วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๑๗



cover Amarit

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            คืนแรกในการสวดศพพ่อแม่มัชฌิมา รอยเธียรสร้างความประทับใจแก่เด็กสาวมากมาย คนเป็นเพื่อนมองเห็นแววตาซาบซึ้งประทับใจที่อยู่หลังม่านน้ำตานั้นแล้วนึกหวั่นใจ

            มัชฌิมาเพิ่งประสบกับความสูญเสียร้ายแรงเช่นนี้จิตใจย่อมหาหลักยึด หากใครยื่นไมตรีออกมาเธอก็พร้อมจะโผเข้าหาอย่างเต็มใจ โดยเฉพาะผู้ชายที่ตนแอบปลื้มมานานอย่างรอยเธียร

            ปัญหาคือเขารู้สึกอย่างไรกับเด็กสาวคนนี้

            “พี่ลุยรู้สึกยังไงกับมา” รอยธาราถามพี่ชายตรง ๆ เมื่อมีโอกาส

            “ก็ชอบ น่ารักดี”

            “ชอบแบบไหน...แบบผู้หญิงทั่วไปหรือแบบน้องสาวตามที่พูดออกสื่อ” คนเป็นน้องสาวจี้เอาความจริง

            “ไม่รู้ว่ะ ถามทำไม...พี่ยังไม่จีบเพื่อนเราสักหน่อย”

            “ถึงไม่จีบแต่ก็ไปทำดี ดีดกีตาร์ร้องเพลงให้กำลังใจออกสื่อซะขนาดนั้น ผู้หญิงเขาอาจคิดเกินเลยก็ได้”

            “อ้าว...ตอนนั้นก็บอกชัดแล้วไงว่า ผู้หญิงที่เป็นเหมือนน้องสาว” ชายหนุ่มเถียง

            “นั่นแหละ ถ้าคิดอย่างนั้นจริง ๆ ก็ระวังตัวหน่อย อย่าให้ความหวังเพื่อนเค้า...เพื่อนคนนี้เค้ารักและเป็นห่วงจริง ๆนะ ไม่อยากเห็นพี่ลุยทำให้มาเสียใจ เค้าไม่อยากลำบากใจเป็นคนกลางระหว่างพี่ชายกับเพื่อนรัก”

            รอยเธียรนิ่งไม่ตอบวาจา มองน้องสาวอย่างขำขันแกมระอา

            “เค้ารู้ว่าพี่ลุยหล่อโคตร มีเสน่ห์โคตร สาว ๆ หลงรักง่าย ๆ แต่กับเพื่อนคนนี้เค้าขอได้มั้ย...อย่าทำให้เพื่อนเขารัก ถ้าตัวเองไม่รักจริงน่ะ”

            ชายหนุ่มมองหน้าน้องสาว เห็นแววตาจริงจังขนาดนั้นก็อดหยอกล้อไม่ได้

            “อือฮื้อ...ยายแก่เอ๊ยสั่งสอนยังกะผ่านโลกมานานแล้วงั้นแหละ”

            “เออ...เท่าที่จำได้ก็นานเหมือนกัน...รวม ๆ ถึงตอนนี้ก็น่าจะร้อยปีแล้วมั้ง” รอยธารายอมรับหน้าตาเฉย

            รอยเธียรเข้าใจความหมาย จึงหัวเราะแล้วขยี้ศีรษะน้องสาวเบา ๆ

            “ตกลง...พี่จะระวังตัว ถ้าไม่คิดจริงจังกับเพื่อนเรา...ก็จะไม่ทำให้เขารักแล้วกัน...แต่คงยากนิดนึงนะ คนมันหล่อขั้นเทพขนาดนี้”

            ถึงจะพูดเหมือนล้อเล่นอย่างนั้น รอยธาราก็อ่านแววตาพี่ชายออกว่าเขาหมายความตามนั้นจริง ๆ

            การแสดงออกหลังจากนั้น รอยเธียรจึงมีระยะห่างเล็ก ๆ ระหว่างตนเองกับมัชฌิมาเสมอ วาจาหยอกล้อบางคำก็แสดงให้เห็นชัดว่าล้อเล่นให้ขำขันจริง ๆ ไม่มีความหมายแฝงใด ๆ

            รอยธาราไม่รู้ว่าชาติก่อนชัยยะนาคา วินตกะครุฑ และกัลยามีความรู้สึกต่อกันอย่างไร และความรู้สึกนั้นจะถูกถ่ายทอดมายังปัจจุบันหรือไม่




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ตีสี่เศษ

            รอยเธียรสวมเสื้อยืดขาว กางเกงลำลองขาสั้นแบบใส่นอน เดินลงมาจากชั้นสอง พอเห็นในครัวเปิดไฟสว่างจึงเข้ามาทำตัวราวกับเป็นบ้านตนเอง

            “มา...ตื่นมาทำอะไรน่ะ ยังไม่ตีห้าเลย”

            ชายหนุ่มทักทายหลานสาวเจ้าของบ้าน

            “อุ๊ยพี่ลุย”

            มัชฌิมาเงยหน้าขึ้นมอง ท่าทางตกใจเล็กน้อยด้วยไม่คุ้นเคยกับการมีผู้ชายอยู่ในบ้าน หนำซ้ำเขายังปล่อยตัวตามสบายในชุดนอนชนิดไม่รักษาภาพดาราดังเลย

            “พี่ลุยลงมาทำไมคะ อีกนานกว่าจะเช้า” หล่อนย้อนถามแทนการตอบ

            “พี่ลงมาเข้าห้องน้ำ เราน่ะตื่นมาทำอะไรแต่เช้ามืดขนาดนี้” เขาถามเหมือนเป็นคนในครอบครัว

            “เอ่อ...มานอนไม่หลับ เลยลงมาเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ทุกคน วันนี้ต้องไปกองถ่ายกันแต่เช้านี่คะ”

            “เป็นอะไรถึงนอนไม่หลับ” รอยเธียรนั่งเก้าอี้ใกล้ ๆ มองอาหารเช้าที่หญิงสาวกำลังจัดเตรียม

            “อืม...” หญิงสาวยิ้มแหย ๆ ไม่รู้จะตอบอย่างไรจึงเลี่ยงไปถามอีกเรื่องแทน

            “เอ่อ...คุณพายุเป็นยังไงบ้างคะ”

            “เป็นห่วงเขาจนนอนไม่หลับเชียวเหรอ” ชายหนุ่มหยอกล้อ

            “ก็...เป็นห่วงทุกคนค่ะ ห่วงพี่ลุยด้วย” เธอรู้ว่าเมื่อคืนรอยเธียรคงแทบไม่ได้นอน สังเกตจากใบหน้าค่อนข้างขาวเผือดกว่าปกติ

            “แหม...ตอบเป็นดาราเชียว” เขาหัวเราะเบา ๆ “คุณพายุปลอดภัยแล้วล่ะ ได้นอนเต็มที่สักคืนก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”

            ถึงตอบอย่างนี้คนฟังก็รู้สึกว่า ผู้พูดต้องผ่านค่ำคืนยากลำบากมาพอสมควรกว่าอาการของคนป่วยจะพ้นขีดอันตราย

            “แล้วพี่ลุยล่ะคะ” หญิงสาวรู้สึกเป็นห่วงผู้ชายตรงหน้าขึ้นมา

            “พี่สบายดี”

            เขาตอบง่ายทั้งที่หากสังเกตจริงจะพบว่าดวงตาคู่นั้นอ่อนโรย ริมฝีปากซีดไม่แพ้ใบหน้า มีความอ่อนล้าแฝงอยู่ในน้ำเสียงพูดคุย

            “จริงหรือคะ”

            รอยเธียรหัวเราะเบา ๆ กลบเกลื่อนอาการตนเอง

            “ไอ้เตี้ยมันยังไม่ตื่นเหรอ น่าจะเรียกมันมาช่วย” เสถามถึงน้องสาวตนเอง

            “ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้มาทำคนเดียวไหว”

            พูดจบในใจเกิดความสงสัยอยากรู้เบื้องหลังเรื่องราวที่เกิดเมื่อคืน จึงรวบรวมความกล้าวางมือจากงานที่ทำ เดินไปนั่งเก้าอี้ใกล้ ๆ จ้องหน้าชายหนุ่มแล้วตั้งคำถามทันที

            “พี่ลุยทราบใช่มั้ยคะว่าคุณพายุเจออะไรมา”

            “อือ” รอยเธียรตอบตรงจนคนถามอึ้งไปชั่วครู่

            “แล้วทราบมั้ยคะว่าใครอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ประหลาดพวกนี้”

            “รู้”

            มัชฌิมาสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนตั้งคำถามต่อมา

            “บอกมาได้มั้ย”

            “ได้” คำตอบง่ายจนคนฟังตื่นเต้น

            “แต่ไม่ใช่เวลานี้!”

            เจอวาจาเช่นนี้หญิงสาวนิ่งอึ้งไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

            รอยเธียรยิ้มใส่ดวงตาหญิงสาว เอื้อมมือลูบศีรษะเธอเบา ๆ เป็นกิริยาที่กระทำเสมือนเป็นน้องสาวตนเอง

            “ตอนนี้พี่เชื่อว่ามารู้เรื่องราวต่าง ๆ พอสมควรแล้ว เหลือแค่ว่าจะยอมรับมันได้เมื่อไหร่...ถึงตอนนั้น...เราจะมาคุยกันอีกที”

            เมื่อฟังประโยคนี้จบ มัชฌิมามึนงงไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าผู้ชายตรงหน้าต้องการบอกอะไรกันแน่ จนกระทั่งนึกทบทวนประสบการณ์ประหลาดต่าง ๆ ของตนรวมถึงความฝันเกี่ยวกับอดีตชาติ ทำให้เริ่มมองเห็นความหมายในวาจาของเขาราง ๆ

            วูบหนึ่งแห่งความรู้สึก ‘รอยเธียร’ ผู้ชายที่กำลังสบตาเธออยู่นี้ ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ชื่อดังที่อยู่ห่างไกลราวกับเป็นดวงดาวบนท้องฟ้า แต่เป็นผู้ชายที่คุ้นเคย และอยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่เธอคาดคิด




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            มันเป็นรุ่งเช้าที่แปลกกว่าวันอื่นสำหรับพยุหะ

            เขาตื่นขึ้นมาในห้องไม่คุ้นเคย ลุกขึ้นมองรอบห้องแล้วเดินออกไปยืนริมหน้าต่าง ทอดสายตามองเบื้องนอกโดยไม่รู้สึกแปลกใจ

            เมื่อคืนเขาพ่ายเนวะอย่างหมดรูป ยังดีที่อดีตชัยยะนาคาหรือรอยเธียรมาช่วยต่อชีวิต พามาส่งให้พันเกลียวหาวิธีรักษา

            ชายหนุ่มอยู่ในสภาพสลบไสลก็จริงแต่ไม่ขาดสติ เขาได้ยินทุกวาจา รับรู้ทุกการกระทำของคนรอบข้าง เพียงแต่ไม่สามารถขยับเขยื้อนสื่อสารต่อผู้อื่นได้

            ตอนรอยเธียรกับพันเกลียวพูดถึงอันตรายในการกระตุ้นพลังครุฑในผลึก เขาอยากคัดค้านไม่ต้องการให้คนอื่นมาเสี่ยงชีวิตโดยไม่จำเป็น แต่ไม่อาจปริปากหรือแสดงอาการต่อต้าน

            ผลึกครุฑนาคอยู่ในมือรับรู้บรรยากาศสงบงันโดยรอบ จึงพยายามระงับความตื่นเต้นกระวนกระวาย ยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยไม่ขัดฝืน

            รอยเธียรใช้พลังนาคากระตุ้นอำนาจครุฑในผลึกอย่างรอบคอบระมัดระวัง ผลึกนั้นกลับมีอานุภาพร้ายแรงเกินไป มันจึงสำแดงเดชเปล่งพลังปั่นป่วนจนยากควบคุม

            พยุหะอยากส่งพลังจิตเข้าช่วยเหลือ ทว่ากลางอกว่างเปล่าปราศจากกำลังใด ๆ จำเป็นต้องฝืนสงบใจ ทั้งที่อาการร้อนรุ่มกังวลยังกรุ่นอยู่ภายใน

            นิมิตเห็นร่างรอยเธียรชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าขาวเผือดซีดลง ซีดลง ต่อให้ตัวยังนิ่งตรงเสมือนเสาหลักอันมั่นคง เรี่ยวแรงกำลังกลับถดถอยลงเรื่อย ๆ

            เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบ ดวงหน้าอดีตนาคาเริ่มแดงซ่าน เข้มขึ้น เหงื่อผุดพราวกว่าเดิม กระไอร้อนผะผ่าวแผ่ออกมาโดยรอบ กลางอกพยุหะเริ่มมีพลังงานสะสมขึ้นจนพออ่านอาการอีกฝ่ายออกว่าร่อแร่เต็มทน

            หากรอยเธียรฝืนกระตุ้นพลังครุฑในผลึกต่อไปอีก ตนเองจะทนไม่ไหวธาตุไฟแตกซ่าน อย่างเบาต้องนอนป่วยเป็นเดือน

            พยุหะส่งกระแสจิตติดต่อเพื่อสื่อสารกับรอยเธียรอย่างเป็นห่วง

            “พอแค่นี้ล่ะ...ผมมีแรงขึ้นแล้ว”

            “ยัง...พลังครุฑที่เข้าไปในร่างคุณตอนนี้ ไม่พอให้รักษาตัวเองแน่” รอยเธียรตอบออกมาอย่างรู้จริง

            “ถ้าฝืนต่อไปคุณจะแย่”

            “ไม่หรอก ผมทนได้”

            “ทำไมคุณต้องเสี่ยงขนาดนี้ด้วย” พยุหะอัดอั้นจนต้องระบายออกมา

            ...คนอย่างเขาไม่ชอบรับบุญคุณใคร...

            “ก็เราเป็นสหายกัน...จำไม่ได้หรือ?”

            คำตอบจากรอยเธียรทำให้พยุหะอึ้ง ไม่อาจคัดค้านต่อต้านได้อีก



            อดีตอันแสนนาน...นาคาตนหนึ่งเคยเอ่ยต่อพญาครุฑผู้ทรงศักดิ์ ณ ริมฝั่งแม่น้ำหิรัญญวดี

            “เมื่อเราได้ร่วมกล่าวขอถึงไตรสรณคมน์ด้วยกัน...ย่อมถือว่าเป็นสหายทางธรรมกันแล้วนะ”

            “หึหึ...นาคกับครุฑเป็นสหาย...สหธรรมิกกันเช่นนั้นหรือ ช่างดูน่าขันเป็นไปไม่ได้”

            “อย่างน้อยเราก็นับถือพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน เป็นเพื่อนร่วมเวียนว่ายตายเกิดเหมือนกัน วันนี้เกิดเป็นครุฑ ใช่ว่าต้องเป็นครุฑอย่างเดียวตลอดวัฏสงสาร ครุฑนาคล้วนเกิดตายเปลี่ยนไปยังภพภูมิต่าง ๆ ไม่ผิดกับสรรพสัตว์ทั่วไป...จิตใจที่อ่อนโยน เมตตา เอื้อเฟื้อเกื้อกูลต่อกันต่างหาก ที่ช่วยทำให้การเดินทางอันยาวไกลนั้น ไม่แห้งแล้ง ไม่ทุกข์ทนจนสาหัสเกินไป”

            “เจ้าอยากพูดเช่นไรก็ตามใจเถิด”

            ต่อให้พญาครุฑพูดเช่นนั้น นาคาผู้ได้ยินวาจาก็ยังลอบยิ้ม ด้วยสัมผัสได้ว่า...อัตตาอันใหญ่โตของผู้ทรงฤทธิ์เหนือนภาได้โอนอ่อน ลดต่ำลงบ้างแล้ว

            ผู้เคยฟังธรรมจากพุทธองค์ย่อมทราบ...วัฏสงสารเป็นเหมือนเกมหลอกลวง หลอกให้ไปเกิดตายยังภพภูมิต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงชาติพันธุ์ไม่รู้จบ ที่ร้ายกว่านั้นยังหลอกให้ยึดติด หลงความเป็นตัวตนในภพภูมิที่ไปเกิดอย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะภพที่ดี ๆ จนไม่มีสติปัญญาหาทางออกจากกรงขังแห่งความหลอกลวงนี้กันเลย



            คำว่า ‘สหายทางธรรม’ สหธรรมิก...ช่วยให้จิตใจพยุหะเกิดความสุข อบอุ่นขึ้นมา ความร้อนรุ่มกระวนกระวายข้างในดับหาย จิตเข้าสู่ความสงบระงับรวดเร็ว กลายเป็นภาชนะชั้นเลิศสามารถรองรับพลังงานสำคัญที่ถ่ายเทเข้ามาโดยไม่ตกหล่น

            เมื่อถึงจุดวิกฤตพลิกผัน รอยเธียรไม่อาจทานทนไหวธาตุไฟในร่างกำลังแตกกระจาย สมดุลแห่งผลึกปั่นป่วนเกินควบคุมไหว พยุหะค่อย ๆ แผ่พลังจากกลางอกตนออกไปโอบอุ้ม ช่วยเหลือ คลับคล้ายการขยับปีกแผ่วเบาของผีเสื้อที่เชื่องช้า อ่อนโยนช่วยผสานรักษาสมดุลให้เข้าที่อย่างนุ่มนวล

            รอยเธียรซึมซับความช่วยเหลือนั้นอย่างเต็มใจ...หนึ่งพลังนาคา หนึ่งอำนาจครุฑค่อย ๆ ร่วมกันก่อร่างผสานสมดุลคืนแก่ผลึกให้กลับสู่ความเสถียรมั่นคงในที่สุด

            เมื่องานสำคัญผ่านพ้น พยุหะหมดเรี่ยวแรงกำลัง จิตเข้าสู่ความพักผ่อน หลับลึกโดยไม่รู้สึกตัวอีก จนเพิ่งตื่นมาเมื่อครู่นี้



            พยุหะละสายตาจากนอกหน้าต่างกลับเข้ามาในห้อง สังเกตเห็นบนหัวเตียงวางถุงเล็ก ๆ ไว้ใบหนึ่ง เป็นถุงที่ตนใช้บรรจุฝุ่นผงเศษหินจากหินรอยขนปีกครุฑ

            หยิบถุงนั้นขึ้นมา เทฝุ่นผงสีทองจาง ๆ ลงในฝ่ามือจนหมด มองมันครู่หนึ่งใช้กระแสจิตเข้าไปกระทบ หลอมละลายมันให้ซึมซาบเข้าไปในฝ่ามือจนหมด

            ความรู้สึกเหมือนได้เสพพลังอำนาจตนคืนมา ทั้งร่างคล้ายเปี่ยมด้วยกำลังมหาศาลแทบจะทะยานฟ้า โบยบินไปจนสุดขอบโลกได้

            เปิดประตูออกจากห้อง เดินลงบันไดไปชั้นล่าง ไม่พบใครสักคน...นึกได้ว่าเวลาขนาดนี้รอยเธียร มัชฌิมาน่าจะไปที่กองถ่ายโฆษณากันหมดแล้ว

            พบพันเกลียวนั่งดื่มกาแฟอยู่ที่ห้องรับแขก บนโต๊ะเล็ก ๆ ยังมีถ้วยกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จอีกถ้วยวางไว้รอคอย

            “ดื่มกาแฟก่อนมั้ย” เจ้าของบ้านถามอย่างมีน้ำใจ

            “ขอบคุณครับ”

            พยุหะนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามหญิงกลางคนโดยไม่สนใจกาแฟที่เธอเตรียมไว้ให้

            “ผมมีเรื่องขอร้องให้ช่วย” ชายหนุ่มพุ่งเข้าสู่ความต้องการทันที

            พันเกลียววางถ้วยกาแฟ รอฟังโดยไม่แสดงปฏิกิริยาใด

            “คุณพอจะบอกผมได้มั้ย เนวะอยู่ที่ไหน...ผมต้องการไปเจอหน้ามันวันนี้!”











บทที่ ๑๓



            ตั้งแต่รับผลึกครุฑนาคคืนตอนเช้า มัชฌิมาสังเกตเห็นมันหมองลงไม่ใสกระจ่างดังเดิม เหมือนพลังงานภายในถูกดึงดูดออกมา ต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าจะฟื้นฟูสมบูรณ์

            ตลอดช่วงเช้าการทำงานหญิงสาวรู้สึกใจหวิว ๆ แปลกคล้ายจะหน้ามืดเป็นลม อาจเพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับ

            หลังพูดคุยกับรอยธาราก็ยังกระสับกระส่าย หลับ ๆ ตื่น ๆ ด้วยความคิดสงสัยวุ่นวาย จนลุกจากที่นอนเช้ากว่าปกติ

            หญิงสาวพยายามฝืนสดชื่นเพื่อทำงานเต็มที่ ไม่ต้องการสร้างปัญหาจนการถ่ายทำล่าช้าอีก

            ถ้าไม่มีปัญหาติดขัดใด คิวถ่ายทำวันนี้จะเสร็จสิ้นตอนเย็น หลังจากนั้นมัชฌิมากับรอยธารานัดกันว่าจะไปร่วมฟังสวดศพท่านชัยกาลกับคุณหญิงเรือนอร ตายายพยุหะ

            การฝืนแจ่มใสทั้งที่ข้างในอ่อนเพลียเช่นนี้ไม่อาจรอดพ้นสายตารอยเธียร พอมีจังหวะใกล้ชิดระหว่างถ่ายทำจึงกระซิบถามอย่างเป็นห่วง

            “น้องมา...ไหวมั้ย ตาโรยแล้วนะเรา”

            “ไหวค่ะ” มัชฌิมาสูดลมหายใจลึก ๆ กระตุ้นตัวเองแล้วยิ้มให้ชายหนุ่ม

            รอยเธียรเห็นลักษณะเช่นนั้นยิ่งเป็นห่วง ขยับจะบอกผู้กำกับเพื่อขอพักเบรก

            “มายังไหวค่ะ ไม่ต้องขอเบรกหรอก เดี๋ยวงานจะช้าเหมือนเมื่อวาน” หญิงสาวดักคอรู้ทัน

            “ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้ามันช้าจริง ๆ พี่ให้คิวเขาเพิ่มฟรี ๆ อีกวันก็ได้”

            ซูเปอร์สตาร์คิวทองออกปากขนาดนั้นเพราะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ไหวจริง ๆ

            “มาเกรงใจ” หล่อนพูดอ่อย ๆ “ถ้างานช้าไปอีกวัน ค่าใช้จ่ายมันต้องเพิ่ม ทีมงานยิ่งเหนื่อยเสียเวลากว่าเดิม”

            วาจาถ่อมตัวเกรงใจ ท่าทางอ่อนน้อมต่อคนทั่วไป ทว่ายืนยันความตั้งใจของตนแน่วแน่ บอกถึงจิตใจแข็งแกร่งภายใน ผิดกับรูปลักษณ์ข้างนอก

            “โอเค” ชายหนุ่มยิ้มรับเข้าใจ นิสัยเช่นนี้ไม่ต่างจากหญิงสาวที่เขาเคยรู้จักเมื่อนานมาแล้วเลย

            พักกลางวัน ทีมงานทุกคนใช้เวลารับประทานอาหารเพียงไม่นานก็รีบมาเตรียมเซ็ตฉาก เตรียมการถ่ายฉากสำคัญสุดท้ายในโฆษณาชิ้นนี้

            ดารา นักแสดงประกอบต่างแยกย้ายรับประทานอาหาร พักผ่อนเอาแรง เตรียมพร้อมสำหรับฉากสุดท้ายเช่นกัน

            รอยเธียรร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับสองสาวตามปกติ สายตาเหลือบมองผลึกครุฑนาคที่ปรากฏรอยหมองไม่สดใส พอหันไปเห็นประคำที่ข้อมือน้องสาวตนก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา

            “ไอ้เตี้ย ขอประคำข้อมือให้น้ำใส่ชั่วคราวได้มั้ย”

            “หือ” รอยธารามองพี่ชาย สังเกตว่าพูดจริงหรือล้อเล่น

            “ได้...เอาสิ” หญิงสาวตอบรับเมื่อเห็นแววตาเขาจริงจัง

            ขณะกำลังจะถอดจากข้อมือ มัชฌิมารีบค้านก่อน

            “ใส่ตอนนี้ไม่ได้หรอก เดี๋ยวไปถ่ายโฆษณาต่อแล้วคิวมันจะโดด เพราะไม่ได้ใส่แต่แรก”

            เหตุผลมีน้ำหนัก ชายหนุ่มถอนใจเฮือกใหญ่

            “มีอะไร...ทำไมต้องเอาประคำให้น้ำใส่ด้วย” รอยธาราถาม

            รอยเธียรไม่ตอบ ลำบากใจที่ต้องพูดต่อหน้าหญิงสาว

            ...เมื่อเนวะลงมือด้านพยุหะแล้ว คิวต่อมาย่อมเป็นเขากับมัชฌิมา...

            ชายหนุ่มไม่ห่วงพ่อแม่น้องสาวตนเอง การที่นามสกุล ‘นาคพิทักษ์’ ย่อมหมายถึงมีนาคราชผู้ทรงฤทธิ์เช่นสิงหานาคราชคอยดูแลปกป้อง หนำซ้ำบารมี ‘หลวงน้า’ ยังคุ้มครองอีกชั้น ขนาดฝ่ายนั้นวางแผนล่อลวงให้ตกหลุมพรางทางธุรกิจ ก็ยังเกิดสังหรณ์ สัญชาตญาณระวังตัวได้

            ส่วนมัชฌิมาไม่มีอำนาจแข็งแรงคุ้มครองขนาดนั้น เมื่อคืนพันเกลียวใช้พลังจิตช่วยเหลือเขากับพยุหะ วันนี้ต้องเข้าสมาธิพักผ่อนฟื้นฟูกำลังทั้งวัน ไม่มีเวลาส่งจิตมาดูแลหลานสาว

            พลังในผลึกครุฑนาคถดถอยลง เนื่องจากดึงดูดอำนาจครุฑออกมาแล้ว จำเป็นต้องนำพลังนาคาออกมาด้วย ไม่เช่นนั้นพลังต่างขั้วทั้งสองจะไม่สมดุล ผลึกจึงหมองลงอย่างที่เห็น

            สภาพร่างกายมัชฌิมาอ่อนเพลีย พลังคุ้มครองอ่อนด้อยง่ายต่อการจู่โจม จึงขอลูกประคำตาอ่ำมาเสริมเพื่อช่วยเหลือชั่วคราว

            หากอธิบายออกไปเช่นนั้น รอยธาราย่อมเข้าใจเพราะฟังคำบอกเล่าอดีตชาติพวกตนจนหมดจากตาอ่ำแล้ว แต่มัชฌิมาจะยิ่งงุนงงสับสน ด้วยเห็นอดีตชาติไม่ครบ อีกทั้งยังลังเลไม่เชื่อความฝันของตนด้วย

            รอยเธียรจึงเงียบและใช้รอยยิ้มปิดบังความรู้สึก

            “เมื่อเช้าเห็นคุยกันว่าจะไปฟังสวดศพปู่ชัยกาลกับย่าเรือนอร ทำไมไม่ชวนพี่เลย” เขาแกล้งเปลี่ยนเรื่องคุย

            “เย็นนี้พ่อจะมารับเค้ากับมา...พี่ลุยไปกับแม่สิ” รอยธาราบอกหน้าตาเฉย

            “อะไรวะ ครอบครัวเดียวกัน ทำไมไม่ไปด้วยกัน” ชายหนุ่มแกล้งโวยวาย

            “รถเต็ม” คนเป็นน้องสาวหาข้ออ้าง

            ครอบครัวนาคพิทักษ์ไม่ค่อยออกงานร่วมกันเท่าไหร่ ด้วยเธียรกับรอยธาราไม่ชอบออกสื่อทำตัวเป็นที่สนใจ ไม่อยากอยู่ในสายตาผู้คน รอยเธียรจึงออกงานร่วมกับมารดา ซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวเสมอมา

            “งั้นพี่จะเหมารถสิบล้อมาขนไอ้หมูเตี้ยอย่างแกคนเดียวเลย” รอยเธียรประชดน้องสาว

            “เค้าไม่ได้อ้วน” รอยธาราเข่นเขี้ยว “แค่ไม่ได้สูง ผอมสวยเหมือนแม่เท่านั้นเอง!”

            สองพี่น้องหยอกล้อแรง ๆ อย่างไม่จริงจังนัก คนฟังอย่างมัชฌิมาอมยิ้มมีความสุขไปด้วย รอยตึงเครียดในหัวคลายลง รู้สึกสบายใจเหมือนกำลังพักผ่อนจริง ๆ

            “อ๋อ...งั้นเป็นความผิดของแม่ใช่มั้ยที่สวยเกินไป จนลูกสาวสวยตามไม่ทัน” ชายหนุ่มยังหาเรื่องแขวะน้องสาวต่อ

            “เหอะ...เค้าก็สวยในแบบของเค้าสิ ทำไมต้องสวยเหมือนแม่ด้วย ความสวยมันไม่ได้มีบล็อก พิมพ์เดียวซะเมื่อไหร่” รอยธาราเถียง

            “จ้า...แม่คนสวยบล็อกพิเศษ!” พี่ชายหาทางกัดน้องสาวจนได้

            ระหว่างสองพี่น้องหยอกล้อกึ่งทะเลาะกันเบา ๆ มัชฌิมาไม่มีโอกาสพูดแทรกสักคำ จิตใจสัมผัสบรรยากาศอบอุ่นรื่นรมย์จากทั้งคนคู่จนผ่อนคลาย มีเรี่ยวแรงทำงานต่ออย่างเต็มที่




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ฝนตก...สาดละอองเป็นสายดุจม่านหมอกฟุ้งกระจาย เสียงดนตรีคุ้นเคยบรรเลงแว่วให้ได้ยิน กระตุ้นความทรงจำเก่าก่อนให้หวนย้อนกลับมา

            ผู้ชายคนหนึ่ง...เสมือนดวงดาวแสนห่างไกล เธอเฝ้ามองอย่างหลงใหลชื่นชม แอบรัก แอบคิดถึงบ่อย ๆ แม้จะไม่เคยเอ่ยวาจาต่อกันสักคำ

            วันหนึ่ง...เขาปรากฏตัวท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้นานาพรรณโดยไม่คาดหมาย มีรอยยิ้มจากดวงตาที่สดใสกว่าประกายดาว



            ชีวิตเขารายล้อมด้วยสีสัน เสียงชื่นชม ความคลั่งไคล้จากแฟนคลับจำนวนมหาศาล แต่หัวใจกลับว่างเปล่าเหมือนกำลังตามหาใครสักคน

            เธอคนนั้น...เขาไม่เคยรู้จัก ไม่คิดว่ามีตัวตนจริงอยู่บนโลก

            แล้ววันหนึ่ง...ลมหนาวพัดผ่าน พาหัวใจยิ่งเหน็บหนาวกว่าเคย มองผู้คนรายล้อมด้วยใจอึดอัด อยากหนีไปสุดขอบโลก เร้นกายไปยังที่ที่ไม่มีใครตามเจอ...สักชั่วขณะหนึ่งก็ยังดี

            กลิ่นหอมชวนหัวใจชุ่มฉ่ำแทรกมากับสายลมหนาว ชักนำเขาให้หลบไปยังร้านดอกไม้ริมทางซึ่งดารดาษหนาแน่นด้วยสีสันอันงดงาม

            ทว่า...กลิ่นหอมยวนใจไม่ได้มาจากมวลบุปผาเหล่านั้น

            เธอ...คือเจ้าของกลิ่นที่ดึงดูด นำพามายังร้านดอกไม้นี้

            เธอไม่สวยเด่นสะดุดตา เธอไม่แสดงอาการกรี๊ดกร๊าดหลงใหลเขาจนออกหน้าออกตา มีแค่ดวงตาคู่สวยนั้นมองมาด้วยประกายสดใส กลิ่นหอมชวนรัดรึงใจทำให้อยากอยู่ใกล้ อยากรู้จักเธอมากกว่าเดิม



            ลมร้อนพัดมา...เหมือนบททดสอบความสัมพันธ์ เขายังโลดแล่นบนถนนแห่งสีสัน ลอยละล่องกลางเสียงชื่นชมหลงใหล ส่วนเธอยังอยู่ ณ จุดเดิม ไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่คิดฉุดรั้งเขาไว้กับตัว

            และแล้ว...เมื่อเรื่องการคบหาระหว่างเขากับเธอแพร่ออกไป เกิดผลกระทบต่องานเขามากมาย

            เธอจึงจากไกล ร้านดอกไม้นั้นไม่มีกลิ่นหอมอันคุ้นเคยอีกต่อไป

            เขาเฝ้าโหยหา คิดถึง ระลึกถึงกลิ่นหอมจากเธอ คิดถึงความรักความสัมพันธ์แสนอบอุ่นงดงาม ภาพความทรงจำต่าง ๆ ล้วนบีบคั้นหัวใจ จนอยากทะยานออกไปตามหา...แต่...เธออยู่หนใดเล่า



            ฝนหลั่งริน...หลากไหลเทลงมาแทนความคิดถึงอันเต็มล้น หัวใจโหยหาจนต้องฝากบทเพลงบอกเธอไปกับสายฝนพรำ

            ‘...ฝนที่ตกทางเธอนั้น เหน็บหนาวถึงหัวใจฉัน

            อยากบอกให้รู้กัน ว่าคิดถึงเกินเอ่ยเป็นถ้อยคำ

            ขอแค่เธอกลับมา อยู่ใกล้เช่นวันเก่า ร่วมเผชิญฝ่าฟันด้วยกัน

            ไม่ยอมหันหลังอีก

            เพราะมีแค่เธอเท่านั้น ฉันไม่มีวันเลือกใคร...

            บทเพลงแห่งความคิดถึงนำเธอกลับมา...ยืนอยู่หน้าร้านดอกไม้ สถานที่เธอจะไม่ยอมก้าวล่วงไกลกว่านั้น หากเขาไม่ก้าวลงมาหา เธอก็ยินดีที่จะรออยู่ตรงนี้ ไม่ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใด

            เขาอยู่บนรถตู้แวดล้อมด้วยทีมงาน ฟังภารกิจการงานที่ต้องเตรียมตัวออกไปโชว์ตัวร้องเพลงในเวลาไม่นาน

            ด้านนอกฝนโปรยปราย รถติดเป็นแพยาว จมูกเขาได้กลิ่นหอมแทนสัญญาณเรียกขาน บอกว่าคนที่หัวใจใฝ่หากำลังรอคอย

            เขาตัดสินใจเปิดประตูรถออกไปโดยไม่ลังเล ยอมทิ้งทุกอย่างแล้ววิ่งฝ่าสายฝน ตามกลิ่นหอมจากหัวใจนั้นไปโดยไม่ยอมพลัดหลงอีก

            เธอหลบอยู่ชายคาร้านดอกไม้ ฝนตกแรงกระหน่ำเป็นม่านหนามองอะไรแทบไม่เห็น คิดจะหลบเข้าไปในร้าน

            แต่ทว่า...กลิ่นหอมอันคุ้นเคยกระตุ้นฉุดรั้งไว้...อย่าเพิ่งไปไหนเลย

            กระทั่ง...เขาเข้ามาใต้ชายคาในสภาพเปียกปอน ดวงตาคู่นั้นฉายประกายแห่งรักแท้ ริมฝีปากเปิดรอยยิ้มกว้างอย่างยินดี คว้าร่างเธอมากอดกระชับแน่น ราวกับว่าจะไม่มีวันปล่อยมือตลอดกาล




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            “คัท” เสียงผู้กำกับดังขึ้น “เลิกกองปิดกล้อง”

            เสียงเฮดังลั่นจากทีมงานด้วยความดีใจ การถ่ายทำโฆษณาสามชุดภายในสองวันเสร็จสิ้นด้วยดี

            นักแสดงนำทั้งสองคลายอ้อมกอดระหว่างกัน ยิ้มด้วยนัยน์ตาสดใส จากนั้นต่างฝ่ายหันไปขอบคุณทีมงานทุกคนที่ช่วยให้งานชิ้นนี้สำเร็จทันตามกำหนดการ

            ทุกคนโล่งอกสบายใจ ต่างกุลีกุจอเก็บกล้อง อุปกรณ์ ตรวจสอบภาพต่าง ๆ จนมั่นใจไม่มีปัญหา เตรียมแยกย้ายจัดการงานที่เหลือ

            ความยินดีชื่นมื่นนี้อยู่ได้ไม่นานนัก เหตุพลิกผันก็ปรากฏขึ้น



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP