ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ถ้ายังรักษาศีลห้าได้ไม่ครบทุกข้อ จะฝึกเจริญสติได้ไหม



ถาม – ถ้าเรายังถือศีลห้าได้ไม่ครบทุกข้อ แต่เราจะฝึกเจริญสติ
แบบนี้ควรหยุดฝึกภาวนาแล้วพยายามรักษาศีลห้าให้ได้ครบก่อนไหมคะ



เอาแบบฆราวาสนะ จริงๆ แล้วเราฝึกภาวนาฝึกเจริญสติ
จุดประสงค์จริงๆ จุดประสงค์ที่แท้จริงของฆราวาสนะ
ทำให้ทุกข์มันน้อยลง แล้วก็ไม่ต้งเสียเวลาชาตินี้ไปเปล่าๆ
อย่างน้อยทำทุนไว้นิดหนึ่งให้เกิดสติ เกิดความมีปัญญาที่จะเริ่มรู้มากขึ้นเรื่อยๆ
ว่ากายนี้ใจนี้มันแค่ของหลอก ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนจริง จิตอยู่ในอาการยึดมั่นถือมั่น

ถ้าเราไม่ได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะเอามรรคเอาผล
คือทำไปเถอะเจริญสติไปเถอะ ศีลจะครบหรือไม่ครบอะไรต่างๆ
อย่างน้อยมันทำให้คุณภาพของจิตดีขึ้น
แล้วถ้าคุณภาพของจิตดีขึ้น มีความเป็นกุศลมากขึ้น
มันนึกอยากจะถือศีลด้วยความเต็มใจไปเอง



ตรงกันข้ามถ้าหากว่าคุณภาพของจิตยังไม่ดี
ยังคิดอะไรในทางแย่ๆ อยู่ ยังอยากอะไรแล้วอดกลั้นไม่ได้
บางทีพอตั้งใจว่าจะถือศีลให้ได้อย่างนั้นอย่างนี้ มักจะแพ้ภัยตัวเอง
คนที่ตั้งใจถือศีลให้บริสุทธิ์ มักจะกลับมาบอกเล่าได้
ว่าการถือศีลมันมีอาถรรพ์นะ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
พอตั้งใจที่จะถือศีลให้สะอาดบริสุทธิ์ทีไร มีเรื่องมาลองใจทุกที ใช่ไหม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงต้นๆ ถ้าบอกว่าฉันจะถือศีลให้ได้
ฉันเก่ง ฉันแน่ ฉันจะทำให้ได้กี่วันๆ อะไรต่างๆ
แล้วมีความมั่นอกมั่นใจเหลือล้น มักจะเจอดี
แต่ถ้าตั้งใจไว้พอดีๆ เออ เราจะพยายามให้ได้ คือทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
แบบนี้มักจะไม่ค่อยเจอลองของเท่าไหร่



แต่ประเภทที่มั่นใจเหลือเกินแล้วก็จะต้องเอาให้ได้ จะต้องถือศีลให้ได้
มักจะเจออาถรรพ์ซึ่งมีทั้งแง่ดีและแง่เสีย
คือถ้าหากว่าเป็นคนมีจิตใจเข้มแข็งผ่านไปได้จริง
จะกลายเป็นคนเข้มแข็งมากไปเลย เป็นคนมีความหนักแน่นมาก
แล้วก็จิตแบบนั้นมันพร้อมที่จะไปทำสมาธิแทบจะทันทีเลย

แต่ถ้าหากว่าเป็นคนส่วนใหญ่ซึ่งจิตใจหวั่นไหว คือแพ้กิเลส แพ้ภัยตัวเองได้ง่ายๆ
ถ้าไปตั้งอกตั้งใจอย่างใหญ่ เหมือนกับจะรบทัพจับศึกอย่างใหญ่เลย
แต่ก้าวออกไปไม่กี่ก้าวก็ป้อแป้ๆ แล้ว
เจอแค่ของมีคมสะกิดเข้าหน่อย นิดเดียวลองของเข้าหน่อย เป๋
แบบนี้มันจะเสียกำลังใจ มันจะมีความรู้สึกว่าพอรักษาศีลไม่ได้ไปแล้ว
มันไปทำอะไรต่อไม่ได้เลย ไปทำสมาธิไม่ได้ ไปเจริญสติไม่ได้
มันมีแต่ความฟุ้งซ่าน มันมีแต่ความรู้สึกอ่อนแออยู่ข้างใน



เพราะฉะนั้นสรุปก็คือว่าทำควบคู่ไป
ตั้งใจถือศีล ตั้งใจรักษาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ในฐานะของฆราวาสที่ยังต้องบางทีโกหกพกลมเพื่อค้าขายอยู่ อะไรต่างๆ
หรือบางทีก็ต้องกินไปตามน้ำ ขืนดีอยู่คนเดียวเดี๋ยวโดนพรรคพวกเหยียบตาย อะไรต่างๆ
อันนั้นไม่ว่ากัน คือถ้ารักษาบางข้อไม่ได้จริงๆ คือรักษาไม่ได้จริงๆ
พยายามแล้วแต่ทำไม่ได้ เพราะฝืนกระแสรอบตัวไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอดตาย
อันนั้นก็ไม่ว่ากัน แต่ก็เจริญสติไปด้วย มันจะได้ไม่เสียเวลาไปชาติหนึ่งเปล่าๆ
เพราะถ้าจะรอให้ศีลสะอาด
สำหรับบางคนมันเหมือนกับว่าต้องรอกันทั้งชีวิต รอกันถึงชาติหน้า
ไม่ต้องรอ ก็เจริญสติเท่าที่จะทำได้



แล้วการเจริญสติ ไม่ใช่ว่าจะต้องเอามรรคเอาผลให้ได้เดี๋ยวนี้
เอาแค่ความทุกข์มันน้อยลง เอาแค่ความยึดมั่นถือมั่นน้อยลง
เอาแค่เราได้เกิดความรู้สึกขึ้นมาวูบๆ วาบๆ
ว่าแต่ละลมหายใจเข้าออก มันกำลังแสดงอยู่ชัดๆ เลยนะ
ว่านี่ไม่ใช่ตัวเรา มันสักแต่เป็นธาตุมาประชุมกัน
กายนี้ยกตั้งขึ้นด้วยกระดูกสันหลัง ฉาบทาด้วยเลือดเนื้อ
มีลมผ่านเข้าผ่านออก มีไออุ่น แล้วก็มีจิตเป็นผู้รู้
นี่พระพุทธเจ้าให้สังเกตประมาณอย่างนี้



แล้วก็เราจะได้อะไรจากการเจริญสติ ขอให้สังเกตเข้ามาที่ใจเป็นอันดับแรก
ถ้าหากเจริญสติถูกทาง จิตมันจะมีความผ่องแผ้ว
มันจะมีความรู้สึกไม่อยากที่จะไปผิดศีลของมันเองอยู่แล้ว

แม้เป็นคนที่กำลังผิดศีลอยู่หนักๆ ก็จะเกิดความรู้สึกอึดอัด
ระอากับชีวิตแบบนั้น วิถีชีวิตแบบที่มันจะต้องผิดศีล
แล้วก็เกิดความรู้สึกนึกอยากจะทำศีลให้บริบูรณ์ขึ้นมาเองโดยไม่ต้องบังคับจิตใจ
แต่ถ้าหากว่ายังไม่ได้เจริญสติ ยังไม่ได้ทำสมาธิบ้าง
ยังไม่เห็นไงว่าพอยต์ (
point) ของการที่เราจะต้องมาถือศีล
มันมีปลายทางเป็นความสว่างหรือความสุขแบบไหน
แบบนี้บางทีมันก็ไม่มีกำลังใจ เอาเป็นว่าควบคู่กันไปก็แล้วกัน


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP