วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เร้น ๑๑



Ren



ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            กลุ่ม W.คอร์ป เป็นเจ้าพ่อธุรกิจก่อสร้างอันดับหนึ่งของประเทศ ได้รับงานใหญ่ระดับเมกะโปรเจ็กต์ทั้งในและต่างประเทศ มีชื่อเสียงยาวนาน เฉพาะทุนหมุนเวียนในประเทศก็เป็นหลักแสนล้าน...ยิ่งถ้ารวมกับโปรเจ็กต์ใหญ่ที่ร่วมทุนทำงานในหลายประเทศ รวมกันน่าจะแตะถึงหลักล้านล้านบาทไม่ยาก

            “ประธานกลุ่ม W.คอร์ป...นายมาโนช” ธันวาเอ่ยชื่อนี้ออกมา “ตำรวจได้ข้อมูลลับมาแล้วว่า ตอนบ่ายวันนั้น เสี่ยหมงได้เข้าพบนายมาโนช ก่อนไปสังสรรค์กับเพื่อน เดินทางพบกัญญา และเสียชีวิตในที่สุด”

            ‘มาโนช’ ประธานกลุ่ม W. คอร์ป เป็นลูกครึ่งไทย-อินเดีย อยู่ในวัยห้าสิบเศษ ให้ทุนสนับสนุนพรรคการเมืองหลายพรรค อยู่เบื้องหลังนักการเมืองคนสำคัญ รัฐมนตรีหลายคน

            ไม่น่าแปลกใจที่เสี่ยหมงจะเชื่อว่าบุคคลนี้สามารถ ‘เสก’ ให้โครงการเมืองใหม่เป็นจริงได้

            “คนที่รวยขนาดนี้ ไม่น่าโกงนักธุรกิจเล็ก ๆ อย่างเสี่ยหมงได้เลยนะ” มีนาตั้งข้อสงสัย เพราะเมื่อเทียบกับนายมาโนชแล้ว เสี่ยหมงแทบจะกลายเป็นต้นหญ้าเล็ก ๆ ไปเลย

            “ก่อนที่เขาจะเป็นนักธุรกิจใหญ่ขนาดนี้ เราไม่มีทางรู้เลยว่า เบื้องหลังเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง” ธันวาบอก “อีกอย่างเราก็ยังไม่รู้จักโครงสร้างของ W. คอร์ปดี ข้างในนั้นอาจมีปัญหาที่คนภายนอกไม่รู้ นายมาโนชเป็นประธานก็จริง แต่อย่าลืมว่าเขาก็มีกรรมการ ผู้ถือหุ้นใหญ่อีกหลายคน ทั้งคนไทย และคนต่างชาติที่สามารถแทนที่ตำแหน่งเขาได้ทุกเมื่อ”

            หญิงสาวหนาววูบ รู้สึกตนเองกำลังเผชิญเรื่องใหญ่เกินตัวเสียแล้ว

            “นี่คือสิ่งที่ตำรวจทราบในขณะนี้” ธันวาสรุป

            “แล้ว...เราควรทำอย่างไรต่อไปดี” หญิงสาวพูดรวมตนเองกับเขาโดยไม่ขัดฝืน

            “อยู่เฉย ๆ รอให้ตำรวจเขาจัดการดีกว่า...การสืบสวนคดีเพื่อสาวไปถึงตัวคนใหญ่คนโตขนาดนี้ มันต้องมีการวางแผน ทำงานกับหน่วยงานอื่นด้วย...การที่เธอโผล่เข้าไปวุ่นวาย อาจทำให้แผนการรวมของทุกฝ่ายเสียหายไปหมด”

            หญิงสาวถอนใจเฮือกใหญ่ รู้สึกเหมือนโดนอีกฝ่ายตำหนิ ว่าหล่อนเป็นผู้หญิงวุ่นวาย อวดเก่งไม่เข้าเรื่อง จนอาจทำให้งานใหญ่ต้องเสียหาย

            ถึงรู้สึกอย่างนั้นก็ไม่มีอารมณ์มาโกรธชายหนุ่ม

            “ฉันรับปากเสี่ยหมงว่าจะเปิดโปงคนร้าย คลี่คลายคดีอุบัติเหตุ” เธอพูดอย่างหนักใจ

            “ถ้างั้นมีบางเรื่องที่เธอน่าจะทำได้” ธันวาบอก

            “อะไร” หญิงสาวสนใจ

            “ลูกจ้างคนนั้น น้ำชา และขนม...ฉันว่ามันอาจมีส่วนทำให้เสี่ยหมงขับรถแหกโค้ง”

            ธันวาพูดเช่นนี้ มีนาก็ฉุกใจแวบคิด โยงมาอีกเรื่องได้

            “ถ้าเป็นอย่างนั้น กัญญาอาจไม่ได้ฆ่าตัวตาย...เธอน่าจะโดนแบบเดียวกับเสี่ยหมง”



            “โดนยาสั่ง!” สองหนุ่มสาวพูดออกมาพร้อมกัน

            คนหนึ่งเป็นจิตแพทย์ อีกคนหนึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ ต่างเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ศึกษาวิทยาการความรู้สมัยใหม่ กลับเอ่ยถึงเรื่องแบบนี้ออกมาได้

            ทว่า...ทั้งคู่เติบโตมาในครอบครัวที่ประมุขตระกูลเป็นผู้ทรงเวท น้องชาย น้องสาวศึกษาเรื่องพวกนี้จนช่ำชอง ต่อให้เจ้าตัวไม่สนใจเรียนรู้...เรื่องเหล่านี้ก็ยังผ่านหู ผ่านตามาตั้งแต่เล็กจนโต

            ธันวา มีนาไม่รู้จักพวกเวทมนตร์ ยาสั่ง แต่พวกเขาไม่เคยปฏิเสธ ต่อต้าน อีกทั้งยอมรับว่ามันมีอยู่จริง เช่นเดียวกับภูตผี วิญญาณที่ตนพบเห็น สัมผัสมา

            “แล้วฉันควรทำยังไง” มีนาปรึกษา

            “เล่ารายละเอียดเรื่องนี้ให้ปู่เธอฟัง...ฉันว่าพวกปู่น่าจะมีคำแนะนำที่ดีได้”

            มีนาเบาใจ เธอมีผู้ชำนาญการอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ ไม่น่ามองข้ามไปได้

            “โอเค ฉันจะไปถามปู่เรื่องยาสั่ง ส่วนนายใหญ่...ท่าน...อะไรพวกนี้ ปล่อยให้ตำรวจเขาจัดการเองแล้วกัน”

            โปรดิวเซอร์สาวพูดอย่างนี้ ธันวาค่อยโล่งอก ปัญหานี้มันใหญ่เกินกว่าผู้หญิงธรรมดาอย่างมีนาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว ยังดีที่เธอไม่ดื้อรั้นเกินไปนัก



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            มีนาขับรถกลับบ้านแล้ว น่าจะรีบไปถามปู่เรื่องยาสั่งอย่างที่คุยกัน

            ธันวายังนั่งอยู่ในร้าน จิบกาแฟใจเย็น วันนี้เขาตั้งใจเข้ากรุงเทพฯ เพราะพรุ่งนี้ต้องไปทำงาน อีกทั้งวางแผนเข้าไปขอความช่วยเหลือจากใครบางคน

            ...คนที่เขาเพิ่งรู้ว่าอยู่เมืองไทย จากคลิป ๆ หนึ่งซึ่งถูกแชร์ในโลกออนไลน์ แล้วหายไปภายในชั่วข้ามคืน...



            ภาพจากคลิปผู้เห็นเหตุการณ์

            เอี๊ยดดด...ปัง...โครม

            เสียงดังสนั่นไล่เลี่ยกัน เกิดจากรถยุโรปรุ่นเก่าจงใจขับมาเบรก จอดขวางหน้ารถกระบะที่ขับส่ายไปมา ซึ่งกำลังพุ่งชนรถตู้รับนักเรียนริมถนน

            ผู้คนริมทางเท้าโกลาหลแตกตื่น หญิงสาวหลายคนส่งเสียงหวีดร้องตกใจกลัว บางคนรีบโทรศัพท์แจ้งตำรวจ รถพยาบาล หลายคนหยิบโทรศัพท์มือถือบันทึกเหตุการณ์นี้

            เสียงสงบลง สภาพรถยนต์ฝั่งด้านข้างคนขับพังยับ ถุงลมนิรภัยและสายคาดนิรภัยทำงานดีเยี่ยม ป้องกันคนขับไม่ให้บาดเจ็บ ขณะที่รถกระบะหน้ายู่ ควันโขมง หมดสภาพก่อภัยแก่ผู้คน

            รถตู้ปลอดภัย เด็กนักเรียนไม่ได้รับอันตรายใด

            ประตูรถกระบะไม่ติดล็อค ถูกเปิดออกมาก่อน คนขับออกมาในสภาพมึนเมา บาดแผลเล็กน้อย ยืนเซ พูดจาเปะปะฟังไม่รู้เรื่อง

            ประตูรถยุโรปรุ่นเก่าถูกเปิดตามออกมา พร้อมชายหนุ่มร่างสูงก้าวลงมาด้วยอาการมึนเบลอจากการชนกระแทกเมื่อครู่ สภาพท่าทางยังพอประคองตัว มีสติสัมปชัญญะครบ

            กล้องมือถือหันมาถ่ายชายผู้เป็นวีรบุรุษ จับภาพใบหน้าคมคาย ผิวขาวอย่างคนอยู่เมืองหนาวมานาน ดวงตาเรียวรีรับกับคิ้วหนาพาดเส้นสวย

            ใบหน้านั้นถูกแช่ค้างก่อนภาพถูกตัดหาย...



            นี่เป็นคลิปที่ธันวาโหลดเก็บไว้ได้ทัน ก่อนมันจะสาบสูญจากโลกไซเบอร์ นั่นทำให้ชายหนุ่มต้องตามหาตัวชายเจ้าของภาพในคลิปอยู่พักใหญ่ แต่ฮีโร่ในคลิปก็ทำตัวหายสาบสูญ ไม่มีผู้ใดพบเห็น

            จิตแพทย์หนุ่มแกะรอยตามไปจนถึงอู่ที่รถยุโรปคันนั้นถูกนำไปซ่อม ทิ้งเบอร์ตนเองไว้กับเจ้าของอู่ เพื่อฝากให้กับเจ้าของรถ โดยบอกสั้น ๆ ว่า...

            “บอกเขาว่าเป็นเบอร์ของเพื่อนชื่อธันวา...ให้เขาโทรหาด้วย”

            ประมาณสองสามวันจึงมีเบอร์โทรศัพท์แปลก ๆ โทรเข้ามา...เจ้าของเบอร์นั้นเป็นบุคคลที่ชายหนุ่มรอคอยมานาน



            ในเวลานี้ ธันวากำลังกดโทรศัพท์ไปยังเบอร์ของวีรบุรุษในคลิปเมื่อครู่...

            สัญญาณดังสองสามครั้งก่อนรับสาย

            “ว่าไงวะ ไอ้ ‘หมา’ โรคจิต” คนที่เรียกธันวาเช่นนี้ ย่อมมีความสนิทสนมกันอย่างยิ่ง

            “เออ...ไอ้เพื่อนเลว อีกไม่เกินสองชั่วโมง กูจะไปหาที่รังหนูของมึง ห้ามหนีหายหัวไปไหนเด็ดขาด”

            “หน็อยมาสั่งกันแบบนี้ มึงเป็นเจ้านายกูเหรอวะ” เสียงทุ้มนุ่มกลั้วหัวเราะตอบมาอย่างอารมณ์ดี

            “ไม่ได้สั่งหรอก แต่จะซื้อข้าวกล่องไปฝาก” ถ้าไม่สนิทกันขนาดนี้ ธันวาคงไม่หยอกล้อด้วย

            “เปลี่ยนจากข้าวกล่องเป็นพากูไปแดกเหล้าดีกว่ามั้ย”

            “เออ...ก็ได้ แต่มึงต้องช่วยทำงานบางอย่างให้กูก่อน”

            “ว่าแล้ว หมอโรคจิตอย่างมึงไม่ใจดีกับกูแน่ จะให้ช่วยอะไรวะ”

            “แฮกเกอร์อย่างมึง ทำอะไรเป็นบ้างล่ะ”

            ธันวาบอก...เกิดเสียงหัวเราะอารมณ์ดีดังมาจากปลายสาย

            เบื้องหลังคลิปวีรบุรุษที่หายสาบสูญภายในคืนเดียว เกิดจาก ‘ฮีโร่’ ตัวจริงไม่อยากออกสื่อ เป็นคนดัง จึงจัดการแฮกเข้าไปลบหลักฐานเกี่ยวกับคลิปตนเองทั้งหมด

            ด้วยฝีมือแฮกเกอร์ระดับนี้ ธันวาจึงต้องการความช่วยเหลือ ให้ล้วงข้อมูลลับของ W. คอร์ปมาให้

            เชื่อว่าเจ้าตัวไม่น่าขัดข้อง...เพราะธันวากับเขาเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม








บทที่ ๗



            “ยาสั่ง!” คงคาทวนวาจาหลานสาว

            “ค่ะ...มันมีมั้ยคะ ยาอะไรบางอย่างที่เหยื่อดื่มหรือกินไปแล้ว พอได้รับคำสั่งอะไรต้องทำตาม ขัดขืนไม่ได้ แม้จะสั่งให้ไปตาย...”

            ดวงตาผู้เฒ่าหรี่ลงอย่างใช้ความคิด มองหลานสาวนิ่ง ๆ ก่อนอธิบาย

            “ยาสั่งที่ปู่รู้จัก มันก็คือยาพิษ กินแล้วตาย หรือยาที่สั่งให้ตายอยู่แล้วนะ”

            “อ้าว...จริงหรือคะ” มีนาเริ่มสับสน “มันเป็นยังไงพออธิบายได้มั้ยคะ”

            “เท่าที่ปู่รู้ มันมีสองแบบ...อย่างแรกคือกินแล้วตายเลย ซึ่งตัวยาของมันถ้ากินอย่างเดียวจะไม่เป็นพิษภัยอะไร แต่เมื่อผสมกับตัวยาอื่นจะกลายเป็นพิษร้ายแรง ตายทันที”

            “อย่างที่สองล่ะคะ”

            “อีกแบบเป็นยาที่ ‘สั่ง’ จริง ๆ ยาแบบนี้เวลากินเข้าไปจะไม่ตายทันที อาจไม่รู้สึกผิดปกติอะไรด้วยซ้ำ...คนที่ปรุงยาเขาจะกำหนด ‘สั่ง’ ว่า...เมื่อเหยื่อโดนยาสั่งไปแล้ว ถ้าไปกินอาหารที่เขากำหนดไว้เช่นหมู เนื้อ ปลา หรืออะไรก็ได้ที่มันดูเป็นของปกติ ไม่มีอันตราย แต่คนพวกนี้กินแล้วจะตายทันที”

            “หมายความว่า ถ้าเหยื่อไม่ได้กินของที่คนปรุงยากำหนดไว้ก็จะไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ” มีนาสงสัย

            “ใช่...คนปรุงยาเขาจะเหลือทางรอดไว้ให้ แล้วยาพวกนี้จะมีระยะเวลาหมดฤทธิ์เหมือนกัน เช่นหนึ่งเดือน สามเดือน หกเดือน”

            “ยาแบบนี้เขาทำได้ยังไงคะ”

            “มันเป็นการใช้สมุนไพร ตัวยาโบราณ ผสมกับเวทมนตร์ อาคม ซึ่งคนสมัยนี้น่าจะทำได้ยากแล้วมั้ง”

            “คนที่โดนยาสั่ง มีทางแก้ไขมั้ยคะปู่”

            “สมัยก่อนเขาเอารากรางจืดฝนกับน้ำซาวข้าวให้กิน”

            “อ๋อ...อย่างนั้นก็ไม่น่ายาก คงไม่น่ากลัวเท่าไหร่” หญิงสาวพึมพำ

            “เรื่องน่ากลัวของยาสั่งคือคนที่โดนจะไม่รู้ตัวเลยว่า โดนยาสั่งเข้าไปจนกระทั่งเผลอกินอาหารที่เขากำหนดนั่นแหละ ซึ่งอาหารที่คนปรุงยากำหนดไว้ก็จะเป็นอาหารพื้น ๆ ธรรมดาดูไม่มีพิษมีภัยอะไร...คนอื่นกินไม่เป็นไร แต่กับคนโดนยาสั่ง พอกินเข้าไปมันก็แทบแก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว”

            ฟังแล้วมีนาชักเริ่มกลัวขึ้นมาเหมือนกัน

            “ถ้าเป็นยาที่กินแล้ว ‘ถูกสั่ง’ ด้วยคำพูด หรือรหัสบางอย่างให้ไปตายล่ะคะ”

            “อย่างนั้นมันเหมือนการสะกดจิตมากกว่า” ปู่คงคาบอก “แต่คนที่จะสะกดจิตคนอื่นได้ ต้องมีวิชาพอตัวนะ”

            มีนานึกภาพลูกจ้างสาวที่นำน้ำชา ขนมมาให้เสี่ยหมง และ ‘พูด’ อะไรบางอย่าง ดูแล้วผู้หญิงคนนั้นไม่น่าเข้าข่ายมี ‘วิชา’ อาคมใด

            “ไหน...ลองเล่ามาสิ เราไปเจออะไรมา ถึงมาถามเรื่องยาสั่งแบบนี้” คงคาถามหลานสาวตรง ๆ

            มีนาระบายลมหายใจเบา ทบทวนความทรงจำ ก่อนเล่าเหตุการณ์ที่ตนเข้าไปเห็นความทรงจำดวงวิญญาณเสี่ยหมงให้ปู่ฟังทั้งหมด

            ขณะหลานสาวบอกเล่าเรื่องราว คงคาเพ่งยังดวงตาของเธอ ใช้จิตแตะสัมผัส เหนี่ยวนำให้เกิดนิมิต จนสามารถมองเห็นเหตุการณ์เดียวกับมีนาตั้งแต่ต้นจนจบ

            หลังจากหลานสาวบอกเล่าเรียบร้อย ผู้เฒ่าถอนจิตสัมผัสออก แล้วนั่งทบทวนเหตุการณ์เหล่านั้น

            มีนาไม่กล้าเอ่ยปากถามอะไร รอให้ปู่พร้อมอธิบาย ให้คำตอบด้วยตนเอง

            ครู่หนึ่ง ผู้เฒ่าค่อยพูดช้า ๆ อย่างไตร่ตรองใช้ความคิด

            “เท่าที่ปู่ ‘เห็น’ ลูกจ้างผู้หญิงที่เอาน้ำชา ขนมไปให้เสี่ยหมงน่ะ ไม่ใช่คนมีวิชาอาคมอะไร...น่าจะเป็นคนที่ถูกฝึกมาให้ใช้ยาแบบนี้มากกว่า”

            มีนาไม่สงสัยความสามารถประมุขตระกูล จึงสงบใจฟังอย่างไม่เร่งร้อน

            “ส่วนน้ำชาหรือขนมอาจมีปัญหา...มันน่าจะเป็นของที่กินแล้วทำให้ขาดสติชั่วครู่ เปิดโอกาสให้คนที่ถูกฝึกมา รู้ว่าควร ‘สั่งการ’ จิตใต้สำนึกเขาอย่างไร ให้คนคนนั้นเสียชีวิตอย่างแนบเนียน ไร้ร่องรอย สืบสาวไม่ถึง”

            “น่ากลัวจัง” มีนาเผลอหลุดปาก แล้วถามต่อ “คุณปู่คิดว่าน้ำชาหรือขนมนั่นมีอะไรผสมอยู่หรือเปล่า แล้วเรามีวิธีแก้ไขอะไรมั้ย”

            ที่ต้องถามขนาดนี้เพราะไม่รู้ว่าตนเอง และคนในครอบครัวจะมีโอกาสเกี่ยวพันกับคนกลุ่มนี้เมื่อไหร่

            คงคาถอนใจก่อนตอบ

            “น้ำชานั่นปู่ดูแล้วมันมีสี กลิ่นที่แปลก ไม่คุ้นเคยเลย ส่วนขนมที่เสี่ยหมงกิน มันเหมือนขนมถั่วตัดที่บดเม็ดถั่วละเอียดกว่าปกติ ดูแล้วบอกไม่ถูกว่ามีอะไรผสม”

            ได้ยินปู่พูดแบบนี้ หญิงสาวก็เหนื่อยใจ รู้สึกเหมือนจนตรอกหาทางออกไม่เจอ

            “แต่...มีคนคนหนึ่ง อาจจะช่วยเราได้”

            คงคาพูดอย่างนี้หลานสาวค่อยใจชื้นขึ้น

            “ใครคะ”

            “จำเพชร...ตี๋เล็กเหลนครูแกลงได้มั้ย”

            “ครูแกลง...เพชร...” มีนาพึมพำ นึกถึงงานศพที่ทุกคนในครอบครัวเธอ และครอบครัวธันวาไปร่วมงาน

            งานศพนี้ใหญ่โต ผู้คนมาร่วมไว้อาลัยส่งผู้วายชนม์คับคั่งจนเป็นที่น่าจดจำ

            บุคคลผู้เสียชีวิตมีบุญคุณต่อผู้เฒ่าทั้งสองตระกูลอย่างยิ่ง

            ...ครูแกลง...อาจารย์ของคงคา และเผด็จ...

            มีนาพยายามนึกถึงเพชร หรือ ‘ตี๋เล็ก’ เหลนครูแกลง ตอนปู่แนะนำครอบครัวเจ้าภาพให้รู้จัก

            เด็กหนุ่มวัยรุ่นรูปหล่อ หน้าใส นั่งท้ายแถวลูกศิษย์สายตรงครูแกลง มีนาเห็นเขาโดดเด่น สะดุดตากว่าทุกคน

            ในสายตาโปรดิวเซอร์อย่างเธอ ยังอดคิดไม่ได้ว่า เด็กหนุ่มที่มีออร่าเด่นชัดขนาดนี้ ถ้าเข้าวงการบันเทิง คงเป็นที่น่าจับตามอง สาว ๆ กรี๊ดกร๊าด แฟนคลับหนาแน่นไม่แพ้ศิลปินเบอร์ต้น ๆ แน่นอน

            “ตี๋เล็ก...น้องเพชร...มีนจำได้แล้วค่ะ” มีนาตอบปู่

            “ใช่...เด็กคนนี้น่าจะช่วยได้...ตอนนี้ได้ยินว่าเรียนอยู่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เดี๋ยวเอาเบอร์โทรศัพท์ของเขาไปก็แล้วกัน จะได้โทรนัดเจอกันง่ายหน่อย”

            ปู่บอกอย่างนั้น มีนายังสงสัย

            “เด็กขนาดนั้น เขาจะรู้เรื่องสมุนไพร ยาสั่งมากกว่าปู่หรือคะ”

            มีนาไม่อยากบอกว่า...ขนาดปู่ใช้จิตสัมผัสเข้าไปเห็นเหตุการณ์เดียวกับหล่อน ก็ยังไม่สามารถช่วยได้เลย แล้วเด็กหนุ่มที่หล่ออินเทรนด์เหมือนบอยแบนด์แบบนี้จะช่วยอะไรได้

            ผู้เฒ่ายิ้มน้อย ๆ ขำขัน

            “อย่าดูคนที่ภายนอกสิหมวยมีน...ตี๋เล็กคนนี้เก่งวิชาแพทย์แผนโบราณฝังเข็มได้คล่อง พอกับรู้จักสมุนไพรเกือบทุกชนิด เขาเป็นลูกศิษย์คนเดียว ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคม สมุนไพร การแพทย์ทั้งหมดของครูแกลง ไว้เลยนะ”

            ฟังแล้วอดตาค้างไม่ได้...เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อใส ขวัญใจสาว ๆ ที่ควรอยู่หน้าจอทีวี บนเวทีคอนเสิร์ต กลับเป็นบุคคลเดียวที่ได้รับประสิทธิประสาทวิชาทั้งหมดของครูแกลง...บุคคลได้ชื่อว่าสุดยอดแพทย์ผู้ทรงเวทแห่งยุค



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            คนรู้จักธันวาในปัจจุบัน มักวาดภาพจิตแพทย์หนุ่มตอนวัยเด็ก และวัยรุ่นไปในแบบหนึ่ง...ซึ่งดูเป็นเด็กเคร่งขรึม รักสงบ พูดน้อย ไม่ค่อยยิ้มแย้ม มุ่งมั่นการเรียน ไม่สุงสิงกับใคร...ซึ่งผิดกับความจริงหลายขุม

            ธันวาสมัยเด็ก และตอนวัยรุ่นเข้าข่ายเด็กเกเร หัวแข็ง ไม่ยอมใคร ดื้อ เอาแต่ใจตามประสาลูกชาย หลานชายคนโตของผู้มีอิทธิพลในเมือง เพียงแต่หากเขายอมลงใจให้ใคร ธันวาจะกลายเป็นเด็กน่ารัก อ่อนโยนผิดเป็นคนละคน

            ปู่อย่างเผด็จมองการเติบโตของหลานชายคนนี้ด้วยแววตาเข้าใจ ต่อให้มีรายงาน ‘วีรกรรม’ ธันวาเข้าหูแค่ไหน ท่านก็จะทำเฉย ไม่เข้าข้าง ไม่ห้ามปราม ปล่อยให้คุณย่า และมารดากำราบอบรมสั่งสอนกันเอง

            คงคาเห็นอย่างนั้นมักหัวเราะอย่างสะใจ

            “ฮ่ะฮ่ะ...ไอ้ธันวาก็เหมือนปู่มันสมัยหนุ่มนั่นแหละ...สมน้ำหน้ามัน!”

            ถึงเด็กชายธันวาจะชอบมีเรื่องชกต่อย แต่เขาเป็นคนรักเพื่อนพ้อง เคยออกหน้ารับผิดแทนเพื่อนหลายครั้ง ปากแข็ง ใจเด็ด ยอมโดนลงโทษโดยไม่เคยเอ่ยปากซัดทอดใคร

            เพื่อนคนแรกที่ธันวาให้ความสนิทสนม คุ้นเคยคือมีนา...เด็กหญิงข้างบ้าน

            ด้วยความที่บ้านติดกัน โตมาด้วยกัน ถึงอีกฝ่ายจะเป็นเด็กผู้หญิงช่างพูดจนน่ารำคาญในบางครั้ง ขี้กลัวโน่นนี่จนน่าเบื่อ เขาก็ยอมรับได้ ด้วยรู้จักเนื้อแท้จิตใจเพื่อนคนแรกรายนี้อย่างดี

            ที่มีนาช่างพูด ช่างคุยก็เพราะอยากให้เพื่อนสนุก มีความสุขไปกับเธอ ต่อให้เด็กหญิงกลัวโน่นกลัวนี่ตามประสา แต่เมื่อเกิดเรื่อง มีภัยเข้ามาจริง เธอก็ไม่ยอมถอย กัดฟันหันหน้าสู้เพื่อปกป้องเพื่อนพ้อง คุ้มครองคนที่อ่อนแอกว่าตน

            มีนาจริงใจ รักเพื่อนพ้อง มากน้ำใจไม่ต่างจากธันวา ความแตกต่างเรื่องเพศ อุปนิสัยไม่ใช่ปัญหา เด็กสองคนจึงคบกันอย่างสนิทสนม แม้ทะเลาะเบาะแว้งบ้าง ก็จะคืนดีกันไม่เกินข้ามคืน

            จนกระทั่งโตเป็นวัยรุ่น มีนายังเป็นผู้หญิงขี้กลัว ช่างโวยวาย และชอบช่วยเหลือคนอื่น จนบางครั้งถึงขั้นแส่หาเรื่องเหมือนเดิม

            ในสายตาธันวา กลับเห็นว่านั่นเป็นความน่ารัก มีเสน่ห์ น่าชื่นชมซึ่งมักกระตุ้นหัวใจเขาให้เต้นแรงเวลาอยู่ใกล้ อบอุ่นเมื่อได้มองมาไกล ๆ

            ชีวิตวัยรุ่นพาให้เด็กหนุ่ม เด็กสาวหันไปคบเพื่อนคนละกลุ่ม

            ธันวาจะอยู่กลุ่มเด็กผู้ชาย เล่นกีฬา ต่อยมวย เที่ยวลัดเลาะซอกซอนทั่วเมือง มีเรื่องกับเด็กรุ่นเดียวกันเป็นระยะ ส่วนมีนาจะมีกลุ่มเด็กผู้หญิง ทำกิจกรรมเชียร์กีฬา ตั้งกลุ่มชมรมต่าง ๆ

            ถึงเป็นคนละกลุ่ม คนละเส้นทาง มีนาก็ยังอยู่ในสายตาธันวาเสมอ



            นอกจากมีนาแล้ว ‘เพื่อน’ ที่ธันวานับเป็นเพื่อนรัก เพื่อนตาย ให้ความสนิทสนม จนรู้ใจกันดีอีกคนหนึ่งคือ ‘ภูริช’ เด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาเรียนตอนชั้นมัธยมปลาย

            แรกเจอก็มีการเขม่นกันบ้างตามประสาเด็กผู้ชาย แต่ภูริชสามารถแสดงธาตุแท้ในใจให้เห็นว่าเขาเป็นคน ‘พันธุ์’ เดียวกับธันวา ทั้งคู่จึงเป็นเพื่อนรัก เพื่อนสนิทชนิดไม่ต้องเอ่ยปากก็รู้ใจ รักกันไม่น้อยกว่าพี่น้องคลานตามกันมา

            คนสนับสนุนให้ธันวาสารภาพรักมีนา หลังการแข่งขันกีฬาคือภูริช

            “ไอ้เหี้ยธัน...ถ้ามึงไม่บอกมันตอนนี้ แล้วจะพูดตอนไหนวะ...ผู้หญิงเขาไม่ได้อ่านใจมึงออกนะโว้ย”

            ความรู้สึกในใจที่ขนาดปู่ ย่า คนในครอบครัวยังไม่รู้ เพื่อนสนิทอย่างภูริชกลับมองเห็น...รู้ว่าเขาชอบมีนา ทั้งที่ตนเองไม่เคยแสดงท่าทางผิดปกติใดเลย

            คนทั่วไปอาจเห็นธันวาเป็นเสือยิ้มยาก พูดน้อย ต่อยหนัก ภูริชกลับเข้าไปเห็นถึงเนื้อใจของเขาว่า มันอบอุ่น จริงใจต่อทุกคน ปากอาจไม่พูดจามากความ สายตากลับมองเห็นความทุกข์ของคนอยู่ใกล้ พร้อมเสมอที่จะกระโจนเข้าไปช่วยเหลือ

            ภูริชนี่แหละ เป็นคนสรุปเรื่องของธันวา มีนาชัดเจนกว่าใคร

            “มึงกับมันน่ะ...มีหัวใจที่รักคนรอบข้างเหมือนกัน...แต่แสดงออกต่างกันเท่านั้นเอง”



            วันหนึ่ง...ภูริชบอกว่าจำเป็นต้องเดินทางไกล ธันวาทอดทิ้งทุกอย่างเพื่อร่วมทางมาส่งเพื่อน

            คำพุดสุดท้ายที่เพื่อนรักทิ้งให้คือ...

            “กูจะกลับมา”

            “เออ”

            ธันวาตอบรับเพียงเท่านี้ ในใจตื้นตันพูดอะไรไม่ออก มองเพื่อนรักค่อยถอยห่างจากไกลด้วยใจวิบวับ อ้างว้าง ตอบไม่ถูก เมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP