ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta

อภัพพสูตร ว่าด้วยธรรม ๓ ประการมีอยู่ในโลก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงบังเกิดในโลก


กลุ่มไตรปิฎกสิกขา



[๗๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๓ ประการนี้
ไม่พึงมีในโลก ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่พึงบังเกิดในโลก
ธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศไว้แล้ว ไม่พึงรุ่งเรืองในโลก
๓ ประการเป็นไฉน คือ ชาติ ๑ ชรา ๑ มรณะ ๑
ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๓ ประการนี้แล ไม่พึงมีในโลก
ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่พึงบังเกิดในโลก
ธรรมวินัยอันตถาคตประกาศไว้แล้ว ไม่พึงรุ่งเรืองในโลก
ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรม ๓ ประการนี้มีอยู่ในโลก
ฉะนั้น ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงบังเกิดในโลก
ธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศไว้ จึงรุ่งเรืองในโลก.


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการแล้ว
ก็ไม่อาจละชาติ ชรา มรณะได้
๓ ประการเป็นไฉน คือ ราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
ก็ไม่อาจละชาติ ชรา มรณะได้


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
ก็ไม่อาจละราคะ โทสะ โมหะได้
๓ ประการเป็นไฉน คือ สักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพตปรามาส ๑
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
ก็ไม่อาจละราคะ โทสะ โมหะได้


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
ก็ไม่อาจละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้
๓ ประการเป็นไฉน คือ การกระทำไว้ในใจโดยอุบายไม่แยบคาย ๑
การเสพทางผิด ๑ ความหดหู่แห่งจิต ๑
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
ก็ไม่อาจละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้


ภิกษุทั้งหลายบุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
ก็ไม่อาจละการกระทำไว้ในใจโดยอุบายไม่แยบคาย
การเสพทางผิด ความหดหู่แห่งจิตได้
๓ ประการเป็นไฉน คือ ความเป็นผู้มีสติหลงลืม ๑
ความไม่มีสัมปชัญญะ ๑ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ๑
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
ก็ไม่อาจละการกระทำไว้ในใจโดยอุบายไม่แยบคาย
การเสพทางผิด ความหดหู่แห่งจิตได้


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
ก็ไม่อาจละความเป็นผู้มีสติหลงลืม
ความไม่มีสัมปชัญญะ ความฟุ้งซ่านแห่งจิตได้
๓ ประการเป็นไฉน คือ ความเป็นผู้ไม่ใคร่เห็นพระอริยะ ๑
ความเป็นผู้ไม่ใคร่ฟังธรรมของพระอริยะ ๑ ความเป็นผู้มีจิตคิดแข่งดี ๑
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
ก็ไม่อาจละความเป็นผู้มีสติหลงลืม
ความไม่มีสัมปชัญญะ ความฟุ้งซ่านแห่งจิตได้


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
ก็ไม่อาจละความเป็นผู้ไม่ใคร่เห็นพระอริยะ
ความเป็นผู้ไม่ใคร่ฟังธรรมของพระอริยะ ความเป็นผู้มีจิตคิดแข่งดีได้
๓ ประการเป็นไฉน คือ ความฟุ้งซ่าน ๑ ความไม่สำรวม ๑ ความทุศีล ๑
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
ก็ไม่อาจละความเป็นผู้ไม่ใคร่เห็นพระอริยะ
ความเป็นผู้ไม่ใคร่ฟังธรรมของพระอริยะ ความเป็นผู้มีจิตคิดแข่งดีได้


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
ก็ไม่อาจละความฟุ้งซ่าน ความไม่สำรวม ความทุศีลได้
๓ ประการเป็นไฉน คือ ความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ๑
ความเป็นผู้ไม่รู้ความประสงค์ ๑ ความเกียจคร้าน ๑
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
ก็ไม่อาจละความฟุ้งซ่าน ความไม่สำรวม ความทุศีลได้


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
ก็ไม่อาจละความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา
ความเป็นผู้ไม่รู้ความประสงค์ ความเกียจคร้านได้
๓ ประการเป็นไฉน คือ ความไม่เอื้อเฟื้อ ๑
ความเป็นผู้ว่ายาก ๑ ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว ๑
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
ก็ไม่อาจละความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา
ความเป็นผู้ไม่รู้ความประสงค์ ความเกียจคร้านได้


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
ก็ไม่อาจละความไม่เอื้อเฟื้อ ความเป็นผู้ว่ายาก ความเป็นผู้มีมิตรชั่วได้
๓ ประการเป็นไฉน คือความไม่มีหิริ ๑
ความไม่มีโอตตัปปะ ๑ ความประมาท ๑
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
ก็ไม่อาจละความไม่เอื้อเฟื้อ ความเป็นผู้ว่ายาก ความเป็นผู้มีมิตรชั่วได้


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ไม่มีความละอาย ไม่มีความเกรงกลัว เป็นผู้ประมาท
ก็ไม่อาจละความเป็นผู้ไม่เอื้อเฟื้อ ความเป็นผู้ว่ายาก ความเป็นผู้มีมิตรชั่วได้
บุคคลเป็นผู้มีมิตรชั่ว ก็ไม่อาจละความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา
ความเป็นผู้ไม่รู้ความประสงค์ ความเกียจคร้านได้
บุคคลเป็นผู้เกียจคร้าน ก็ไม่อาจละความฟุ้งซ่าน ความสำรวม ความทุศีลได้
บุคคลเป็นผู้ทุศีล ก็ไม่อาจละความเป็นผู้ไม่ใคร่เห็นพระอริยะ
ความเป็นผู้ไม่ใคร่ฟังธรรมของพระอริยะ ความเป็นผู้มีจิตคิดแข่งดีได้
บุคคลเป็นผู้มีจิตคิดแข่งดี ก็ไม่อาจละความเป็นผู้มีสติหลงลืม
ความไม่มีสัมปชัญญะ ความฟุ้งซ่านแห่งจิตได้
บุคคลเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ก็ไม่อาจละความกระทำไว้ในใจโดยอุบายไม่แยบคาย
การเสพทางผิด ความหดหู่แห่งจิตได้
บุคคลเป็นผู้มีจิตหดหู่ ก็ไม่อาจละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้
บุคคลเป็นผู้มีวิจิกิจฉา ก็ไม่อาจละราคะ โทสะ โมหะได้
บุคคลไม่ละราคะ โทสะ โมหะแล้ว ก็ไม่อาจละชาติ ชรา มรณะได้.


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว จึงอาจละชาติ ชรา มรณะได้
๓ ประการเป็นไฉน คือ ราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว จึงอาจละชาติ ชรา มรณะได้


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว จึงอาจละราคะ โทสะ โมหะได้
ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน คือ สักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพตปรามาส ๑
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว จึงอาจละราคะ โทสะ โมหะได้


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
จึงอาจละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้
๓ ประการเป็นไฉน คือ การกระทำไว้ใจโดยอุบายไม่แยบคาย ๑
การเสพทางผิด ๑ ความหดหู่แห่งจิต ๑
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
จึงอาจละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
จึงอาจละการกระทำไว้ในใจโดยอุบายไม่แยบคาย
การเสพทางผิด ความหดหู่แห่งจิตได้
๓ ประการเป็นไฉน คือ ความเป็นผู้มีสติหลงลืม ๑
ความไม่มีสัมปชัญญะ ๑ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ๑
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลละธรรม๓ ประการนี้แล้ว
จึงอาจละการกระทำไว้ในใจโดยอุบายไม่แยบคาย
การเสพทางผิด ความหดหู่แห่งจิตได้


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
จึงอาจละความเป็นผู้มีสติหลงลืม ความไม่มีสัมปชัญญะ ความฟุ้งซ่านแห่งจิตได้
๓ ประการเป็นไฉน คือ ความเป็นผู้ไม่ใคร่เห็นพระอริยะ ๑
ความเป็นผู้ไม่ใคร่ฟังธรรมของพระอริยะ ๑ ความเป็นผู้มีจิตคิดแข่งดี ๑
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
จึงอาจละความเป็นผู้มีสติหลงลืม ความไม่มีสัมปชัญญะ ความฟุ้งซ่านแห่งจิตได้


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
จึงอาจละความเป็นผู้ไม่ใคร่เห็นพระอริยะ
ความเป็นผู้ไม่ใคร่ฟังธรรมของพระอริยะ ความเป็นผู้มีจิตคิดแข่งดีได้
๓ ประการเป็นไฉน คือ ความฟุ้งซ่าน ๑ ความไม่สำรวม ๑ ความเป็นผู้ทุศีล ๑
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
จึงอาจละความเป็นผู้ไม่ใคร่เห็นพระอริยะ
ความเป็นผู้ไม่ใคร่ฟังธรรมของพระอริยะ ความเป็นผู้มีจิตคิดแข่งดีได้


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
จึงอาจละความฟุ้งซ่าน ความไม่สำรวม ความเป็นผู้ทุศีลได้
๓ ประการเป็นไฉน คือ ความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ๑
ความเป็นผู้ไม่รู้ความประสงค์ ๑ ความเกียจคร้าน ๑
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
จึงอาจละความฟุ้งซ่าน ความไม่สำรวม ความเป็นผู้ทุศีลได้


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
จึงอาจละความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา
ความเป็นผู้ไม่รู้ความประสงค์ ความเกียจคร้านได้
๓ ประการเป็นไฉน คือ ความเป็นผู้ไม่เอื้อเฟื้อ ๑
ความเป็นผู้ว่ายาก ๑ ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว ๑
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว จึงอาจละความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา
ความเป็นผู้ไม่รู้ความประสงค์ ความเกียจคร้านได้


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
จึงอาจละความเป็นผู้ไม่เอื้อเฟื้อ ความเป็นผู้ว่ายาก ความเป็นผู้มีมิตรชั่วได้
๓ ประการเป็นไฉน คือ ความเป็นผู้ไม่มีความละอาย ๑
ความเป็นผู้ไม่มีความเกรงกลัว ๑ ความประมาท ๑
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
จึงอาจละความเป็นผู้ไม่เอื้อเฟื้อ ความเป็นผู้ว่ายาก ความเป้ผู้มีมิตรชั่วได้


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความละอาย มีความเกรงกลัว ไม่ประมาทอยู่
ก็อาจละความเป็นผู้ไม่เอื้อเฟื้อ ความเป็นผู้ว่ายาก ความเป็นผู้มีมิตรชั่วได้
บุคคลเป็นผู้มีมิตรดี ก็อาจจะละความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา
ความเป็นผู้ไม่รู้ความประสงค์ ความเกียจคร้านได้
บุคคลเป็นผู้ปรารภความเพียร
ก็อาจละความเป็นผู้ฟุ้งซ่าน ความไม่สำรวม ความเป็นผู้ทุศีลได้
บุคคลเป็นผู้มีศีล ก็อาจละความเป็นผู้ไม่ใคร่เห็นพระอริยะ
ความเป็นผู้ไม่ใคร่ฟังธรรมของพระอริยะ ความเป็นผู้มีจิตคิดแข่งดีได้
บุคคลเป็นผู้มีจิตไม่คิดแข่งดี ก็อาจละความเป็นผู้มีสติหลงลืม
ความไม่มีสัมปชัญญะ ความฟุ้งซ่านแห่งจิตได้
บุคคลเป็นผู้มีจิตอันไม่ฟุ้งซ่าน ก็อาจละการกระทำไว้ในใจโดยอุบายอันไม่แยบคาย
การเสพทางผิด ความหดหู่แห่งจิตได้
บุคคลเป็นผู้มีจิตไม่หดหู่ ก็อาจละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้
บุคคลเป็นผู้ไม่มีวิจิกิจฉา ก็อาจละราคะ โทสะ โมหะได้
บุคคลละราคะ โทสะ โมหะแล้ว ก็อาจละชาติ ชรา มรณะได้.


อภัพพสูตร จบ



(อภัพพสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๘)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP