ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ถ้าเป็นทุกข์หนักเพราะปัญหาหนี้สิน ควรหาทางออกอย่างไร



ถาม - ดิฉันอายุ ๓๐ กว่าปีแล้ว ตอนนี้กำลังตั้งท้อง เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว
แถมมีหนี้สินรุมเร้า ดอกเบี้ยก็สูงมาก เงินต้น ๗๕,๐๐๐ บาท
จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยก็เดือนละเป็นหมื่นแล้ว
ทำงานเงินไม่เคยเหลือเลย จนต้องรบกวนเงินจากพ่อแม่ของตัวเอง
ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว เป็นทุกข์มากเหลือเกิน จะก้าวผ่านปัญหานี้ไปได้อย่างไรคะ


คือบางปัญหามันไม่ใช่ปัญหาทางใจอย่างเดียว มันเป็นปัญหาภายนอกนะ
ซึ่งถ้าผมหาคำตอบดีๆ นึกคำตอบดีๆ ไม่ออก ผมขออนุญาตนะ
คือผมไม่ชอบที่จะให้กำลังใจโดยที่ส่วนลึกรู้อยู่ว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์
มันไม่ได้แก้ปัญหาให้คุณได้จริงๆ นอกจากปลอบใจนะ
คือถ้าปัญหาภายนอกเกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอกที่เขาทำให้คุณไม่พอใจ
แล้วคุณจะมาเอาคำตอบว่าทำใจอย่างไรถึงจะชอบเขา หรือว่าถึงจะแผ่เมตตาให้เขาได้
แบบนี้มันไม่มีคำตอบที่ดี ผมไม่อยากให้เป็นการที่เรามาแนะนำกันแล้วเอาไปใช้ไม่ได้
ไม่มีประโยชน์นะ พูดไปเสียเวลาเปล่า พูดไปเปลืองแรงเปล่า
เปลืองแรงทั้งคนฟัง แล้วก็คนคิดคำตอบนะครับ



แต่บอกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าทุกข์ทางใจจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน
คุณไม่ได้โดดเดี่ยว มีคนอื่นเขาทุกข์แบบเดียวกับคุณ
หรือว่าหนักกว่าคุณ สาหัสกว่าคุณเยอะแยะ
แต่ก็สามารถที่จะอาศัยการเจริญสตินะ
มาช่วยแบ่งเบาความทุกข์ให้มันน้อยลง

คือเรื่องทางใจ คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนไทยนะ
จะคาดหวังว่าปัญหาที่กองอยู่ตรงหน้า ที่มันหนักหนาสาหัสอยู่
มันจะถูกขจัดปัดเป่าไปได้ด้วยสิ่งวิเศษอะไรสักอย่างหนึ่ง
ที่มันเหมือนกับเสกปิ๊งเดียว แล้วปัญหาหายไปหมด
เหลือแต่ชีวิตที่โล่งๆ โปร่งๆ แล้วก็เกิดความสบายในการเดินต่อไป
ผมน่ะผ่านมาแล้วนะ คือชีวิตที่มันหนัก หนักหน่วง
แบบว่ามันไม่น่าจะมีทางออก ไม่น่าจะมีทางไป ผมเข้าใจดี
เพราะฉะนั้นถึงได้กำลังพูดอยู่ ว่าผมไม่อยากให้กำลังใจแค่แบบด้วยวิธีอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้



อย่างเช่นคนบางคนทำไม่ดีกับเราซ้ำๆ อยู่ข้างบ้าน
แล้วก็สร้างเหตุ สร้างปัจจัยอะไรที่ทำให้เราเป็นทุกข์เป็นร้อน
อยู่ดีๆ เราไปแผ่เมตตาแล้ว คือคุณจะมาคาดหวังเอาจากผมนะ
ว่ามีวิธีอะไรสักอย่างหนึ่งที่จะไปทำให้เขาเปลี่ยนใจ แล้วก็หันมาทำดีอย่างที่คุณต้องการ
แบบนั้นเขาเรียกไสยศาสตร์
มันไม่ใช่การเจริญสติ มันไม่ใช่วิธีที่จะหาทางออกในแบบที่มันเป็นไปได้จริง
ด้วยการทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งที่ฝั่งเรานะ
มันต้องหาทางออกแบบโลกๆ อย่างเช่นไปคุยกับเขา หรือว่าแม้กระทั่งแจ้งตำรวจ



หรืออย่างบางท่านบอกว่ามันมีความทุกข์สาหัส
จากการที่ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเองคนเดียวตามลำพัง
คนที่กดดันตัวเองว่าไม่ไหวๆ มักจะมีวูบของการคิดสั้นขึ้นมาบ่อยๆ
ทีนี้เวลาที่เราตั้งโจทย์ ดูได้เลยว่าโจทย์ในใจของเรามันกำลังเป็นอย่างไรอยู่นะ
บางคนคือถามว่าจะเอาตัวรอดจากภาวะที่กำลังลำบากอยู่คนเดียวแบบนี้ได้อย่างไร
ต้องรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างเอง เงินก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี
ถ้าโจทย์ของคุณคือทำอย่างไรดี แล้วก็คิดซ้ำๆ อยู่แค่ทำอย่างไรดี
คุณจะไปถามคนอื่นแบบนั้นเหมือนกัน
แล้วผลลัพธ์ก็คือว่าคุณรู้สึกว่ามันไม่มีคำตอบที่แท้จริง
มันไม่มีใครช่วยคุณได้ ตัวคุณเองก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร
กับภาวะทางอารมณ์ที่มีแต่คำว่าจะทำอย่างไรดี



ทีนี้ถ้าเราเหมือนกับจะเอาประโยชน์อะไรจากการเจริญสติ
แล้วเราเข้าใจคอนเซ็ปต์ (
concept) ของการเจริญสติจริงๆ
ว่ามันคือการตั้งต้นจากการยอมรับความจริง ยอมรับสภาพความเป็นจริง
มันจะไม่ใช่หยุดแค่นั้นนะ มันจะไม่ใช่หยุดแค่ตรงที่ว่ายอมรับมันไปเถอะ
ปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้แหละ มันไม่ใช่แค่นั้น
การมีสติที่แท้จริงคือการรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
และรู้ด้วยว่าจะผ่านมันไปได้อย่างไรเมื่อมันเป็นปัญหา

อย่างการเจริญสติ ให้เห็นกายใจไปทำไม เพื่อให้เห็นว่ามันไม่มีอะไรน่ายึด
เราต้องผ่านมันไปให้ได้ความยึดติด ความเป็นอุปาทาน
ทีนี้ภาวะแบบนั้นมันจะเกิดขึ้นไม่ได้หากว่าเรายังมีภาระแบบโลกๆ อยู่


เพราะฉะนั้นการมีสติแบบโลกๆ ต้องมาก่อน
แล้วการมีสติแบบโลกๆ คืออะไร
คือยอมรับความจริงว่ามันกำลังเกิดขึ้น มันเป็นความจริงที่เกิดขึ้น
แล้วก็คิดแบบมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง คิดเป็นวันๆ ว่าจะผ่านวันนี้ไปได้อย่างไร
และจะวางแผนให้กับวันพรุ่งนี้ต่อไปได้อย่างไร

การที่เรามีสติแบบพุทธ ไม่ใช่การที่เราจมอยู่กับความรู้สึกว่าจะทำอย่างไรดีๆ
แล้วก็มันไม่มีทางออกนะ
มันมีทางออก มีทางออกอยู่ที่วิธีที่เราคิดนั่นแหละ
การตั้งสติในแต่ละวันของเรานะ
ง่ายๆ เลยถามตัวเองขึ้นมาคำแรกตอนตื่นนอนขึ้นมาว่าวันนี้เราทำอะไรได้บ้าง

อย่าให้ความคิดวนประเภทที่ว่าจะทำอย่างไรดี
จะเอาอย่างไรดี มันไม่มีทางออกแน่ๆ เกาะกุมอยู่ในหัวของคุณ
แต่ตื่นเช้าขึ้นมาตอนหัวโล่งๆ ตอนใจสบายๆ อยู่
ถามตัวเองว่าเรามีความรู้ มีความสามารถที่จะทำอะไรกับวันนี้ได้บ้าง
ถามเป็นวันๆ แล้วถ้าแต่ละวันนี่ทำได้จนกระทั่งเกิดความรู้สึก
ว่ามีความชิน มีความสามารถที่จะจัดการปัญหาในวันนั้นได้จริงๆ
ค่อยถามต่อว่าเราจะวางแผนไปในอนาคต ทำให้อนาคตมันดีขึ้นกว่าปัจจุบันนี้ได้อย่างไร



ผมพูดมาทั้งหมดพูดด้วยความเข้าใจ
แล้วก็เคยมีวันคืนที่มันทุกข์ทรมาน แล้วก็หาทางออกไม่เจอมาก่อน
เข้าใจดีว่าสภาพจิตใจของคุณย่ำแย่ขนาดไหน
ไม่ใช่ไม่เห็นใจ ไม่ใช่ไม่รู้ ไม่ใช่ไม่รับรู้
แต่เพราะรับรู้นั่นแหละถึงได้บอกคุณด้วยความเข้าใจนะ
ว่าภาวะอารมณ์ที่มันเหมือนกับหาทางออกไม่เจอ มันเจอแต่ทางตัน
มันคิดอะไรไม่ได้นอกจากจะเอาอย่างไร เมื่อไหร่มันจะจบ
แต่พอวันหนึ่งเรามีสติ ได้ประโยชน์จากการเจริญสติ เห็นกายเห็นใจ
แล้วก็รู้ว่ากายใจมันมีอยู่แค่นี้แหละ ตัวเดิมนี่แหละ มีให้รู้แค่ที่เป็นอยู่นี่แหละ
สภาพความเป็นจริงมันก็แบบนั้นเหมือนกัน
คือมีความจริงปรากฏอยู่เท่าที่มันกำลังเป็นอยู่ในชีวิตของเราจริงๆ
เมื่อสติของเราเกิดได้กับความจริงที่เกิดขึ้น มันถึงจะคิดต่อได้
แล้วก็ออกจากการครอบงำของความคิดที่มันซ้ำไปซ้ำมา วนไปวนมา
แต่ละคนจะต้องรู้ให้ได้ในตอนเช้า ว่าตื่นขึ้นมาเราทำอะไรได้บ้างในวันนั้น
ถ้าหากว่าตื่นขึ้นมาพร้อมกับสติ แล้วก็รู้ว่าจะทำอะไร
สติของคุณจะบอกตัวเองว่ามันไม่ได้มีอะไรร้ายแรง
มากเกินกว่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะฝ่าฟันไปได้นะ



ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ
แต่เป็นกำลังใจนี่คือไม่ใช่แค่บอกว่า "ส่งกำลังใจให้ สู้ๆ" อะไรแบบนี้
คือผมไม่ชอบแบบนั้นนะ แล้วเท่าที่จำได้ไม่เคยพูดกับใครนะว่าสู้ๆ นะ
เพราะตอนที่กำลังแย่จริงๆ แล้วถ้าใครมาพูดแบบนั้น
คือผมมีความรู้สึกกับตัวเองว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะ
แต่การให้สติต่างหาก การที่เรามีสติขึ้นมาได้ แล้วก็คิดได้ขึ้นมาจริงๆ
ว่าแต่ละเช้าเราจะตื่นขึ้นมาทำอะไร อันนั้นน่ะมันคือการสู้ที่แท้จริง

แล้วมันเป็นการที่เราจะพาตัวเองออกมาจากชีวิตเขตมืดเข้าสู่เขตสว่างได้
ขออวยพรนะ ขออวยพรนะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP