ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ทำอย่างไรจึงจะตัดใจจากความรักที่ไม่ถูกต้องได้



ถาม – ผมแอบรักคนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นความรักที่ไม่อาจเป็นไปได้ ทำอย่างไรให้ตัดใจได้ครับ


เวลาที่เราเจอใครสักคนหนึ่ง แล้วมีความรู้สึกกับคนคนนั้น
ราวกับว่าเขาเข้ามาในชีวิตเราแล้ว
พูดง่ายๆ เจอใคร แล้วเขาเข้ามาอยู่ในใจเราก็คือเข้ามาในชีวิตของเรา
ความรู้สึกแบบนี้อย่างไรมันก็ห้ามไม่ได้ อย่างไรมันก็แกล้งให้เป็นอื่นไม่ได้
อย่างถ้าคนชอบตั้งธงไว้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร ไม่ควรจะรู้สึกอย่างไร
แค่นี้ มันไม่ใช่สติแล้วนะ มันเป็นการปฏิเสธความรู้สึกตัวเอง
มันเป็นการที่เราได้เก็บกดไว้ นึกว่าดี นึกว่ามันเป็นภาพลักษณ์ที่ควรจะให้เกิด
ความรู้สึกอะไรที่มันไม่ถูกไม่ควร ไม่เข้าที่ไม่เข้าทาง
ไปรักคนมีเจ้าของ หรือว่าไปมีความรู้สึกกับคนที่ไม่ควรจะรู้สึกอะไรอย่างนี้
จริงๆ แล้วถ้าเอาตามหลักของนักเจริญสตินะ
คือต้องยอมรับว่ามันเกิดขึ้น



อย่างแม้แต่พระพุทธเจ้าท่านสอน เวลาที่ท่านให้ดูจิต หรือจิตตานุปัสสนา
ท่านบอกว่าเวลาที่ราคะเกิดขึ้นในจิต ให้รู้ว่าราคะเกิดขึ้นในจิต

แล้วพอมันมีสติใช่ไหม รู้ว่าราคะเกิดขึ้นในจิตแล้ว เดี๋ยวราคะมันก็หายไป
ก็ให้รู้ต่อว่า ราคะหายไปจากจิตแล้ว เหลือแต่จิตที่ไม่มีราคะ

แล้วเดี๋ยวราคะกลับเข้ามาใหม่ ก็ให้รู้ใหม่ ยอมรับใหม่ ยอมรับเป็นครั้งๆ ไป
อันนี้ก็เราถอดความออกมาได้ว่า
ราคะนั้นจะเกิดขึ้นกับใครก็ตาม ก็ให้ยอมรับไปตามจริง

อย่าไปมองแค่ว่าราคะนั้นไม่ดี ราคะนั้นสกปรก
ราคะนั้นไม่ถูกต้องตามขนบของสังคมหรือของมโนธรรมของเรา
ให้มองตามจริงว่าราคะจะเกิดกับบุคคลไหนก็ตาม มันก็คือราคะเกิดขึ้นในจิต
แล้วพอราคะนั้น มันถูกรู้ด้วยสตินะ เดี๋ยวมันก็หายไป
พอมันหายไป เหลือแต่จิตที่มันไม่มีราคะ แล้วก็รู้



ถามว่าเราควรจะไปตัดใจให้เกิดความดีความงามอะไรขึ้นมา
เรายังไม่ได้ทำผิดศีลนี่ เรายังไม่ได้ไปเกี้ยวพาราสี
เรายังไม่ได้ไปพยายามแสดงออกด้วยพฤติกรรมทางกาย
ว่าฉันจะกอดเธอละ ฉันจะหอมเธอละ ฉันจะปล้ำเธอละ
มันไม่มีอะไรสักอย่างที่ผิดศีลข้อสาม
ศีลข้อสามนี้จำไว้นะ ท่านไม่ให้พยายามแทะโลมด้วยวาจา
เพื่อเกลี้ยกล่อมให้ใครมาเป็นของเราถ้าเขามีเจ้าของแล้ว
หรือเราไม่ควรวางแผนที่จะไปเอาจริงเอาจัง
เขาจะเต็มใจ ไม่เต็มใจไม่รู้ละ ฉันจะใช้กำลัง
นี่ถ้าเจตนาอย่างนี้เรียกว่าด่างพร้อยแล้ว ต่อให้ยังไม่สำเร็จ
แล้วถ้าสำเร็จด้วยการที่มีเพศสัมพันธ์กับเขาได้ นั่นแหละถึงจะผิดศีล


สิ่งที่น่ากังวล จึงเป็นเรื่องของพฤติกรรมทางกายและวาจา
ส่วนพฤติกรรมทางใจนะ อันดับแรกเลยอย่าไปพยายามปฏิเสธว่าฉันไม่ได้รัก
อย่าไปพยายามตัดใจว่าจงเลิกคิดเดี๋ยวนี้ จงเลิกรู้สึกเดี๋ยวนี้
อย่าไปพยายามทำแบบนั้น มันทำไม่ได้ แล้วมันจะเก็บกด
แล้วก็เกิดความขัดแย้งกับตัวเองแบบสูญเปล่า ไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลยนะ
สิ่งที่ควรทำก็คือยอมรับว่าเกิดความคิด เกิดความพิศวาสขึ้นมา
มันไม่ได้บาป ตอนนั้นมันไม่ได้เกิดมลทินอะไรขึ้นมากับเส้นทางกรรมของเราสักเท่าไหร่
มันแค่ไปพิศวาสคนที่ไม่ควรพิศวาสเท่านั้นเอง



ทีนี้พอเรามามีสติแบบนั้นได้ ก็เจริญขึ้น ทำให้มันเจริญขึ้นต่อ
ด้วยการพิจารณาว่าราคะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เราจะยอมรับ
ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร ไม่ว่ามันจะผิดหรือถูก
เราแค่รู้ เราแค่กรองไว้ เหลือแค่ราคะเกิดขึ้นในจิต
จิตมีความตรึกนึก จิตมีความอุ้มไว้ โอบไว้ เอาไว้ เนี่ยรู้ไป
แล้วพอมีสติเห็นว่าหน้าตาราคะที่เกิดขึ้นในจิตมันเป็นแบบนี้
มันมีความกลุ้มรุม มีความกระสับกระส่าย
มันมีความรู้สึกเหมือนกับอยากดึงดูดเข้าหาตัว
มาทำให้เกิดปฏิกิริยาทางกาย ร่างกายมันเป็นอย่างไรก็ตาม
อย่างนั้นสะท้อนว่าราคะยังมีอยู่ในจิต เราแค่รับรู้ไป


แล้วพอสติของเรา เห็นชัดขึ้นๆ ว่าภาวะทางกายก็เป็นได้แค่นี้แหละ
มันมีความกระสับกระส่าย มีความว้าวุ่น มีความรู้สึกเหมือนกับอยากได้มา
แป๊บหนึ่ง ภาวะทางกายที่เกร็ง มันคลายออก มันก็แค่นั้น มันก็จบแค่นั้น
มันไม่ได้ไปต่อ ไม่มีเจตนาใช้ร่างกายนี้ไปเอาร่างกายเขามา
แล้วก็ภาวะทางใจที่มันตรึกนึกอยู่ ถึงความน่าพิศวาส ถึงอะไรที่มันน่าเอามาเป็นของตัว
ภาวะยื้อเข้ามา มันเกิดขึ้นได้นานกี่ลมหายใจ
แล้วเดี๋ยวมันก็หายไป กลายเป็นความรู้สึกฟุ้งซ่านไปทางอื่น
กลายเป็นความเหม่อลอยไปทางอื่น หรือกลายเป็นโฟกัสเข้าหาสิ่งอื่น
หรือแม้กระทั่งมีสติรู้เข้ามาถึงอาการทางใจที่มันแห้งเหือดไปจากยางเหนียวของราคะ
ยางเหนียวของราคะ ตอนที่มันยังอยู่นะ
จิตจะมีความรู้สึกว่าหนืดๆ มันมีความรู้สึกว่าไปไหนไม่ได้ ถูกผูกมัดไว้
แต่พอมันแห้งมันเหือดไป มันเหมือนใจของเราเปิดออก มันเหมือนใจของเราสบาย
ราคะมีอยู่แค่นี้ ทำไมเราต้องไปตั้งแง่ว่ามันคือความผิดอะไรมากมาย
เรายังไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร



ทีนี้พอยท์ (point) ก็คือว่าพอมันเห็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ราคะมีอยู่ในจิต เกิดสติขึ้นมาแป๊บหนึ่ง ราคะหายไปจากจิต
เห็นความไม่เที่ยงของราคะ บ่อยขึ้นเท่าไหร่
ในที่สุดเราจะยิ่งมีความรู้สึกว่าราคะมันกระทำกับจิตได้แค่นี้เอง กระจอกจัง
เดี๋ยวมันก็หายไป ไม่เห็นมาทำให้เกิดอะไรที่เป็นความผิดร้ายแรงขึ้นกับชีวิตของเราได้เลย
ใจก็ถอนจากความยึดมั่นถือมั่นออกไปเอง
ทั้งในแง่ที่ปฏิเสธ แล้วก็ในแง่ที่อยากดึงดูดเข้าหาตัว



เมื่อไหร่ที่ใจของเรานะ อยู่ในสภาพไม่สนไม่แคร์ว่ามันจะเกิดหรือไม่เกิด
เมื่อนั้นแหละที่ใจมันพร้อมจะถอน
แต่ถ้ายังอยู่ในภาวะคำถามแบบนี้ ทำอย่างไร ผมจะตัดใจได้
อย่างนี้ไม่พร้อม อย่างนี้สภาพจิตใจมันพร้อมจะยึด
ถ้าไม่ยึดในแง่ของการหวงไว้จะเอาเข้าตัว
ก็ในแง่ยึดไว้ในฐานของความรู้สึกว่าเราเป็นคนผิด เราเป็นคนไม่ดี
เราเป็นคนที่คิดอะไรไม่เข้าท่าเข้าทาง มันเป็นความยึดทั้งนั้นเลย
แต่เมื่อไหร่ที่ใจเฉยๆ ไม่แคร์ เกิดก็ช่าง ไม่เกิดก็ช่าง
ตรงนั้นแหละที่ใจมันจะไม่ยึดไว้ แล้วพร้อมที่จะให้มัน เมื่อผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ แล้วก็ไม่ต้องรู้สึกผิดใดๆ ทั้งสิ้นนะ


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP