สารส่องใจ Enlightenment
ปฏิบัติให้ถึงความจริง (ตอนที่ ๓)
พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๐
ปฏิบัติให้ถึงความจริง (ตอนที่ ๑) (คลิก)
ปฏิบัติให้ถึงความจริง (ตอนที่ ๒) (คลิก)
ที่นี่ปัญญาที่เป็นที่แน่นอนต่อความตรัสรู้
เอ้า พูดง่ายๆ เอาให้มันเต็มเม็ดเต็มหน่วยนี้เลย
ธรรมพระพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นของโกหกโลก
จะมาปิดมาบังไว้ทำไม เอาให้เห็นจริงซิ
ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมเปิดเผย
เอ้า มันควรจะได้ตรัสรู้หรือควรจะได้บรรลุธรรมด้วยธรรมประเภทใด
ขั้นที่เป็นความมั่นใจของผู้ปฏิบัตินั้น
คือขั้นของปัญญาเริ่มออกก้าวเดิน นี้เริ่มจะเข้าใจแล้ว
จนกระทั่งปัญญาออกก้าวเดินไปโดยลำพังตนเองแล้ว
นี้ละท่านว่าเป็นภาวนามยปัญญา
ปัญญาประเภทนี้แลสร้างความแน่ใจให้แก่เจ้าของ
สร้างความมั่นใจให้แก่เจ้าของ ว่าอย่างไรก็จะหลุดพ้นแน่ๆ
และอย่างไรก็ต้องไม่มีเหลือกิเลส
เพราะมันทราบไปในลำดับลำดาของปัญญาที่ก้าวเดิน
ไม่ว่าก้าวเดินไปไหนเข้าใจตรงนั้น ตัดตรงนั้น ขาดตรงนั้นไปเรื่อยๆ
จิตก็โล่ง โล่งออกไปๆ เรื่อยๆ
การตัดนี้ไม่ใช่อะไรนะ มันเกี่ยวโยงอยู่กับหัวใจของเรานี้
อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เกี่ยวโยงออกไปหมดเลย
แต่เราไม่รู้ว่ามันไปเกี่ยวกับเรื่องอะไร
เพราะฉะนั้นจึงต้องไปแยกไปแยะสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้เป็นที่เข้าใจ
แล้วไอ้เรื่องอวิชชามันก็ถอนตัวเข้ามา
คือความหลงนั่นละ ความสำคัญมั่นหมายมันหดตัวเข้ามา
เพราะปัญญาไปตีต้อนหรือฟาดฟันหั่นแหลกกัน มันก็ถอยเข้ามาๆ
ปัญญาคือความเห็นจริงรู้จริง ไม่ใช่รู้ปลอมเห็นปลอม ยึดแบบปลอมๆ
เหมือนอย่างกิเลสมันพายึดพาถือ
ปัญญาเป็นเครื่องตัดเครื่องฟัน
เป็นเครื่องประกาศกังวานขึ้นภายในหัวใจของผู้ปฏิบัติด้วยความสัตย์ความจริง
เพราะฉะนั้นเวลารู้แล้วท่านจึงว่า
ยถาภูตํ ญาณทสฺสนํ รู้แล้วปล่อยวางไว้ตามเป็นจริง
นั่น เมื่อเวลาแปลออกเป็นอย่างนั้น
เมื่อรู้สิ่งใดแล้วจิตย่อมปล่อยวางๆ ไว้ตามเป็นจริงๆ แล้วหดตัวเข้ามา
พิจารณาไปไหนจิตไม่ขัดไม่ข้อง ขาดสะบั้นไปหมด
ทราบชัดว่าจิตนี้ได้ตัดขาดมาโดยลำดับแล้ว
นั่น ปัญญาขั้นนี้เป็นอย่างนั้น
ใครยังไม่เคยเป็นก็ตามขอให้เป็นเถอะ
เหมือนพระพุทธเจ้าประทับอยู่ตรงหน้านี้แน่ๆ ทีเดียว ไม่ได้เหมือนอื่นเลย
พระโอวาททุกบททุกบาทจะเคารพที่สุด
เคารพเหมือนกันกับเคารพพระพุทธเจ้าที่ประทับอยู่ต่อหน้าเรานี้แหละ
เพราะสดๆ ร้อนๆ ธรรมอันนี้แลจะฉุดจะลากเรา
ให้หลุดพ้นจากทุกข์ในวันนี้ก็ดีพรุ่งนี้ก็ดี หรือวันไหนเดือนใดก็ดีขณะใดก็ดี
ไม่ใช่ธรรมอื่น ไม่ใช่สิ่งใดในโลก
สิ่งทั้งหลายจะมีเต็มโลกธาตุก็ตาม ไม่ใช่สิ่งที่จะฉุดลากเราให้หลุดพ้นจากทุกข์
มีพระโอวาทที่ถูกต้องแม่นยำที่เรียกว่าสวากขาตธรรมนี้เท่านั้น
เพราะฉะนั้นท่านจึงเคารพมากที่สุดเลย
ผลที่สุดสติติดแนบอยู่กับตัว ก็เหมือนกับองค์ศาสดาอยู่กับตัว
ปัญญาหมุนตัวเป็นกงจักรหรือเป็นธรรมจักรอยู่ภายในตัว
จึงเป็นเหมือนกับศาสดาเป็นผู้ฟาดฟันหั่นแหลก ช่วยอยู่ตลอดเวลาภายในจิตใจ
ประหนึ่งว่าพระศาสดาประทับให้เห็นอยู่นี่ภายในองค์แห่งสัจธรรมทั้งสี่นี้
เพราะฉะนั้นองค์แห่งสัจธรรมทั้งสี่นี้จึงเป็นสถานที่สร้างความบริสุทธิ์ของจิต
ไม่ว่าจิตพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจิตของพระอรหัตอรหันต์
ไม่ว่าจิตพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์ใด
จะนอกเหนือไปจากสัจธรรมนี้ไม่ได้ อันนี้จึงเป็นธรรมที่ใหญ่โตมากที่สุด
นี่ละสัจธรรมทั้งสี่คืออะไร ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
นี่เวลาจิตก้าวเข้าไปสู่ปัญญาขั้นภาวนามยปัญญาแล้ว
จะไม่หนีจากหลักสัจธรรมทั้งสี่นี้เลย
ถือสัจธรรมทั้งสี่นี้เป็นสนามรบสงคราม ฟาดฟันหั่นแหลกกันอยู่ในนั้น
เรื่องทุกข์กับสมุทัยไม่เห็นไม่ถือว่าเป็นข้าศึกเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก
แต่ถือเป็นของจริงเช่นเดียวกันกับมรรคกับนิโรธนั่นแหละ
เวลาเข้าถึงกันจริงๆ แล้วต่างอันต่างจริง เลยไม่มีอะไรเป็นข้าศึกกัน
ทุกข์ก็ไม่เป็นข้าศึกเพราะทุกข์เป็นของจริงอันหนึ่งเท่านั้น
นั่น จิตผู้ที่นอกเหนือจากทุกข์มี
ผู้ที่จะรู้ทุกข์ว่าเป็นของจริงอันหนึ่งคือจิต จิตเป็นผู้รู้มี
นั่น สมุทัยก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่งที่เกิดขึ้นดับไปๆ
เมื่อมีสิ่งที่เสริมมันก็ลุกโพลงๆ ขึ้นเช่นเดียวกับไฟ
ไฟมีความหมายกับมันอะไรบ้าง แต่ไสฟืนเข้าไปซิ เอาเชื้อไสเข้าไปซิ
มันจะแสดงเปลวขึ้นมากน้อยขนาดไหน
นั้นแหละสมุทัยก็เป็นเช่นนั้น
ไฟนั้นรู้ความหมายของมันไหม มันไม่รู้ความหมายของมัน
สมุทัยก็เหมือนกัน เวลาเข้าถึงกันแล้วมันไม่รู้ความหมายของมันแหละ
เรื่องของสติปัญญาของเราต่างหากที่แต่ก่อนยังไม่มีสติปัญญา
สมุทัยนั้นจึงเป็นตัวภัยอย่างยิ่ง ทั้งๆ ที่มันไม่ได้ว่ามันเป็นตัวภัยต่อใคร
แต่มันก็เผาได้เช่นเดียวกับไฟนั่นแล
ทีนี้พอสติปัญญาหยั่งเข้าทราบถึงหลักความจริงทั้งสองอย่างนี้
ด้วยมรรคสัจได้แก่สติปัญญาเป็นต้นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว ทะลุไปหมด
หรือจะว่าดับสมุทัยขาดสะบั้นลงไปก็ถูก
ก็เหมือนกับไฟที่เอาเชื้อออกหมดแล้วมันจะลุกลามไปไหน
นอกจากจะดับลงให้เห็นเท่านั้น
นี่ก็เหมือนกัน ปัญญาเป็นผู้สอดส่อง เป็นผู้ไสฟืนไสไฟไสเชื้อออก
แน่ะพูดง่ายๆ แล้วสมุทัยมันจะต่อไปที่ไหน
ตรงไหนเป็นที่เกิดของสมุทัยมันก็ฟาดลงตรงนั้นอีก ขาดสะบั้นไปอีก
แล้วฐานไหนเป็นฐานของสมุทัยอีกต่อไป ไม่มี
ถูกทำลายแล้วด้วยมรรคมีมหาสติมหาปัญญาเป็นสำคัญ
นี่ละพังกันลงที่ตรงนี้ แล้วประกาศกังวานขึ้นภายในจิตใจ
ว่าทุกข์นี้ดับไปโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือภายในจิตใจเลย
นั่นท่านว่านิโรธๆ คือความดับทุกข์
เพราะอำนาจแห่งมรรคที่มีกำลังเต็มที่แล้ว
สังหารสมุทัยให้ขาดสะบั้นลงไป
ก็เท่ากับสังหารทุกข์ให้ขาดสะบั้นลงไปในขณะเดียวกัน
นอกจากธรรม ๔ อย่าง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี้แล้วคืออะไร
นั้นละธรรมชาติอันนั้นไม่ใช่สัจธรรมทั้ง ๔ นี้
เป็นอันหนึ่งต่างหากที่เล็ดลอดออกมาจากสัจธรรมทั้ง ๔
เป็นผู้กลั่นกรองให้เรียบร้อยบริสุทธิ์เต็มที่
นี้ละพระพุทธเจ้าขึ้นตรงนี้ พระสาวกอรหัตอรหันต์ทั้งหลายขึ้นตรงนี้ทั้งนั้น
ไม่มีองค์ไหนจะไปคัดค้านพระพุทธเจ้า
เมื่อตนก็ผุดขึ้นมาตรงนี้ โผล่ขึ้นมาตรงนี้ด้วยความบริสุทธิ์
แต่ก่อนถูกสิ่งนี้หุ้มห่อ มีทุกข์ สมุทัยเป็นสำคัญหุ้มห่อ
ปัญญานอนตายอยู่จมอยู่นั้นไม่มีทางออก
และไม่รู้สึกการฟื้นตัวขึ้นมาเพื่อสังหารสมุทัยเลย
ต่อเมื่อเราได้รับการอบรมอยู่ตลอดเวลาแล้ว
ย่อมมีกำลังแก่กล้าสามารถ สิ่งที่ไม่เคยเห็นก็เห็น สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็รู้
เอ้า สมุทัยซึ่งท่านบอกว่าเป็นข้าศึกๆ ไม่เคยรู้มันก็รู้ๆ
ละกันได้โดยลำดับลำดา จนกระทั่งขาดสะบั้นไปหมด
เอ้า ทีนี้มีอะไรเป็นเงื่อนต่อกันไหม
แม้ที่สุดในสัจธรรมทั้ง ๔ นี้มีอะไรมาต่อกันกับจิตมีไหม
ไม่มีเลย นั่นเห็นไหม
ทุกข์ท่านจึงบอกว่าเป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ เพื่อจะสาวหาเหตุคือสมุทัย
สมุทัยพึงละ การละสมุทัยละด้วยอะไร นั่น มันก็วิ่งไปถึงมรรค
ละด้วยสติปัญญา ศรัทธา ความเพียร นี่เป็นสิ่งควรละ
และนิโรธเป็นธรรมที่ทำให้แจ้ง จะทำให้แจ้งด้วยเหตุผลกลไกอะไร
ก็ด้วยมรรคนี่เองจะทำนิโรธให้แจ้ง
มรรคเป็นผู้ดับสาเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ ได้แก่สมุทัยราบลงไปหมดแล้ว
ทุกข์จะเอาอะไรมาเกิด ก็เห็นขาดสะบั้นลงไปด้วยกัน
มรรคที่เคยทำหน้าที่เป็นเหมือนธรรมจักร หมุนติ้วทั้งวันทั้งคืน
ไม่มีคำว่าอิริยาบถยืนเดินนั่งนอนนั้นระงับตัวลงไป
ทุกข์ก็ดับเพียงเท่านั้นแล้วจะเอาอะไรมาดับอีก เท่านั้น นั่น
สิ่งที่รู้ว่าทุกข์ก็ดับไป สมุทัยดับไป เพราะอำนาจของมรรคคืออะไร
นั่นแหละท่านว่าธรรม เป็นธรรมประเภทหนึ่งจากสัจธรรมทั้ง ๔ นี้
นั่นท่านเรียกว่าธรรมบริสุทธิ์ ธรรมประเสริฐ
พระพุทธเจ้าประเสริฐด้วยธรรมชาตินี้
พระสาวกอรหัตอรหันต์ทั้งหลายทุกพระองค์ไม่มีเว้น
จะเป็นล้านๆ พระองค์ก็ตามเถอะ
ออกจากสัจธรรมทั้ง ๔ นี้ แล้วทำไมท่านจะค้านกันปฏิเสธกันได้ลงคอล่ะ
ว่าพระพุทธเจ้าไม่มีก็เห็นอยู่ชัดๆ อยู่ในองค์สัจธรรมซึ่งเราครองอยู่เวลานี้น่ะ
แล้วปฏิเสธพระพุทธเจ้าได้ยังไงว่าไม่มี
เห็นได้ชัดว่าพระพุทธเจ้าองค์นี้ตรัสรู้แล้ว
ทำไมองค์นั้นจะตรัสรู้ไม่ได้ องค์นั้นทำไมจะตรัสรู้ไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ทำไมจึงจะไม่มีจำนวนมากขึ้นโดยลำดับจนถึงเป็นล้านๆๆ ล่ะ
นั่นฟังซิ เพราะมีขึ้นได้ด้วยเหตุผลกลไกอันนี้ทำไมจะมีไม่ได้
เช่นอย่างองค์ก่อนก็มีได้ด้วยเหตุนี้ องค์นี้ก็มีได้ด้วยเหตุนี้
องค์หน้าต่อไปอนาคตก็จะมีได้ด้วยเหตุนี้เหมือนกัน
เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดพระพุทธเจ้าจะสูญจากโลกไปได้ล่ะ
ก็เมื่อเห็นชัดๆ ประจักษ์กันอยู่กับหัวใจของเราผู้รู้ผู้เห็นสัจธรรมทั้งสี่รอบหัวใจ
จนกระทั่งถึงบริสุทธิ์ประจักษ์อยู่ในตัวแล้ว หาธรรมชาติที่คัดค้านตัวไม่ได้แล้ว
จะคัดค้านพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นครูเอกอยู่แล้วได้ยังไง
นั่นพิจารณาซิ สาวกอรหัตอรหันต์ท่านไปจากไหน
ดูตัวจิตดวงนี้แล้วพอเลยๆ ยอมรับ กราบราบ นั่น
(โปรดติดตามเนื้อหาต่อในฉบับหน้า)
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
จาก พระธรรมเทศนา "ปฏิบัติให้ถึงความจริง" ใน ก้าวเดินตามหลักศาสนธรรม
โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
< Prev | Next > |
---|