กว่าจะถึงฝั่งธรรม Lite Voyage

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ : ทรมานกาย ทำลายกิเลส


เทียบธุลี

 

035_lpRhein

พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
วัดอรัญบรรพต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
ภาพจาก http://www.relicsofbuddha.com/worralapo

พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) เป็นพระสุปฏิปัณโณ
ผู้เป็นศิษย์คนหนึ่งของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
แต่เดิมนั้นหลวงปู่มิได้คิดที่จะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ แต่คิดที่จะครองเรือนเช่นเดียวกับคนทั่วไป
จนกระทั่งในปีที่มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ท่านได้พิจารณาถึงความเป็นไปในโลก
ก็พบว่าไม่มีสิ่งใดเป็นแก่นสารในโลกเลย พร้อมทั้งได้ตั้งคำถามต่างๆ นานา กับตนเอง

เมื่อไรจึงจะได้หยุดได้เลิกจากการทำไร่ทำนาทำสวนเล่า
ใจมันตอบตัวเองว่า ไม่มีทางหยุดได้ ถ้าไม่วางมือหนีไปบวชเสีย
การทำนาทำสวนมีแต่ทุกข์ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ตายแล้วก็ไม่ได้อะไร
เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้สักอย่าง ตายไปแล้วก็มีแต่ทิ้งไว้บนโลกทั้งหมด"

ในที่สุดท่านจึงได้ออกบวชและได้ญัตติเป็นสงฆ์ในธรรมยุติกนิกาย เมื่อปี ๒๔๗๖
แม้จะมีความตั้งใจที่จะออกบวชเพื่อพ้นทุกข์ แต่ก็ต้องพานพบอุปสรรค
อันเป็นเครื่องทดสอบและแสดงถึงความมุ่งมั่นอันน่าชื่นชมของท่านนั่นเอง

เรื่องราวเกิดขึ้นหลังจากที่หลวงปู่เป็นพระสงฆ์ในนิกายธรรมยุตได้ ๒ พรรษา
ท่านได้เดินทางพร้อมกับเพื่อนภิกษุอีก ๑ รูป ออกจากถ้ำผาบิ้ง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
ซึ่งท่านได้พำนักปฏิบัติสมณธรรม มาอยู่ยังสำนักสงฆ์บ้านนาหมี อำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี
ขณะนั้นตรงกับขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ อันเป็นวันวิสาขบูชา ญาติโยมจึงมาทำพิธีเวียนเทียนกัน
เมื่อได้เวลา หลวงปู่และเพื่อนภิกษุก็ขึ้นไปบนศาลาการเปรียญ กราบพระเสร็จแล้วจึงนั่งลง
แล้วก็ชำเลืองตาไปดูญาติโยมที่มากันจนเต็มศาลาการเปรียญนั้น
ในทันใดนั้นเอง เหตุการณ์ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้น ซึ่งหลวงปู่เล่าไว้ว่า

อาตมาเหลือบตาไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ในท่ามกลางฝูงชน
ก็เกิดความรักในหญิงคนนั้นทันที ความรักครั้งนี้นับว่ารุนแรงมาก
ซึ่งไม่เคยมีมาแต่ก่อนเลยนับตั้งแต่บวชมา มันตัดผิวตัดหนังจนขนลุกซู่ซ่า
แล้วตัดเนื้อเลยเข้าไปถึงหัวใจ ทำเอาหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
อันกัมมัฏฐานที่เจริญเห็นแจ้งมาแต่ถ้ำผาบิ้ง ไม่ทราบว่ามันหายหน้าไปไหนหมด
มีแต่รักอย่างเดียวอยู่ในหัวใจเต็มไปหมด


เมื่อทำพิธีเวียนเทียนเสร็จแล้ว หลวงปู่ได้แสดงพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์
และสนทนากับญาติโยมตามสมควร

ปรากฏว่าคืนนั้นทั้งคืนนอนไม่หลับเลย
คิดอยากจะสึกไปแต่งงานกับหญิงสาวคนนั้นอย่างเดียว
แต่ก็สึกไม่ลง เพราะบางคราวก็นึกถึงกัมมัฏฐานได้อยู่บ้าง


ในวันต่อมาเมื่อฉันภัตตาหารเสร็จเรียบร้อย ท่านจึงชวนเพื่อนภิกษุเดินทางออกจากสำนักแห่งนั้น
พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวให้ฟังทั้งหมดว่า
ถ้าขืนอยู่ในที่นั้นต่อไปอีก มีหวังได้สึกแน่ๆ
เมื่อกลับมาถึงตำบลบ้านหม้อ อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย อันเป็นบ้านเกิดของท่าน
ความรักและความรู้สึกนั้นก็หายไปสิ้น แต่ก็กลับมีเหตุใหม่เกิดขึ้นอีก

คราวนั้นชาวบ้านเขานิมนต์ให้อาตมาไปฉันภัตตาหารที่บ้านโยม ในบ้านหม้อ
พอเหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งก็ได้เรื่องทันที เกิดความรักเหมือนคราวก่อนนั้นอีก
ทั้งที่ไม่คุ้นเคยกันมาแต่ก่อนเลย ได้แต่รู้จักกันเท่านั้นเพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน
คราวนี้ฉันได้น้อยเต็มที นอนก็น้อยมาก จนถึงกับตัดสินใจจะไปลาอุปัชฌาย์สึก


ท่านได้ออกเดินทางไปด้วยการเดินเท้า พร้อมกับเพื่อนภิกษุรูปเดิม
เพื่อไปขอลาสิกขากับพระอุปัชฌาย์ (พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี)
เมื่อถึงอำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ก็ได้หยุดพักเพราะอ่อนเพลียมาก
เนื่องจากฉันภัตตาหารและจำวัดได้น้อยมาหลายวันแล้ว
ในขณะที่ท่านพักอยู่ที่แห่งนั้น ราคะก็เบาบางลง แม้ใจจะยังคิดถึงผู้หญิงคนนั้นอยู่ก็ตาม

หลวงปู่ได้พิจารณาว่าการที่ฉันได้น้อยช่วยให้ราคะเบาบางลงได้บ้าง
จึงใช้การอดอาหารเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับกิเลส
ในเรื่องนี้หลวงปู่ต้น สุทฺธิกาโม ได้เล่าว่า

สมัยที่อาตมาไปอยู่กับท่าน ท่านได้เล่าประวัติให้ฟังเรื่องอดข้าวทรมานกิเลสมักสาว
โดยการอดข้าว วันขึ้น ๑ ค่ำ ก็ฉัน ๑ คำ วัน ๒ ค่ำ ก็ฉัน ๒ คำ ๓ ค่ำ ฉัน ๓ คำ เรื่อยไป
๑๒, ๑๓, ๑๔, ๑๕ ค่ำ ก็ฉันตามจำนวนค่ำ จากนั้นก็ลดลงทีละคำ
ชอบเขาก็อดทนทรมานอดข้าวเอา สู้กับกิเลสอยู่นั่น ไม่มีเวลาคิดถึงข้าว คิดถึงหน้าสาวเลย
ท่านน่าบูชา ท่านปฏิบัติอยู่อย่างนั้น ๑ ค่ำ ฉัน ๑ คำ ๒ ค่ำ ฉัน ๒ คำ ๓ ค่ำ ๓ คำ ไปเรื่อย
๑๔ ค่ำ ฉัน ๑๔ คำ ๑๕ ค่ำ ฉัน ๑๕ คำ แรม ๑ ค่ำ ฉัน ๑๕ คำ ๒ ค่ำ ฉัน ๑๔ คำ ๓ ค่ำ ๑๓ คำ
ลดลงมาถึง ๑๕ ค่ำก็ ๑ คำ ท่านทำอยู่อย่างนี้ เดินหน้าถอยหลัง
ตั้งแต่เข้าพรรษาไปจนตลอดไตรมาสที่บ้านค้อ (วัดป่าสาระวารี) นั่นน่ะ
เอาจนกิเลสถอย ท่านนี่น่าบูชา ต้องเอาจริงเลย ไปยอมมันไม่ได้


หลวงปู่ได้ปฏิบัติเช่นนี้จนกิเลสเบาบางลง
ในคืนหนึ่งท่านได้พิจารณาเห็นว่าความทุกข์ในโลกนี้นั้นรุนแรงอย่างมหันต์

อาตมาจึงได้ปรารภกับตนเองว่า เมื่อความทุกข์มันเป็นภัยใหญ่ของชีวิตดังนี้
ก็ไม่ทราบว่าจะสึกออกไปทำไม เมื่อบวชอยู่ก็ยังเป็นทุกข์ถึงขนาดนี้
ถ้าสึกออกไปมันจะไม่เป็นทุกข์ไปยิ่งกว่านี้หรือ
เพราะความทุกข์ของผู้ครองเรือนนั้นมีร้อยแปดพันอย่าง
พอปรารภกับตัวเองมาถึงตรงนี้ จิตก็คลายความกระสันอยากสึกลงทันที
ในที่สุดอาตมาก็ตัดสินใจไม่สึกละทีนี้
และในขณะนั้นอุปัชฌาย์ได้เดินทางไปอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี
จึงเดินทางกลับมาโดยไม่ได้ติดตามไปเพื่อขอลาสึก


ด้วยความอดทน อดกลั้น และมุ่งมั่นในการเอาชนะกิเลส
แม้ต้องทรมานตนอย่างยากยิ่งเพียงใดก็มิได้ย่อท้อ
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ จึงครองเพศสมณะได้อย่างงดงาม ตราบจนวันสุดท้ายแห่งธาตุขันธ์
เป็นเนื้อนาบุญที่พุทธศาสนิกชนทุกคนพึงเคารพบูชาโดยแท้จริง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เอกสารประกอบการเขียน
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ เรียบเรียงโดย คณะศิษยานุศิษย์ จัดพิมพ์เป็นธรรมบรรณาการ
เนื่องในการเสด็จพระราชทานเพลิงศพ พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
พิมพ์เมื่อ ธันวาคม ๒๕๕๒

เว็บไซต์
http://www.relicsofbuddha.com/worralapo



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP