วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เร้น ๑๐



Ren



ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            เสี่ยหมงยกชาขึ้นจิบ รู้สึกชุ่มคอ อารมณ์เครียดผ่อนคลาย เอื้อมมือหยิบขนมชิ้นเล็กกลิ่นหอมแปลกมาชิม รสชาติเข้ากับชาอย่างประหลาด ช่วยให้จิตใจร้อนรุ่มค่อยเย็นลง

            พออารมณ์เย็น เสี่ยหมงเอ่ยปากต่อ

            “ผมจ่ายไปเยอะขนาดนี้ พวกคุณมีหลักประกันอะไรให้ผมวางใจได้บ้างล่ะ”

            “เสี่ยอยากได้อะไรเป็นหลักประกันล่ะคะ” ผู้พูดพยายามใช้น้ำเสียงอ่อนเอาอกเอาใจ

            “ผมรู้ว่า เหนือกว่า ‘ท่าน’ ของคุณ ยังมี ‘นายใหญ่’ อีกคนที่มีอำนาจสูงสุดในองค์กร”

            เสี่ยหมงทิ้งไพ่ตาย ดวงตาฉายแววนักสู้ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมโดนหลอกง่าย ๆ

            “นาย...ใหญ่...” กัญญาพูดช้า ๆ แววตาเปลี่ยน คาดไม่ถึงอีกฝ่ายจะสืบรู้โครงสร้างองค์กรตน แต่ไม่คิดปฏิเสธ หลีกเลี่ยงบอกว่าบุคคลเช่นนายใหญ่ไม่มีจริง

            เพราะรู้...ต่อให้เสี่ยหมงทราบโครงสร้างองค์กร รู้จักนายใหญ่ ก็ไม่มีทางทำสิ่งใดต่อพวกตนได้

            “ผมขอพบนายใหญ่” เสี่ยหมงบอกความต้องการตนเอง

            “เสี่ยจะพบนายใหญ่เพื่ออะไรคะ งานโครงการระดับหมื่นล้านแค่นี้ ‘ท่าน’ คนเดียวก็สามารถจัดการให้เสี่ยได้แล้ว” กัญญาพูดเสียงอ่อน โน้มน้าวใจ

            “ในเมื่อท่านของคุณ บอกให้ผมรอเวลา ทั้งที่ผมเสียเงินล่วงหน้าไปมากขนาดนี้ มีนักธุรกิจที่รอเหยียบผมอีกเป็นสิบ ถ้าโครงการนี้ไม่สำเร็จ...ผมก็ควรได้คำยืนยันจาก ‘นายใหญ่’ เลยดีกว่า ว่าโครงการนี้มันจะผ่านเมื่อไหร่...หรือถ้ายังไง นายใหญ่จะคืนเงินล่วงหน้าให้ผมมาบ้างก็ได้ เผื่อมีนักธุรกิจคนไหนเขาอยากถอนตัว ถอนเงินคืนออกไป”

            สีหน้ากัญญาดูสงบ รอยยิ้มเกลี่ยบาง ๆ รับฟังวาจาอาคันตุกะโดยไม่ขัดแทรก จนเขาพูดจบค่อยตอบง่าย ๆ

            “การขอพบนายใหญ่ ไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ...ธรรมดา ‘ท่าน’ จะทำหน้าที่แทนนายใหญ่ทุกอย่างอยู่แล้ว...ญาว่าต่อให้เสี่ยได้พบนายใหญ่...นายใหญ่ก็คงให้คำรับรองอะไรไม่ได้มากไปกว่า ‘ท่าน’ ที่เสี่ยคุยด้วยหรอกค่ะ”

            “ผมขอร้อง อย่างน้อยให้ผมเจอนายใหญ่สักครั้งก็ยังดี ถ้านายใหญ่ทำให้ผมมั่นใจได้จริง ผมก็จะยอมรอเพื่อให้โครงการนี้เดินหน้าต่อ...แต่ถ้าไม่ได้...ผมคงต้องถอย และขอให้พวกคุณคืนเงินที่ผมเสียไปทั้งหมดด้วย ไม่อย่างนั้น ทุกอย่างที่ผมรู้ จะถูกเปิดโปงออกไปแน่!”

            กัญญามีสีหน้าลำบากใจ ท่าทางลังเล ตัดสินใจไม่ถูก เสี่ยหมงจึงสำทับเข้าไปอีก

            “อย่างน้อยคุณลองโทรไปขออนุญาตก่อนดีกว่าไหม ‘นายใหญ่’ อาจไม่ขัดข้อง ยอมให้ผมเข้าพบก็ได้”

            หญิงสาวถอนใจเฮือกใหญ่อย่างยอมแพ้ ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างคนอยู่ข้างเดียวกัน

            “ค่ะ...ถ้าอย่างนั้นญาจะลองดู...ขอตัวไปโทรศัพท์สักครู่นะคะ”

            พอกัญญาออกจากห้อง เสี่ยหมงแอบถอนใจ สีหน้ากังวล รู้ว่าตนเสี่ยงทิ้งไพ่สำคัญแบบนี้ หากฝ่ายนั้นยอมถอย ให้เข้าพบก็ดีไป...แต่ถ้าไม่...คงโดนคำสั่งเก็บ เพราะเขารู้ความลับองค์กรนี้มากไปแล้ว!

            จิบชาที่เหลือจนหมด เด็กลูกจ้างในคลินิกเข้ามาเติมชาราวกับรอจังหวะอยู่...ขณะขยับตัวถอยหลัง เด็กลูกจ้างก็หันมาจ้องตาเสี่ยหมงตรง ๆ พร้อมขยับริมฝีปาก พูดอะไรบางอย่าง...

            ...ไม่มีเสียงใดเล็ดรอด...หรืออาจเป็นได้ที่เสี่ยหมงไม่ได้ยิน ไม่สามารถจดจำวาจานั้น

            พอรู้สึกตัวอีกครั้ง กัญญาเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้มโล่งใจ ท่าทางกระตือรือร้นยินดี

            “นายใหญ่รับปากให้เสี่ยเข้าพบแล้วค่ะ”

            ใบหน้าเสี่ยหมงแสดงความแปลกใจ คลายความตึงเครียดลง

            “จริงเหรอ...เมื่อไหร่?”

            “วันจันทร์หน้า เดี๋ยวญาจะพาเสี่ยไปพบนายใหญ่เอง”

            เสี่ยหมงพยักหน้า ไม่รู้สึกยินดี หนำซ้ำเกิดความหนักใจ กังวลแปลก ๆ พูดคุยอีกไม่นานก็ลากลับ ช่วงเวลานั้นสติกลับขาด ๆ หาย ไม่ค่อยเป็นตัวเอง ต้องพยายามฝืนความรู้สึกตัวขึ้นมา

            พอเข้ามานั่งในรถ เสี่ยหมงสูดลมหายใจลึก ๆ เรียกความแจ่มใสกลับมาชั่วขณะ สังหรณ์ในใจเตือนให้รีบพิมพ์ข้อความเตือนภัยไปให้ณีรนุช พี่สาวตน...จากนั้นฉุกใจได้ รีบลบข้อความหลังส่งไปเรียบร้อยแล้ว

            นั่นเป็นความทรงจำสุดท้ายของเสี่ยหมง



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ความรู้สึกตัวกลับสู่มีนาอีกครั้ง หญิงสาวมองเห็นห้องรับรองแขกสว่างไสวจากแสงแดดยามบ่าย ขณะนี้เป็นเวลากลางวันแดดจ้า ไม่ใช่ยามค่ำ ดึกดื่นอย่างในความทรงจำเสี่ยหมง

            ลุกขึ้นยืนด้วยใจสั่นหวิว ทรงตัวลำบาก ต้องใช้เวลาปรับสภาพตนเองชั่วขณะ แล้วหันไปทางเคาน์เตอร์ พบธันวากำลังยืนรับยา จ่ายเงินแทนหล่อน อีกทั้งพูดคุยกับเด็กสาวลูกจ้าง ด้วยลักษณะเหมือนต้องการเบี่ยงเบนความสนใจ

            มีนาบอกไม่ถูกว่าตนเองอยู่ในสภาพนั้นกี่นาที จนธันวาต้องยอมออกหน้าช่วย เพื่อไม่ให้ลูกจ้างสาวสงสัย

            พอปรับอารมณ์จนปกติ จึงเดินไปหาแล้วเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสดใสดังเดิม

            “เรียบร้อยแล้วหรือคะ”

            “อืม...เรียบร้อยแล้ว นี่ยาของเธอ...เดี๋ยวเราออกไปพร้อมกันเลย...ขอบคุณมากนะครับน้อง” ธันวาใช้เสียงอ่อนนุ่มบอกต่อเด็กสาวในคลินิก

            “ขอบคุณเหมือนกันค่ะที่มาอุดหนุน” ลูกจ้างสาวยิ้มสดใส เกิดความรู้สึกดี เป็นกันเองกับชายหนุ่ม

            “จ้ะ...แล้วพี่จะแวะมาอีก” มีนารับยาจากชายหนุ่มแล้วพูดตอบตามมารยาท

            “อุ๊ย...จริงสิ” เด็กสาวเพิ่งนึกได้ “หนูว่าคลินิกคงปิดยาว ต่อให้คุณหมอกลับจากต่างประเทศคงไม่มาประจำที่ร้านแล้ว เพราะคุณกัญญาเธอก็ไม่อยู่”

            “นั่นสิ ทำยังไงดีล่ะ” โปรดิวเซอร์สาวทำท่ากังวลใจพองาม ทั้งที่ตนไม่คิดกลับมาคลินิกนี้อยู่แล้ว

            “ถ้าพี่อยากพบคุณหมอ หนูแนะนำให้ไปที่คลินิกใหญ่ได้เลยนะคะ”

            “คลินิกใหญ่...ที่ไหนหรือจ๊ะ” มีนาถามอย่างแปลกใจ

            “ค่ะ...เป็นคลินิกแม่ของคลินิกกัญญา ชื่อคลินิกงามพิศ...อยู่ที่นี่ค่ะ” พูดพลางหยิบโบรชัวร์คลินิกแห่งนั้นยื่นให้พร้อมอธิบาย “คุณหมอเธอจะประจำคลินิกงามพิศวันธรรมดาค่ะ”

            “อ๋อ...” มีนารับคำ กวาดตาดูโบรชัวร์คร่าว ๆ

            คลินิกงามพิศอยู่ชานเมืองกรุงเทพฯ เป็นเขตปริมณฑล ทางผ่านจากจังหวัดแห่งนี้เข้ากรุงเทพฯ พอดี

            หญิงสาวนึกวาดภาพเส้นทางในหัว จากจังหวัดบ้านหล่อน ต้องผ่านจังหวัดซึ่งมีคลินิกกัญญาก่อน และพอจะเข้ากรุงเทพฯ ก็ต้องผ่านคลินิกงามพิศ...ดูแล้วมันกลายเป็นเส้นทางเดียวกันราวกับถูกจัดวางไว้อย่างมีแบบแผน

            “ขอบคุณมากนะจ๊ะ” มีนาเงยหน้าขึ้นยิ้มอย่างมีไมตรี



            สองหนุ่มสาวก้าวออกจากร้านมายืนริมถนน มีนาสังเกตเห็นรถชายหนุ่มจงใจจอดขวางหน้ารถเธออยู่

            “เอ้านี่...เงินค่ายาของฉัน” หญิงสาวคืนเงิน ไม่อยากเป็นหนี้ชายหนุ่ม “รีบ ๆ หลบไปเร็ว ฉันจะกลับบ้านแล้ว”

            “เรามีเรื่องต้องคุยกันก่อน” เขารับเงินคืน พูดสีหน้าจริงจัง

            “ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับแก” มีนาปฏิเสธ

            “ฉันจะไม่ถือสาเรื่องที่เธอแอบเอากุญแจไป เพราะรู้ว่าต้องเอาไปคืนให้คุณณีรนุช” ธันวาพูดแล้วจ้องหล่อนอย่างคาดโทษ

            “อือ...ที่จริงต้องขอบคุณฉันด้วยซ้ำ” มีนาลอยหน้าพูดอย่างไม่รู้สึกผิด

            “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่ติดใจ

            “แล้วมีอะไรอีก” หญิงสาวใส่อารมณ์รำคาญในน้ำเสียง

            “เธอไม่สงสัยหรือว่า...ฉันตามมาที่คลินิกนี้ได้ยังไง” จิตแพทย์หนุ่มมองมาด้วยแววตาท้าทาย

            โปรดิวเซอร์สาวชะงัก เงยหน้ามองอย่างสงสัย มั่นใจว่าธันวาไม่มีทางย้อนกลับไปสืบถามณีรนุชเรื่องเสี่ยหมง กัญญาแน่นอน ไม่เช่นนั้นอาจทำให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัย คลางแคลงใจได้

            ธันวามองหญิงสาวอย่างคนถือไพ่เสมอกัน

            “ถ้าเธออยากรู้เรื่องที่ฉันรู้...เธอก็ต้องบอกเรื่องที่เธอรู้ให้ฉันฟังเหมือนกัน...ถือว่าแชร์ข้อมูลกัน โอเคมั้ย?”

            คำพูดนี้ เหมือนเป็นวาจาที่เขาใช้ต่อรองกับผีเสี่ยหมงไม่มีผิด

            จิตแพทย์หนุ่มน่าจะรู้ว่าเมื่อครู่หล่อนได้ข้อมูลมากพอสมควรจากการใช้สัมผัสพิเศษส่วนตัว จึงอยากรู้ อยากแชร์ข้อมูลร่วมกัน

            ...โธ่...คิดว่าผู้หญิงอย่างมีนาจะยอมร่วมมือง่าย ๆ หรือไง...

            “เอาสิยะ...จะคุยกันที่ไหนบอกมาเลย...” หญิงสาวก็อยากรู้ข้อมูลจากเขาเช่นกัน



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ร้านกาแฟ ลูกค้าไม่มากนัก ในร้านจัดโต๊ะแยกมุมส่วนตัว บรรยากาศอบอุ่น กลิ่นเม็ดกาแฟคั่วโชยชาย เสียงเพลงเบา ๆ บรรเลงคลอขับกล่อม

            มีนาสงสัย...เธอกับธันวามาอยู่ในจุดนี้ได้อย่างไร

            โต๊ะทั้งคู่อยู่ตรงมุมติดกระจกมองเห็นวิวนอกร้าน บนโต๊ะมีกาแฟคนละถ้วยควันกรุ่น กลิ่นหอม เค้กชิ้นเล็กสีสันชวนรับประทานวางอยู่โดยยังไม่มีใครตักชิม

            บรรยากาศเช่นนี้ชวนให้นึกถึงสมัยวัยรุ่นมัธยมปลาย ทั้งสองเคยนั่งอยู่ร้านไอศกรีมชื่อดัง สั่งไอศกรีมถ้วยใหญ่ เรียงในชามหลายก้อน ราดท็อปปิ้งหลากหลายสีสันสวยงาม ร่วมกันตักกินอย่างสนุกสนาน มีความสุข

            นั่นเป็นการเดทสองต่อสองหนึ่งในไม่กี่ครั้งของมีนา ธันวา...



            เรื่องหนึ่งซึ่งพวกผู้ใหญ่ไม่เคยรู้...ธันวากับมีนาเคยคบเป็นแฟนกันระยะหนึ่ง สมัยเรียนมัธยมปลาย

            เหตุการณ์มันเริ่มต้นจากการปรามาส ท้าทายในงานแข่งขันกีฬาครั้งหนึ่ง ซึ่งทีมของธันวาเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด

            “ถ้าทีมฉันชนะ เธอจะให้อะไร” นานครั้งผู้ชายอย่างธันวาจะยอมวางเดิมพันกับใคร

            “อ้าว...ถ้าทีมแกแพ้ล่ะ...จะยอมเสียอะไร” มีนาย้อนคืนอย่างไม่ยอมเสียเปรียบ

            เด็กหนุ่มจ้องตาเด็กสาวแน่วแน่ แววตาทอประกายบางอย่างที่ชวนให้ใจสั่น

            “ถ้าทีมฉันแพ้ เธอสามารถสั่งให้ฉันทำอะไรก็ได้...วันนึง” คำพูดหนักแน่น

            “โอเค...ฉันจะเตรียมเรื่องยาก ๆ ที่แกไม่ชอบ ให้ทำจนอ่วมเชียว” มีนาทำเนียนรับคำท้าแบบไม่ยอมบอกว่าตนเองจะยอมเสียอะไรหากเป็นฝ่ายแพ้

            “เดี๋ยว!” ธันวาไม่ยอมหลงกล เอ่ยปากเสนอเงื่อนไขเอง “ถ้าทีมฉันชนะ...เธอโดนฉันจูบ...เอามั้ย”

            “เฮ้ยไอ้บ้า...ไอ้หมาธัน” เด็กสาวรีบยกมือปิดปาก “วางเดิมพันบ้า ๆ แบบนี้ได้ยังไง”

            “บ้าแล้วกล้าเล่นด้วยมั้ยล่ะ”

            โดนท้าทายแบบนี้ ผู้หญิงอย่างมีนาก็ไม่ยอมถอยเช่นกัน

            “เออ...ก็ได้...ยังไงทีมแกก็แพ้แน่...ฉันจะเตรียมเรื่องยาก ๆ คัดเอาแบบที่แกไม่ชอบมาสั่งให้ทำเพียบเลย”

            “สัญญา” ธันวายื่นมือออกมา

            “เออ...สัญญาก็สัญญา” มีนายอมบีบมือประทับสัญญา มั่นใจว่าตนเองไม่มีทางแพ้เด็ดขาด

            วันนั้น ทีมที่เป็นรองอย่างเห็นได้ชัด กลับมีแรงฮึดจากเด็กหนุ่มรูปหล่อหัวหน้าทีม ธันวาทุ่มเทบุกด้วยใจเกินร้อย ปลุกจิตใจให้ลูกทีมเกิดใจสู้ แข่งกีฬาเต็มที่ชนิดยอมตายคาสนาม ส่งผลให้คว้าชัยแบบพลิกล็อก ตื่นตะลึง สร้างเซอร์ไพรส์แก่กองเชียร์ทั้งสนาม



            มีนาแอบหลบออกทางด้านหลังโรงเรียน ซึ่งเป็นที่ปลอดคน ตั้งใจมุดรั้วทางลับที่มีนักเรียนตัวแสบไม่กี่คนรู้ จากนั้นคิดว่าจะหนีไปซ่อนบ้านเพื่อนสักคืน พอถึงวันพรุ่งนี้ ค่อยบอกกับธันวาว่า...

            สัญญาเป็นโมฆะ เนื่องจากมันข้ามวันมาแล้ว!

            ทว่า...แผนการแยบยล กลับโดนคนฉลาดเป็นกรดอย่างธันวารู้ทัน เขาตลบหลังด้วยการไปดักอยู่นอกรั้ว ซึ่งไม่มีคนสัญจร รอจนเด็กสาวมุดออกมาด้วยทรงผม เสื้อผ้าเต็มไปด้วยเศษใบไม้ แล้วค่อยปรากฏตัว

            “ว้าย...” มีนาอุทานอย่างคาดไม่ถึง

            “ทีมฉันชนะแล้ว” ธันวาบอกง่าย ๆ ดวงตามีรอยยิ้มแทนการทวงสัญญา

            “เอ่อ...ฉันเห็นแล้วล่ะ” เด็กสาวยิ้มสู้ ทำตลกกลบเกลื่อน “แกเก่งสุดยอดเลย แมนออฟเดอะแมตช์ตัวจริง หล่อสุด เท่สุด สาวกรี๊ดตรึม ไม่มีใครสู้ได้...ธันวา...สุดยอดนักกีฬา!”

            มีนาทำตลกอวยสุดฤทธิ์ เสร็จแล้วแกล้งทำตาปริบ ๆ ให้น่าสงสาร

            เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรมาก รอจนเด็กสาวหยุดวาจา พยายามส่งยิ้มหวาน ทำตาปริบ ๆ ขอความเห็นใจ เขาก็เข้าไปประกบปากจูบอย่างนุ่มนวล อ่อนโยนโดยไม่ให้เธอได้ทันตั้งตัว

            มีนาตัวแข็งทื่อ ชาซ่านทำอะไรไม่ถูก ปล่อยให้เขาจูบจนกระทั่งริมฝีปากอุ่น ๆ นั้นเคลื่อนออก มองเห็นประกายอ่อนหวานในดวงตาเด็กหนุ่ม แววตาที่ไม่เคยเห็นเขามองใคร

            ความรู้สึกอยากร้องกรี๊ด แล้วยกมือฟาดหน้าเขาสักผัวะใหญ่เลือนหายไปจากความคิด

            ไม่ใช่เพราะยอมรับ ทำตามสัญญา...แต่ด้วยสายตาและสัมผัสนั้นทำให้จิตใจหล่อนอ่อนระทวย ปลุกความรู้สึกที่เร้นลึกอยู่ภายในขึ้นมา

            “แก...” หลุดคำแรกได้คิดว่าจะต้องด่าเขาอย่างเผ็ดร้อน...วาจากลับกลายเป็น “นี่...มันจูบแรกของฉันเลยนะ”

            ดวงตาธันวามีรอยยิ้มสว่างไสว สวยงาม ยิ่งทำให้จิตใจคนอยู่ใกล้สั่นระรัวบอกไม่ถูก

            “ถ้ามันจะทำให้เธอสบายใจขึ้น...” เขากระซิบเสียงเบาอ่อนโยน “นี่ก็เป็น...จูบแรกของฉันเหมือนกัน”

            ครั้งแรกในชีวิตที่มีนาเขินอายจนใบหน้าแดงซ่าน พูดอะไรไม่ออก ตัวลอยเหมือนจะบินได้

            ธันวามองมาด้วยแววตาที่ไม่ปกปิดความรู้สึกข้างใน

            “ต่อจากนี้ ห้ามเธอเอาเบอร์โทรของฉันไปให้ใครอีก ไม่ต้องเป็นแม่สื่อเอาจดหมายรัก ขนม ดอกไม้จากผู้หญิงคนอื่นมาให้ฉัน...” นานครั้งธันวาจะพูดยืดยาวขนาดนี้ “เพราะฉันจะรับขนม ดอกไม้ ของเธอคนเดียวเท่านั้น”

            เด็กสาวหัวใจพองฟู ผีเสื้อกลางอกขยับปีกโบยบิน รู้สึกเหมือนดอกไม้ในหัวใจเบ่งบานพร้อมกัน เป็นความรู้สึกซึ่งไม่เคยเกิดมาก่อนในชีวิต

            “ทำไมล่ะ...” ถามอย่างไม่รู้จะพูดอะไร...หรือบางทีเธออยากได้ยินคำยืนยันชัดเจน

            ดวงตาธันวาทอประกายขำขัน คล้ายต้องการหยอกล้อ ย้อนถาม...เรื่องแค่นี้ต้องให้พูดจากปากด้วยหรือ?

            “ฉันจะพูดให้เธอได้ยินแค่ครั้งเดียว...ฟังให้ดีแล้วอย่าถามซ้ำอีก” เด็กหนุ่มพูดช้า ๆ น้ำเสียงอ่อนโยน จริงจังอย่างยิ่ง

            “...ฉันชอบเธอ...”

            สิ้นวาจานี้ สิ่งที่ติดค้างในใจมีนาหลุดผัวะออก ความรู้สึกซ่อนเร้นถูกเปิดเผย โดยเจ้าตัวไม่ทันฉุกใจ ทราบมาก่อน รอยยิ้ม สีหน้า แววตาเธอล้วนตอบรับคำบอกรักของเขาอย่างยินดี

            ...มีนาก็ชอบเขาเช่นกัน...

            มันเป็นความรู้สึกที่เพิ่งประจักษ์แก่ใจเมื่อได้ยินคำรักตรง ๆ เช่นนี้



            หลังจากทั้งสองเปิดเผยความรู้สึกระหว่างกันโดยไม่ปิดบัง ก็ยังมีบางสิ่งที่ทำให้เด็กสาวร้องขอต่อเด็กหนุ่ม

            “อย่าเพิ่งให้ผู้ใหญ่รู้เรื่องของเราได้มั้ย”

            “ทำไมล่ะ” ธันวาสงสัย เพราะมองไม่เห็นอุปสรรคใดในการคบหาเลย

            “จะบ้าเหรอ...ฉันอายพ่อแม่ปู่ย่าน่ะสิ...เมื่อก่อนยืนยันเหยง ๆ หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมเอาแกเป็นแฟนเด็ดขาด...มาเปลี่ยนใจตอนนี้ แล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

            ธันวาหัวเราะออกมาเต็มเสียง เป็นกิริยาที่ไม่ค่อยมีใครเห็นบ่อยนัก

            “ก็เธอพูดอยู่คนเดียว ฉันไม่เคยพูดสักหน่อย” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

            “หน็อย แกมีปากซะที่ไหนล่ะ ผู้ใหญ่ถามอะไรก็ทำเฉย นิ่งตลอด” เด็กสาวแขวะ

            “ตะกี้ฉันก็ไม่ได้อยู่นิ่ง ๆ นะ” เด็กหนุ่มอดหยอกล้อไม่ได้

            “พอเลย...จะรับปากมั้ย ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องคบกัน” พูดด้วยความเขินอายมากกว่าแสดงเจตนาจริง

            “ตกลง...ตามใจเธอเถอะ”

            เขาเห็นว่าเรื่องการคบหาของคนสองคน มันไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ แล้วถ้ามีนาสบายใจที่จะปกปิด ก็ไม่ขัดข้อง

            ดังนั้นการคบหา ออกเดทของมีนา ธันวาตอนวัยรุ่น จึงมักพ่วงน้องสาว น้องชายตัวแสบทั้งคู่ไปบังหน้า เป็นกันชน นานครั้งถึงจะมีโอกาสนั่งกินไอศกรีมสองต่อสองกันสักที



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            วันนี้...มีนาเห็นบรรยากาศตรงหน้าคลับคล้ายในวันวาน ต่างกันเพียงทั้งสองล้วนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่มีความไร้เดียงสาเช่นในวัยเยาว์ อีกทั้งเรื่องราวที่กำลังพูดคุยก็ไม่ใช่เรื่องสัพเพเหระ เรื่อยเปื่อยอย่างตอนวัยรุ่น

            ธันวาที่เคยหัวเราะเต็มเสียงกับเธอ ยิ้มให้ หยอกล้ออย่างสดใส ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว

            ชั่ววูบแห่งความคิด มีนาอยากให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเช่นในวันวาน...แม้ชั่วนาทีเดียวก็ยังดี

            จิตแพทย์หนุ่มยกกาแฟขึ้นจิบ มองหญิงสาวเป็นเชิงรอให้พร้อม ตนเองจะได้เปิดประเด็นพูดคุย

            “ฉันพร้อมแล้ว เชิญคุณหมอพูดก่อนได้เลย” มีนาจงใจใช้วาจาห่างเหิน

            “เธอจะไม่ถามฉันหรือว่า...ตามมาที่คลินิกกัญญาได้ยังไง”

            “ถ้าคุณหมอไม่ถามจากคุณณีรนุช ก็คงได้จากข้อมูลคดีเสี่ยหมงที่พ่อฉันเอาไปให้มั้ง” หญิงสาวเหน็บแนมรู้ทัน

            “ถูก” ธันวายอมรับ “ฉันรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยหมงกับกัญญาจากข้อมูลคดีที่พ่อเธอให้มา รู้ว่าเขาแวะมาคลินิกแห่งนี้ก่อนเกิดอุบัติเหตุ”

            ธันวายังไม่บอกต่อว่า...นอกจากนั้นตัวเขา ปู่ทั้งสอง พ่อเขาพ่อเธอได้ร่วมประชุมกันเรื่องคดีเสี่ยหมงละเอียดขนาดไหน

            “เธออยากรู้มั้ยว่า ข้อมูลตำรวจที่เราได้มา สืบสวนคดีเสี่ยหมงไปถึงไหนแล้ว”

            “ฉันต้องเอาอะไรมาแลก” หญิงสาวรู้ว่าตนไม่มีทางได้เปล่า

            “ทุกเรื่องที่เธอรู้...” ธันวามั่นใจว่าหญิงสาวผู้สื่อสารกับวิญญาณได้ ต้องรู้รายละเอียดมากกว่าในแฟ้มข้อมูลคดีแน่นอน

            “ก็ได้...งั้นเชิญคุณหมอบอกเรื่องที่รู้ก่อน” หญิงสาวตอบรับ แต่ไม่ยอมเสียเปรียบ

            ธันวาไม่ขัดข้อง เชื่อว่าตนเองมีวิธีล้วงข้อมูลจากหญิงสาวได้หมดเปลือกอยู่แล้ว

            “เสี่ยหมงมาพบกัญญาที่คลินิก ใช้เวลาคุยกันประมาณชั่วโมงเศษจึงกลับไป และเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตที่โค้งอันตรายนั้น ผลชันสูตรเบื้องต้น ไม่พบแอลกอฮอลล์ หรือสารพิษอื่นในร่างกาย ตำรวจมาสอบถามกัญญาว่าช่วงเวลาที่เสี่ยหมงอยู่คลินิกได้พูดคุยอะไร มีปัญหาขัดแย้งกันหรือไม่...กัญญาบอกว่าไม่มีอะไร เสี่ยหมงแค่มาชักชวนให้ร่วมทุนในโครงการเมืองใหม่เท่านั้น”

            “หือ...” มีนาสะดุดใจหลุดปากออกมา “ไม่น่าใช่นะ ถ้าชวนร่วมทุน ทำไมเสี่ยหมงถึงต้องโอนเงินเข้าบัญชีกัญญาตั้งเยอะ”

            “ตอนที่ตำรวจมาพูดคุย ยังไม่ได้หลักฐานชิ้นใหม่ แต่พอได้มาตอนนี้ คนที่จะอธิบายได้ก็ชิงฆ่าตัวตายแล้ว”

            “กัญญาฆ่าตัวตายจริงหรือ?” มีนาเริ่มสงสัย

            “ต้องรอผลชันสูตรอีกที” จิตแพทย์หนุ่มพูดแล้วจ้องหน้าหญิงสาว “หรือเธอรู้ว่ากัญญาอาจไม่ได้ฆ่าตัวตาย และเสี่ยหมงก็ไม่ได้มาชวนเธอร่วมทุน...”

            ชายหนุ่มยิงคำถามกระตุ้น

            “เรื่องฆ่าตัวตายหรือเปล่าฉันไม่แน่ใจ” มีนาเผลอตอบ “แต่เรื่องที่เสี่ยหมงกับกัญญาคุยกันน่ะ...ฉันรู้...”

            ธันวาสงบใจรอฟัง ไม่เอ่ยวาจากระตุ้นเร่งเร้าต่อ...รู้ว่ามีนากำลังต้องการเพื่อนคุย ปรึกษาเกี่ยวกับคดีนี้อยู่แล้ว ต่อให้เป็นผู้ชายที่เธอไม่ค่อยอยากสนิทใจ แกล้งวางฟอร์มรักษาระยะห่าง แต่ก็เป็นคนเดียวที่คุยด้วยได้ เธอจึงไม่มีทางเลือก

            ยิ่งตอนนี้กำลังคันปาก อยากบอกเล่าเรื่องราวที่ตนได้รู้จากความทรงจำวิญญาณเสี่ยหมงเสียด้วย มีนาจึงเล่าเรื่องบทสนทนาที่ตนรับรู้ รวมถึงรายละเอียดเล็กน้อยที่สังเกตได้ออกมาทั้งหมด

            ธันวาฟังจบ หรี่ตาครุ่นคิด ลำดับประเด็นสำคัญ ก่อนเอ่ยปากออกมาทีละคำ

            “นายใหญ่...ท่าน...ลูกจ้างผู้หญิง...น้ำชา...ขนม”

            แต่ละคำล้วนไม่เกี่ยวโยงกัน ฟังแล้วกลับสะดุดใจ มองเห็นเบื้องหลังบางอย่าง

            “น่าแปลกนะที่ ‘ท่าน’ มีอำนาจน้อยกว่า ‘นายใหญ่’” มีนาเสนอความเห็น เริ่มปรึกษาอย่างจริงจังแบบไร้ฟอร์ม “แกตอบได้มั้ยว่า ‘ท่าน’ ที่เสี่ยหมงไปพบเป็นใคร”

            ธันวามองหญิงสาวด้วยแววตาเฉียบคม ซ่อนนัย

            “ถ้าเธอจำรายชื่อที่เสี่ยหมงโอนเงินเข้าบัญชีได้ทั้งหมด...เธอจะนึกออกเอง”

            มีนาไม่ใช่ผู้หญิงเก่ง ความทรงจำเป็นเลิศ พอโดนชายหนุ่มพูดกึ่งท้าทายเช่นนี้ก็อดไม่ได้ต้องตั้งสติ หลับตา นึกภาพเอกสารที่ตนเองอ่านรายชื่อ ผ่านตายอดเงิน...

            เสี่ยหมงโอนเงินให้ทั้งตัวบุคคล มูลนิธิ และบริษัทกลุ่มทุนใหญ่...ตัวเลขจำนวนเงินสูงสุดเท่าที่จำได้ น่าจะถูกโอนไปยัง...

            “กลุ่ม W. คอร์ป” หลุดชื่อนี้ออกมาพร้อมลืมตา มันสมองทบทวนข้อมูลน้อยนิดในหัว



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP