วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เร้น ๑๒



Ren



ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            สิบกว่าปีล่วงผ่าน โลกกว้างถูกย่อให้แคบลงด้วยการสื่อสาร ระบบอินเทอร์เน็ต คลิปสั้น ๆ ที่หลุดมาในยูทูปทำให้ธันวาทราบว่า เพื่อนรักกลับมาแล้ว...

            รังหนูของภูริช

            มันเป็นห้องเช่าในอพาตเม้นท์เก่าโทรม ภายในตั้งคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ไอทีที่บางชิ้นเรียงรายเป็นระเบียบ ส่วนหลายชิ้นถูกวางระเกะระกะไปทั่วอย่างไม่สนใจ

            เจ้าของห้องเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ไม่สนใจผมเผ้า การแต่งตัว นอนเอกเขนกอ่านหนังสืออยู่บนเตียงอย่างสบายอารมณ์

            ธันวาเข้ามาในห้องพร้อมเบียร์กระป๋องแช่เย็นหนึ่งโหล ไก่ทอดหนึ่งกล่อง ถั่วทอดอีกถุงใหญ่

            เจ้าของห้องมองของฝากในมือคุณหมอหนุ่มแล้วหัวเราะขัน

            “ถ้ามึงลงทุนขนเบียร์ กับแกล้มมาขนาดนี้ แสดงว่างานที่จะให้กูทำต้องไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ๆ”

            “จะกินเบียร์ก่อนหรือคุยกันก่อน” ธันวาถาม

            “แดกเบียร์ไป คุยกันไปไม่ได้หรือไงวะ...ไม่เห็นต้องอารัมภบทมีพิธีรีตองอะไร” ภูริชตอบกึ่งบ่น

            โต๊ะตัวเล็กถูกลากมาวางข้างเตียง เบียร์ถูกเปิดฟองฟู่ กับแกล้มวางเรียงบนโต๊ะโดยไม่จำเป็นต้องหาจานมาใส่

            “มึงรู้จัก W.คอร์ปมั้ย” ธันวาถาม

            “รู้แค่เป็นบริษัทใหญ่ระดับบิ๊ก...มึงจะให้กูแฮกฯหาข้อมูลอะไรในนั้นวะ” แฮกเกอร์หนุ่มถามอย่างรู้ใจ

            “เรื่องเกี่ยวกับนายมาโนช ประธาน W. คอร์ปทั้งหมด และข้อมูลลับที่บริษัทนี้เก็บซ่อนไว้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำผิดกฎหมาย หลักฐานการวางแผนใส่ร้ายบริษัทคู่แข่งฯ”

            “เขาไปทำอะไรวะ มึงถึงให้กูขุดซะขนาดนี้”

            ธันวาไม่ตอบทันที มองเพื่อนที่กำลังกระดกเบียร์ แล้วคิดเรียบเรียงหาคำพูด คำอธิบายที่เหมาะสม

            “เออ...ไม่ต้องเล่าก็ได้” คนเป็นเพื่อนขี้เกียจรอคำตอบ “มึงยังไม่เซ้าซี้ถามกูเลยว่าหายหัวไปไหนตั้งสิบกว่าปี”

            ดวงตาหมอหนุ่มมีรอยยิ้ม...เขาอยากรู้เหมือนกันว่าภูริชหายไปอยู่ไหน นับตั้งแต่วันที่จากกัน แต่คนอย่างเขาคงตั้งคำถามได้แค่...

            “มึงไปอยู่ไหนมาวะ”

            คำตอบที่ได้รับคือ

            “เรื่องของกู!”

            เมื่อสบตากันแล้วเขาก็พยักหน้า ไม่สนใจไถ่ถามต่อ ดวงตาภูริชบอกถึงคนที่ผ่านประสบการณ์มากมาย แต่ยังไม่พร้อมเปิดเผย

            ธันวาจึงไม่เซ้าซี้ รอให้เพื่อนสบายใจจนอยากเปิดปากบอกเล่าเรื่องราวออกมาเอง คนอย่างเขาไม่ชอบฝืนใจใครอยู่แล้ว



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ตอนเช้าที่มหาวิทยาลัย...

            หลังจากเรียนจบ มีนากลับมามหาวิทยาลัยค่อนข้างบ่อยในปีแรก ๆ แล้วห่างออกไปเมื่อภาระงานมากขึ้น จะกลับมาทีก็ตอนรวมรุ่น ทำกิจกรรมพิเศษให้กับทางมหาวิทยาลัย

            หญิงสาวจอดรถใกล้ตึกเรียน ลงเดินหาบุคคลที่เธอโทรนัดตั้งแต่เมื่อวาน



            “เอ่อ...น้อง...ตี๋เล็ก...เพชร...ใช่มั้ยคะ” มีนาโทรตามเบอร์ที่ปู่ให้มา

            “ครับ พี่มีนา ปู่เล้งไลน์บอกผมแล้วว่าพี่จะโทรหา” เสียงตอบกังวานสดใส

            “พี่มีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อย” มีนากำลังหาวิธีเริ่มต้นพูด อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาก่อน

            “ปู่เล้งเล่าคร่าว ๆ แล้ว เรื่องเกี่ยวกับยาสั่ง...พรุ่งนี้พี่มาเจอผมที่มหาวิทยาลัยได้มั้ย” เด็กหนุ่มนัดหมายเอง

            “ได้ค่ะ น้องนัดเวลาสถานที่มาเลย” มีนาตอบรับ...แล้ววางสายอย่างงง ๆ ไม่คิดว่าจะสะดวกขนาดนี้



            ระหว่างหญิงสาวเดินไปยังจุดนัดพบ สายตาก็กวาดมองหา ‘ตี๋เล็ก’ เด็กหนุ่มอายุราวสิบแปดสิบเก้า น่าจะเป็นเฟรชชี่ปีหนึ่ง รูปร่างสูงขาว หน้าตาหล่ออินเทรนด์ อาจเป็นเดือนคณะ เดือนมหาวิทยาลัยอย่างธันวา พิจิกสมัยก่อนก็ได้

            เด็กหนุ่มนัดหล่อนที่โต๊ะหินอ่อนข้างตึกคณะ พอมาถึงปรากฏว่ามีโต๊ะหินอ่อนตั้งอยู่หลายตัว เด็กหนุ่มเด็กสาวแต่งชุดนักศึกษานั่งเตรียมตัวรอเวลาเข้าเรียนกันเต็มไปหมด

            มีนาพยายามมองหาเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่โดดเด่นออกมาจากคนอื่น เหลียวดูสองสามรอบก็ยังไม่เจอ กำลังจะยกหูโทรศัพท์ตามแล้ว พอดีได้ยินเสียงเรียกใกล้ ๆ

            “พี่มีนา”

            หญิงสาวหันไปทางต้นเสียงแล้วยืนอึ้งอยู่สามวินาที...ภาพเดือนคณะ เดือนมหาวิทยาลัย เด็กหนุ่มหน้าใสสไตล์บอยแบนด์หายวับไปกับตา

            ตรงหน้าหล่อนเป็นเด็กหนุ่มผมยาวกว่าที่เคยเห็น ด้านหน้าปล่อยผมม้ากะลาครอบ คล้ายทรงนักร้องวงเดอะบิทเทิล หรือไม่ก็เหมือนตัวการ์ตูนมารูโกะ สวมแว่นกรอบหนาไม่เข้ากับรูปหน้าแบบพวกเด็กเรียน เด็กเนิร์ด ใส่เสื้อผ้าหลวมโพลกอำพรางรูปร่าง ส่วนสูงของตน

            ยามเจ้าตัวเปิดรอยยิ้มทักทาย มีนาจึงเห็นภาพเด็กหนุ่มคนเดิมออร่าจับตา ในงานศพครูแกลงอีกครั้ง

            “ขอโทษนะตี๋เล็ก...พี่จำไม่ได้จริง ๆ” หญิงสาวเข้าไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จ้องหน้าเด็กหนุ่มชัด ๆ ไม่แปลกใจเลยที่ตนมองผ่านสามรอบแล้วยังจำไม่ได้

            “จำได้ก็แปลกแล้วล่ะพี่” เสียงตอบกลั้วหัวเราะ บอกให้ทราบว่าเจ้าตัวจงใจแต่งตัว สร้างภาพให้เป็นเช่นนี้เอง

            “นึกยังไงถึงแปลงร่างจากบอยแบนด์สุดหล่อ กลายเป็นเด็กเนิร์ดแบบนี้ล่ะน้อง”

            เด็กหนุ่มหัวเราะพรืดก่อนตอบ

            “เรื่องมันยาว...พี่อยากฟังเหรอ” คำตอบยั่วเย้า หยอกล้อ

            “เฮ้อ...ลำบากนักไม่ต้องเล่าก็ได้” ฟังจากน้ำเสียง อารมณ์ขันอีกฝ่าย พอเดาได้ว่าเกิดจากอารมณ์เพี้ยน ๆ ของเจ้าตัว ไม่ก็มี ‘ภารกิจ’ บางอย่าง

            มีนาชินเรื่องแบบนี้จากคนใกล้ตัวแล้ว...เพราะครั้งหนึ่งเมษา...น้องสาวเธอ...พิจิก...น้องชายธันวา ก็เคยปลอมตัวไปทำภารกิจอะไรพวกนี้เหมือนกัน

            “ปู่เล้งบอกผมว่า พี่อยากรู้เรื่องยาสั่ง...ลองอธิบายให้ผมฟังอีกที ถ้าระลึกภาพ สี กลิ่นของมันด้วยได้จะดีมาก”

            เด็กหนุ่มบอก สีหน้าท่าทางช่างเล่นหายไป แววตามีประกายบางอย่างที่ชวนอบอุ่น แผ่พลังออกมาครอบคลุมบริเวณโดยรอบบาง ๆ

            มีนาระลึกถึงความทรงจำเสี่ยหมงอีกครั้ง ทบทวนเหตุการณ์ตอนเขาจิบน้ำชา กินขนม...กลิ่น สีของน้ำชา รสชาติขนมถูกทบทวน และสุดท้าย ลูกจ้างสาวที่เข้ามาพูดอะไรบางอย่างก่อนจากไป

            ระหว่างหญิงสาวบอกเล่าเรื่องราว เด็กหนุ่มผ่อนคลาย นั่งฟังตามปกติดูเป็นธรรมชาติ ดวงตาแลตรงยังผู้เล่า ไม่ได้เพ่งจ้องเหมือนล้วงความลับ แต่แผ่คลื่นสัมผัสออกไปแตะ ‘หยั่งดู’ ภาพความทรงจำเสี่ยหมงร่วมกับเธอ

            พอมีนาเล่าจบ สังเกตเห็นผู้ฟังย่นหัวคิ้วนิดนึงอย่างครุ่นคิด ทบทวนความจำ ก่อนหยิบไอแพดมาเปิด ค้นตำรายาสมุนไพรที่ตนถ่ายเก็บหน้าสำคัญไว้ในเครื่อง

            “ต้นช้างลืม กับดอกดอยเดือน” เพชรหลุดชื่อนี้ออกมา

            “หือ...” ชื่อฟังประหลาด ไม่เคยได้ยินมาก่อน ฟังแล้วเกือบหลุดเสียงหัวเราะคิก

            เด็กหนุ่มผุดรอยยิ้มริมฝีปาก เลื่อนไอแพดให้ดู ในนั้นเป็นภาพที่ถ่ายจากตำรายาโบราณ หน้ากระดาษเก่าเหลือง วาดรูปต้นไม้ล้มลุกชนิดหนึ่ง ลำต้นไม่สูงนัก ใบเรียวรีแยกเป็นสองแฉกคล้ายงาช้าง กับอีกต้นมีใบกลม ๆ คล้ายพระจันทร์ ออกดอกเป็นพวงย้อยคล้ายผลองุ่น

            “นี่คือต้นไม้ที่น้องพูดถึงเหรอ” มีนาค่อยทำความเข้าใจ

            “ใช่ครับ” ตี๋เล็กตอบ “ต้นช้างลืมเป็นสมุนไพรโบราณ ใบของมันนำมาตากแห้งใช้ชงชา ช่วยบำรุงหัวใจ ตับ ส่วนดอกดอยเดือน เป็นไม้ล้มลุกมักเกิดบนดอยสูงหายากมาก ดอกของมันมีกลิ่นหอมคล้ายดอกโมก นำมาตากแห้งชงชาเหมือนกัน สรรพคุณของมันในตำราบอกว่าถ้าดื่มชาดอกดอยเดือนประจำจะเป็นยาอายุวัฒนะชั้นดี”

            “ถ้าดีขนาดนั้น ทำไมไม่มีใครรู้จักเลยล่ะ” มีนาสงสัย เพราะต่อให้ไปถามนักพฤกษศาสตร์ก็คงไม่รู้จัก

            “ทวดเคยบอกว่ามันสูญพันธุ์ไปเป็นร้อยปีแล้ว ตาทวดของผมรู้จักสมุนไพรสองชนิดนี้จากพวกพรานป่า สมัยท่านยังหนุ่ม จึงเขียนบันทึกเก็บเอาไว้ ขนาดทวดเองยังไม่เคยเห็นต้นของมันจริง ๆ เลย มีแต่ใบชาที่ได้รับตกทอดมาจากตาทวด แต่ท่านก็เอาไปช่วยคนนานแล้ว”

            “เดี๋ยว...” มีนาสะดุดใจ “ต้นไม้สองชนิดนี้มีสรรพคุณเป็นยารักษาโรค ยาอายุวัฒนะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับน้ำชาที่เสี่ยหมงดื่มเข้าไปล่ะ”

            เพชรยิ้มอธิบายอย่างใจเย็น

            “ถ้านำใบชาจากต้นช้างลืม มาบดผสมกับดอกดอยเดือนตากแห้ง มันจะกลายเป็น ‘ชาสั่งจิต’ กลิ่นหอมของมันคล้ายดอกโมกแต่แรงกว่า สีเขียวอมเหลืองเหมือนสีอำพัน มีฤทธิ์ทำให้คนที่ดื่มเหมือนตกอยู่ในภวังค์ จิตอ่อน โดนคนที่ชงชาสามารถสั่งจิตใต้สำนึกให้ทำอะไรก็ได้โดยไม่รู้ตัว...จำไม่ได้กระทั่งคนคนนั้นสั่งให้ตัวเองทำอะไร”

            มีนานึกถึงภาพลูกจ้างสาวขยับปากบอกอะไรบางอย่างแก่เสี่ยหมง แต่ไม่มีเสียงออกมา ไม่มีทางรู้ว่าหญิงสาวพูดอะไร มันเป็นน้ำชาที่อันตรายอย่างคาดไม่ถึงจริง ๆ

            “แล้วขนมที่กินไปด้วยล่ะ” หญิงสาวถามต่อ

            “มันเป็นขนมถั่วตัดธรรมดา ไม่มีพิษภัยอะไรเลย แต่ความหวานของมันจะช่วยเพิ่มฤทธิ์ยา ทำให้เคลิ้มเร็ว ขาดสติง่ายขึ้นเท่านั้นเอง”

            “มียาแก้ชาสั่งจิตมั้ย”

            “ปกติชาพวกนี้จะคงสภาพออกฤทธิ์ไม่นานนัก...ระหว่างนั้นถ้าไม่มีใครมาสั่งจิตใต้สำนึกให้ทำอะไร ตัวยาก็จะสลายหมดฤทธิ์ไปเอง ต่อให้เจาะเลือดไปดูก็ไม่พบสารแปลก ๆ อะไรเลย” ตี๋เล็กบอก

            “ถ้างั้นแค่เราหลีกเลี่ยงไม่ต้องดื่มชา หรือดื่มน้ำอะไรที่เราไม่มั่นใจก็น่าจะรอดน่ะสิ”

            คราวนี้เด็กหนุ่มยิ้มแปลกแบบมีความลับสำคัญยังไม่ได้เล่า

            “อ้าว...ไม่ได้เหรอ” มีนาอ่านรอยยิ้มนั้นแล้วสงสัย

            “ชาสั่งจิตมันไม่จำเป็นต้องชงเป็นน้ำชาให้ดื่มอย่างเดียวนี่ครับ” พูดอย่างนี้ฟังแล้วเสียวสันหลัง

            “ถ้านำตัวชาสองชนิดผสมกันแล้วมาเผาแบบกำยานไว้ในห้องปิด...กลิ่นมันจะหอมเหมือนดอกไม้ แรก ๆ อาจช่วยผ่อนคลายได้จริง แต่จะออกฤทธิ์ร้ายแรงกว่าดื่มเป็นน้ำชาหลายเท่า เพราะนอกจากจะสามารถสั่งจิตใต้สำนึกได้ง่ายแล้ว มันยังกระตุ้นคนที่ดมกลิ่นให้เห็นภาพหลอนน่ากลัวต่าง ๆ ถ้าถูกขังอยู่ในนั้นทั้งวันมีสิทธิเป็นบ้า เสียสติได้ง่าย ๆ โดยที่จิตแพทย์คนไหนก็หาสาเหตุไม่พบ”

            “โหย...ทำไมน่ากลัวจัง” หญิงสาวหนาววูบ ขนลุกซู่

            “ถ้าเลี่ยงได้ ผมว่าพี่อย่าไปยุ่งเกี่ยวเข้าใกล้เลยดีกว่า” เด็กหนุ่มแนะนำ

            “ก็...ไม่อยากยุ่งเกี่ยวหรอก” โปรดิวเซอร์สาวพึมพำ หน้ามุ่ย

            เพชรสะกิดใจในน้ำเสียง อารมณ์หญิงสาว จึงทอดตามองหล่อนชั่วขณะ จนจิตรวมเกิดสมาธิอย่างเป็นธรรมชาติ เห็นนิมิตภาพดวงวิญญาณชายกลางคนร่างท้วมสันทัด แต่งกายมอมแมม ใบหน้าสีเทาซีด จากนั้นเป็นภาพอุบัติเหตุรถแหกโค้งชนต้นไม้ ภาพหญิงสาวนอนตายในอ่างน้ำสีแดงฉาน...ภาพถูกเลื่อนต่อ ๆ มาแล้วปรากฏเป็นเงาดำทาทาบ เสมือนปีกแห่งลางร้ายครอบคลุม เป็นการบอกเตือนว่า เธอยังต้องเข้าไปพัวพัน เผชิญเรื่องน่ากลัวลักษณะนี้อีกระยะหนึ่ง ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหลบหนีได้

            เด็กหนุ่มระบายลมหายใจแผ่ว มองหญิงสาวด้วยแววตาอ่อนโยนเมตตากว่าเคย ล้วงมือในกระเป๋า หยิบหลอดใสขนาดเท่าหลอดยาดม ภายในบรรจุผงสีน้ำตาลอมทองออกมายื่นให้

            “นี่เป็นผงว่านปลุกเสกของทวด” ตี๋เล็กบอก “สำหรับคนทั่วไปจะช่วยขับไล่คุณไสย ป้องกันผีร้ายต่าง ๆ ได้”

            “จริงดิ” มีนาดีใจรีบรับเอาไว้ ก่อนฉุกใจคิดได้ “นอกจากนั้นมีประโยชน์อื่นอีกมั้ย”

            “ตำราบอกว่า ส่วนผสมในว่านปลุกเสกนี้ มีบางตัวเป็นคู่ปรับกับชาสั่งจิต...ตอนที่ทวดทำผงว่านปลุกเสกนี้ ท่านก็ไม่คิดว่าต้องนำมาใช้แก้ชาตัวนี้ เพราะไม่มีใครคิดว่ามันจะยังมีเหลืออยู่ในโลก” ตี๋เล็กอธิบาย

            “อ้าว...แล้วมันจะใช้แก้กันได้มั้ยล่ะ” ได้ยินแบบนี้เล่นเอาใจเหี่ยว

            “ก็ต้องลองดู” เด็กหนุ่มบอกง่าย “ถ้าใครพลาดดื่มชาแล้วโดนสะกดจิตใต้สำนึกไปแล้ว ลองเอาผงว่านเหยาะใส่น้ำสักนิดนึง อาจแก้ฤทธิ์ชาสั่งจิตได้ หรือถ้าเจอควันชา...ควันกำยานของมันก็ลองใช้สูดลม แล้วรีบหนีออกมา ก็น่าจะช่วยต่อต้านฤทธิ์สะกด ไม่เห็นภาพหลอนได้เหมือนกัน”

            “มีการรับรองผลมั้ยเนี่ย” มีนาถามอย่างไม่มั่นใจ

            “ผมพูดตามตำรา ทวดไม่เคยรักษาใครที่โดนชาสั่งจิตสักคน แล้วจะรับรองผลได้ไงล่ะ”

            โปรดิวเซอร์สาวถอนใจอย่างกังวลล่วงหน้า ทั้งที่ตนเองอาจไม่ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้อีกแล้วก็ได้

            “ยังไงก็ขอบใจนะที่พยายามช่วย”

            “อืม...แล้วก็พยายามใช้เท่าที่จำเป็นจริง ๆ นะ ทวดไม่อยู่แล้ว สมุนไพร ว่านบางตัวในนี้หายากมาก โอกาสจะทำผงว่านปลุกเสกนี่ก็น้อยเต็มที”

            เด็กหนุ่มไม่บอกอีกว่า...ผงว่านปลุกเสกของทวดเหลือแค่ไม่กี่หลอด หากไม่ใช่นิมิตเห็นปัญหาที่หญิงสาวต้องเผชิญ ก็คงไม่นำผงว่านของตนที่พกติดตัวออกมาให้ง่าย ๆ แน่

            “อือ...ขออย่าให้ได้ใช้เลยจะดีที่สุด” มีนาบอก

            ตี๋เล็กยักคิ้วยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี

            “ถ้ามีธุระจำเป็นอะไรก็โทรหาผมได้...แต่ที่จริงพี่จิก กับพี่เมษาก็เก่งสุดอยู่แล้ว ถ้าพี่สองคนนั่นรับมือไม่ไหว ผมก็ไม่ไหวเหมือนกัน” พูดเชิงออกตัว

            “พวกมันไม่อยู่น่ะสิ” มีนาบอกกึ่งบ่น “ไม่งั้นลากตัวมาช่วยแล้ว”

            เด็กหนุ่มพยักหน้ารับรู้ เกิดความเข้าใจในนิมิตที่เห็นทันที

            นี่เป็นเส้นทางของ ‘กรรม’

            ผู้ใดมีหน้าที่ต้อง ‘รับ’ เสวยผลกรรม จะไม่สามารถยก หรือโอนสิทธิให้แก่ผู้อื่นได้

            ตัวเขาเองทำได้แค่แนะนำ ให้เครื่องมือช่วยเหลือเท่านั้นเอง



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ยามค่ำ ฟ้ามืด แสงสว่างสีส้มจากโคมไฟริมทางส่องรำไร

            ตรงหน้ามีนาคือคลินิกขนาดใหญ่ เกือบเท่าโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ติดป้ายชื่อเด่นชัด

            ‘คลินิกงามพิศ’

            หญิงสาวตอบไม่ถูก ตนเองมาที่นี่ได้อย่างไร เหมือนจู่ ๆ ก็มายืนหน้าคลินิกใหญ่ มองผู้คนมากมายเข้าไปใช้บริการ เจ้าหน้าที่พยาบาลแต่งตัวสวย ต้อนรับเอาใจใส่ บริการด้วยรอยยิ้ม

            ก้าวเข้าไปในคลินิก มองดูป้ายติดโชว์ โฆษณา บอกให้ทราบว่าที่นี่เป็นคลินิกเสริมความงามครบวงจร มีบริการทุกประเภทให้ลูกค้าเลือกสรรจนพึงพอใจ

            ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง แต่งตัวดีมีฐานะ บอกถึงมาตรฐานค่าบริการน่าจะสูงตาม มีนารู้สึกเหมือนเคยได้ยินชื่อคลินิกแห่งนี้มาก่อน มันติดอยู่ปลายความทรงจำนี่เอง

            จู่ ๆ ก็นึกได้ ‘คลินิกงามพิศ’ เป็นคลินิกแม่ของคลินิกกัญญา...เด็กสาวลูกจ้างที่เจอหน้าคลินิกนั้นเป็นคนบอก

            มีนามองไปรอบคลินิกใหญ่ ตอบไม่ถูกตนเองมาทำอะไรที่นี่ คลินิกนี้มีเงื่อนปมน่าสงสัยใด

            “ช่วย...ด้วย...ช่วย...ด้วย” เสียงแหบเบา อ่อนโรยดังอยู่ใกล้ตัว

            หันไปทางต้นเสียง พบเด็กผู้ชายตัวโต หัวเกรียน ใบหน้ากลม ผิวกร้านคล้ำ จมูกแบน ริมฝีปากหนา ดวงตาซื่อฉายแววเซื่องซึมโง่งมยืนอยู่

            “ช่วยด้วย” เสียงร้องบอกอีกครั้ง ดวงตามองมาด้วยแววเว้าวอน

            หญิงสาวเดินเข้าไปหา รู้สึกว่าเด็กชายดูแปลก แตกต่างจากทุกคนในคลินิกอย่างเห็นได้ชัด เขาสวมเสื้อยืดเก่าปอน รอยเปื้อนเป็นปื้น กางเกงขาสั้นเก่าซีด รอยปะชุนเต็มไปหมด ยิ่งมองใกล้ ๆ จะพบเนื้อตัวขะมุกขะมอม เต็มด้วยรอยแผลขีดข่วนเหมือนไปฟัดกับตัวอะไรมา

            น่าแปลก...เด็กชายแต่งตัวสกปรกมอมแมมเช่นนี้ กลับมายืนกลางคลินิกเสริมความงามโดยไม่มีใครสนใจ เจ้าหน้าที่รปภ.ไม่ออกมาไล่

            “น้องจะให้พี่ช่วยอะไรจ๊ะ” มีนาก้มหน้าถาม

            “ช่วยด้วย...ช่วยด้วย” ตอบแล้วยื่นมือสกปรกดำออกมาให้เธอจับ

            “ช่วย...อะไร...ช่วยใคร” หญิงสาวลังเลไม่แน่ใจ ไม่กล้าจับมือเด็กชาย

            “ช่วย...ส้มน้อย...ช่วยส้มน้อยด้วย” ตอบได้เพียงเท่านี้

            อาจเพราะความกระวนกระวาย ห่วงใยที่แทรกอยู่ในน้ำเสียง และชื่อที่เด็กชายเอ่ยมากระทบใจมีนา จนอดไม่ได้ต้องยื่นมือออกไปจับ ฝ่ายนั้นบีบมือกระชับแล้วฉุดดึงเธอพาออกทางประตูด้านข้างคลินิก

            หญิงสาวเดินกึ่งวิ่งตามเด็กชายโดยไม่ขัดขืน ด้านข้างคลินิกเป็นซอยเล็ก ๆ ซอกซอนระหว่างตึกต่อตึก เดินลัดเลี้ยวนิดหน่อยก็มาถึงด้านหลังอาคารพาณิชย์ ร้านรวง ตึกแถวต่าง ๆ มีถังขยะวางหลบตามมุมมืด ทางเดินบางช่วงเฉอะแฉะ กลิ่นเหม็น

            มีนาตามเด็กชายอย่างไม่รู้เหนือใต้ ตอบไม่ถูกตนเองเลี้ยวมากี่ซอย บอกไม่ได้ว่าอยู่ตรงจุดไหน เส้นทางในซอยมืดสลัว มองเห็นเพียงแผ่นหลังเด็กชายตรงหน้า ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่น ไม่ได้ยินเสียงผู้คน มองไม่เห็นกระทั่งหมาแมว บรรยากาศชวนพรั่นพรึง ใจเริ่มหวาดกลัวทีละน้อย รอบตัวเลือน ๆ ผิดปกติ

            แล้วพลัน...ฉุกคิดได้

            ...นี่เป็นความฝัน...ฉันอยู่ในฝัน!

            โปรดิวเซอร์สาวชะงักเท้า ยืนนิ่ง เกิดสติในฝัน...เด็กชายหยุดตาม หันมามองด้วยดวงตาร้อนรนกระวนกระวาย ขยับปากพูดจา...แล้วภาพของเขาค่อยพร่าเลือนลงช้า ๆ

            “ช่วยส้มน้อยด้วย”

            นี่เป็นน้ำเสียงสุดท้ายที่ติดหู ก่อนมีนาลืมตาตื่นขึ้น



            เมื่อครู่เป็นความฝัน...เธอยังอยู่ในห้องนอนคอนโดฯ ตนเอง

            ความทรงจำย้อนทวน ระลึกได้แล้วค่อยลุกขึ้นนั่งอย่างเพลีย ๆ คิดไม่ถึงว่าจะฝันเรื่องราวแปลกประหลาดอะไรแบบนี้

            ...คลินิกงามพิศ...ช่วยส้มน้อย...สองคำนี้ติดในหัว สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด

            หญิงสาวขยับตัว กำลังจะลงจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ แต่แล้ว...เธอรู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในห้อง!

            ที่ปลายเตียงนั้น มีชายกลางคนร่างท้วมสันทัด ผิวขาวซีดเทายืนอยู่ เขาสวมเสื้อผ้ามอมแมมเก่าโทรม ดวงตาเรียวรีแบบคนจีนมองตรงมายังเธอ...เสี่ยหมง...

            กรี๊ด...กรี๊ด...กรี๊ด

            มีนากรีดเสียงร้องดังลั่นติด ๆ กัน รีบกระถดตัวจนชิดหัวเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว ทั้งร่างสั่นงก ๆ ด้วยความตกใจ คาดไม่ถึง

            ต่อให้เคยเจอ ติดต่อสื่อสารกันมาก่อน แต่เล่นโผล่มาให้เห็นในห้องนอนตอนมืด ๆ แบบไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้ หัวใจหล่อนไม่วายตายก็แปลกเกินไปแล้ว

            พยายามนึกถึงตะกรุดที่คล้องคอ ผงว่านปลุกเสกของครูแกลง...เสร็จแล้วนึกบ่นในใจ...ไหนว่าช่วยขับไล่ผีร้ายไง ทำไมปล่อยให้ผีเสี่ยหมงโผล่ถึงปลายเตียงหล่อนได้...อย่างนี้น่าเอาเรื่องปู่ กับเจ้าตี๋เล็กนัก

            “ผม...ไม่ได้มาร้าย” เสียงพูดชัดเจนเหมือนดังอยู่ข้างหู

            มีนาหลับหูหลับตา ไม่สนใจฟัง ไม่กล้าลืมตามองผู้ที่ยืนอยู่ปลายเตียง

            “ผมมา...ขอบคุณ”

            อาจด้วยน้ำเสียงที่อ่อนระโหย แฝงความทดท้อบางอย่าง ทำให้จิตใจมีนาอ่อนโยน ความกลัวลดลง เกิดสติ ค่อย ๆ เลื่อนผ้าห่ม หรี่ตามองร่างที่ยืนปลายเตียงอย่างไม่แน่ใจ

            ยังดีที่เสี่ยหมงไม่ขยับตัว ไม่เข้าใกล้ หรือถอยห่างจากเดิม

            “ระ...รู้...แล้ว...ไปเถอะ” หญิงสาวตอบเสียงสั่น

            ที่ผ่านมาตอนเจอผีเสี่ยหมง จะมีธันวาอยู่ข้าง ๆ ช่วยให้อุ่นใจ คราวนี้เล่นมาประจันหน้าคนเดียวในยามวิกาลแบบไม่ให้ตั้งตัวอย่างนี้ ถ้าไม่เสียสติคงไม่ใช่มีนาแล้ว

            “ผมมีอีกเรื่องจะบอก” เสียงเสี่ยหมงชัดเจนเหมือนพูดคุยกันตามปกติ ดูแตกต่างจากการสื่อสารครั้งก่อน

            “มีอะไร...รีบบอกแล้วรีบไปได้เลย” หญิงสาวพูดรัวเร็ว

            “หลักฐานที่ผมให้คุณไป มันสาวถึง ‘ท่าน’ นายมาโนชได้แน่นอน แต่ไม่มีทางทำอะไร ‘นายใหญ่’ ได้...และตราบใดที่นายใหญ่ยังอยู่ ทุกคนก็ยังไม่ปลอดภัย”

            “หา!” มีนาตกใจ ดึงผ้าห่มออก ความกลัวหายไป มองผีเสี่ยหมงอย่างเคือง ๆ “อะไรเนี่ย...แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ”

            “ตามรอยกัญญา ตามรอยผู้หญิงที่วางยาผม...แล้วมันจะพาไปพบนายใหญ่ได้”

            หญิงสาวอึ้ง พูดอะไรไม่ออก หล่อนตั้งใจแค่คลี่คลายการตายของเสี่ยหมงเท่านั้น เหตุใดถึงต้องลากหล่อนไปหานายใหญ่ด้วย

            ...แค่ประธานกลุ่ม W.คอร์ป อย่างนายมาโนชก็เล่นยากพอแล้ว...นายที่ ‘ใหญ่’ กว่านั้น มีอิทธิพลล้นฟ้าขนาดไหน ใครจะกล้าเล่นงาน ต่อกร...

            “กัญญาตายไปแล้ว จะตามรอยยังไง...ยิ่งผู้หญิงที่วางยาคุณเป็นใครก็ไม่รู้ คลินิกปิดอย่างนั้นฉันไม่รู้จะหาข้อมูลจากไหน...ตอนนี้แค่รู้ว่าคุณโดนยาอะไรก็พอแล้วมั้ง”

            มีนาพยายามต่อรองกับผี แล้วเพิ่งสังเกตว่าตนมองเห็นเสี่ยหมงชัดเจนตั้งแต่หัวจดเท้า ทั้งที่ห้องดับไฟมืด ไม่ใช่แค่ผีเสี่ยหมง โต๊ะ ตู้ ชั้นวางหนังสือ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ทุกอย่างกระจ่างชัดในสายตา ทั้งที่รอบข้างมืดมิด ไม่มีไฟสักดวง

            “ไปที่คลินิกชวนพิศ...”

            เสี่ยหมงตอบเพียงเท่านี้ก็เลือนหาย คล้ายไม่อยากเสียเวลาต่อรองอะไร

            มีนานั่งนิ่ง อยากเอ่ยปากรั้งเรียกผีให้กลับมาเคลียร์กันก่อน แต่แล้วก็เกิดสติ บอกกับตัวเองว่า หล่อนไม่ได้อยู่ในโลกปกติ

            ...นี่เป็นความฝันที่ซ้อนฝันอีกทีหนึ่ง...

            “ตื่น...ตื่นได้แล้วโว้ย!”

            หญิงสาวตะโกนก้องปลุกตัวเองสุดฤทธิ์

            คราวนี้หล่อนลืมตาตื่นขึ้นมา บนเตียงนอน ท่ามกลางความมืดในห้องตนเอง ไม่มีร่องรอยภูตผีตนใด ไม่แม้แต่จะแอบแฝงตามมุมมืด ซอกหลืบข้างตู้เตียง



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP