สารส่องใจ Enlightenment

สารธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ (ตอนที่ ๔)



พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๓๐



สารธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์(ตอนที่ ๑) (คลิก)
สารธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ (ตอนที่ ๒) (คลิก)
สารธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์(ตอนที่ ๓) (คลิก)



โลกถ้าได้ปฏิบัติตามอรรถตามธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว
ไม่ว่าในแง่ใดจะต้องแสดงความสุขความสงบเย็นใจให้ได้เห็นให้ได้ชม
ให้เป็นที่ภูมิใจทั้งตนเองและผู้เกี่ยวข้องมากน้อย
ตลอดสังคมและทั่วโลกดินแดนต่างคนต่างมีศีลธรรมด้วยกันแล้ว จะเย็นที่สุดเลย
เดี๋ยวนี้เป็นยังไง ร้อนที่สุดก็คือความไม่มีศีลมีธรรมนั่นเอง
ทำอะไรลงไปมีแต่เรื่องสังหารอรรถสังหารธรรม
ซึ่งเท่ากับสังหารตนเอง ทำลายตนเองให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย
โลกจึงได้เดือดร้อนวุ่นวาย ไม่ใช่อยู่ๆ ก็เดือดร้อนขึ้นมา
แต่เป็นเพราะปฏิบัติผิดจากศีลจากธรรมที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วนั่นแล


นี่ละที่ว่าศาสนาเสื่อมๆ เพราะความไม่เชื่อ อันใดมีอยู่ก็ตามไม่เชื่อว่ามี
แล้วก็ฝืนทำลงไปตามเรื่องความหลอกลวงของกิเลส
ซึ่งเป็นตัวจอมปลอมที่สุด หลอกโลกให้ล่มจมมามากต่อมากแล้วก็ไม่ได้เข็ดกัน
ต่างคนต่างสะสมขึ้นมา ต่างคนต่างยกย่องชมเชย
ของต่ำๆ ที่สุดที่ปราชญ์ทั้งหลายตำหนิก็ยกขึ้นมาชม จะว่ายังไง
อันนี้ให้พิจารณาเอาเอง เวลานี้กำลังออกหน้าออกตาสิ่งเหล่านี้
แล้วสิ่งเหล่านี้เมื่อมีขึ้นมากๆ เป็นยังไง มันกัดกันเหมือนหมานี่ ไม่ได้เหมือนมนุษย์เลย
เพราะวิชานี้เป็นวิชาของสัตว์เดรัจฉาน วิชามนุษย์ต้องมีมารยาทต้องมีศีลธรรม
ต้องมีขอบเขตรู้จักสูงรู้จักต่ำ ต้องรู้จักเก็บรู้จักรักษาให้อยู่ในความสวยงามพอดี
แม้ยังละไม่ได้ก็ให้ต่างคนต่างระมัดระวังรักษาด้วยมารยาทของมนุษย์ที่มีศีลมีธรรม
และมีหิริโอตตัปปะภายในจิตใจ ก็สวยงามไปตามหลักของมนุษย์ไม่ได้เสียหายอะไร


เช่นอย่างครอบครัวผัวเมีย กาเมสุมิจฉาจาร เหล่านี้ และกามราคะอย่างนี้
ให้ต่างคนต่างระมัดระวังรักษาก็สวยงาม
โลกอันนี้เคยมีมาอย่างนี้ ปราชญ์ท่านไม่ได้ตำหนิ
ที่มันเลยขอบเขตเหตุผลนั่นซิ มันต่ำทรามลงไปจนกระทั่งถึงตำหนิ ใครจะไม่ตำหนิ
ตามีอยู่ หูมีอยู่ ใจมีอยู่ รู้อยู่เห็นอยู่ในสิ่งไม่ดีทั้งหลายที่หาญทำกันนั้นน่ะ
มันน่าตำหนิก็ต้องตำหนิ
ทีนี้เมื่อต่างคนต่างรักษาดังที่กล่าวมาแล้วนี้ โลกก็สวยงามสงบร่มเย็น
แม้จะละไม่ได้ก็ไม่เป็นภัย เพราะธรรมชาตินี้มีประจำโลกมา
มีธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษา เหมือนไฟที่อยู่ในบ้านในเรือนของเรา
เราใช้ไฟ ไฟเป็นของจำเป็นที่จะละไม่ได้
แต่เราก็จะต้องรักษาภัยที่มันจะเกิดขึ้นจากไฟ แล้วนำไฟไปทำประโยชน์ได้


นี่ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นโทษเสียอย่างเดียวๆ คุณค่าก็มี
คนอยู่ในโลกด้วยกัน ย่อมมีความรักความสงวนกัน ด้วยความเป็นธรรม
อยู่ด้วยกันด้วยความอบอุ่นเย็นใจ
เช่นอย่างสามีภรรยาลูกเต้าหลานเหลน อยู่ด้วยกันด้วยความเป็นธรรม
ทั้งๆ ที่ต่างคนก็มีกิเลสประเภทที่อยู่ในจริตจิตใจก็ตาม แต่ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย
ถ้าเราไม่เอากิเลสตัวผาดโผน ตัวเป็นประเภทของสัตว์เดรัจฉานเข้าไปทำลาย
เข้ามาออกหน้าร้านเพ่นพ่านทั่วบ้านทั่วเมืองเสียเท่านั้น
มันจึงไม่น่าดูที่สุด จะว่ายังไง


ศีลธรรมพระพุทธเจ้าเป็นยังไง ถ้านำมาปฏิบัติทำไมจะไม่งาม
ไม่มีใครที่จะงามเกินมนุษย์ของเราในการปฏิบัติศีลธรรม
เพราะเหมาะสมอย่างยิ่งแล้ว มนุษย์กับศาสนาเข้ากันได้อย่างสนิท
ตั้งแต่ขั้นต้นแห่งศาสนาธรรมถึงวิมุตติหลุดพ้น ไม่มีอะไรใครเกินมนุษย์เรา
ถ้านำมาประพฤติปฏิบัติรักษาก็เห็นผลประจักษ์น่ะซิ
แต่นี้ไม่ได้สนใจ เพราะอะไร ก็เพราะอำนาจของฝ่ายต่ำ คนนั้นก็เสริม คนนี้ก็เสริม
พูดกันคำใดออกมามีแต่เรื่องที่จะทำลายๆ คิดออกมาแง่ใดมีแต่ฟืนแต่ไฟ
แล้วมันจะเป็นน้ำเป็นท่าให้ร่มเย็นเป็นสุขไปได้ยังไง
มันก็ต้องเป็นฟืนเป็นไฟไปตามๆ กันหมดนั่นแล


เอ้า ทีนี้ย่นเข้ามาหานักปฏิบัติของเรา
ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเพื่อธรรมอันสูงยิ่งกว่านี้ความสุขยิ่งกว่านี้ ความเป็นสารคุณยิ่งกว่านี้
เป็นยังไงในขณะหนึ่งๆ ใจคิดเรื่องอะไรมาก เข้าใจว่าคิดเรื่องนี้มากกว่าเรื่องใดๆ
เพราะในหัวใจแต่ละคนเป็นอย่างเดียวกัน
เวลาจิตหาความสงบไม่ได้ จิตไม่มีหลักมีฐานไม่มีกฎมีเกณฑ์ บังคับไม่อยู่แล้ว
จะต้องคิดแต่เรื่องนี้มากยิ่งกว่าเรื่องอื่นๆ
และเผาตนเองให้ร้อนมากยิ่งกว่าเรื่องอื่นใดเช่นเดียวกัน
พอเราพยายามบำเพ็ญรักษาด้วยความตะเกียกตะกายไม่หยุดไม่ถอย
สิ่งเหล่านี้จะค่อยสงบตัวลงไปๆ จิตใจก็สงบเป็นความสุขความเย็นใจ
หายกังวลกับสิ่งเหล่านี้ไปโดยลำดับลำดา


เราก็ทราบได้ชัดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ก่อกวนได้มากที่สุด
และทำให้ได้รับความทุกข์ภายในจิตใจมากที่สุด
ในขณะที่จิตของเราสงบ เราทราบได้อย่างนั้น
นี่ก็พิจารณาเข้าไปซิ เมื่อจิตมันหนักในเรื่องอะไรดังที่กล่าวมานี้
อะไรเป็นยาแก้ พระพุทธเจ้าท่านก็สอนไว้แล้ว
นี้ก็เคยเทศน์มาไม่รู้กี่ครั้งกี่หน เอาจนกระทั่งถึงจิตสงบ
นอกจากความสงบแล้ว เอาปัญญาสอดส่องมองทะลุไปหมด
รูปร่างกลางตัวที่ว่าเป็นหญิงเป็นชาย เป็นสัตว์เป็นบุคคล มันเป็นที่ตรงไหน
เอาสติปัญญาหยั่ง คือ ความจริงหยั่งเข้าไปให้ถึงความจริงๆๆ
แล้วรู้ตามเป็นจริง ปล่อยวางได้โดยไม่ต้องสงสัย


บังคับให้ยึดก็ยึดไม่ได้ เมื่อได้รู้แจ้งเห็นจริงตามส่วนแห่งธรรมที่ได้ปฏิบัติมาแล้ว
ได้รู้ได้เห็นแล้ว ทีนี้ไม่คิดไม่ยุ่ง จะคิดแต่เรื่องที่จะเปิดทางออกเท่านั้นละ
เปิดทางออกโดยลำดับ กว้างไปโดยลำดับ สิ่งที่เคยตีบตันอั้นตู้ก็ห่างกันไปๆ
ในบรรดาธรรมทั้งหลายที่จะเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นก็กว้างขวางออกไปๆ
ด้วยอำนาจของปัญญา มีความสามารถแก่กล้า
สว่างกระจ่างแจ้งและละเอียดแหลมคมไปโดยลำดับ
และแทงทะลุกิเลสไปโดยลำดับลำดา
จนกระทั่งพุ่งตัวออกได้จากวัฏจิตวัฏจักรภายในใจของตน
เห็นโลกนี้ว่างไปหมดเลยที่นี่


ดังที่ท่านกล่าวไว้ในมาณพ ๑๖ คน มีโมฆราชเป็นสำคัญ
ดูก่อนโมฆราช เธอจงดูโลกให้เป็นของว่างเปล่า แล้วจะไม่กลับมาสู่โลกนี้อีก
เราพูดย่อๆ ว่าอย่างนั้น สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต
ในภาษาบาลีท่านว่าอย่างนั้น ให้ดูโลกเป็นของว่างเปล่า
เมื่อพิจารณาไปถึงขั้นว่างแล้วจะต้องว่าง
แต่ที่ทรงแสดงอย่างนั้น เพราะพระโมฆราชนั้นน่ะ
ท่านมีอุปนิสัยสามารถที่จะรู้ธรรมประเภทนี้ได้อย่างรวดเร็ว
จึงไม่จำเป็นจะต้องรื้อมาตั้งแต่ ก. ไก่ ก. กา อะไร
บอกในจุดที่สำคัญ แสดงในจุดที่สำคัญเลย
พระโมฆราชก็พุ่งทะลุเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลยโดยไม่ต้องสงสัย


นี่เพราะภูมิของจิตของธรรมสมควรกับภูมิธรรมข้อนี้แล้ว
พระองค์ก็ทรงแสดงถึงเรื่องความว่างแห่งโลก
คือว่างจากความเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นหญิงเป็นชาย เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้
ที่กิเลสเคยเสกสรรปั้นยอว่าเป็นของดิบของดีของมีค่ามีราคา
กลายเป็นของว่างเปล่าจากสิ่งเหล่านี้
จากความเป็นอย่างนี้ไปหมดไม่มีอะไรเหลือ
นั่น ท่านว่าว่างๆ อย่างนั้นต่างหาก ไม่ใช่ว่าว่างเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่มี
ในเมื่อตาเห็นอยู่ หูได้ยินอยู่ ไม่มียังไง มันก็มี
แต่สำคัญที่จิตไม่ไปยึดไปถือ ไม่ไปสำคัญมั่นหมาย ไม่ไปแบกไปหามเท่านั้นเอง
มันก็ว่างไปหมด นี่จิตว่างเป็นอย่างนั้น


ว่างอันหนึ่งก็ว่างอย่างที่ว่าเหมือนอะไรไม่มีจริงๆ ก็มี
อันนี้มอบให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลายทราบเองในความว่างของจิต
เพราะว่างอย่างนั้นจริงๆ ก็มี แต่ต้องว่างจากความเป็นสัตว์เป็นบุคคลนี้ไปก่อน
ก่อนไปถึงความว่างประเภทนั้น
เพราะนี้เป็นทางเดินความปราศจากความเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นต้นไม้ภูเขา
เข้าสู่ความว่างโดยหลักธรรมชาติของจิต
นั่น มันเป็นทางเดินเข้าไปๆ มันก็รู้เองๆ เห็นเองๆ


(โปรดติดตามเนื้อหาต่อในฉบับหน้า)


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จาก พระธรรมเทศนา "สารธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์"
ใน ก้าวเดินตามหลักศาสนธรรม เทศน์ภาคปฏิบัติ
โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP