กระปุกออมสิน Money Literacy

เลือกหุ้นลงทุน เรื่องง่ายๆ ไม่ต้องพึ่งกูรู



Mr.Messenger
สนใจติดตามข่าวสารการลงทุนได้ที่ http://twitter.com/MrMessenger

นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดมักเริ่มต้นลงทุนด้วยวิธีการคล้ายๆกัน นั้นก็คือลงทุนตามที่เพื่อนบอกก็จะให้ทำยังไงล่ะครับ เพิ่งเริ่มต้น จะไปรู้จักหุ้นในตลาดได้อย่างไร ว่าบริษัทไหนดีไม่ดี วิธีที่ง่ายกว่านั้นก็คือ หากัลยาณมิตรให้เจอ แล้วขอหุ้นเขาไปเลยตรงๆ ง่ายดี

แต่ปัญหาก็คือ กัลยาณมิตรของเรา ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญในตลาดไปมากกว่าเราซักเท่าไหร่ ที่เขาดูมีภาษีกว่าเรา ก็อาจเพราะลงทุนอยู่ก่อนหน้าเรามาซักพัก แต่ถึงกระนั้น นั่นก็ไม่ใช่เครื่องการันตีว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนตามที่เพื่อนบอก จะดีอย่างที่เราหวังไว้

ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาสูงขึ้นเรื่อยๆ นักลงทุนหน้าใหม่ก็วิ่งเข้ามา จากการเห็นคนรอบข้างกำไรมานักต่อนัก แล้วก็คิดไปว่า โอกาสน่าจะเป็นของเราบ้าง ในตอนที่แล้ว ผมเขียนถึงหลักการลงทุนในหุ้นสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ครั้งนี้ ขอพูดถึงวิธีการเลือกหุ้นขึ้นมาซักหนึ่งตัวเพื่อศึกษา และหาว่า จะเป็นบริษัทที่เราฝากผีฝากไข้ได้หรือเปล่า

ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจก่อนว่า การลงทุนในหุ้น ไม่ใช่เรื่องไกลตัว นักลงทุนบางคนมองว่า การวิเคราะห์ หรือการเลือกหุ้น เป็นเรื่องทางบัญชี ต้องมีความรู้ด้านการเงิน และภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นความเข้าใจที่ไม่ตรงเสียทีเดียวนะครับ จริงๆแล้ว นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนหลายๆคน เริ่มจากการมองหาบริษัทที่ดีจากสิ่งรอบตัวในชีวิตประจำวันเรานี่เอง

สำหรับนักปฏิบัติธรรม น่าจะจำคำสอนของครูบาอาจารย์ได้ว่า หากจะปฏิบัติบรรลุมรรคผลนิพพาน อย่าได้แยกช่วงเวลาการปฏิบัติออกจากชีวิตประจำวัน นั้นหมายความว่า ขี้เกียจก็ปฏิบัติ ขยันก็ปฏิบัติ ยืน เดิน นั่งนอน ก็ต้องปฏิบัติ คำถามคือ แล้วเกี่ยวอะไรกับการลงทุน?

ก็เพราะในชีวิตประจำวัน คนเราเกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว โดยที่เราไม่รู้ตัว หรืออาจจะละเลยไป ยกตัวอย่างเช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งเกือบจะเป็นอาหารประจำชาติไทย ถ้าเราลองใส่ใจ จะพบว่า บางยี่ห้อ อยู่คู่คนไทยมายาวนาน ร้านสะดวกซื้อร้านไหนๆ ก็ต้องมีอยู่บนแผง เห็นแบบนี้ปั๊บ เราก็ต้องไปหาแล้วครับ ว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ว่า ใครเป็นผู้ผลิต อยู่ในบริษัทจดทะเบียนหรือเปล่า

พอซื้อกลับมาบ้าน ขับรถกำลังจะเข้าบ้าน เราก็สังเกตเห็นว่า ร้านสะดวกซื้อที่เราเพิ่งเข้าไป แค่ในรัศมี ๒ กิโลเมตร กลับมีร้านนี้ถึง ๔ สาขา แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า ขับรถจากบ้านไปที่ทำงาน ที่ทำงานไปหาลูกค้า พาลูกไปต่างจังหวัด เราก็เห็นแต่ร้านสะดวกซื้อร้านนี้เต็มไปหมด แสดงว่า ต้องไม่ธรรมดาแล้วครับ

หรือ คุณผู้หญิงที่ทำงานในกรุงเทพฯ กลับมาจากที่ทำงาน สิ่งคลายเครียดชั้นดีหลังข่าวภาคค่ำก็คือ ละครคุณ ผู้ชายก็อาจจะสังเกตได้ว่า ละครเรื่องไหนฮิต คุณผู้หญิงก็จะดูทุกตอน ไปที่ทำงาน ก็มีเรื่องคุยกับเพื่อน ไปที่ไหนก็คุยถึงเรื่องนั้น เรียกได้ว่าฮิตทั่วเมือง เราลองเปิดไปดูบ้าง ก็พบว่า ภายในระยะเวลา ๒ ชม. นับจากละครเริ่ม กลับกลายเป็นว่า ละครฉายจริงแค่ ๑ ชม. ที่เหลือเป็นโฆษณา ซึ่งก็ไม่เห็นใครจะเปลี่ยนไปดูช่องอื่น เพราะเกรงว่าละครมา ตัวเองจะพลาดตอนเด็ดไปเสีย นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า สถานีโทรทัศน์ช่องนี้ ต้องได้รายได้จากการโฆษณาสูงแน่ๆ ว่าแล้วก็เปิดเว็บไซต์เข้าไปดูข้อมูลอีกที

เห็นไหมครับ นักลงทุนรายย่อยที่เพิ่งเริ่มต้นลงทุน ก็สามารถจะค้นหาหุ้นได้ในเบื้องต้นจากการดูทีวี ฟังวิทยุ อ่านหนังสือพิมพ์ ติดตามเพจการลงทุนทาง Facebook ขับรถไปเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาในชีวิตประจำวันของเราทั้งนั้น อยู่ที่ ต้องหมั่นสังเกตดูบ่อยๆ ซึ่งผลลัพธ์จากการสังเกตก็คือ เราก็จะได้ไอเดียใหม่ๆจะผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการขยายผลวิเคราะห์ธุรกิจที่เราสนใจนั้นต่อไป

นักลงทุนอันดับหนึ่งของโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟต เคยกล่าวไว้ว่าผมไม่เคยคิดจะกระโดดข้ามบาร์ที่สูง ๒ เมตร แต่ผมจะมองหาอันที่มันสูงแค่ ๓๐ เซนติเมตร แล้วค่อยข้ามบาร์นั้นแทนหมายความว่า เขาเลือกวิธีที่ไปถึงที่หมาย ด้วยวิธีที่เป็นไปได้ ไม่ลำบากเกินไป และอยู่ในขอบเขตความสามารถของตัวเอง ซึ่งในมุมมองของผม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนหน้าใหม่ควรปฏิบัติตาม เพราะถ้าถามว่า การลงทุนตามที่เพื่อนบอก เป็นการลงทุนที่ถูกต้องหรือไม่ ผมมองว่า มันเป็นบาร์สูง ๒ เมตร ที่อาจจะทำเราลำบากและตกลงมาเจ็บตัวได้ เพราะคุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทที่เพื่อนคุณแนะนำเลย คุณจะรู้ได้อย่างไร ว่าบริษัทนี้ดีจริง

หุ้นที่อยู่ในตลาด อาจมีทั้งหุ้นที่เข้าใจธุรกิจยาก ง่าย เหมาะกับจริตนิสัยของนักลงทุนที่แตกต่างกันไป คุณไม่จำเป็นต้องรู้จักหุ้นทั้งหมดในตลาด เพื่อที่จะลงทุนได้อย่างถูกต้องหรอกครับ แค่รู้จัก และเข้าใจบริษัทใดบริษัทหนึ่งอย่างลึกซึ้งแค่ ๑ ๒ บริษัท แค่นี้ก็สามารถสร้างผลตอบแทนให้เราได้แล้ว ความรู้ในโลกมีมากมายเหมือนใบไม้ในป่าใหญ่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ความรู้ที่จำเป็น เพื่อการดับทุกข์นั้นเปรียบได้ดั่งใบไม้เพียงแค่หนึ่งกำมือเท่านั้น ไม่ต้องรู้ให้เยอะ แต่ต้องรู้ให้จริง นี่คือหลักการการลงทุน และคือหลักธรรมของพระพุทธองค์



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP