วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
เร้น ๒๒
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
Wolf – หมาป่า
องค์กรธุรกิจ
หากบ้านดาวัน โรงพยาบาลดาวันคือแสงสว่าง องค์กรมาเฟียที่สนับสนุนเงินเบื้องหลังคือเงาดำ มืดสนิท ธุรกิจที่มาโนชก่อสร้างจนใหญ่โต ก็คือแสงสีเทา ส่วนเชื่อมระหว่างความสว่างและความมืด!
ตอนธุรกิจมาโนชพังพินาศจากพิษเศรษฐกิจเมื่อยี่สิบปีก่อน เขาได้รับความช่วยเหลือจากคุณนายดาวัน และอิทธิพลมืดของโชติ เจ้าพ่อมาเฟีย จนสามารถกลับมายืดหยัดท่ามกลางเศษขี้เถ้าความล้มเหลวเดิมได้
ทว่า...งานของหมาป่านักธุรกิจอย่างเขาคือฟอกเงินให้มาเฟีย อำนวยความสะดวกการเดินทางให้กับ ‘สินค้า’ ราคาแพงลิบตามได้รับมอบหมาย และสยายปีกธุรกิจออกไปให้กว้างขวางเพื่อประโยชน์แก่ผู้เป็นนาย
Wolf คือหมาป่าล่าเหยื่อ ใช้อำนาจทางธุรกิจหารายได้ด้วยวิธีต่าง ๆ ทั้งที่เปิดเผยได้ และไม่อาจเปิดเผย อีกทั้งยังขยายอิทธิพลทางธุรกิจไปยังประเทศต่าง ๆ สร้างฉากหน้าอันแข็งแรง กว้างขวาง ทำให้อาณาจักรคุณนายดาวันไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่ดินพันกว่าไร่อีกต่อไป
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
“ทำไมน่ากลัวจัง” มีนาหลุดปากออกมาด้วยใจหวาด คาดไม่ถึงว่าองค์กรแบบนี้มีจริงในโลก
“เท่าที่ฟังมา ผมว่าคุณย่าดาวันไม่ธรรมดาเลย” เพชร...เด็กหนุ่มเจ้าของห้องพูดบ้าง “ทำไมเขาถึงสร้างบ้านดาวัน มีเหตุผลอะไรถึงต้องยอมให้มาเฟียใช้สถานที่ของตนเอง แล้วทำไมหัวหน้าแก๊งมาเฟียถึงตายเร็วนัก มีเหตุผลอะไรให้คนหนุ่มชื่อโชติมาครองแก๊งแทน หรือกระทั่งการสร้างโรงพยาบาล ก็ดูเหมือนมีเหตุผลบางอย่างที่พวกเราไม่รู้”
ปัญหาที่เด็กหนุ่มตั้งมาแต่ละข้อชวนให้ผู้ฟังนิ่งอั้น ค้นหาคำตอบในใจ
มีนานึกถึงภาพผู้ก่อตั้งมูลนิธิดาวัน เจ้าของบ้านดาวัน และโรงพยาบาลดาวัน
ในรูปที่เห็นเป็นหญิงสาวสวย บอบบางแต่งกายด้วยชุดเรียบ ๆ น่าจะเป็นภาพถ่ายสมัยยังสาว เพราะไม่เคยมีใครเห็นภาพคุณนายดาวันในวัยแปดสิบเลย...ผู้หญิงลักษณะนี้ ซ่อนสิ่งใดไว้ภายในบ้าง?
ธันวานึกถึงคำพูดตนเอง...
‘คนอายุแปดสิบ สร้างคุณงามความดีมากมายขนาดนั้น เขาไม่ยอมเอาชื่อเสียงมาแลกกับธุรกิจมืดแบบนี้หรอก’
เขาไม่อยากคิดว่าคุณย่าดาวันจะเป็น ‘นายใหญ่’ ยังเห็นด้วยกับความคิดมีนาที่บอกว่าอาจเป็นคนที่มีอำนาจรองลงมา
…แต่...ถ้าคนแก่รายนั้น พลั้งพลาดมีส่วนในธุรกิจมืดตั้งแต่แรก...ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่...มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ความชั่วร้ายจะหยั่งราก เจริญเติบโตมาจนถึงปัจจุบัน
...คุณงามความดีมากมายที่สร้างสม จะชดเชยเรื่องเลวร้ายมากมายขนาดนี้ได้หรือ...
ธันวาสลัดความคิดเรื่องนายใหญ่ กับคุณย่าดาวันไว้ก่อน รีบเล่าเรื่องมาโนชต่อจนจบ
“หลังจากมาโนชเล่ามาเท่านี้ เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรอีก เหมือนกลายเป็นหุ่นจริง ๆ ตาลอย ไม่พูดไม่จา ไม่มีอาการตอบสนองกับสิ่งเร้าทุกประเภท ดูแล้วหนักจนน่ากลัวกว่าครั้งแรกที่เห็นอีก”
เมื่อฟังสรุปอาการคนป่วยจากจิตแพทย์หนุ่ม ตี๋เล็กถอนใจยาว ส่งยิ้มให้อย่างอ่อนใจ ยอมแพ้
“ไม่มีทางช่วยแล้วครับ” เด็กหนุ่มบอก
ธันวาอึ้ง พูดอะไรไม่ออก มีนาเป็นฝ่ายถามแทนใจชายหนุ่ม
“ไม่ลองไปดูอาการเขาอีกทีก่อนเหรอ...อาจจะใช้วิธีฝังเข็มช่วย หรือใช้ยาสมุนไพรตัวอื่นก็ได้ อย่าเพิ่งด่วนสรุปเร็วขนาดนี้สิ” เธอจำได้ว่า ปู่คงคาการันตีฝีมือเด็กหนุ่มคนนี้ไว้สูงมาก...ทั้งวิชาฝังเข็มที่ถ่ายทอดจากครูแกลง และความรอบรู้สมุนไพรต่าง ๆ
“เขาบอกเรื่องที่พี่อยากรู้หมดหรือยังครับ” ตี๋เล็กจงใจหันไปถามธันวา แทนยืนยันคำปฏิเสธ
“ยังหรอก เขาไม่ฟันธงว่าคุณย่าดาวันคือนายใหญ่ รายละเอียดเบื้องหลังบ้านดาวัน โรงพยาบาลดาวันค้าอวัยวะก็ไม่พูดถึง อาจเพราะไม่มีเวลามาก ที่สำคัญ ทั้งหมดนี้เป็นแค่คำพูดที่ไม่มีการบันทึกวิดีโอ ใช้เป็นหลักฐานเอาผิดใครไม่ได้เลย ส่วนหลักฐานจริง ๆ ที่เสี่ยหมงบอกว่ามาโนชเก็บไว้ ก็ไม่รู้ว่าซ่อนอยู่ไหน”
“แล้วแกไม่ถามเหรอ...เรื่องสำคัญขนาดนี้” มีนาโพล่งออกมาอย่างอดไม่ได้
“ฉันถามแล้ว เขาไม่พูด...ปิดปากสนิทเหมือนในหัวสั่งจิตใต้สำนึกไว้เลยว่าห้ามพูดเด็ดขาด”
“อ้าว...ไม่พูดเรื่องที่ซ่อนหลักฐาน แต่เล่าเบื้องหลังองค์กรตัวเองเป็นฉาก ๆ ขนาดนี้นี่นะ” มีนาเถียงต่อ
จิตแพทย์หนุ่มส่ายหน้า คร้านจะพูด คนที่เจอผู้ป่วยลักษณะนี้หลายรายย่อมเข้าใจ...การบอกเล่าเรื่ององค์กรตนเองของมาโนชนั้นมันเป็นการพูดกึ่งเพ้อ ตัวผู้บอกเล่าไม่มีสติสัมปชัญญะร้อยเปอร์เซ็นต์ พูดจาตอบโต้ตามแต่เสียงจิตแพทย์ถามนำ
ส่วนบางประเด็นที่เจ้าตัวฝังไว้ในจิตใต้สำนึกว่าต้องไม่พูด ต่อให้จิตแพทย์พยายามดึง ขุดคุ้ยเท่าไรก็ไม่ออกมา
ตี๋เล็กเห็นอาคันตุกะสองหนุ่มสาวเริ่มทะเลาะกันจึงพูดเข้าประเด็นสำคัญ
“ที่ผมบอกว่า...ไม่มีทางช่วยแล้ว...เพราะเท่าที่ฟังพี่ธันเล่ามาทั้งหมด ตั้งแต่เขาสูดผงว่านของทวดเข้าไป จนพอมีสติพูดจาได้ เล่าเรื่องมากมายขนาดนี้ แล้วสุดท้ายอาการกลับไปเป็นอย่างเดิม ไม่พูดจา กลายเป็นหุ่น แสดงว่ามาโนชต้องเคยดื่มน้ำ ‘ว่านเต่าภูเขา’ มาก่อน”
“ว่านเต่าภูเขา” มีนาทวนคำงุนงง
เด็กหนุ่มอมยิ้ม รู้ว่าทั้งสองไม่เคยได้ยินชื่อนี้
“มันเป็นพืชสูญพันธุ์นานแล้ว แบบเดียวกับต้นช้างลืม กับดอกดอยเดือน ที่เอาใบกับดอกของมันมาบดผสมกลายเป็นชาสั่งจิตนั่นแหละครับ”
“มันมีสรรพคุณยังไง” ธันวาถามบ้าง
“เมื่อนำว่านชนิดนี้มาคั้นทำเป็นน้ำว่าน ใส่ส่วนผสมสมุนไพรอีกสองสามชนิด กลายเป็นน้ำว่านเต่าภูเขา มันจะช่วยให้แข็งแรงกว่าวัย ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานดีขึ้น เสื่อมสภาพช้าลง ช่วยยืดอายุเซลล์สมองด้วย”
“โห...ดีขนาดนี้ทำไมไม่มีใครทำขายนะ” มีนาพูดแกมประชด
“ว่านชนิดนี้ก่อนจะสูญพันธุ์ มันก็เป็นของหายากมากครับ ไม่ใช่ว่าใครก็เอามาปลูกได้ ในตำราของทวดบอกว่า ถ้าดื่มน้ำว่านนี้แค่แก้วเดียว มันจะมีฤทธิ์อยู่ในร่างกายถึงปีนึงทีเดียว...แต่ว่า...”
“นั่นไง...” มีนาออกปาก “แสดงว่าต้องมีอะไรไม่ดี”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ
“ใช่ครับ...ถ้าภายในหนึ่งปีนั้น คนที่ดื่มน้ำว่าน เกิดไปสูดกลิ่นควันของชาสั่งจิตเข้า จะทำให้หมดสติ ฤทธิ์ของชาที่สูดเข้าไป ผสมกับฤทธิ์ว่านที่ค้างในร่างกาย จะทำปฏิกิริยาต่อสมอง ระบบประสาท ทำให้ดูเหมือนเสียสติ เป็นร่างไร้วิญญาณ จากนั้นระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะถูกทำลายทีละน้อย จนเสียชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด”
“ลักษณะแบบเดียวกับพวก ‘ยาสั่ง’ เลยนะ” มีนาพูด
“ครับ...แต่มันเป็นยาสั่งที่ไม่มีทางแก้ไขได้เลย” ตี๋เล็กสรุป
ธันวานิ่งฟังอย่างอัดอั้น ก่อนระบายเป็นคำพูด
“แต่...ผงว่านที่พี่ให้เขาสูดเข้าไป ก็ช่วยให้รู้สึกตัวได้พักนึงนะ” คุณหมออดแย้งไม่ได้
“ช่วยได้ชั่วคราวก็จริง แต่จะเร่งให้เขาตายเร็วขึ้น” ตี๋เล็กตอบ
ถึงตอนนี้ไม่ต้องให้เด็กหนุ่มอธิบาย ธันวาก็เข้าใจ...
หากใช้ผงว่านครูแกลงรักษาเฉพาะคนที่โดนชาสั่งจิตอย่างเดียว ย่อมหายขาดไม่มีปัญหา แต่ถ้าใช้รักษาคนโดนยาสั่งจิตผสมกับน้ำว่านเต่าภูเขาแล้ว...ผลจะเป็นอีกแบบ
นั่นคือ...ฤทธิ์ชาสั่งจิตจะถูกถอนชั่วคราว สามารถพูดคุยรู้เรื่อง พอกำลังของผงว่านหมดลง ทั้งชาสั่งจิตและน้ำว่านเต่าภูเขาจะถูกเร่งปฏิกิริยา กลายเป็นพิษร้ายแรง ทำลายระบบต่าง ๆ ในร่างกายอย่างรวดเร็ว
“พี่ขอโทษ...ที่ผลีผลาม ทำอะไรวู่วาม” ธันวารู้สึกผิด
“ไม่หรอกครับ” เด็กหนุ่มตอบ นัยน์ตาอ่อนโยน “ในตำราทวดบอกไว้แล้ว...ใครที่โดนยาสั่งแบบนี้ ไม่มีทางรักษาได้เด็ดขาด”
“แล้วเราพอจะทำอะไรได้บ้างมั้ย” มีนาถามด้วยความกังวลใจ
ตี๋เล็กมองธันวานิ่ง พูดช้า ๆ
“ผมคงช่วยพี่ได้อย่างเดียว คือพาเข้าไปดูภายในจิตใต้สำนึกนายมาโนช...เราอาจได้คำตอบว่าเขาซ่อนหลักฐานไว้ที่ไหน”
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ตี๋เล็กสามารถพาธันวาเข้าไปดูจิตใต้สำนึกมาโนชได้จริง โดยไม่ต้องเดินทางไปสถานที่ควบคุมพิเศษ ไม่ต้องทำเรื่องขอเข้าพบผู้ต้องหา อีกทั้งไม่เสียเวลามากมาย
“พี่เพิ่งเจอเขามาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว...น่าจะยังจำลักษณะอาการ ท่าทางกิริยาทั้งหมดของเขาได้” เด็กหนุ่มเริ่มต้น
“จำได้” ธันวาตอบ
“ถ้าอย่างนั้น ตั้งสมาธิ กำหนดภาพเขาขึ้นมาเป็นนิมิต...” ตี๋เล็กแนะนำ
ธันวาหลับตา ถึงจะไม่เคยฝึกสมาธิเพื่อใช้ในวิชาอาคม แต่เขาก็เคยฝึกให้จิตใจสงบ ตั้งมั่น เพื่อประโยชน์ในการเรียนหนังสือมาตั้งแต่เล็ก จิตใจจึงมีกำลังแน่วแน่ง่าย แส่ส่ายน้อย เพียงได้รับคำแนะนำไม่มากก็สามารถโน้มนำสมาธิที่มีไปใช้ในอีกเส้นทางหนึ่งได้
ผู้ทรงเวทวัยรุ่นอธิบายช้า ๆ ใช้วาจาชักนำจิตใจธันวาให้ ‘เพ่ง’ จ้องลึกเข้าไปในจิตมาโนช ซึ่งเจ้าตัวกำหนดนิมิตเอาไว้แล้ว
จิตพุ่งตรงเข้าไปอย่างมีจุดหมายในการออกรู้ ‘เรื่องภายนอก’ เห็นภาพชีวิตความสับสนวุ่นวายเป็นฉาก ๆ ของมาโนชปรากฏขึ้นวูบวาบ รวดเร็ว จนกระทั่งมาหยุดที่หญิงสาวคนหนึ่ง
เธอคนนั้นมีดวงตาเศร้าสร้อย ยื่นมือรับกล่องใบหนึ่งจากมาโนช
“ในนี้มีหลักฐานความผิดของนายใหญ่ทั้งหมด มันจะเป็นหลักประกันชีวิตเธอและชีวิตฉัน เพื่อหนีออกจากวังวนแห่งนี้”
“แก้วควรทำยังไงกับมันดี”
“ซ่อนมันไว้ในที่ปลอดภัยก่อน แล้วรอเวลาตามแผน ถ้าฉันหรือเธอพลาด เราคนหนึ่งที่ยังเหลือ สามารถใช้หลักฐานนี้เอาตัวรอดแล้วกลับมาแก้แค้นได้”
“ค่ะ...แก้วเชื่อคุณ”
ภาพหญิงสาวคนนี้หายไป กลายเป็นภาพจากหน้าจอมือถือ...เธอส่งรูปเรือนเพาะชำกระจกมาให้ พร้อมกับข้อความสั้น ๆ
“มันอยู่ที่นี่”
ธันวาค่อยถอยจิตออกมาจากความรับรู้ ระบายลมหายใจแผ่ว ตั้งสติเรียบเรียงคำพูด ก่อนเล่าสิ่งที่เห็นทั้งหมดให้ตี๋เล็กกับมีนาฟัง
พอหญิงสาวฟังจบก็หลุดปากชื่อหนึ่งขึ้นมา
“ดอกแก้ว!”
“ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร...เธอรู้จักเขาหรือ” ธันวามองหญิงสาวอย่างแปลกใจ
“ปกป้องพาฉันไปพบเขาในฝัน ที่บ้านดาวัน...แต่ฉันคิดว่า...เขาน่าจะตายแล้ว”
ผู้ชายทั้งสองไม่มีใครสงสัยคำพูดมีนา
“ถ้าดอกแก้วเสียชีวิต หลักฐานจะยังเหลือเหรอ?” ตี๋เล็กตั้งประเด็น
“ต้องลองหาดูก่อน” ธันวาพูดแล้วขมวดคิ้วครุ่นคิด “แต่เรือนเพาะชำกระจกที่เห็น...มันอยู่ที่ไหน”
“บ้านดาวันมีเรือนเพาะชำต้นไม้หลายแห่ง มีอยู่สี่ห้าหลังเป็นเรือนกระจกควบคุมอุณหภูมิ แสงสว่าง” มีนาบอก เธอศึกษารายละเอียดบ้านดาวันมากพอสมควร
ธันวามองหญิงสาว ประกายตาสว่างวาบ
“งั้นขอข้อมูลบ้านดาวันทั้งหมดที่มีให้ฉันดูก่อนได้มั้ย” ธันวารู้ว่าวันนี้หญิงสาวไปนำรายละเอียดข้อมูลประกอบ และสกู๊ปบ้านดาวันมาจากที่ทำงาน
“ได้สิ” มีนาไม่ปฏิเสธ
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
บ้านดาวันปัจจุบัน ต่างจากเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อนจนเทียบกันไม่ได้
เมื่อห้าสิบกว่าปีที่แล้ว สถานที่แห่งนี้เป็นทุ่งนา เรือกสวน บึงน้ำ ลำคลองไหลผ่าน มีถนนหลวง การคมนาคมสะดวกทั้งทางบกและทางน้ำ
บ้านของคุณดาวันเดิมเป็นตึกทันสมัยสองชั้น ตั้งติดริมถนนใหญ่ โดยมีเรือนหลังเล็กของพวกลูกจ้าง คนงานทำนาทำสวนเรียงรายอยู่ด้านใน
บิดาคุณดาวันตัดถนนในที่ดินแปลงใหญ่ของตนให้เชื่อมหากันอย่างเป็นระเบียบแบบแผน เพื่อใช้ขนถ่ายผลิตผลทางเกษตรได้ทั้งทางบกและทางเรือ
ทุ่งนา เรือกสวน บึงน้ำ คอกหมู โรงเลี้ยงไก่ถูกแบ่งโซนเป็นระบบ ให้พึ่งพากันได้ โดยมีถนนภายในเชื่อมโยง รวมกับลำคลองที่ไหลผ่าน จึงกลายเป็นเส้นทางคมนาคมยอดเยี่ยม เข้าออกได้หลายทิศทาง
พอบิดามารดาคุณดาวันเสียชีวิต เธอก็เลิกจ้างลูกจ้าง เปลี่ยนไปให้คนเหล่านั้นเช่านา เช่าสวนทำกินกันเอง
บ้านดาวันถูกสร้างขึ้นเป็นสถานรับเลี้ยงดูแลเด็กกำพร้า พร้อมกับมีถนนหลวงตัดผ่านโดยรอบอีกหลายสาย ความเจริญคืบคลานเข้ามา ที่ดินพันกว่าไร่ถูกปรับปรุง วางผังใหม่ให้ใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า
สิ่งปลูกสร้างมากขึ้น ทั้งบ้านเด็กกำพร้าฝั่งชาย ฝั่งหญิง โรงพยาบาลดาวัน หอพักสำหรับเด็กโตที่ร่ำเรียนวิชาชีพ และระดับอุดมศึกษา
พื้นที่ทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ยังมีอยู่ คนดูแลจัดการไม่ใช่ชาวบ้านเช่าทำแบบสมัยก่อน คุณย่าดาวันให้เด็กบ้านดาวันที่ไม่สนใจร่ำเรียนวิชาชีพขั้นสูง หรือไม่ต้องการเรียนระดับอุดมศึกษา ได้มีอาชีพทำกินด้วยการทำไร่ ทำนา ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ แล้วแต่ใครพอใจสิ่งใด
บ้านเจ้าของสถานที่ถูกร่นเข้าไปอยู่ใจกลางผืนที่ดิน ล้อมรอบด้วยศูนย์เพาะพันธุ์ต้นไม้ เรือกสวน แปลงผัก แปลงดอกไม้ เรือนกระจกสำหรับเพาะพันธุ์ไม้บางประเภท และสำหรับปลูกต้นไม้ที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิ แสงสว่างโดยเฉพาะ
ธันวาเปิดดูสกู๊ปบ้านดาวัน อ่านข้อมูลประกอบ พร้อมดูภาพฟุตเทจสถานที่ต่าง ๆ เน้นเฉพาะเรือนเพาะชำกระจกเป็นหลัก ค้นหาว่ามีที่ใด ใกล้เคียงกับที่ตนเห็นในนิมิตมากที่สุด
ชายหนุ่มใช้เวลาครึ่งค่อนคืนหลังกลับจากหอพักตี๋เล็ก ศึกษานั่งดู จนเจอภาพเรือนเพาะชำกระจกใกล้เคียงกับที่เห็นในนิมิตถึงสองแห่ง
ลองเปรียบเทียบในแผนผังอาณาเขตมูลนิธิดาวันว่ามันอยู่จุดใด พอพบแล้วจึงทำเครื่องหมายเอาไว้เรียบร้อย
เสร็จจากงานที่ตั้งใจหาเป็นชั่วโมง จึงค่อยเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างอ่อนล้า มือคลิกเม้าส์ให้จอคอมพิวเตอร์เปิดภาพคุณนายดาวันขึ้นมา
หญิงสาวบอบบาง ใบหน้าสวยเรียบ ๆ แต่งตัวอย่างผู้หญิงเมื่อสมัยสี่สิบกว่าปีก่อน ธันวาหรี่ตามองเธออย่างครุ่นคิด มันดูคุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
มองผ่านตาตอนแรก ๆ ยังไม่รู้สึกอะไร พอเวียนดูครั้งที่สองครั้งที่สามชักคุ้นตา เริ่มสงสัย...เขาน่าจะเคยเห็นผู้หญิงคนนี้มาแล้ว!
ลองไล่อ่านประวัติหญิงชราอย่างละเอียดอีกครั้ง ดูชื่อคนในครอบครัว...บิดา มารดา น้องสาว...ก็ยังไม่นึกสะดุดใจ กระทั่งมองเห็นชื่อ-นามสกุลคู่สมรสน้องสาวคุณย่าดาวัน
คู่สมรสน้องสาวคุณย่าดาวันเป็นลูกหลานคนใหญ่คนโต นามสกุลดัง
ธันวาสะดุดตากับนามสกุลนั้น พบว่าเป็นนามสกุลเดียวกับ ‘ภูริช’ เพื่อนสนิทตนเอง
พอนึกถึงภูริช ก็คิดถึงหญิงสาวที่ให้เขาเอ่ยปากสัญญาว่าจะปกปิดเรื่องราว ไม่บอกใครเรื่องภูริช และเหตุการณ์สามวันนั้น
ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเหมือนคุณย่าดาวันสมัยยังสาวไม่ผิดเพี้ยน!
ธันวาลุกจากเก้าอี้ ในหัวเต็มไปด้วยเรื่องราวสับสนวุ่นวาย ออกมายืนนอกระเบียงมองตึกรามแสงสีที่อยู่ไกล ๆ รับกลิ่นอายอากาศภายนอก แล้วเป่าลมจากปากดังฟู่ เพื่อขับไล่ความฟุ้งซ่านในหัว ตั้งสติเรียงลำดับความคิดช้า ๆ
ผู้หญิงที่บอกให้เขาตกปากสัญญา เป็นคนช่วยเหลือภูริชออกจากเมืองไทย
ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเหมือนคุณย่าดาวันสมัยยังสาว
ภูริชใช้นามสกุลเดียวกับน้องสาวคุณย่าดาวันหลังสมรส
...คุณย่าดาวันกับภูริชมีความสัมพันธ์กันอย่างไร...
เหตุใดผู้หญิงคนนั้นจึงมีใบหน้าเหมือนย่าดาวันสมัยสาวขนาดนี้?
ธันวาเกือบอดใจไม่ไหวโทรศัพท์ไปถาม ปรึกษามีนาเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ แต่ต้องข่มใจไว้...เพราะคิดว่าขณะนี้หญิงสาวอาจกำลังหงุดหงิด โกรธเคือง หรือไม่ก็คงวุ่นวายสับสนอยู่ก็ได้
เพราะเมื่อตอนค่ำ ระหว่างทางขับรถกลับจากหอพักตี๋เล็ก เขาบอกเหตุผลที่ตนเองไม่ไปตามนัดเมื่อสิบห้าปีก่อน และเรื่องราวที่เขาหายไปสามวันให้ฟังแล้ว...ซึ่งมันสร้างปฏิกิริยาแก่เธอพอสมควร
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
มีนาควรโกรธเคือง หรือว้าวุ่นสับสนกับเรื่องที่ธันวาเพิ่งมาเปิดเผย?
หญิงสาวเคยคิดว่าตนเองลืมเรื่องธันวาผิดนัดเมื่อสิบห้าปีก่อนไปแล้ว ไม่ติดใจสงสัย ไม่คิดว่ามันมีผลต่อจิตใจเธอในปัจจุบันเลย
จนกระทั่งจู่ ๆ เขาก็เล่ามันออกมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว
ความลับที่เก็บงำมานาน ไม่มีใครง้างมันจากปากผู้ชายคนนี้ได้ กลับถูกเปิดเผยระหว่างรถติด เหมือนเป็นบทสนทนาฆ่าเวลา
“เธอยังจำเรื่องเมื่อสิบห้าปีก่อนได้มั้ย?” ธันวาเอ่ยขึ้น สายตามองแพรถติดที่คลาคล่ำบนท้องถนน
“หือ...” มีนาสะดุ้ง ไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามนี้
“ยังอยากรู้มั้ยว่า...ทำไมฉันถึงผิดนัด...แล้วสามวันนั้นหายไปไหนมา” ชายหนุ่มพูดต่อเรื่อย ๆ เหมือนสายน้ำไหล
หญิงสาวอึ้ง หันไปจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างต้องการค้นหาว่าเหตุใดจึงเอ่ยเรื่องเก่าในเวลานี้
ธันวาหันมาสบตาพูดช้า ๆ
“บางที...ฉันคิดว่า...แค่คำขอโทษในวันนั้น มันอาจน้อยเกินไป”
คนช่างพูด มีสารพัดวาจาเหน็บแนมอย่างมีนากลับพูดไม่ออก เพราะดวงตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความจริงใจ รู้สึกผิด จนเธอไม่รู้ควรพูดจาหรือแสดงกิริยาอย่างไร
จากนั้น...ธันวาจึงเริ่มเล่าเรื่องราว
วันนัดหมาย ธันวามีกิจกรรมกลุ่มต้องทำกับเพื่อนร่วมชั้นรวมทั้งภูริชด้วย เขาจดจำเวลานัดหมายแม่นยำ
...หกโมงเย็น...ถ้าไปช้า หรือปล่อยให้มีนาคอยเก้อ...ต้องเลิกกัน!
ถึงรำคาญความเอาแต่ใจของเด็กสาว แต่เธอก็มีนิสัยดี ๆ หลายอย่างที่เขาชอบพอ ผูกพันจนสามารถมองข้ามเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ได้
งานกลุ่มเสร็จเร็วกว่ากำหนด ธันวาตั้งใจเตรียมเซอร์ไพร์สไปที่นัดหมายก่อนเวลา เพื่อเอาใจแฟนสาว และยืนยันว่าตนเองไม่เคยคิดอยากเลิกกับเธอ
ทว่าภูริชกลับมีเรื่องฉุกเฉิน แม่เขาส่งข้อความมาทางมือถือว่า
‘กลับบ้านด่วน!’
ไม่มีคำอธิบายใด โทรกลับก็ไม่รับสาย เด็กหนุ่มกังวลใจ
“เกิดเรื่องอะไรกับแม่นะ” ใบหน้าภูริชซีดเผือด เกิดสังหรณ์ร้าย
ธันวาไม่เคยเห็นเพื่อนกังวลขนาดนี้จึงออกปาก
“ไป...รีบกลับบ้าน เดี๋ยวกูขับมอเตอร์ไซค์ไปส่ง”
“มึงมีนัดไม่ใช่เหรอ” ภูริชรู้ว่าเพื่อนมีนัดสำคัญ
“เวลายังเหลืออีกเยอะ ยังไงกูก็ไปทัน” ธันวายกนาฬิกาให้เพื่อนดู
เด็กหนุ่มทั้งสองซ้อนมอเตอร์ไซค์คันเดียวกันไปบ้านภูริช พอไปถึงแทบล้มทั้งยืน
ข้าวของภายในบ้านตกแตกกระจายเกลื่อน ตู้ล้ม เก้าอี้ระเนระนาด หนำซ้ำกว่านั้นยังเห็นรอยเลือดเป็นหย่อมใหญ่น่ากลัว
...แม่ภูริชไม่อยู่บ้าน...
ภูริชกับธันวารีบออกตามหา พบนักเลงกลุ่มหนึ่งยืนดักรออยู่หน้าบ้าน พวกมันจับแม่ภูริชไม่ได้ แต่ได้โทรศัพท์มา จึงส่งข้อความไปหลอกให้เขามาติดกับดัก
ทั้งสองสู้กับนักเลงเป็นสิบ ขนาดธันวาร่ำเรียนหมัดมวย การต่อสู้สารพัด ก็ยากรับมือกับผู้ใหญ่ นักเลงมืออาชีพจำนวนมากกว่าถึงห้าเท่า
ผลคือถูกฟาดจนสลบ ยึดโทรศัพท์มือถือไว้ นำมอเตอร์ไซค์ไปซ่อนทำให้ไม่สามารถติดต่อกับใครได้ และไม่มีใครตามร่องรอยธันวากับภูริชเจอ
ฟื้นขึ้นมาในห้องขัง ภูริชยอมเปิดใจเล่าเรื่องครอบครัวตนเองให้ธันวาฟัง
พ่อภูริชเคยอยู่ในแก๊งค้ายาเสพติด ต้องการถอนตัวจึงวางแผนพาลูกเมียหนีไปต่างประเทศ แต่แผนการล้มเหลว พ่อถูกฆ่าตาย แม่พาภูริชหนีมาซ่อนตัวในจังหวัดนี้ ทำตัวกลมกลืนคนทั่วไปจนปลอดภัยมาถึงสองปีกว่า
คนพวกนั้นเชื่อว่าพ่อภูริชมี ‘ของสำคัญ’ หลักฐานที่จะเอาผิดหัวหน้าแก๊งพวกมันได้ ต่อให้ปฏิเสธอย่างไรมันก็ไม่เชื่อ พอพ่อตาย พวกมันคิดว่าของชิ้นนั้นอยู่กับแม่ภูริช จึงตามเสาะหากระทั่งเจอ
แม่หนีไปได้อย่างเฉียดฉิว ได้รับบาดเจ็บมากพอสมควร พลาดทำโทรศัพท์ตกในบ้าน พวกมันจึงใช้โทรศัพท์นั้นล่อภูริชมาติดกับเพื่อใช้ข่มขู่แม่ และอาจใช้ตัวเขาล่อให้แม่มาติดกับได้อีกที
“กูต้องหนีจากที่นี่ให้ได้ ไม่งั้นแม่กูอาจพลาดติดกับดักพวกมัน” ภูริชเข่นเขี้ยว
“ได้...เอาไงเอากัน”
ทั้งคู่ถูกขังในโกดังมืด มือเท้าถูกมัด มีผู้คุมเฝ้าด้านนอก แต่มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับสองสหายที่จะช่วยกันปลดพันธนาการ วางแผนหลอกล่อผู้คุมมาจัดการเสียสลบเหมือดจนได้รับอิสระ
ค้นตัวเหล่าผู้คุม พบแค่โทรศัพท์ภูริชยังใช้ได้ ส่วนของธันวาถูกกระทืบพังไปแล้ว
เหตุที่พวกมันไม่พังโทรศัพท์ภูริช เพราะต้องการใช้เป็นเหยื่อล่อ รอให้แม่เด็กหนุ่มติดต่อกลับมา ซึ่งในโทรศัพท์นั้นเพิ่งได้รับข้อความจากหมายเลขที่ไม่บันทึกชื่อเมื่อประมาณชั่วโมงที่แล้ว
“รออยู่ที่ท่าเรือ...” ท่าเรือนั้นอยู่จังหวัดทางตะวันออก
เป็นข้อความที่ชวนคลางแคลงใจ
“ไม่น่าใช่ข้อความจากแม่กู” ภูริชพูด
“จริง...เขาน่าจะโทรมาหามึงมากกว่า” ธันวาเห็นด้วย
“ถ้าแม่โทรมา พวกมันต้องรับสาย...แล้วขู่จนแม่ต้องรีบมาหากูที่นี่แน่”
“แต่เท่าที่กูสังเกต...แม่มึงไม่ได้โทรมาแน่ ๆ แต่กูได้ยินพวกมันพูดแว่ว ๆ เหมือนมันจะแบ่งกำลังครึ่งนึงไปท่าเรือนั้น อย่างน้อยมันก็คงอยากรู้ว่าใครส่งข้อความนัดมึง” ธันวาแสดงความเห็น
ภูริชนิ่งไปนาน สีหน้าแสดงอาการครุ่นคิด เม้มริมฝีปาก ใจหวั่นถึงสังหรณ์ร้าย
“แม่กูเคยบอกว่าเรามีญาติพอจะพึ่งพาได้...แต่เป็นญาติที่ไม่จำเป็นจริง ๆ แม่จะไม่ขอความช่วยเหลือเด็ดขาด”
“แม่มึงบาดเจ็บขนาดนั้น น่าจะขอความช่วยเหลือไปแล้ว ตอนนี้อาจกำลังรักษาตัวอยู่ ญาติมึงเลยส่งข้อความมาบอกให้มึงไปหาที่ท่าเรือนั่นแทน”
ความเห็นของธันวาทำให้ภูริชคล้อยตาม
“งั้นกูจะไปที่ท่าเรือนั่น”
“กูไปด้วย” ธันวาบอก
“ไม่ต้อง มันอันตรายมึงกลับไปเลย” ภูริชปฏิเสธ
“เพราะมันอันตรายกูถึงต้องไป” ธันวาพูดเสียงหนักแน่น “ท่าเรือนั่นไม่ใช่อยู่ใกล้ ๆ มึงจะเสี่ยงลุยไปคนเดียวได้ยังไง”
ภูริชถอนใจหาเหตุผลมาปฏิเสธไม่ได้ รู้ว่าเพื่อนนิสัยอย่างไร เมื่อร่วมชะตากรรมถึงตรงนี้แล้ว ธันวาไม่มีทางยอมทิ้งให้เขาเสี่ยงอันตรายคนเดียวแน่
ก่อนเดินทาง ธันวาฉุกใจคิดว่าควรโทรบอกมีนากับครอบครัวตน...เรื่องเขาผิดนัด มีนาอาจโกรธจนแทบขอเลิก และการหายตัวเฉย ๆ คนในครอบครัวต้องเป็นห่วงตามหาจ้าละหวั่น
การทำเช่นนี้ นอกจากทำให้ทางบ้านสบายใจ ยังได้กำลังเสริมมาช่วย...ธันวารู้ว่าปู่มีอิทธิพลมากขนาดไหน
ทว่า...คนปฏิเสธความคิดนี้คือภูริช
“อย่าเลย!”
“ทำไมวะ...ทีกูยังไปได้” ธันวาสงสัย
“กับมึง...กูก็ไม่อยากให้ไป แต่เพราะมึงเป็นเพื่อนคนเดียวของกู” ภูริชพูดชัด “บ้านกูเคยอยู่แก๊งค้ายาฯ แม่กูก็มีส่วน...แล้วพ่อมึงเป็นตำรวจ ถ้าปู่มึงส่งกำลังคนมาช่วยแบบนี้ เขาต้องสืบสาวกันยาว ต่อให้ช่วยแม่กูได้แต่ต้องโดนคดีติดคุก กูก็ไม่ยอมหรอก”
ธันวาอึ้ง พูดอะไรไม่ออก เขามองข้ามเรื่องนี้ไปจริง ๆ
ภูริชจ้องตาเพื่อน เห็นความจริงใจเต็มเปี่ยมในนั้น จึงต้องบอกอีกเหตุผลสำคัญ
“อีกอย่างถ้า...คนที่ส่งข้อความ...เป็นญาติคนนั้น ที่แม่กูเคยพูดถึง...กูต้องไปท่าเรือนั่นคนเดียวให้ได้ ห้ามขอความช่วยเหลือจากใครเด็ดขาด”
“เพราะอะไร” ธันวาไม่เข้าใจ
“คนคนนั้นกำลังทดสอบกู...กูต้องแสดงความสามารถให้เขาเห็น ไม่อย่างนั้นอย่าว่าจะให้เขาช่วยแม่กูเลย แค่เหลือบมอง เขายังไม่สนใจ ไม่งั้นกูคงไม่ต้องมาเจอมึงที่เมืองนี้หรอก”
ได้ยินอย่างนั้น เริ่มรู้สึกว่าครอบครัวภูริชมีความลับซ่อนอยู่ไม่น้อย
ธันวาตัดสินใจไม่บอกทางบ้าน...ยอมเสี่ยงร่วมเป็นร่วมตายกับภูริช...คนที่ยอมรับเขาคนเดียวเป็นเพื่อน...
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|