สารส่องใจ Enlightenment
ปฏิบัติให้ถึงความจริง (ตอนที่ ๔)
พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๐
ปฏิบัติให้ถึงความจริง (ตอนที่ ๑) (คลิก)
ปฏิบัติให้ถึงความจริง (ตอนที่ ๒) (คลิก)
ปฏิบัติให้ถึงความจริง (ตอนที่ ๓) (คลิก)
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ อย่างนี้
จึงอยากให้หมู่เพื่อนได้รู้ได้เห็นได้ปฏิบัติให้ถึงความจริง เมื่อถึงความจริงนี้แล้ว
เอ้า มันจะเสียดายอะไรๆ บ้างของในโลกนี่ ทั้งสามแดนโลกธาตุนี่
เพราะเราเคยกอดเคยแบกเคยหามกองทุกข์ทั้งหลายเพราะอยู่ในวงแดนโลกธาตุ
และแบกหามอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลายมานี้
นานแสนนานมากแสนมาก
สิ่งใดที่เราไม่เคยยึดมีเหรอ นอกจากมันลืมไปเท่านั้น
สถานที่ใดที่เราไม่เคยเกิด มันเกิดได้ทั้งนั้นแหละ
นรกหลุมไหนที่เราจะไม่เคยเกิด สวรรค์ชั้นไหนที่เราไม่เคยเกิด
นอกจากพรหมโลก ๕ ชั้นและพระนิพพานเท่านั้น
นอกนั้นมันเคยไป เคยขึ้นเคยลงเคยตกเหวตกบ่อมามากต่อมากแล้วในจิตดวงเดียวนี้
มันมากต่อมาก จึงได้เคยพูดว่าเหมือนกอไผ่รากมันหนานั่น
นี่กอไผ่ก็คือจิตของเรานี้ รากมันหนาก็คือความเกิดของมันนั้นแหละ
มันเกิดไม่หยุดไม่ถอย ถึงขนาดนั้น
ทีนี้มันทำไมจะไม่รู้ล่ะ เมื่อมันขาดสะบั้นออกหมด
ไม่มีอะไรเป็นเงื่อนต่อแล้วชัดเจนแล้ว ไปไหนอีกที่นี่
มันก็รู้ชัดๆ ไม่มีที่ว่าจะไปหรือว่าจะมา ไม่มี อดีตไม่มี อนาคตไม่มี
ภพชาติจะหมายตรงไหน มันไม่ติดอะไรแล้วจะเอาอะไรไปติด
จะเอาอะไรไปหมาย มันจะไปเกิดที่ตรงไหนมันชัดอยู่ประจักษ์ใจ
ท่านว่า สนฺทิฏฺฐิโกๆ ชัดไหมที่นี่ ลงประกาศกังวานอยู่ในนี้แล้ว
ทำไมจะไม่ยอมรับพระพุทธเจ้าทั้งหลายล่ะ นี่ละหลักอันสำคัญ
นี้อยากให้หมู่เพื่อนได้ปฏิบัติให้รู้ให้เห็นดูซิ มันจะเสียดายอะไรในโลกอันนี้
นั้นเป็นดิน นี้เป็นน้ำ นั้นเป็นลม นี้เป็นไฟ เราเหยียบเราย่ำ
แม้แต่อยู่ในร่างกายของเราก็มี แต่สิ่งเหล่านี้มันให้ความวิเศษวิโสอะไร
บีบบังคับอยู่เวลานี้ก็เพราะสิ่งเหล่านี้
เพราะหลงมันจึงได้แบกได้หามมันอยู่ตลอดเวลา เรายังไม่เข็ดไม่หลาบอยู่เหรอ
การหลุดพ้นจากทุกข์
การหลุดพ้นจากสิ่งกดขี่บังคับทั้งหลายเหล่านี้ไปเสียโดยสิ้นเชิงแล้ว
เอ้า ยังจะมาแบกทุกข์แบกอะไร ทุกข์กับอะไร พิจารณาซิ
เราแบกเราหามอะไร ยึดมั่นอะไร มันทุกข์กับสิ่งนั้นๆ แล้วเห็นชัดๆ
ทีนี้เวลามันถอนตัวออกไปหมดแล้วมันจะทุกข์กับอะไร
ดูซิ แม้แต่ธาตุขันธ์ภายในตัวของเรานี้ก็บอกว่าทุกข์ๆ
มันก็สักแต่ว่าเป็นความจริงอันหนึ่งๆ เท่านั้น ดังที่พิจารณาในสัจธรรม
เพราะอันนี้มันเป็นสัจธรรมของมันอยู่แล้ว สักแต่ว่าๆ เท่านั้น
จิตขณะไหนล่ะที่จะไปยึดสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นตัวของตัว
พอที่จะให้ไฟอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นมาเผาเรา ไม่มี
เอ้า ทำไปเถอะผู้ปฏิบัติ จะได้เห็นในตัวเอง
ไม่ต้องไปถามแม้ สาธุ พูดแล้วไม่ได้ประมาท
พระพุทธเจ้าจะประทับอยู่ตรงหน้านี้ก็ตามจะไม่ทูลถาม เพราะเป็นอันเดียวกันนี่
นอกจากจะกราบราบ โอ๋ย แต่ก่อนข้าพระองค์หลับตาอยู่ไม่เห็น
คราวนี้เห็นแล้ว ไม่ทูลถามพระองค์แหละ
นอกจากจะว่าไปเท่านั้น ว่าอย่างนี้ว่าได้จริงๆ ทีนี้ไม่ทูลถาม
เหมือนอย่างพระนันทะ เอาพระพุทธเจ้าเป็นองค์ประกันทีเดียว
เห็นไหมล่ะในหนังสือประวัติ
ในหนังสือที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม และเอาพระนันทะไปบวชนั่น
พระนันทะกำลังจะแต่งงานอยู่แล้ว
เราพูดย่อๆ อย่างนี้แหละ เอาพระพุทธเจ้าเป็นองค์ประกันทีเดียวนะ
เมื่อเวลาพระองค์ได้ฝึกฝนทรมานพระนันทะ
เนื่องจากพระองค์ทราบอุปนิสัยของพระนันทะโดยสมบูรณ์แล้ว
ว่าจะได้บรรลุธรรมอย่างแน่นอน
จึงต้องได้แยกจากสิ่งเหล่านั้นออกมา ถึงจะเสียดายก็ตาม
เสียดายขนาดไหนก็ตาม รักขนาดไหนก็ตาม
เรื่องเหล่านี้มันเคยรักเคยชังเคยเสียดายมาแล้วขนาดไหน มันวิเศษขนาดไหน
นี่พูดง่ายๆ ว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงทราบหมดแล้ว
และธรรมเหล่านี้พระนันทะเคยทราบแล้วเหรอ ซึ่งเป็นของวิเศษนี้
เพราะฉะนั้นจึงแยกพระนันทะออกมาจากความรักความชอบใจ
ในนางชนบทกัลยาณีที่ว่างามในโลก นั่น
งามขนาดไหนรักชอบขนาดไหน ทั้งๆ ที่จะแต่งงานกันอยู่สดๆ ร้อนๆ ในขณะนั้น
พระองค์ก็เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เคยผ่านมาแล้วเคยเป็นมาแล้ว
มันพาโลกพาสงสารพาใครให้วิเศษที่ไหน
มันก็คือเรื่องของการจมในวัฏฏะนั่นเอง
ส่วนที่จะพรากพระนันทะออกไปบวช
เพื่อได้สลัดสิ่งเหล่านี้ออกจากใจ ถึงพระนิพพานสดๆ ร้อนๆ
ทั้งเป็นทั้งตายอันเป็นของวิเศษมากนี้ มันวิเศษยิ่งกว่านั้นเป็นไหนๆ
เพราะฉะนั้นจึงไม่อาลัยเสียดาย
แม้พระนันทะจะคิดถึงนางชนบทกัลยาณีนั่นมากเพียงไรก็ตาม
นางชนบทกัลยาณีร้องตามขนาดไหนก็ตาม เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลส
ร่ำรี้ร่ำไรรักเสียดายอาลัยอาวรณ์ต่อกัน เป็นเรื่องของกิเลสไม่ใช่เรื่องวิเศษวิโส
เพราะฉะนั้นพระองค์จึงไม่อาลัยเสียดาย จึงไม่สนพระทัยกับสิ่งเหล่านี้
นอกจากที่จะให้พระนันทะที่เป็นพระอนุชา ภาษาตลาดเราเรียกว่าน้องชายนั่น
ได้สลัดปัดทิ้งสิ่งเหล่านี้ เพื่อความหลุดพ้นโดยถ่ายเดียวอันเป็นของวิเศษเท่านั้น
พระองค์ไม่เห็นอะไรเป็นของวิเศษ
จึงต้องยอมพระองค์ลงเพื่อธรรมชาติอันนี้แก่พระนันทะ
โดยเป็นผู้รับรองยืนยันพระนันทะ
เอาเถอะนันทะ จะพาปฏิบัติ เราจะพาไปเห็นของดี เอาของดียิ่งกว่านี้ๆ
แล้วก็แสดงอิทธิปาฏิหาริย์หลายด้านหลายทาง
เอาไปดูลิง เป็นยังไงลิง เทวบุตรเทวดาพาไปดูหมด มีแต่ผู้สวยๆ งามๆ
แล้วดูนางชนบทกัลยาณีเป็นยังไง โห เหมือนกับลิงตัวนั้น แน่ะ
สุดท้ายก็มาประพฤติปฏิบัติธรรมนี้ จนกระทั่งได้บรรลุธรรม
ไม่มีอะไรดีทั้งนั้นในโลกนี้
ความดีๆ มีแต่ความเสกๆ สรรๆ ทั้งนั้น ความฝันทั้งเป็นทั้งนั้น
อันนี้ไม่ฝันนี่ บริสุทธิ์เต็มที่แล้วนี่ประเสริฐ
นี่ละพระพุทธเจ้าเป็นผู้ยืนยันรับรองพระนันทะให้ไปบวช
จนกระทั่งพระนันทะได้บรรลุธรรมเต็มสัดเต็มส่วนเต็มหัวใจ
เลิศเลอยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกแล้ว
จึงว่าทีนี้ข้าพระองค์ได้ปล่อยจากพระพุทธเจ้าแล้ว ในการที่จะเป็นผู้ยืนยันรับรอง
ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปข้าพระองค์ไม่ได้เกาะได้เกี่ยว ข้าพระองค์ไม่ได้ให้เป็นตัวประกันอีกแล้ว
นั่น เป็นวาจาของพระนันทะ ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระพุทธเจ้า
นั่นเห็นไหมที่นี่ว่า เมื่อได้ตรัสรู้หรือได้บรรลุธรรมอันสุดยอดนั้นแล้ว
ยังคิดถึงนางชนบทกัลยาณีอยู่ไหม พิจารณาซิ
นี่แหละธรรมของเลิศของประเสริฐ
เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีคำว่าจะให้ใครรับรองจะให้ใครยืนยัน
จะให้ใครเป็นพยานแม้ศาสดาองค์เอก
ก็อย่างพระสารีบุตรที่เคยเล่าให้ฟังแล้วนี่ละ
แล้วก็พระนันทะนี้เป็นสักขีพยานอีกอันหนึ่ง ก็เป็นอย่างนั้นแหละ
เพราะถ้าหากว่าเราจะเทียบเป็นสมมุติแล้ว ก็เป็นตัวของตัวโดยสมบูรณ์แล้ว
ไม่หวังอะไรที่จะพึ่ง ไม่มีอะไรบกพร่องที่จะพึ่งที่จะมาเพิ่มเติมอีกแล้ว
สมบูรณ์เต็มที่แล้วก็หมดทางที่จะไปที่จะมาที่จะเพิ่มเติมอะไรอีก
เพราะถึงเมืองพอแล้วภายในจิตใจ นี่คือสถานที่ที่สมบูรณ์เต็มที่
จึงเรียกว่าจิตที่บริสุทธิ์สมบูรณ์เต็มที่
(โปรดติดตามเนื้อหาต่อในฉบับหน้า)
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
จาก พระธรรมเทศนา "ปฏิบัติให้ถึงความจริง" ใน ก้าวเดินตามหลักศาสนธรรม
โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
< Prev | Next > |
---|