ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ถ้าแกล้งพูดเสียดแทงใจผู้อื่น แต่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ จะเป็นบาปไหม



ถาม – การที่เราแกล้งด่าอดีตคนรักและบุพการีของเขา
เพื่อให้เขาเจ็บปวดและยอมหย่าให้เสียที
แต่เราไม่มีเจตนาหรือรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
และตั้งใจจะไปขอโทษด้วย จะถือว่าเป็นบาปติดตัวไหมคะ



อันนี้เรียกว่าเป็นกตัตตากรรมนะ คือใจจริงๆ ไม่ได้คิดร้ายขนาดนั้น
แต่ว่าพูดไปอย่างนั้นด้วยจุดมุ่งหวังอย่างอื่นนะ
ทีนี้คือกรรมคือเจตนา เจตนาคือกรรม
กรรมของเราจริงๆ ก็คืออยากหย่า ขอให้ยอมหย่า ตัวนี้คือกรรมจริงๆ
ส่วนวิธีที่จะไปถึงกรรมนั้น มันเป็นกรรมอีกแบบหนึ่ง
กรรมทางวาจาอย่างไรมันก็เกิดขึ้นนะ ตรงที่เราอยากด่าให้เขาเกิดความเจ็บ
ไม่ว่าจะด้วยการพูดอย่างไร มันก็เป็นของจริงทั้งนั้นแหละ
มันพูดออกมาจากปาก มันของจริงแน่ๆ ถึงแม้ว่าใจเราจะไม่ได้เล็งอย่างนั้นก็ตาม
มันเป็นกตัตตากรรม มันไม่ใช่ตัวกรรมที่เล็งไปตรงๆ ปากกับใจไม่ได้ตรงกัน



แต่มันก็เป็นกรรม ทั้งในแง่ที่ว่าเรามุ่งหมายจะจบเรื่องกับเขา
อันนี้คือกรรมที่แท้จริง เราอยากจะจบ
แล้ววิธีทำกรรมนั้นเราใช้รูปแบบของการด่า ด่าทอ เสียดแทงให้เกิดความเจ็บปวด
ตัวเสียดแทงให้เกิดความเจ็บปวดนั้นน่ะ ก็ของจริงที่เกิดขึ้นในตัวเขาเช่นกัน
เพราะฉะนั้นกรรมนี้ก็สำเร็จเช่นกัน
ไม่ใช่ว่าเราไม่ได้เจตนาอย่างนั้นจริงๆ แล้วเราพูดไป มันจะไม่มีผล
เวลาที่กรรมถึงเวลาเผล็ดผลนะ
เราก็จะต้องได้เจอใครมาเสียดแทงใจโดยที่เขาไม่ได้ประสงค์ร้ายอย่างแท้จริง
เขาแค่จะทำให้เราเกิดอาการทางใจบางอย่าง
เพื่อบรรลุจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาเหมือนกัน
คือเคยทำกรรมไว้อย่างไร เวลาที่มันย้อนกลับมาก็แบบนั้นเป๊ะเลยนะครับ



ทีนี้จริงๆ นี่ผมเข้าใจนะ คือบางทีเราพยายามดีๆ แล้วไม่เลิกรา
มีเหตุอะไรที่ไม่พอใจกันก็ตาม ไม่สามารถที่จะอยู่ต่อกันได้แล้ว
พยายามทุกวิถีทางแล้ว พยายามด้วยวิธีที่เราคิดว่าดีที่สุด
ขอให้มองอย่างนี้ก็แล้วกัน ครั้งต่อไปนะครับ
กรรมอย่างไรก็เป็นกรรมนะ ไม่ว่าเราจะมุ่งหวังให้เกิดอะไรจริงๆ ขึ้นก็ตาม
ตอนที่เราทำแล้วเกิดปฏิกิริยาทางใจของคนตามที่เราเล็งไว้
ปฏิกิริยานั้นถือว่าเป็นผลของกรรมที่สำเร็จแล้วทั้งสิ้น

คืออย่างถ้าเราคิดอยู่ ตั้งใจอยู่ แล้วยังไม่ได้พูดออกไป
หรือพูดออกไปแล้ว ไม่ได้เกิดปฏิกิริยาทางใจเป็นทุกข์ที่มากมายอะไรนะ
อย่างนั้นกรรมก็ยังไม่ได้เดินมาเต็มรูปแบบเท่าไหร่
แต่ถ้าเรามุ่งหวังให้เขาเจ็บ แล้วเขาเจ็บจริงๆ
ตัวนี้แหละที่สำเร็จ เป็นตัววัดว่ากรรมของเราสำเร็จแล้ว
มีเงากรรมของเรามันก่อตัวขึ้นตามเราแล้วนะ


เวลาจะดู ถ้าสมมติว่าดูจากมุมมองของคนที่มีตาทิพย์นะ
เขาจะมองว่าเวลาที่เราพูดด่าไปแล้วกะให้เจ็บ
แต่เจ้าตัวไม่ได้ทุกข์ไม่ได้เจ็บไม่ได้สาหัสอะไรเท่าไหร่
มันก็เป็นบาปของเราฝ่ายเดียว เป็นบาปที่ปรุงแต่งจิตของเราให้มืด
แล้วจิตที่มืดนั้นมันก็จะมีผลให้จิตวิญญาณมีแนวโน้มที่จะตกต่ำ
ถ้าไม่ยกระดับด้วยบุญอื่น ไม่ช้อนขึ้นมาด้วยบุญชนิดอื่น มันก็จะเห็นเป็นแบบนี้



แต่ถ้าหากว่าเราด่าไปแล้ว เสียดแทงไปแล้ว
แล้วมีอาการทางใจเป็นปฏิกิริยาของผู้ฟังนะ
ออกมาเป็นความเจ็บปวด เป็นความเจ็บแสบ เจ็บร้อน
มันจะมีเงากรรมแบบหนึ่งก่อตัวขึ้นมาชัดเจน
คือมีความแสบร้อน มีอาการดำมืด
มีอาการของเจตนาประทุษร้ายที่ก่อตัวขึ้นเต็มรูป แล้วครบวงจร
มันจะมีลักษณะห่อหุ้มบางอย่างที่มันครอบเราไว้ แล้วมันไม่หายไปไหนนะ



คือกรรมนี่มันไม่มีที่อยู่ มันมีแต่ความจริงเป็นที่อาศัย
ถ้าเคยเกิดภาวะเจตนาแบบนั้น เคยเกิดปฏิกิริยาทางใจจากผู้รับแบบนั้นนะ
ตัวนี้มันจะไม่หายไปไหน มันเกิดขึ้นกับความจริง แล้วมันอาศัยความจริงอยู่
กรรมนี่ไม่ได้อาศัยจิต ไม่ได้อาศัยจิตเป็นที่ตั้ง แต่อาศัยความจริงที่เกิดขึ้นแล้วเป็นที่ตั้ง
พูดง่ายๆ ว่าอาศัยสัจจะที่มันเคยเกิดขึ้นในจักรวาลเป็นตัวตั้ง
ตัวสัจจะเป็นที่ตั้งที่ใหญ่ที่สุดในจักรวาลนะ
ถ้าอะไรเคยเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นมันจะรอเวลาย้อนกลับมาให้ผลเสมอ



ทีนี้เราก็ระลึกไว้ในครั้งต่อๆ ไป
ว่าเราจะมีจุดมุ่งหมายที่จะจบดีหรือจะทำให้เกิดอะไรขึ้นก็ตาม
อย่าใช้วิธีประทุษร้ายจิตใจ เพราะนั่นคือการก่อเวร
นั่นคือการสร้างเหตุที่เราจะต้องได้รับผลแบบเดียวกันนะ
เวลาคนนะ ถ้าเห็นจริงๆ ก้าวข้ามความเชื่อไปนะ
แต่รู้จริงๆ ว่าทำกรรมอะไรแล้ว จะได้รับผลอะไร
เห็นเป็นนิมิต เห็นเป็นภาพชัดๆ เลยนะ จะกลัวมาก
คือแม้กระทั่งจะทำให้คนเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ
หรือว่าจะเกิดความเจ็บปวดแม้แต่นิดหนึ่ง จะไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย
เพราะเห็นว่ามันจะต้องย้อนกลับมาให้ผลกับตัวเราในวันหนึ่งข้างหน้าเสมอ
ก็พอคนฉลาดเรื่องกรรมนะ มันจะฉลาดเรื่องวิธีคิดแก้ปัญหาไปด้วยนะครับ
ไม่ว่าจะอยากจบ อยากจะเลิกอะไรกับใครอย่างไร
ในที่สุดมันจะคิดออก มันจะหาทางได้นะ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP