สารส่องใจ Enlightenment

คุณค่าแห่งธรรม (ตอนที่ ๔)



พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
วัดป่าบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
เทศน์ในงานพระราชทานเพลิงศพขุนศรีราชสุรากร
ณ วัดมหาชัย อ.เมือง จ.มหาสารคาม
เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๓



คุณค่าแห่งธรรม (ตอนที่ ๑) (คลิก)
คุณค่าแห่งธรรม (ตอนที่ ๒) (คลิก)
คุณค่าแห่งธรรม (ตอนที่ ๓) (คลิก)



วันนี้ได้มีโอกาสมาแสดงธรรม
ให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบถึงคุณค่าแห่งศาสนาพุทธ
คุณค่าแห่งธรรมที่พระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรก
ได้ตรัสรู้ธรรมแล้วนำมาสั่งสอนโลกว่ายากขนาดไหน
ในตำราปรากฏว่าทรงสลบถึง ๓ หน ฟังซิทุกข์ไหม ลำบากไหม
สลบถึง ๓ ครั้ง กว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาสอนโลก
การสอนโลกท่านไม่ได้สอนแบบปาวๆ
ไม่ได้สอนแบบคำบอกเล่า ไม่ได้สอนแบบธรรมดาๆ
สอนแบบเน้นแบบหนัก แบบเห็นโทษจริงๆ เห็นคุณจริงๆ
นรกท่านก็เห็นจริงๆ สัตว์ตกนรกท่านก็เห็นจริงๆ อัดแน่นอยู่ในนรกท่านก็เห็นจริงๆ
สัตว์โลกที่ไปสวรรค์ท่านก็เห็น พรหมโลกท่านก็เห็น นิพพานท่านก็เป็นผู้ทรงไว้เสียเอง
ท่านจะสอนโลกทั้งหลายด้วยความลูบๆ คลำๆ กำดำกำขาวได้ยังไง
ท่านต้องสอนแบบศาสดาเอกนั่นแล
สอนแบบศาสดาคือสอนด้วยความรู้ยิ่งเห็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง
เมื่อสอนก็ทรงหนักแน่นถึงจิตถึงใจถึงกิเลสจริงๆ
เมื่อถึงกิเลสก็ถึงธรรมในขณะเดียวกัน กิเลสก็ม้วนเสื่อเพราะอำนาจแห่งธรรม
ที่มีความเข้มแข็งเผ็ดร้อนมากเกินกว่ากิเลสจะทนอยู่ได้
ดังที่ทรงสอนมาแล้ว นั้นแลท่านผู้ทรงอรรถทรงธรรมสอนโลก
ท่านสอนด้วยพลังของธรรม ด้วยพลังของความเมตตาจริงๆ


มรรคผลนิพพานทุกวันนี้อยู่ที่ไหนเราพิจารณาบ้างซิ
ปล่อยให้กิเลสมันหลอกว่าพระพุทธเจ้านิพพานแล้วมรรคผลนิพพานไม่มี
อย่างสบายปากมันอยู่นั้นหรือ
เวลาปรินิพพาน พระพุทธเจ้าท่านกอบโกยมรรคผลนิพพานของชาวพุทธเราไปหมดแล้วเหรอ
สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ชอบแล้วนั้น
แต่เวลาพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว พระธรรมที่ตรัสไว้ชอบนี้เหลวไหลไปแล้วเหรอ
ให้เราถามหาความจริงในวงแห่งธรรมบ้างซี
อย่าให้กิเลสมันหลอกลวงต้มตุ๋นตลอดเวลานัก มันสลดสังเวชจริงๆ
ถ้าจะสร้างคุณงามความดีก็ให้กิเลสหลอกเสีย ว่าอำนาจวาสนาน้อย
ถ้าจะสร้างบาปไม่มีคำว่าบุญวาสนาน้อยหรือมาก
มีเท่าไรเหมาไปเลยๆ หัวขาดเป็นขาด ตายเป็นตาย
จวนจะเข้าโลงอยู่แล้วยังมีความสมัครรักใคร่ในการสร้างบาปสร้างกรรม
นั่นเป็นยังไงกิเลสหลอกคน มันหลอกหนักเบาขนาดไหน
พวกเราชาวพุทธที่ถูกหลอกไม่เจ็บใจบ้างหรือ
พิจารณาซี นี่เจ็บใจแทนชาวพุทธเราจริงๆ นะ


เราเป็นชาวพุทธ พุทธะแปลว่าอะไร แปลว่าผู้รู้ผู้ฉลาด
เราเป็นชาวพุทธทำไมจะไปโง่ต่อกิเลสทุกแง่ทุกมุมเอานักหนา
ทั้งๆ ที่ธรรมพระพุทธเจ้าสอนให้เราฉลาด
นี่นำปัญหาเหล่านี้มาถามตัวเราบ้างเพื่อทางออกจะได้ราบรื่นต่อไป
สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นมาแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง
ทำไมจึงยอมให้กิเลสฉุดลากมาคัดมาค้านพระพุทธเจ้า
ถ้าไม่ใช่เทวทัตในร่างแห่งชาวพุทธของเรา
สิ่งเหล่านี้ให้ถามตัวเราเองนะ เฉพาะอย่างยิ่งเวลาเราจะทำคุณงามความดีนี้
เทวทัตในหัวใจเรามันจะโกหกมันจะต้มตุ๋นเราทันทีนะ
ว่าให้รอเสียก่อนวันนี้ยุ่ง วันนั้นยาก วันนั้นลำบาก
เวลานี้ยุ่งงานนั้น งานนี้ เวลานี้เจ็บไข้ได้ป่วยเจ็บหัวตัวร้อน
นี่เวลาจะทำคุณงามความดีมันจะมาขัดมาแย้ง


พอเวลาจะทำความชั่วความไม่ดีเท่านั้น คนเราอยากมีสัก ๑๐ ขา
และวิ่งป่าราบไปหมดทั้ง ๑๐ ขาเลยไม่มีใครสู้ได้
วัวควายสัตว์หมาสู้ไม่ได้เพราะมีเพียง ๔ ขา
คนที่จะทำความชั่วมันทำด้วยความพอใจ
พออกพอใจทุกสิ่งทุกอย่างในบรรดาความชั่ว อยากได้ ๑๐ ขาเร็วยิ่งกว่าลิง
นี่ละกิเลสหลอกคนมันหลอกอย่างนี้ พวกเราทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธได้ทราบบ้างหรือยัง
ว่าถูกกิเลสหลอกลวงตลอดอิริยาบถความเคลื่อนไหวไปมา


เป็นยังไงเวลานี้มีอยู่ในหัวใจของเราไหม สิ่งที่มันขัดแย้งพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลานี่
ที่ว่านรกไม่มีใครจะไปตกนรกถ้าไม่ใช่ผู้ที่ว่าอยู่เวลานี้น่ะ
และตายแล้วสูญใครมาเกิดเวลานี้ เห็นไหม เต็มแผ่นดินอยู่นี้
จนจะหาที่อยู่ที่อาศัยหาปัจจัยเครื่องเยียวยาไม่ได้แล้ว เพราะมนุษย์มีมาก
หากตายแล้วสูญจะเอาอะไรมาเกิด
พิจารณาซี เพียงเท่านี้ยังไม่รู้เหรอ ยังไม่เข้าใจอยู่เหรอก็เห็นกันอยู่สดๆ ร้อนๆ นี่
ถ้ามันสูญจริงๆ ตามที่เข้าใจนั้นแล้วมันมาเกิดได้ยังไง
ดูเอาในตัวของเรานี่ ถ้าสูญแล้วจะเอาอะไรมาเกิดเป็นตัวของเราเวลานี้
เพียงเท่านี้มันก็ลบล้างได้แล้ว
กิเลสมันจะมีกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านกี่โคตรกี่แซ่ก็ทำลายมันได้หมด
เอาตัวของเราเป็นเครื่องยืนยัน ถ้าว่าสูญแล้วเรามาเกิดได้ยังไง
เพียงเท่านี้ก็เข้าใจกันแล้วนี่


นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าท่านสอน ท่านสอนด้วยความรู้จริงเห็นจริง
แต่เราฟังด้วยความมืดความบอด ฟังด้วยหูป่าตาเถื่อนมันก็ไม่เข้ากันซิ
ให้กิเลสหลอกเอาๆ เพราะกิเลสมันลบล้างธรรม
พอธรรมว่าเป็นอย่างนั้นกิเลสก็ว่าเป็นอย่างนี้
ธรรมว่าไม่ดี กิเลสว่าดี ถ้าธรรมว่าชั่ว กิเลสว่าดี
มันขัดมันแย้งอยู่ในหัวใจของเรานี้แหละ
ให้พี่น้องทั้งหลายได้นำไปพิจารณาและประพฤติปฏิบัติให้ได้ทราบบ้าง
ว่า คุณค่าของศาสนานั้นหมดไปจริงๆ เหรอ หรือว่าไม่มีใครปฏิบัติก็เป็นโมฆะอยู่เฉยๆ
เช่นกองเงินกองทองเท่าภูเขาก็ตาม เจ้าของสมบัติเงินทองเหล่านั้นถ้าไม่นำมาใช้
มันก็เป็นเศษเงินเศษทองหรือเศษกระดาษอยู่นั่น
ถ้าเงินเป็นกระดาษก็เป็นเศษกระดาษ เงินเป็นแร่ธาตุก็เป็นแร่ธาตุ
เงินเป็นเงิน ทองเป็นทองมันก็เป็นเงินเป็นทองเท่านั้น
ไม่เป็นความสุขให้เจ้าของแต่อย่างใด
เพราะไม่นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ตามคุณค่าของสิ่งนั้นๆ


นี่ศาสนาท่านก็สอนให้นำมาประพฤติปฏิบัติ
ถ้าเราไม่ปฏิบัติศาสนาก็เป็นศาสนาอยู่นั้นแล
ในคัมภีร์ก็เป็นคัมภีร์ บอกบาปบุญคุณโทษก็บอก
แต่มันมีแต่ชื่อนั่นซิ ในคัมภีร์มีแต่ชื่อ ตัวผู้ทำบาปทำกรรม
ผู้จะไปตกนรกหมกไหม้ไม่ใช่คัมภีร์เป็นผู้ไปตก คนเป็นผู้ไปตก
เพราะฉะนั้นจึงให้แก้ตัวของเราให้ดี
แล้วจะทรงมรรคทรงผลดังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วสดๆ ร้อนๆ
ให้พี่น้องทั้งหลายได้นำไปประพฤติปฏิบัติ


วันหนึ่งๆ มันตายได้นะ วันหนึ่งตายสักเท่าไร
เฉพาะเมืองไทยของเรานี้วันหนึ่งตายเท่าไร
นี้ยกท่านเป็นเอกเทศ เพียงศพเดียวนี้เท่านั้น
แล้วโลกอันนี้วันนี้ตายมากขนาดไหน พิจารณาซิ ทำไมเราจะไม่ตายได้
เรายังจะประมาทมัวเมาอยู่เหรอ นี่คือเรื่องเตือนตนไม่ให้ประมาท
จะเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นภพกำเนิดที่เกิดได้ยาก


คนเราถ้าระลึกความประมาทได้แล้วจะไม่ลืมเนื้อลืมตัว จะมีการยับยั้งชั่งตัวได้
ท่านถึงสอนมรณสติๆ ให้ระลึกถึงความตายบ้างคนเราไม่อยู่ค้ำฟ้า
ตายที่ไหนมันเป็นป่าช้าทั้งนั้นแหละ
แม้แต่ที่เรานั่งอยู่นี้ก็เป็นป่าช้า เพราะสัตว์ทั้งหลายตายกันเต็มไปหมด
เป็นมดเป็นแมงอะไรตายเกลื่อนอยู่ตามนี้ เพียงแต่ไม่เรียกเป็นป่าช้าเฉยๆ
ว่าเป็นป่าช้าแต่มนุษย์เราที่ตายแล้วเผาและฝังกัน
ความจริงมันเป็นป่าช้าด้วยกันทั้งนั้นแหละ


เพราะฉะนั้นจึงขอให้ระลึกความตาย แล้วสร้างคุณงามความดีเข้าสู่ใจของเรา
สิ่งใดที่เป็นภัยตามโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้
อย่ากล้าอย่าหาญอย่าไปทำ สิ่งนั้นจะมาเป็นภัยแก่ตัวของเรานั้นแล
สิ่งใดเป็นบุญเป็นคุณขอให้พยายามสร้างในสิ่งนั้น
แล้วจะเป็นผลเป็นประโยชน์แก่ตัวของเราเอง เพียงเท่านี้เราก็เย็น


ในฆราวาสเหย้าเรือนของเรา ธรรมท่านสอนไว้ไม่ต้องเอามากมายนักแหละ
เพียงศีล ๕ เท่านั้นก็พออยู่พอกินพอเป็นพอไปไม่เดือดร้อนวุ่นวายคนเรา
แต่นี้มักพากันทำลายศีล ๕ ซึ่งเท่ากับการทำลายความสงบสุขความเจริญของตัวเอง
และเท่ากับการทำลายตัวเองให้เสียไปด้วยทุกวันๆ โลกถึงได้เดือดร้อน
ว่าศาสนาหมดมรรคหมดผล ก็เราเป็นคนที่หามรรคหาผลไม่ได้
เราเป็นโมฆบุรุษโมฆสตรีอยู่ในวงศาสนาหาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย
จะให้ธรรมนั้นมาสวมเราให้เป็นผู้วิเศษวิโสทั้งๆ ที่เราไม่ได้ปฏิบัติตัวให้ดีได้อย่างไร


แม้แต่ข้าวอยู่ในภาชนะ อยู่ในถ้วยในจานของเรา ตักแล้วเอามาวางไว้ตรงหน้าของเรา
เมื่อไม่รับประทานแล้วอาหารนั้นก็เน่าเฟะไปเฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรนี่ฉันใด
ธรรมะพระพุทธเจ้าก็เหมือนกันฉันนั้น
เลิศขนาดไหนเมื่อเราไม่นำมาปฏิบัติก็ไม่เห็นความเลิศแห่งธรรม
อาหารจะเอร็ดอร่อยขนาดไหนถ้าเราไม่ได้รับประทาน
ก็ไม่เห็นคุณค่าของอาหารว่าเอร็ดอร่อยขนาดไหน
สุดท้ายเรานั่นแหละเป็นผู้หิวโหย เป็นผู้ตาย
อาหารก็เน่าเฟะไปไม่เกิดประโยชน์ทั้งสองด้านสองทาง
ขอให้ทำตนให้เป็นประโยชน์ สิ่งเหล่านี้เกิดมาเพื่อเป็นประโยชน์ทั้งนั้นแหละ


เราก็เหมือนกัน ใจนี้เรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของอยู่ตลอดเวลา
แต่เจ้าของนั่นพาทะเยอทะยานพาโลภพาโกรธพาหลงอยู่ตลอดเวลา
เหมือนกับป่าช้าไม่มีในโลกนี้ มันถึงได้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย
ถามที่ไหนก็ถามเถอะโลกอันนี้ ไปถามเศรษฐีก็ไปถาม
จะบอกว่าข้านี้เป็นเศรษฐี ข้ามีเงินมีทองมาก ข้าสบายแล้วๆ อย่างนี้ไม่มี
เพราะหัวใจมันเป็นฟืนเป็นไฟเอาอะไรมาสบาย


ปรับปรุงหัวใจเจ้าของให้ถูกต้องดีงามซิ สิ่งเหล่านั้นก็มาเป็นเครื่องเสริมความสุขแก่เรา
เรามีความเฉลียวฉลาดแล้วเอาเงินทองข้าวของมาจับจ่ายใช้สอยเป็นประโยชน์
ก็เป็นประโยชน์ไปตามๆ กัน
ถ้าเราเป็นผีเสียอย่างเดียว เป็นยักษ์เสียอย่างเดียวก็สังหารเงิน
เงินมีเท่าไรก็มาช่วยส่งเสริมเผาเราเข้าไปอีกๆ
คนที่เป็นเศรษฐีนั้นแลยิ่งเป็นคนทุกข์มากยิ่งกว่าคนจน เพราะมีฟืนไฟมาก
พวกสมบัติเงินทองนั่นละมันเป็นฟืนเป็นไฟมาเผาเจ้าของ
เพราะเจ้าของโง่ มีแต่ความทะเยอทะยานอยากได้ไม่มีเมืองพอ
กระทั่งความหิวโหยความทะเยอทะยานพาตายทิ้งเปล่าๆ
ยังไม่เจอเมืองอิ่มพอ ซึ่งน่าสังเวชจริงๆ


ถ้าเจ้าของฉลาดเสียอย่างเดียว
ไม่จำเป็นเราจะต้องเอาเงินเอาทองเอาข้าวเอาของกองเป็นภูเขามาประกันตัวแหละ
ขอให้ประพฤติปฏิบัติตัวของเราให้ดีเท่านั้น
พระพุทธเจ้าว่าอย่างไรก็อย่าฝืนพระพุทธเจ้า
อุฏฐานสัมปทา ให้มีความขยันหมั่นเพียรในหน้าที่การงาน
อารักขสัมปทา
ได้มาแล้วให้เก็บหอมรอมริบ สิ่งใดที่ควรจะเก็บก็ให้เก็บ
สิ่งใดที่ควรจะเป็นประโยชน์แก่ครอบครัวเหย้าเรือนหรือส่วนรวมมากน้อยให้นำไปใช้
สมชีวิตา ชีวิตจิตใจของเรา วันหนึ่งๆ ในครอบครัวของเราควรจะจ่ายสักเท่าไร
เงินเป็นค่าอาหารค่าจับจ่ายใช้สอยวันหนึ่งประมาณเท่าไร ให้จับจ่ายตามเหตุตามผลนี้
กัลยาณมิตตตา ขอให้มีเพื่อนฝูงอันดีงาม อย่าไปหาคบคนพาลสันดานหยาบ
แล้วเราจะเป็นคนดี ต่างคนต่างเสาะแสวงหาความดีอย่างนี้
ทำไมโลกนี้ซึ่งเต็มอยู่ด้วยทั้งความดีความชั่ว
ผู้ฉลาดหาความดีทำไมจะไม่เจอความดี ต้องเจอ ของมีอยู่ไม่ใช่ของสูญหาย


วันนี้ได้มาแสดงธรรมให้พี่น้องทั้งหลายฟัง จึงของอภัยด้วยการแสดงธรรมรู้สึก
ถ้าท่านผู้ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังก็จะว่าเผ็ดร้อนไป
คำว่าเผ็ดร้อนไปนี้ก็คือว่าเผ็ดร้อนตามกำลังของกิเลส
เพราะกิเลสไม่เคยให้ความร่มเย็นแก่ผู้ใด
มีอยู่หัวใจใดมีมากมีน้อยจะต้องมีความเผ็ดความร้อนความทุกข์ความทรมานอยู่โดยดี
ธรรมะถ้าเป็นน้ำก็เพียงหยดเดียว
เอามาชำระหรือมาดับฟืนดับไฟทั้งกองอย่างนั้นมันดับไม่ได้
เมื่อไฟมากก็เอาน้ำมาก กิเลสมันมากก็เอาธรรมะมาก
กิเลสมันรุนแรงก็เอาธรรมะรุนแรง
กิเลสผาดโผนเอาธรรมะผาดโผนเข้ามาปราบกันๆ แล้วก็พอกัน พออยู่ได้คนเรา


เพราะฉะนั้นขอให้พี่น้องทั้งหลายได้นำคติธรรมนี้ไปรักษาตนเอง ไปหักห้ามตนเอง
บางอย่างมันรุนแรงอยากจะทำความชั่วนี้อยากเอาอย่างมากมาย
นั่นละให้นำธรรมะเข้าไปหักห้ามอย่างรุนแรงถึงจะทันกัน
แล้วเราจะได้ตัวของเราไว้เป็นอิสระ เป็นคุณงามความดี
เย็นอกเย็นใจว่าเราห้ามความชั่วนี้ไว้ได้
ถ้าเราปล่อยให้เป็นความชั่วไป วันนี้ชั่วขนาดนี้ วันหน้าชั่วขนาดนั้น
แล้วรวมกันแล้วเป็นกองแห่งความชั่วเต็มอยู่ในหัวใจของเรา
ก็คือฟืนคือไฟ เรียกว่าตกนรกทั้งเป็นนั้นแล
คนไม่มีธรรมเป็นเครื่องห้ามล้อให้กิเลสทั้งหลายได้ยับยั้งตัวบ้างแล้ว
จะต้องเป็นคนที่ถูกเผาไหม้ทั้งเป็นอยู่ตลอดเวลา มีแต่ความทุกข์ความทรมาน


ในอวสานแห่งการแสดงธรรมนี้ หวังว่าพี่น้องทั้งหลายจะพอเข้าใจในอรรถในธรรม
วันนี้แสดงเพียงเท่านี้ ไม่ได้แสดงภาคปฏิบัติเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากเกินไป
เพื่อให้พอเหมาะพอดีกับเวล่ำเวลาที่จะดำเนินในวาระต่อไปนี้
ในการแสดงธรรมนี้ขอคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
จงมาคุ้มครองท่านทั้งหลายมีท่านเจ้าภาพเป็นต้น ให้มีความสุขกายสบายใจ
และท่านผู้ที่ล่วงลับไป แม้ว่าท่านจะไปสถิตอยู่ในสถานที่แดนใด
ก็ขอให้ท่านทราบด้วยญาณวิถีทางใดทางหนึ่ง
แล้วมารับอนุโมทนากับบรรดาญาติทั้งหลาย
ตลอดถึงพี่น้องทั้งหลายที่มาในงานนี้ ก็ขอให้มีความสวัสดีมงคลโดยทั่วกันเทอญ


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จาก พระธรรมเทศนา "คุณค่าแห่งธรรม" ใน ที่สุดแห่งทุกข์
โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP