน เช้าวันต่อมามันก็วิ่งได้ตามเดิม



             ทีเกื้อเคยถามพี่สาว...

             เอื้อทำได้ยังไงน่ะ

             ไม่รู้ หนูน้อยเอื้อกานต์ตอบ ก็แค่อุ้ม...แล้วกอดมันไว้เฉยๆ

             แล้วอธิษฐานขอให้มันหายด้วยหรือเปล่า เด็กชายสงสัย

             เปล่า...แค่กอดมันแล้วก็นึกสงสาร...หัวใจเอื้อมันก็อุ่น ๆ...ให้มันอยู่ใกล้หัวใจอุ่นๆของเอื้อ แล้วมันก็หายเอง

             วันนี้ทีเกื้อเพิ่งเข้าใจคำว่า หัวใจอุ่น ๆ ของเอื้อกานต์ในวันวาน

             เด็กมีความสดใส ความคิดไม่ซับซ้อน จิตใจสะอาด บริสุทธิ์ เหมือนหยาดน้ำค้าง ใจเกิดความเมตตา สงสารตามธรรมชาติ รวมกับ ของเก่าบางอย่าง ที่มีมาด้วยเหตุใดก็ตอบไม่ถูก ทำให้เอื้อกานต์สามารถรักษาสัตว์ต่าง ๆ รวมถึงตัวเขาในวัยเยาว์ได้

             ทีเกื้อเพิ่งสัมผัสพลังเช่นนี้จากหนูผักกาด...จิตใจบริสุทธิ์ อ่อนใส มีความรัก ความเมตตาตามธรรมชาติ หนูผักกาดขาดเพียง ของเก่าอย่างเอื้อกานต์ในอดีต...ไม่เช่นนั้น เธอก็อาจกลายเป็นคุณหมอตัวน้อยในอนาคตได้อีกคน

             พอเข้าใจเรื่องนี้ ทีเกื้อก็หยิบกระเป๋าเป้ ล้วงเอาสมุดบันทึกของคุณตาออกมา ชื่อ อาคม บนหน้าปกเด่นสะดุดตา เขาจำได้ว่าเคยเห็นคำว่า พลังงานบริสุทธิ์ ในบันทึกคุณตามาก่อน จึงนำมาเปิดดูเพื่อทบทวนอีกครั้ง

             พลิกหน้ากระดาษด้วยความคุ้นเคยไม่กี่หน้า ก็พบข้อความที่ค้นหา...



             ไสยศาสตร์มีทั้งฝ่ายขาว และดำ...อาคม มนตรา...ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย มันขึ้นอยู่กับผู้ใช้ จะนำมันไปทำเรื่องดี หรือชั่ว...ข้าพเจ้าเคยเผชิญกับศาสตร์ทั้งฝ่ายขาว และดำมาแล้ว แต่นอกจากนี้ ท่านผู้รู้บางคน เคยบอกแก่ข้าพเจ้าว่า...ยังมีศาสตร์อีกชนิดหนึ่ง ชื่อ ศาสตร์บริสุทธิ์เป็นพลังงานบริสุทธิ์ใส ที่ไม่ใช่ทั้งสีขาว และสีดำ

             เปรียบเหมือนมีคราบสีขาว และสีดำอยู่บนพื้น...สีขาวอาจกลบทับสีดำให้ดูสะอาดตาได้ และสีดำก็สามารถกลบทับสีขาวให้เกิดความมืดมิดได้...แต่น้ำที่สะอาดใส สามารถชะล้างทั้งสองสี ให้พื้นกลายเป็นพื้นที่สะอาดอย่างแท้จริงได้

             น่าเสียดาย พลังงานบริสุทธิ์ เช่นนี้ ข้าพเจ้าเคยได้ยินเพียงแค่คำกล่าวขาน ตลอดชีวิตการทำงานหลายสิบปี ไม่เคยพบ หรือได้ยินว่ามีใครฝึกฝนศาสตร์แขนงนี้เลย มันอาจเป็นแค่คำเล่าขาน หรือไม่ก็มันสูญหายจากการสืบทอด ไปแล้ว ทำให้คนรุ่นหลังไม่มีโอกาสได้เรียนรู้



             เป็นครั้งแรกที่ทีเกื้อได้สัมผัส รับรู้ถึงพลังงานชนิดนี้ ทั้งที่จริงก็เคยเห็นเอื้อกานต์แสดงให้ดูมาตั้งแต่เด็ก...เสียแต่ว่า พอโตขึ้นมาพลังงานบริสุทธิ์แบบเด็ก ๆ ของเอื้อกานต์ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นสีขาว สว่าง มีเจตจำนงรายละเอียดชัดเจน รู้มากขึ้นเสียจนลืมเลือนความเรียบง่าย ธรรมดาไป

             ทีเกื้อปิดสมุดบันทึก นัยน์ตาทอดมองนอกหน้าต่าง...วกกลับดูใจตนเอง จำได้ว่าเขาเริ่มมีพลังรักษาแบบเอื้อกานต์ตั้งแต่ตอนที่ช่วยนายเดชา

             พลังงานของเขาก็เป็นสีขาวแบบของเอื้อกานต์ เป็นพลังที่เกิดจากจิตเจตนาเป็นกุศลแน่วแน่ ไม่ใช่พลังบริสุทธิ์เป็นธรรมชาติแบบที่หนูน้อยผักกาดมี

             สัญชาตญาณ สัมผัสเร้นลับกระซิบบอกเบา ๆ พลังงานบริสุทธิ์เช่นนี้ จะมีประโยชน์แก่เขาอย่างยิ่ง หากรู้จักวิธีใช้มัน




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             ด่านที่สามคืออะไร?

             คำตอบอยู่เบื้องหน้าทรงกลด

             เมรุเผาศพเก่ากลางใหม่ตั้งเด่นตระหง่าน ท่ามกลางแสงสลัวของอาทิตย์อัสดง

             งูพิษ...น้ำ...สุดท้าย ไฟ!

             ผมต้องเข้าไปในเตาเผาใช่มั้ยครับ ทรงกลดถามอาจารย์ที่ยืนเคียงข้าง

             ใช่ คำตอบสั้น ง่าย

             จะมีสักกี่คนเคยมุดเข้าไปอยู่ในเตาเผาศพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เวลาที่เขาจุดไฟ

             ทรงกลดหันไปก้มศีรษะ แสดงความเคารพอาจารย์ ก่อนเดินขึ้นเมรุช้า ๆ บรรยากาศรอบตัวอบอวลด้วยหมอกจางสีเทา ความรู้สึกแห่งความตายกระจายออกไปทั่วบริเวณ

             วัดแห่งนี้เงียบสงัด ห่างไกลจากชุมชน เมรุตั้งอยู่ด้านหลัง ติดกับป่าช้า ธรรมดาไม่ค่อยมีใครแวะเวียนมาอยู่แล้ว โดยเฉพาะยามโพล้เพล้ ใกล้สนธยาเช่นนี้

             ความมืดโรยตัวมาอย่างรวดเร็ว มองจากด้านหน้าเมรุเห็นเตาเผาเป็นเงาตะคุ่ม ทรงกลดเดินเข้าไป ไม่ใส่ใจต่อบรรยากาศกดดันรอบตัว

             จากซอกหลืบ บางมุมบนเมรุเผาศพ มีเงาวอบแวบล่อหลอก คล้ายมีสิ่งไร้ชีวิตแอบอาศัย มันกำลังรุมล้อมเข้ามา ชวนให้คนขวัญอ่อนใจสั่นสะท้าน อากาศเย็นปรากฏแบบไม่มีที่มาที่ไป กลิ่นเหม็นเอียน ๆ คละคลุ้งขณะก้าวมายืนหน้าเตาเผา

             ทรงกลดเปิดฝาเตาเผาออก กลิ่นเหม็นคลุ้งพุ่งออกมาพร้อมกระแสเอียน ๆ อากาศเย็นยะเยียบ คล้ายยืนอยู่ปากเหวนรก ด้านในเตามีเงาร่างราง ๆ หลายสิบร่างผลุบโผล่ไปมาพร้อมกลิ่นควัน เหม็นไหม้ชวนอึดอัดอาเจียน

             ต่อให้คนขวัญกล้าแค่ไหน เจอบรรยากาศ กลิ่น และสภาพการณ์เช่นนี้ รับรองย่อมไม่กล้ามุดเข้าไปในเตาเผาเด็ดขาด...เพียงแต่คนนั้นไม่ใช่ทรงกลด

             ทรงกลดไม่ใช่คนขวัญกล้า บ้าบิ่นเกินมนุษย์ เขาแค่ไม่สนใจต่อความรู้สึกที่เกิดในใจ ไม่ปล่อยให้ความหวาดกลัวครอบงำ พอความกลัวเกิดขึ้น ความขนพองสยองเกล้าปรากฏ เขาแค่รู้...แต่ไม่สนใจมัน

             เขารู้อย่างเดียว ต้องทำอะไร...ไม่ยอมให้สิ่งใดมาขัดขวาง แม้แต่ความขลาดเขลา หวาดกลัวในจิตใจตน

             ในที่สุดทรงกลดก็มุดเข้าไปในเตาเผา ร่างสูงต้องค่อย ๆ ยอบตัวคลานอย่างเชื่องช้า ชวนอึดอัด จนกระทั่งร่างเขาหายลับไปกับเงามืดด้านใน ฝาเตาเผาก็ปิดดังปัง

             ร่างของฮันเตอร์ คิมยืนอยู่เบื้องนอก ประกายตาลุกโพลงคล้ายเปลวไฟโชติช่วง...ไม่นานได้ยินเสียงดังพรึบ ในเตาเผาปรากฏไฟติดขึ้น

             การฝึกฝนด่านที่สาม...เริ่มต้นขึ้นแล้ว



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP