สารส่องใจ Enlightenment

ปฏิบัติให้ถึงความจริง (ตอนที่ ๕)



พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๐



ปฏิบัติให้ถึงความจริง (ตอนที่ ๑) (คลิก)
ปฏิบัติให้ถึงความจริง (ตอนที่ ๒) (คลิก)
ปฏิบัติให้ถึงความจริง (ตอนที่ ๓) (คลิก)
ปฏิบัติให้ถึงความจริง (ตอนที่ ๔) (คลิก)



เพราะฉะนั้นขอให้ทุกท่านได้เห็นสดๆ ร้อนๆ
ในโอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วให้ได้พบ ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
พระองค์สอนตรงไหนให้ถือเหมือนพระองค์ชี้บอกอยู่เดี๋ยวนี้ๆ สดๆ ร้อนๆ นี้
พระโอวาทนี้ไม่ได้ห่างไกลเลยจึงเรียกว่า อกาลิโกๆ
เห็นไหมในธรรม อกาลิกธรรมมีอยู่ตลอดเวลา
ความจริงทั้งหลายที่จะให้รู้ให้เห็นมีอยู่ตลอดเวลา
เอาเถอะ พิจารณาลงไปต้องรู้ต้องเห็น
ถ้าเราไม่ให้กิเลสมันมาหลอกเสียเท่านั้น มาบีบบังคับหรือมาปิดหูปิดตาเสีย
ว่าธรรมก็เลยกลายเป็นของครึของล้าสมัยไปเสีย
กิเลสตัวเหม็นเหมือนมูตรเหมือนคูถเลยกลายเป็นของทันสมัยไปแทนเสีย
นั่น ขี้โลภขี้โกรธขี้หลงจะไม่เรียกว่าขี้อะไร
แล้วมันก็ทันสมัย เห็นไหมทุกวันนี้มันทันสมัยไหม มันล้ำสมัยไปเสียอีก นั่น


ดูซิคนในโลกเวลานี้เป็นยังไง
มีความสุขความทุกข์ความเดือดร้อนมากมายขนาดไหน
ทั้งๆ ที่เรียนมาจนกระทั่งถึงคัมภีร์จะแตก อกจะแตก
มันเข้าใจตัวเองสำคัญตนเองว่ารู้มาก จนกระทั่งพุงมันจะแตก
และความทุกข์ก็จนร่างมันจะแตกทั้งเป็นเห็นไหมล่ะ
นั่นมันเอาความสุขมาจากไหน
นั้นแหละความรู้ของกิเลสมันบรรจุเข้าในหัวใจสัตว์โลกทั้งหลาย
จะเกิดความสำคัญขึ้นเป็นชั้นที่สองว่าเรารู้เราฉลาด
บทเวลาเราจะตายด้วยความทุกข์เพราะกิเลสบีบบังคับนี้เราไม่เห็นรู้ว่ะ


แต่เรื่องของธรรมนี้ เอากิเลสจะออกมาทางไหนมาเถอะ
ถ้าลงได้ถึงขั้นที่ว่าวิมุตติหลุดพ้นนี้แล้ว
มันจะออกแง่ไหน ในหัวใจของเจ้าของมันหมดแล้ว ไม่มีทางออกแล้ว
มันจะออกแง่ใดของบุคคลผู้ใดสัตว์ตัวใดมันรู้ทันทีๆ
เพราะเคยได้ฟัดได้เหวี่ยงกันมาพอแล้วนี่
เพราะฉะนั้นจึงว่าธรรมเหนือโลก
โลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก มันเหนืออย่างนี้เอง เหนือกิเลสนี่เอง
กิเลสมันเป็นโลกล้วนๆ ธรรมเป็นธรรมล้วนๆ รู้หมด ทันหมดเลย นั่น


การปฏิบัติธรรมกำลังมันจะล้มเหลวไปแล้วนะเดี๋ยวนี้น่ะ
พ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นเราก็ล่วงไป
ครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เคารพนับถือก็ค่อยร่วงโรยไปๆ แล้วจืดไปๆ
ในสิ่งที่ดีทั้งหลายจืดไปๆ ในสิ่งที่เลวทั้งหลายแล้วเข้มข้นเข้ามาๆ
ปรากฏว่ามีรสชาติเข้ามาเรื่อย ดื่มด่ำเข้าไปเรื่อยไม่รู้วันรู้คืนเข้าแล้วนะเวลานี้
มันจะเป็นกรรมฐานเป็นบ้านะ อันนี้ได้วิตกวิจารณ์มากทีเดียว
มันจะเป็นกรรมฐานทันสมัย แล้วก็เอาชื่อครูบาอาจารย์ไปจำหน่ายขายกินนะ
เฉพาะอย่างยิ่งก็ลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่น สายท่านอาจารย์มั่น นี้สำคัญมากนะ
นี่ละที่ขายกินของพระโจรผู้ร้ายในวงปฏิบัติเราเป็นอย่างนี้


เราอย่าเข้าใจว่ากรรมฐานนี้จะดีไปทุกรูปทุกนาม มันไม่ดีนะ
ที่ดีมีน้อย ที่ชั่วเลวทรามมีมาก
เพราะฉะนั้นจึงขอให้ทุกๆ ท่านได้ทำความเข้าใจเอาไว้กับตนเองว่า
เราจะเป็นคนประเภทไหน พระประเภทไหน ประเภทลูกศิษย์มีครูจริงๆ
หรือประเภทแบบแหวกแนวอวดตัวดี
เก่งกว่าครูกว่าอาจารย์แซงหน้าแซงหลังไปอย่างนั้น
มีแล้วนะเวลานี้ ในกรุงเทพฯ นี้ก็มีแล้ว
พวกไปจากทางภาคอีสานนี่แหละ เราวิตกวิจารณ์


เพราะฉะนั้นเราจึงได้เข้าไปมูลนิธิของหลวงปู่มั่น ซึ่งเป็นสมบัติของวัดป่าบ้านตาด
แต่เราไม่เคยบอกเลยว่า
มูลนิธินี้เป็นสมบัติของวัดป่าบ้านตาดโดยสมบูรณ์แล้วในทางกฎหมาย
เราไม่เคยบอกไม่เคยพูดเลย ไปมาเราก็ฟังไปฟังมา
ยิ่งฟังเสียงมันมักจะมีผลลบขึ้นมาเรื่อยๆ และเป็นผลลบขึ้นมาเรื่อยๆ
มันยังไงกันนี่ เพราะเราเป็นเจ้าของนี่ เราก็เข้าไปเท่านั้นซิ
พอเข้าไปก็ทราบเรื่องทราบราวแล้วก็ใส่กันเปรี้ยงเลย


สถานที่นี่เป็นสถานที่สำหรับพระป่วย
เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วเข้ามาพักผ่อนหย่อนตัวเป็นเวล่ำเวลา
ก่อนที่จะเข้าไปติดต่อกับหมอและคลินิกตลอดถึงโรงพยาบาล
ให้ได้มาพักนี้สะดวกสบายต่างหากนะ
และครูบาอาจารย์ที่มาด้วยความเป็นอรรถเป็นธรรม
เพื่อจะแนะนำสั่งสอนประชาชนเป็นกาลเป็นคราวต่างหากนะ
ไม่ใช่มาให้พวกกรรมฐานขี้หมูขี้หมาเรานี้
มาปักกลดในเทศบาล ๑ เทศบาล ๒ ในกรุงเทพฯ นี้นะ
เอาขนาดนั้นนะวันนั้น แล้วก็เอาให้ทราบเสียด้วยว่า
มูลนิธินี้เป็นสมบัติของวัดป่าบ้านตาด ใครอย่ามาทำให้เลอะเทอะนะ
นี่ยังจะหนักกว่านั้นถ้ายังเป็นอีก เรายังจะเอาหนักกว่านี้
จะได้เขียนประกาศติดไว้เลย ชื่อ มหาบัวใส่ลงไปปึ๋งเลยแหละเป็นอะไรไป


เพราะเรารักษาความดีเอาไว้ ไม่งั้นมันจะเสียไปหมดนี่
จะเป็นกรรมฐานจำหน่ายขายกินไปหมดจะว่ายังไง
ทั้ง ๆ ที่คนกรุงเทพฯ
เขามีความเคารพนับถือวงกรรมฐานของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเรานี้มากที่สุด
เราจะไปขายขี้หน้าให้เขาเห็นเราไม่อยากเห็นอย่าว่าแต่เขาเลย ใครจะอยากเห็น
นี่ละมันวิตกวิจารณ์ตรงนี้นะ มันเป็นจะไม่เป็นยังไง
สกฺกาโร ปุริสํ หนฺติ
ว่าไง ลาภสักการะ สำหรับคนโง่แล้วติดเร็วที่สุดเลยจะว่าไง
นี่เราแปลทางภาคปฏิบัติ ถ้าแปลทางด้านปริยัติ
สกฺกาโร ปุริสํ หนฺติ
แปลว่า ลาภสักการะย่อมฆ่าบุรุษที่โง่เขลา
นั่นแปลตามปริยัติ ถ้าแปลทางด้านปฏิบัติก็อย่างที่ว่านี้ทำไมจะแปลไม่ได้
แปลเอาความ เอาอรรถเอาธรรม เอาให้ถึงใจกิเลสเอาให้ถึงหัวกิเลส
ฟาดหัวกิเลสออกไปด้วยการเข้าใจในธรรมทั้งหลายนี้ซิ


เราอย่าไปแปลแบบลูบๆ คลำๆ
ให้แปลด้วยรู้ด้วยเห็นจริงๆ แล้ว แปลออกมาพูดออกมา
คือเหมือนอย่างเราเดินไปไหนก็ตาม เราไปได้ยินเรื่องราวอะไรก็ตาม
คำบอกเล่าของคนที่มาบอกเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้กับคนที่เห็นจริงๆ จังๆ นั้น
กิริยาท่าทางมันต่างกันมากอยู่นะ
คนที่ไปเห็นจริงๆ นี้ พูดจะเข้มข้น พูดอาจหาญไม่มีสะทกสะท้าน
เพราะเหตุการณ์เห็นมาเองทุกสิ่งทุกอย่างจะสงสัยที่ตรงไหน พอที่จะลูบๆ คลำๆ
ไม่เหมือนผู้ได้รับคำบอกเล่ามา
ผู้ได้รับคำบอกเล่ามานี่พูดงูๆ ปลาๆ ผิดบ้างถูกบ้างว่ากันไป
ถ้าผู้ได้ไปเห็นเองจริงๆ แล้วเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นเราจึงอยากให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลายนี้ได้เห็นจริงๆ
เรื่องธรรมของพระพุทธเจ้านี่เป็นอย่างไร มันจะเป็นเหมือนกับที่เราเรียนมาไหม


เราไม่ได้ประมาทนะ การเรียนมา คือการเรียนคำบอกเล่า
ทั้งๆ ที่เราก็ไม่รู้เรียนจนกระทั่งถึงนิพพาน หัวใจไม่เป็นนิพพาน มีแต่กิเลสเต็มตัว
จะไม่เรียกว่าคำบอกเล่ายังไง ท่านบอกให้ปฏิบัติอย่างนั้นๆ นะ
นี่เราก็จำมาๆ กิเลสเป็นอย่างนั้น ตัณหาเป็นอย่างนี้
มรรคผลนิพพานเป็นอย่างนั้น ให้พยายามปฏิบัติอย่างนั้นๆ นะ
นี่คือคำบอกเล่าตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สั่งสอนมา
ทั้งๆ ที่ถูกต้องดีงามที่สุดแต่หัวใจเรามันผิด มันไม่ถูก มันก็มีแต่คำบอกเล่า
ก็ผ่านไปๆ ไม่ได้มีอะไรที่จะเข้าไปฆ่ากิเลสอยู่ภายในจิตใจเลย
นี่การที่เรียนจดจำมาเป็นอย่างนี้


ผมก็เรียนมาจะว่ายังไง ไม่ใช่ผมประมาทปริยัติ มันเป็นอย่างนั้นก็ต้องว่าอย่างนั้นซิ
การเรียนมา เรียนมามากขนาดไหน มันไม่ได้ฆ่ากิเลสตัวไหนตายได้เลยนี่จะว่ายังไง
เพราะเป็นคำบอกเล่า แล้วไม่สนใจที่จะปฏิบัติ
ต่อเมื่อปฏิบัติให้หาเอานะความหมายว่าอย่างนั้น
ปริยัติเรียนมาแล้วนี้ บอกชี้แนวทางให้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วนะทีนี้นะ
มีแต่ความถูกต้องดีงามจากสวากขาตธรรมทั้งนั้นนะที่สอนมาเหล่านี้ๆ
นี่ละคือว่าคำบอกเล่า บอกมาอย่างชัดเจนอย่างนี้ ให้ปฏิบัติตามนี้ ให้ไปหาเอานะทีนี้นะ
ศีลให้ไปหาเอา สมาธิให้ไปหาเอา ปัญญาให้ไปหาเอา
วิมุตติหลุดพ้นให้ไปหาเอา กิเลสฆ่าเอาเองนะพูดง่ายๆ


กิเลสตัวใดก็จะเห็นจากผู้ปฏิบัตินั่นละ
ผู้ปฏิบัติเป็นผู้จะเห็นกิเลส เป็นผู้จะฆ่ากิเลส
ผู้ปฏิบัติเป็นผู้จะรู้จะเห็นสมาธิปัญญาทุกขั้น จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น
ไม่มีผู้อื่นใดที่จะรู้ยิ่งกว่าผู้ปฏิบัติแหละ
เอ้าไปหาเอานะความหมาย ท่านว่าอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นท่านจึงบอกว่า ปริยัติ ปฏิบัติ เมื่อเรียนแล้วให้ไปปฏิบัติ
คือให้ไปหาเอานะ บอกวิธีการทุกสิ่งทุกอย่างให้ไปหาเอา
พอไปหาเอา เจอตรงไหนก็บอกว่า ปฏิเวธะๆ หรือปฏิเวธๆ
เจอสมาธิก็เป็นปฏิเวธ รู้แจ้งเห็นจริงในสมาธิ
เจอปัญญาก็เป็นปฏิเวธในปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงในปัญญา
ฆ่ากิเลสตัวใดตายลงไปแล้วก็รู้แจ้งเห็นชัดว่า ได้ฆ่ากิเลสตัวนี้ตายลงไปแล้ว
จนกระทั่งทะลุปรุโปร่งถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้น
ถึงพระนิพพานแล้วทำไมจะไม่เป็นปฏิเวธะโดยสมบูรณ์
จากการปฏิบัติเพราะการหาเอานี้ซึ่งสืบเนื่องมาจากคำบอกเล่านั้นเล่า
นี่หลักมันเป็นอย่างนี้


(โปรดติดตามเนื้อหาต่อในฉบับหน้า)


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จาก พระธรรมเทศนา "ปฏิบัติให้ถึงความจริง" ใน ก้าวเดินตามหลักศาสนธรรม
โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP