ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ฝึกจิตอย่างไรให้มีความสามารถทำงานใหญ่ได้สำเร็จ



ถาม - ผมเคยได้ยินมาว่า ความสำเร็จทุกอย่างในชีวิตต้องอาศัยพลังจิตทั้งสิ้น
ยิ่งถ้าจะทำงานใหญ่ ยิ่งต้องอาศัยพลังจิตที่มากขึ้น
สำหรับผู้ที่ฝึกจิตเบื้องต้น จะมีวิธีสังเกตระดับพลังจิตได้อย่างไรครับ


ระดับพลังจิตนี่ผมอยากจะให้มอง มองอย่างนี้แล้วกัน
เปลี่ยนคำว่า “พลังจิต” เป็น “กำลังใจ” มันฟังง่ายขึ้น
กำลังใจของแต่ละคน ส่วนใหญ่จะมองว่าอยู่ที่วิธีคิด
ซึ่งมันก็ถูกนะ แต่จริงๆ แล้วถ้าโดยมูลฐานความจริงเลย
มันอยู่ที่ขนาดของใจ มันอยู่ที่สิ่งที่เรียกว่ากำลังจริงๆ

คือจิตเป็นธรรมชาติที่มีกำลัง แล้วก็สามารถกะปลกกะเปลี้ยได้ อ่อนแรงลงได้
ตอนที่จิตมีกำลัง จิตมันจะผนึก ผนึกรวม
คือมีศูนย์กลางการรับรู้ คอตั้ง หลังตรง แล้วก็ดำรงสติอยู่ได้เฉพาะหน้า
แล้วก็สามารถอยู่กับการรับรู้แบบนี้ได้นานๆ
โดยไม่ว่อกแว่กหาสิ่งอื่น นี่ จิตมันมีความใหญ่
จิตมันมีความสามารถที่จะคัฟเวอร์ (
cover)
หรือว่าเผชิญกับโลกความจริงตรงหน้าได้อย่างต่อเนื่อง


แต่ถ้าหากว่าจิตอ่อนกำลังหรือมีความกะปลกกะเปลี้ย
มันจะมีอาการซัดส่าย มันจะมีอาการที่ไม่สามารถรับรู้
หรือว่าได้ยินได้ฟังอะไรที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้าได้นานนัก
แป๊บหนึ่งมันจะรู้สึกว่า โอ๊ย
! ทนไม่ไหวแล้ว ขอไปเสพสุขจากการฟุ้งซ่าน
จินตนาการถึงวิมานในอากาศต่อตามความชอบใจของฉัน
ซึ่งจิตแบบนี้ไม่มีทางทำอะไรได้สำเร็จ
เพราะอะไร เพราะแค่จะรับรู้ว่าจะต้องทำอะไรอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้เสียแล้ว
จะไปทำสิ่งที่มันยากกว่านั้น
คือตั้งเป้าหมายแล้วก็วางแผนที่จะไปถึงเป้าหมายให้ได้ มันไม่มีทางเลย


ทีนี้วิธีที่จะทำให้จิตมีกำลัง ทำให้ตัวเองมีกำลังใจ
คีย์เวิร์ด (keyword) อยู่ตรงนี้ คือต้องทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มใจ
มีความรู้สึกปลื้มใจ มีความรู้สึกปีติ มีความรู้สึกโสมนัส
มีความรู้สึกยินดีในความสำเร็จของตัวเอง

หัดเริ่มตั้งแต่ความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ
อย่าไปตั้งเป้าใหญ่ทันที เพราะว่ามันจะเหนื่อยเกินไป
มันจะต้องออกแรงเขย่ง ออกแรงกระโดด
หรือว่าออกแรงเอื้อมเกินกว่าที่ตัวเองจะทำได้
แต่ถ้าหากว่าเราเริ่มต้นตั้งเป้าต่ำๆ
ยกตัวอย่างเช่นเราไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องทำบุญทำทาน
อยากทำทานแบบที่จะทำให้เกิดความปลื้มจริงๆ
ยกตัวอย่างเช่นที่ปลื้มจริงๆ ให้ชีวิต ปล่อยวัว ปล่อยควาย ปล่อยปลา
คือหุ้นกันก็ได้ แต่ว่าทำให้ตัวเองเกิดความรู้สึกว่าช่วยให้สิ่งมีชีวิตบางตัว
หรือหลายๆ ตัวรอดชีวิตได้
ไปซื้อปลาจากตลาดที่เขากำลังจะฆ่าไปปล่อยที่น้ำ แม่น้ำที่สะอาดๆ หน่อยนะ
แล้วก็อาจไปช่วยสร้างโรงเรียน หรือว่าไปช่วยทำให้เด็กมีโอกาสในการเรียน


คืออะไรก็แล้วแต่ที่เรารู้สึกว่าเราทำได้ทันที ลุกขึ้นไปเดี๋ยวนี้แล้วทำได้ทันที
แล้วทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคนอื่น
เขากำลังจะตาย ทำให้รอด
เขาไม่มีสิทธิ์เรียน กลายเป็นได้มีสิทธิ์เรียน
หรือคนชรากำลังต้องการหยูกยา เราเอายาไปให้เขา
คือไปเปลี่ยนสิ่งมันเป็นทุกข์ของคนอื่น ให้กลายเป็นสุข
ทำให้ชีวิตที่มันย่ำแย่ของพวกเขามันดีขึ้น

ถ้าหากว่าเราทำให้ แล้วทำสำเร็จ มันจะเกิดความปลื้ม แล้วเกิดกำลังใจ
ว่าเรามีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในโลกใบนี้

คือกำลังใจที่แบบจับต้องได้ มีตัวมีตน
มันมักจะเกิดขึ้นตอนที่เรารู้สึกว่าตัวเองสามารถมีเอฟเฟ็กต์ (
effect) กับโลกได้
สามารถมีอิทธิพลกับโลกภายนอกได้จริงๆ
คือประเภททำทานแบบว่าเอาเหรียญบาทไปหยอดใส่กะลาขอทานอะไรแบบนี้
แล้วบอกว่านี่ทำทานแล้ว ทำบุญแล้ว
คือความรู้สึกอยู่ในใจลึกๆ มันไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงชีวิตเขา


แล้วถ้าคุณบอกว่าคุณไม่มีเงิน คุณสามารถเอาตัวเองทั้งตัวไปช่วยเขาก็ได้
ยกตัวอย่างเช่นอาสาสอนหนังสือเด็ก ต้องการมาตลอดนะ
แล้วก็ต้องการไม่มีที่สิ้นสุดด้วย เรื่องอาสาสมัครไปช่วยสอน
หรือว่าอย่างปล่อยปลาอย่างนี้ ตัวหนึ่งไม่กี่สิบบาท แล้วก็คือมันได้ทำจริงๆ
เข้าใจไหมว่าถ้าเราเอาปลาไปปล่อย ปลาที่ตลาดนะมันกำลังจะถูกฆ่า
แล้วเราเอาไปปล่อยที่น้ำ
มันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ ที่ข้างนอกกับชีวิตของมัน
และเรารู้สึกได้ที่ข้างในว่าเราทำอะไรสำเร็จไปบางอย่าง


และที่สำคัญนะ ถ้าเราตั้งใจไว้แล้ว
ว่าจะทำบุญประเภทไหนให้มันเกิดความสำเร็จ เราต้องทำให้ได้

ไม่ใช่พอมีข้ออ้างหน่อย ขี้เกียจวันนี้เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวอากาศร้อน
เดี๋ยวโน่นเดี๋ยวนี่ มันเกิดความรู้สึกว่าเส้นยึดขึ้นมา
พยายามเอาชนะมันให้ได้ ตอนที่เราเอาชนะกิเลสของตัวเองได้นั่นแหละ
ตอนที่กำลังเกิด กำลังใจมันเกิดขึ้นตอนนั้น
ส่วนใหญ่คนในโลกต้องการกำลังใจจากปากคนอื่น หรือว่าสายตาชื่นชมของคนอื่น
แต่ว่าเราจะทำตามแบบที่พระพุทธเจ้าท่านสอน
คือทำด้วยการทำทาน ทำด้วยการรักษาศีล
ตั้งใจรักษาศีล ตั้งใจทำทานแบบไหน แล้วเอาให้ได้
ตรงนี้แหละที่มันจะเกิดกำลังขึ้นมาอย่างแท้จริงนะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP