วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๑๖



cover Amarit

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ลานหินกว้างบนภูเขาสูง ฟ้ามืดดวงดาวระยับพรายส่องแสงสลัวรางพอมองเห็น ลมพัดแผ่วพลิ้วอากาศเย็นสดชื่น แว่วเสียงเคลื่อนไหวของสายลมและใบไม้เสียดสีกันเบาบาง

            พยุหะรู้ว่านี่เป็นความสามารถพิเศษของเนวะ...ผู้ทรงฤทธิ์เช่นมันสามารถปรับเปลี่ยนมิติ สถานที่ง่ายดาย เฉกเช่นที่เคยสร้างเมืองอมฤต ให้กลายเป็นดินแดนลับแล คนละมิติกับโลกมนุษย์ภายนอก เพื่อใช้เป็นอาณาจักรส่วนตัว ปกครองสาวกของมัน

            “ยังไม่ปรากฏตัวอีกหรือ” คนพูดน้อยอย่างเขาเป็นฝ่ายออกปากท้าทาย

            ร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างนักรบปรากฏตัวขึ้นตรงลานหินฝั่งตรงข้าม ผิวของมันสีเข้มออกทองแดง ดวงตาโตลึก จมูกโด่งเป็นสันชัด ผมดกยาวหนาถูกรวบเป็นมวย เสียบด้วยปิ่นไม้ง่าย ๆ หนวดเคราหนาครึ้มดำสนิท ครองร่างด้วยผ้าสีน้ำตาลอ่อนคล้ายหนังเสือผืนเดียว

            “เราปรากฏตัวแล้ว เจ้ามีปัญญาทำอย่างไรได้” ฝ่ายตรงข้ามส่งเสียงถาม

            ครั้งนี้พยุหะไม่เอ่ยปาก ดวงตาฉายแวววับ เหยี่ยวขนาดใหญ่เจ็ดตัวผุดขึ้นจากความมืดพุ่งเข้าจู่โจมเนวะพร้อมกันเจ็ดด้าน หน้าหลัง บนล่าง ซ้ายขวา กลางอก ไม่ยอมให้ตั้งตัว ยากหลบหลีกสำเร็จ

            พอพวกมันพุ่งเข้าใกล้ร่างเนวะไม่ถึงหนึ่งศอก ล้วนส่งเสียงร้องดังลั่น ทั้งร่างมอดไหม้กลายเป็นผงคลีในพริบตา

            เหยี่ยวทั้งเจ็ดโดนเกราะไร้รูปแผ่ออกมาทำร้าย

            “ของเล่น ไม่มีวิธีใดน่าสนใจกว่านี้หรือ?” วาจาเยาะหยัน

            “นี่ไม่ใช่ของเล่น” พยุหะพูดเสียงเบาแววตาเจิดจ้า

            ผงคลีที่เกลื่อนรอบร่างเนวะกลับพลิกฟื้น ผุดขึ้นเป็นปักษาเพลิงทีละตัวทีละตัว จนกลายเป็นสิบเป็นร้อยทยอยบินโฉบเข้าใส่อย่างไม่เกรงกลัว ยามพวกมันปะทะเกราะไร้รูปที่แผ่โดยศัตรูร้าย ประกายไฟแตกซัดซ่าสลายลงกลายเป็นฝุ่นผงอีกครา

            ปักษาเพลิงมอดไหม้กลายเป็นฝุ่นผงนับสิบ ก็กลับฟื้นคืนทดแทนเป็นร้อยเป็นพัน ชั่วเวลาไม่นานนัก รอบร่างสูงใหญ่ล้วนหนาแน่นด้วยเปลวไฟส้มแดงฉาดฉาน ราวกับภูเขาพระเพลิงลูกหนึ่ง

            พยุหะตั้งสมาธิมั่น นัยน์ตาเพ่งตรงเนวะไม่ยอมกะพริบ รูปการณ์ดูเหมือนตนเองเป็นฝ่ายมีเปรียบ ในความเป็นจริงพลังในร่างกายกำลังถดถอยลงเรื่อย ๆ

            การเกิดใหม่ของปักษาเพลิงแต่ละรอบ ล้วนใช้พลังครุฑาจำนวนมาก ต่อให้จดจำอดีตชาติรู้ว่าควรแสดงฤทธิ์อย่างไร ปัจจุบันตัวเองไม่ใช่พญาครุฑแล้ว ปราศจากอำนาจแท้แห่งชาติกำเนิด พลังที่ใช้เพียงหยิบยืมชั่วคราวมีเพิ่มมีลดลงได้ตามเหตุการณ์

            ยามนี้เป็นฝ่ายจู่โจมเนวะเต็มกำลัง ขณะอีกฝ่ายนิ่งเฉยใช้เพียงเกราะป้องกันก็ทำลายการบุกของเขาโดยไม่เหนื่อยแรง ไม่จำเป็นต้องขยับตัวตอบโต้อย่างใด

            จะเป็นอย่างไรเมื่อเนวะพลิกสถานการณ์เป็นฝ่ายบุก!

            ความคิดไม่ทันสิ้นกระแส ปักษาเพลิงทั้งหมดล้วนดับสิ้น ไม่อาจก่อร่างขึ้นใหม่ชั่วคราว สิ่งที่ถาโถมกลับมาเป็นคลื่นพลังงานอันรุนแรง

            พยุหะไม่อาจปักเท้ามั่น ร่างเซแซ่ด ๆ เกือบล้ม ยังไม่ทันตั้งหลัก อีกฝ่ายก็ปล่อยการจู่โจมระลอกสองตามมาทันที

            ครืนครืนครืน ฟ้าคำรามกึกก้องตามด้วยห่าฝนรุนแรง พายุกรรโชกพัดเม็ดฝนจำนวนมหาศาลกลายเป็นทัพพิรุณบาดคมซัดสาดเข้าใส่ เย็นยะเยียบไม่ต่างอยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง ทั้งเจ็บแปลบสั่นหนาวแทบทนไม่ไหว รอบร่างเหมือนเป็นม่านน้ำถูกโอบอุ้มด้วยพายุหมุนวนไม่ต่างจากกองทัพนทีอันน่าสะพรึง

            ชายหนุ่มรวบรวมพลังในร่างที่เหลือ แผ่ออกมาทางด้านหลัง คล้ายการสยายปีกปักษาอันแข็งแกร่งแล้วโบกสะบัดต้านกองทัพน้ำอันหนาวเย็นนั้นเต็มแรง

            พึบพับพึบพับ สะบัดปีกต้านมวลน้ำด้วยใจมั่นคง ส่งผลให้มันค่อยถอยห่างทีละนิดอย่างใจเย็นจนดันมันออกไปได้ราวสามสี่เมตร แล้วไม่สามารถผลักดันออกไปได้ไกลกว่านั้น

            กัดฟันรวบรวมพลังสะบัดปีกเต็มแรงอีกครั้งหวังสลายกองทัพน้ำนั้นให้ได้ แต่ไร้ผลเรี่ยวแรงแทบเหือดหายทำได้เพียงยันมันไว้ที่เดิมไม่ยอมให้คืบคลานใกล้เข้ามาอีก

            “หึหึ...วินตกะครุฑ...อ้อ...ไม่ใช่สิ...นายพยุหะ มนุษย์ผู้ใช้พลังแห่งครุฑา เจ้าลืมอะไรไปอย่างนึงหรือไม่” คำพูดยั่วยวน ชวนให้หลุดวาจาตอบ

            พยุหะนิ่งไม่อาจปริปากพูดจาสักคำ มิเช่นนั้นกำลังสมาธิจะคลอนแคลนไม่อาจยันมวลน้ำมหาศาลยามนี้ได้

            “ของที่ยืมมา ฤๅจะมีพิษสงเทียบเท่าเจ้าของใช้เอง...มนุษย์ใช้พลังของครุฑย่อมไม่อาจเปล่งอานุภาพได้ถึงเศษเสี้ยวที่พญาครุฑแท้เคยใช้” จงใจพูดอย่างเกินจริง เพื่อให้คู่ต่อสู้หลุดปากเสียสมาธิ

            ชายหนุ่มหลับตาไม่สนใจวาจาเหล่านั้น

            “รู้หรือไม่ พลังที่เราใช้ตอนนี้ยังไม่ถึงเศษเสี้ยวที่มี...เล็กน้อยยิ่งกว่าของเด็กเล่น” หยุดชั่วขณะก่อนพูดปิดท้าย

            “ของเล่นที่เราใช้ตอนนี้ก็เพื่อดูว่าฤทธีเจ้ามีเพียงใด...หึหึ...ตอนนี้เรารู้แล้ว”

            จบคำพูดนั้น พยุหะรู้สึกพลังในร่างเหือดหาย แรงที่ใช้ยันกองทัพน้ำและพายุไม่มีเหลือ

            ภายในร่างกลวงเปล่าเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่อีกฝ่ายเพิ่มพลังให้กระแสน้ำ กระแสลมอย่างเต็มกำลัง

            ครืนครืน รอบร่างชายหนุ่มถูกโอบรัดด้วยมวลน้ำมหาศาล หมุนวนดึงดูดจนปั่นป่วนขยับตัวไม่ได้ ลมหายใจขาดเป็นห้วง ๆ รู้สึกเหมือนใจจะขาด หนาวเหน็บ อึดอัดไม่ต่างจากคนกำลังจมน้ำตาย

            เรี่ยวแรงเหือดหายยากฟื้นฟูในชั่วเวลาสั้น ๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ศพที่จะเคียงข้างตายาย คือตัวเขาเอง











บทที่ ๑๒



            ดึกเช่นนี้รถยังติด

            รอยเธียร มัชฌิมา รอยธาราอยู่บนรถคันเดียวกันโดยแทบไม่มีการพูดจา แต่ละคนจมอยู่ในความคิด ปัญหา เรื่องราวส่วนตัว

            หัวคิ้วชายหนุ่มขมวดมุ่น แววตากังวล กระแสใจเชื่อมโยงกับพยุหะที่อยู่โรงพยาบาลบอกสัญญาณอันตราย ไม่แน่ใจร้ายแรงแค่ไหน ใจแทบอยากหายตัวไปถึงจุดหมายเสียเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำ แต่รู้ว่าตนไม่ใช่นาคาทรงฤทธิ์เช่นก่อน เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งต่อให้มีพลังนาคาในร่าง ก็ใช่จะเหาะเหิน ดำดินแสดงฤทธานุภาพแบบในชาติก่อนได้

            เพราะอย่างนี้หลวงน้าถึงช่วยเคาะอัตตาความถือดีในอดีตชาติออกให้

            คนเป็นน้องสาวเห็นพี่ชายกังวลขนาดนั้นคาดเดาออกว่าสถานการณ์ทางโรงพยาบาลไม่สู้ดี เธอยอมรับความตายสองสามีภรรยา อดีตลูกชายลูกสะใภ้ไม่ยากเย็น ที่เป็นห่วงเวลานี้น่าจะเป็น ‘เหลน’ ปัจจุบันผู้เคยเป็นพญาครุฑมาก่อน

            ไม่รู้ศัตรูในชาติก่อนจะวางแผนเล่นงานเขาอย่างไร?

            ความกังวล อึดอัด เป็นห่วงจากรอยเธียรแผ่กระทบถึงมัชฌิมาด้วย เธอไม่เข้าใจความนัยเบื้องหลังความกังวลนั้นคิดว่าเขาคงเป็นห่วงพยุหะด้วยเหตุที่เพิ่งสูญเสียญาติผู้ใหญ่คนสำคัญ

            รอยเธียรมีจิตใจอ่อนโยน แคร์ความรู้สึกคนรอบข้าง มีน้ำใจชอบช่วยเหลือ ปลอบใจให้คนใกล้ตัวรู้สึกดีขึ้นจนเป็นนิสัย

            มัชฌิมารู้จักชายหนุ่มในแง่มุมนี้ดียิ่ง เพราะตนเองเคยได้รับน้ำใจจากเขาตอนสูญเสียพ่อแม่มาแล้ว!



            วันที่พ่อแม่เสียชีวิต โลกรอบตัวมัชฌิมามืดดับลงพริบตา ทำอะไรไม่ถูกคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ควรทำอะไรก่อนหลัง โชคดีที่เวลารับข่าวร้ายนั้นมีรอยธาราอยู่ใกล้ ๆ

            “ตั้งสติไว้มา...เสียใจได้แต่เราต้องทำหน้าที่ลูกให้ดีที่สุด”

            รอยธาราปลุกปลอบให้กำลังใจ ฉุดให้มีสติเรี่ยวแรง จากนั้นเป็นคนพาเธอไปจัดการเรื่องราวสำคัญเกี่ยวกับงานศพอย่างคล่องแคล่ว ตั้งแต่แจ้งการตาย ขอรับศพ ติดต่อวัดเพื่อนำไปบำเพ็ญกุศล เหมือนคนเคยผ่านเหตุการณ์อย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว

            เพื่อนสนิทที่เคยเห็นไม่ต่างจากเด็กสาวทั่วไปกลับกลายเป็นผู้ใหญ่ในชั่วพริบตา ทั้งเป็นหลักใจให้ยึดเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ปลุกปลอบให้กำลังใจอย่างคนที่ผ่านความเป็นความตายมาก่อน และยังขอให้ ‘เธียร’ บิดาตนออกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับงานศพทั้งหมดให้ก่อน ด้วยรู้ว่าสถานะทางการเงินของเจ้าภาพย่ำแย่แค่ไหน

            รอยเธียรไม่อาจมาร่วมรดน้ำศพและฟังสวดในคืนแรก เนื่องจากติดงานต่อเนื่องยาวตลอดวัน ถึงอย่างนั้นเขาก็ขอให้ ‘รอยจันทร์’ มารดาและผู้จัดการส่วนตัวช่วยติดต่อเพื่อทำสิ่งบางอย่างให้

            “แม่ไลน์มาบอกว่า ให้เปิดทีวีดูรายการ...ตอนนี้เลย” รอยธาราเดินมากระซิบบอกหลังพระสวดศพเรียบร้อย

            มัชฌิมาไม่มีจิตใจดูรายการบันเทิงใด ๆ เมื่อเพื่อนสนิทมาบอกอย่างนี้ จึงยอมนั่งดูทีวีออนไลน์จากโทรศัพท์มือถือที่รอยธาราเปิดให้อย่างจำใจ

            รายการนั้นเป็นรายการบันเทิงถ่ายทอดสดชื่อดัง รอยเธียรมาให้สัมภาษณ์ด้วยงานอะไรสักอย่างจำไม่ได้แล้ว เพราะความทรงจำมัชฌิมาบันทึกเรื่องราวแม่นยำแค่เหตุการณ์เดียว

            “ผมขอเวลาทางรายการสักเล็กน้อยนะครับ” รอยเธียรพูดด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “วันนี้ผู้หญิงที่เหมือนน้องสาวผมคนหนึ่งประสบกับการสูญเสียบุคคลที่เธอรักมากถึงสองคน...มันเป็นวันที่ย่ำแย่จนไม่มีทางปลอบเธอให้หายเศร้าใจได้เลย...แถมพี่ชายคนนี้ก็ไม่สามารถไปอยู่ให้กำลังใจ หรือช่วยซับน้ำตา แต่ขอให้รู้ไว้ว่าพี่ยังเป็นห่วง อยากให้น้องคนนั้นเข้มแข็งเร็ว ๆ”

            ทีมงานส่งกีตาร์มาให้ รอยเธียรรับไว้พร้อมเปิดรอยยิ้มอบอุ่นอีกครั้ง

            “ตอนนี้ พี่มีแค่เพลงนี้แทนกำลังใจมามอบให้นะ”

            ปลายนิ้วพลิ้วพรายดีดบรรเลงบทเพลงแสนอบอุ่น เลือกเฉพาะท่อนสำคัญที่เขาต้องการสื่อสารแก่คนฟัง



            ‘คืนที่ไร้แสงไฟ วันที่ใจมัวหม่น ขอเพียงใครสักคนห่วงใยกัน

            วันที่เสียน้ำตา วันที่ฟ้าเปลี่ยนผัน เธอก็ยังมีฉันอยู่ทั้งคน

            ฝนที่ตกทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้ ยังอยากได้ยินทุกเรื่องราว

            เธอลำบากอะไรไหม เธอสู้ไหวหรือเปล่า อย่าลืมเล่าสู่กันฟัง



            แม้บทเพลงจะถูกตัดมาสั้น ๆ เพื่อไม่ให้รบกวนเวลาถ่ายทอดสด ด้วยน้ำเสียงนักร้องระดับบอยแบนด์เก่า จิตใจซื่อตรงแสดงความห่วงใยหวังดี มันจึงสื่อสารจับใจผู้ฟังจนเต็มตื้น

            มัชฌิมาสะอื้นฮักร้องไห้โฮอย่างสุดกลั้น ความที่ต้องพยายามฝืนอดทนเข้มแข็งมาตลอดทั้งวันพังครืน สายธารน้ำตาครั้งนี้ได้ชะล้างคราบความหม่นหมองหดหู่จากหัวใจ ต่อให้ไม่ถึงขั้นล้างความเสียใจจากการสูญเสียได้ทั้งหมด ยามเมื่อน้ำตาครั้งนี้แห้งเหือด เธอก็มีกำลังใจที่จะเข้มแข็ง ลุกขึ้นต่อสู้กับวันข้างหน้าได้อย่างไม่หวั่นกลัว

            วันที่เคว้งคว้าง ไร้จุดยืน เธอมีเพื่อนอย่างรอยธาราอยู่เคียงข้างไม่หนีไปไหน มีผู้ใหญ่คอยประคับประคองไม่ให้พลาดล้ม ลำบากเกินไป และนอกจากนี้ยังมีผู้ชายคนสำคัญส่งกำลังใจมาให้ด้วยความบริสุทธิ์จริงใจ

            นี่เป็นความทรงจำต่อรอยเธียรที่ประทับอยู่ในใจมัชฌิมาอย่างเหนียวแน่น ไม่ลืมเลือน




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ถึงโรงพยาบาล

            รอยเธียรเดินนำหน้าสองสาวไปทางห้องเก็บศพอย่างคนรู้เส้นทางล่วงหน้า ก่อนถึงจุดหมายค่อยชะงักเท้าหันมาบอกสั้น ๆ

            “รออยู่ที่นี่ ไม่ต้องตามพี่เข้าไป”

            มัชฌิมาขยับปากจะคัดค้าน รอยธาราสะกิดไว้แล้วพยักหน้าให้ยอมทำตาม ถึงไม่รู้ในห้องมีสิ่งใดรออยู่ เชื่อว่าพี่ชายมีเหตุผลที่สั่งห้ามเช่นนั้น

            รอยเธียรปล่อยสองสาวไว้ด้านนอก ตนเองก้าวช้า ๆ ระมัดระวังเพียงลำพัง ตลอดทางสัมผัสบรรยากาศแปร่งแปลกคล้ายกำลังล่วงเข้าสู่ดินแดนอันตราย

            ประตูห้องอยู่ตรงหน้า ไอความเย็นแผ่กระทบสังหรณ์ร้ายกระตุ้นเตือนชวนให้ถอยหลัง ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ หากไม่เข้าห้องนั้นจะประสบสิ่งน่ากลัวกว่า อาจมีอีกชีวิตต้องสังเวยอยู่ภายใน

            ระบายลมหายใจผะแผ่ว จิตแตะสัมผัสพลังพิเศษที่ไหลเวียนทั่วร่างก่อนเอื้อมมือเปิดประตูช้า ๆ

            ด้านในคละคลุ้งด้วยไอหมอกขาว แสงสลัวริบหรี่ ชายหนุ่มชะงักเท้าลังเลเล็กน้อยแล้วค่อยโบกมือไปข้างหน้า ปัดม่านหมอกขาวให้กระจายตัวออกไป

            ทว่า...ไม่ถึงเสี้ยววินาที กลุ่มหมอกก็รวมตัวเป็นเส้นใยเหนียวตวัดรัดแขนขาชายหนุ่มพร้อมกระชากร่างสูงให้เข้าสู่ด้านใน ตรึงไว้ไม่ยอมให้ขยับ หมอกหนาโอบล้อมรอบกายราวกรงขังไม่ทันให้ตั้งตัว

            รอยเธียรปล่อยร่างไหลตามแรงดึง พอเท้าเหยียบยืนมั่นคงค่อยตั้งสติ เห็นรอบกายขาวพร่างเย็นยะเยียบ ไอหมอกเหมือนหนามน้ำแข็งเสียดแทงทั่วร่าง ไม่ต่างจากเชลยถูกควบคุมตัว

            “เนวะ ยังไม่ปรากฏตัวอีกหรือ” รอยเธียรเอ่ยเรียบ ๆ ไม่มีความหวาดหวั่นในน้ำเสียง

            ร่างสูงทะมึนผุดขึ้นกลางหมอกขาว ดวงตาโตลึกทรงอำนาจจ้องมองด้วยแววเย้ยหยันสะใจ

            “เรามาแล้ว เจ้าคิดทำอย่างไร” เอ่ยถามท้าทาย

            ฟุ่บฟุ่บฟุ่บ รอบร่างเนวะปรากฏเงาดำของอสรพิษจำนวนมากเข้าพันแขนขาพร้อมฉกกัดไม่ปรานี บางตัวขนาดใหญ่เท่าท่อนแขน ตวัดรัดคอแน่น ง้างเขี้ยวคมฉกเข้ากลางศีรษะทันที

            พรึบ เพียงแวบเดียวเนวะและ ‘อสรพิษเสก’ ทั้งหมดล้วนหายวับ

            เปรียะเปรียะเปรียะ...ผึง...ทั่วร่างชายหนุ่มบังเกิดเสียงคล้ายน้ำแข็งแตกตัว ม่านหมอกจางหาย พลังที่มัดแขนขาขาดผึง

            รอยเธียรตั้งสมาธิมั่น เป่าลมเบา ๆ จากปาก บังเกิดกระแสหมุนวนขึ้นโดยรอบ พัดพาคลื่นอาคมพลังมืดที่หลงเหลือของเนวะออกไปจนหมดสิ้น

            รอบกายปรากฏเป็นห้องเก็บศพตามปกติ ศพสองสามีภรรยาผู้ชรานอนเคียงกันบนเตียงเข็น สภาพไม่ต่างจากคนนอนหลับ ห่างออกไปเป็นหลานชายยืนนิ่งพิงข้างฝาราวรูปสลัก

            ชายหนุ่มเข้าไปใกล้ มองเห็นผู้เข้ามาก่อนเหมือนร่างไร้วิญญาณ พอดูดี ๆ จึงพบว่ายังมีลมหายใจอ่อนเบา รวยรินแทบขาดห้วงทุกขณะ ใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากเป็นสีม่วงคล้ำอาการร่อแร่

            รอยพลังเนวะแทรกซึมในร่างพยุหะ บอกให้ทราบว่าผู้ทรงฤทธิ์ไม่มีเจตนาต่อสู้ทำร้ายรอยเธียรเวลานี้ แต่จงใจทดสอบฝีมือ อยากรู้ว่าเขาจะช่วยชีวิตอดีตพญาครุฑผู้นี้อย่างไร




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -

 



            พยุหะนอนเหยียดยาวบนเตียง ลมหายใจสม่ำเสมอกว่าเดิม ใบหน้ามีสีสันเล็กน้อย ริมฝีปากยังซีดบอกอาการไม่สู้ดี รอยเธียรช่วยได้แค่ต่อลมหายใจเพิ่มนาทีชีวิต ประคับประคองพามาหาพันเกลียว…บุคคลเดียวที่น่าจะช่วยเหลือได้

            พันเกลียวดูสภาพชายหนุ่มบนเตียง เงยหน้ามองหนุ่มสาวทั้งสามที่ยืนเรียงสลอนอยู่โดยรอบ แววตาแต่ละคนล้วนฝากความหวังไว้ที่เธอ

            “พอช่วยได้มั้ยครับ” รอยเธียรถาม

            สตรีกลางคนเอื้อมมือไปสัมผัสปลายนิ้วร่างบนเตียงเบา ๆ จิตหยั่งรู้อาการทั้งหมดก่อนถอนหายใจเบา รอยหนักใจฉายอยู่ในดวงตา

            “มัชฌิมา ป้าขอยืมผลึกครุฑนาคหน่อย” เธอบอกหลานสาว

            “ได้ค่ะ” หญิงสาวรีบถอดให้ทันที

            เมื่อผลึกใสอยู่ในมือผู้ร้องขอ ความหนักใจคลายลงคล้ายมองเห็นทางช่วยเหลือ

            “ไปพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า” พันเกลียวบอกเชิงไล่

            “ค่ะ” มัชฌิมาอุบอิบรับคำ

            “หนูอยู่ได้มั้ยคะ” รอยธารารีบถาม หวังจะได้ช่วยเหลืออะไรบ้าง

            “ไม่ได้” คำบอกสั้น หมายความตามนั้น

            หญิงสาวหน้าม่อย แอบสบตาพี่ชายเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ

            รอยเธียรอมยิ้ม มองหน้าพันเกลียวแล้วเหลือบมองผลึกครุฑนาค เข้าใจราง ๆ ว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีใดช่วยเหลือผู้ป่วย วิธีนั้นไม่ควรมีบุคคลอื่นรบกวน

            “ไปอยู่เป็นเพื่อนมาเขาน่ะดีแล้ว” ชายหนุ่มบอกน้องสาวพร้อมกับยื่นกุญแจรถให้

            “ช่วยไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าในรถมาไว้ที่ห้องรับแขกข้างล่างที คืนนี้พี่คงต้องนอนค้างที่นี่”

            คำพูดนี้ไม่เพียงทำให้มัชฌิมาคาดไม่ถึง กระทั่งรอยธารายังแปลกใจ ต่อให้คุ้นเคยกับป้าพันเกลียวแค่ไหนก็ยังไม่เคยนอนค้างที่นี่เลยสักครั้ง

            “เอ่อ...” รอยธาราอยากเอ่ยปากถามเหตุผล พอเห็นอาการนิ่งเงียบไม่คัดค้านจากเจ้าของบ้านตัวจริง ก็จำเป็นต้องหยุดปากเอาไว้ คืนนี้งานช่วยเหลือพยุหะคงไม่ใช่เรื่องง่ายดายเสียแล้ว

            พันเกลียวกับรอยเธียรต้องร่วมมือกันจึงจะช่วยชีวิตชายหนุ่มบนเตียงได้

            “อือ...ก็ได้” หญิงสาวรับกุญแจโดยไม่พูดอะไรมากมาย

            มัชฌิมากับรอยธารามองหน้ากันอย่างไม่รู้จะพูดอะไรก่อนยอมออกจากห้องโดยดี



            พันเกลียวรอจนฝีเท้าสองสาวเดินลงบันไดไปชั้นล่างเรียบร้อย ค่อยยื่นผลึกครุฑนาคให้ชายหนุ่ม

            “ใช้พลังนาคาในตัวเธอเข้าไปกระตุ้นอำนาจครุฑในนี้ ให้มันแทรกซึมเข้าไปในร่างพยุหะ”

            ผู้แนะนำบอกเพียงเท่านี้ คนฟังเข้าใจกระจ่างทันที

            “พลังครุฑนั้น จะเข้าไปรักษาช่วยชีวิตเขาเอง” รอยเธียรเข้าใจหลักการ

            “ถูกต้อง...แต่” แววตาพันเกลียวแสดงความเป็นห่วง “ผลึกครุฑนาคเป็นการสร้างสรรค์ รวมพลังที่ต่างกันสองขั้วอย่างนาค-ครุฑมาผสานกันไว้อย่างเสถียร...สมดุลพอดี หากใช้พลังนาคาภายนอกเข้าไปกระตุ้น เพื่อดึงเฉพาะพลังครุฑออกมาตัวเธออาจโดนแรงปะทะทำร้ายถึงตายได้”

            “ผมจะคอยระวังครับ”

            “งั้น...ฉันจะดูอยู่ห่าง ๆ”

            รอยเธียรยิ้มให้ผู้สูงวัยกว่าอย่างขอบคุณ

            ผลึกที่รวมพลานุภาพครุฑนาคไว้ด้วยกันอย่างพอดีลงตัวนั้น ย่อมกลายเป็นพลังงานแปลกประหลาดมีอำนาจสูงเกินหยั่งคาด

            ยามไม่แสดงพิษสง มันจะเป็นเหมือนผลึกใสธรรมดา เมื่อมันเปล่งอานุภาพขึ้นมากระทั่งครุฑนาคผู้สร้างก็ยังคาดเดาไม่ได้

            พลังต่างกันสุดขั้วทั้งสองถูกผสมลงตัว ชนิดที่เพิ่มพลังฝ่ายใดอีกนิด ลดพลังฝ่ายใดอีกหน่อยไม่ได้แล้ว เมื่อไรที่มีพลังนาคาหรือครุฑจากภายนอกมากระตุ้นเพื่อให้พลังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหลั่งไหลออกมาใช้งาน ย่อมทำให้สมดุลเปลี่ยนแปลง เกิดแรงปะทะขัดแย้งรุนแรงตามมา

            หากผู้ใช้พลังเข้าไปกระตุ้นไม่อาจรักษาสมดุลแห่งการถ่ายเท-นำเข้าของพลังทั้งสองไว้ได้แล้ว ย่อมเกิดผลกระทบกระเทือนถึงแก่ชีวิตแน่นอน

            พันเกลียวมีความสามารถสูงเยี่ยมก็จริง แต่อำนาจจิตเธอไม่อาจเข้าไปแทรกแซงพลังครุฑ-นาคในผลึกนั้นได้ จำเป็นต้องให้หนึ่งในสองผู้สรรค์สร้างเข้าไปจัดการ เธอทำได้เพียงคอยระวังป้องกันภัยอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น



            ผลึกครุฑนาคถูกวางบนมือพยุหะ รอยเธียรนั่งตัวตรงบนเก้าอี้ข้างเตียง เอื้อมมือไปประกบผลึกบนมืออีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล ดวงตาทอดต่ำมองสองมือที่ประกบมั่น ระลึกถึงครั้งเมื่อร่วมสร้างผลึกก้อนนี้แล้วค่อยถอยจิตกลับไปสู่ความเป็นนาคาผู้ทรงฤทธิ์

            เหตุการณ์วันนั้นกระจ่างชัดในความทรงจำ ด้วยความต้องการทิ้งสิ่งของบางชิ้นไว้ให้หนึ่งสตรี ผู้จะตามมาเกิดเป็นมนุษย์หลังจากพวกตน หนึ่งสตรีผู้มีศรัทธามั่นในองค์ตถาคตเช่นเดียวกับตน และหนึ่งสตรีผู้ที่พวกตนรู้สึกผูกพัน เชื่อมโยงด้วยสายใยบางอย่างที่มองไม่เห็น

            ของชิ้นนั้นจะช่วยปกป้องเธอจากศัตรูร้ายผู้เคยเป็นอาจารย์

            สตรีที่ทำให้หนึ่งครุฑผู้อหังการ กับหนึ่งพญานาคาผู้มีฤทธิ์ลดอัตตาแห่งตน ยอมร่วมมือร่วมใจกันชั่วคราว

            หนึ่งขนครุฑทรงอานุภาพ ถูกหลอมรวมด้วยเพลิงพิษ ใส่พลังนาคาเต็มกำลัง ตามด้วยพลังแห่งครุฑที่เข้ามาประสานเสริมเป็นระยะอย่างถูกที่ถูกเวลา

            ยามนั้นจิตแห่งครุฑและนาคผสานรวมเป็นหนึ่งชั่วขณะ กอปรสร้างสิ่งของทรงอานุภาพยิ่ง กระทั่งผู้สร้างยังคาดคำนวณไม่ถูกว่ามันร้ายแรงเพียงใด

            เมื่อจดจำเส้นทางการสร้างสรรค์ชัดเจนแล้ว รอยเธียรค่อย ๆ ใช้พลังนาคาในตนซึมแทรกเข้าไปภายในผลึกนั้นอย่างช้า ๆ ระมัดระวัง




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ดึกสงัด...ดับไฟแล้วเหลือเพียงแสงสลัวจากนอกหน้าต่าง

            รอยธารานอนพลิกตัวไปมาจนเพื่อนที่นอนข้างต้องเอ่ยปากเบา ๆ

            “น้ำก็นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ”

            ได้ยินเช่นนั้นจึงถือโอกาสพลิกตัวกลับมา แสงสลัวในห้องนอนพอให้เห็นหน้าตากันราง ๆ

            “หลับได้ก็แปลกแล้วมา ไม่รู้ข้างบนเป็นยังไงกันบ้าง มันเงียบจนน่ากลัว”

            “ถ้าจะทำให้น้ำสบายใจขึ้นนะ...ตอนนี้มาไม่เห็นนิมิตอะไรไม่ดีเลย” มัชฌิมากระซิบบอก

            รอยธาราถอนใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้จะพูดอย่างไร

            “มาไม่สงสัยเหรอว่าคุณพายุไปโดนอะไร...ทำไมพี่ลุยถึงยืนยันไม่ยอมให้หมอตรวจอาการ ต้องพามาหาป้าพันเกลียวอย่างเดียว”

            “สงสัย” มัชฌิมายอมรับ “แต่มาเชื่อว่าพี่ลุยต้องมีเหตุผลที่ทำอย่างนั้น”

            “ทำไมถึงมั่นใจพี่ลุยจัง...น้ำเป็นน้องแท้ ๆ ยังไม่ค่อยไว้ใจเลย” รอยธาราถามนำเชิงกระตุ้นอีกฝ่าย

            “ไม่รู้สิ” มัชฌิมาอธิบายไม่ถูก “น้ำจำงานอีเวนท์ที่พี่ลุยเพิ่งไปออกมาล่าสุดได้มั้ย”

            “อือจำได้ วุ่นวายน่าดู”

            วันนั้นมีอีกาฝูงใหญ่พังกระจกห้องจัดเลี้ยง แล้วพากันบินว่อนทั่วห้างสรรพสินค้า กว่าเหตุการณ์สงบก็ใช้เวลาพอสมควร

            “หลังจากวันนั้น มาไม่มีโอกาสคุยกับน้ำ เลยยังไม่ได้เล่าเรื่องสำคัญบางเรื่องให้ฟัง”

            “เรื่องอะไร” รอยธาราสนใจ

            มัชฌิมาเล่านิมิตอนาคตที่ตนเห็นฝูงอีกาบุกโจมตีรอยเธียร ก่อนที่จะรีบเข้าไปเตือนเขาจนทั้งคู่หลบขึ้นไปบนดาดฟ้า เผชิญการจู่โจมจากนกขนาดใหญ่สามตัว แล้วเอาตัวรอดมาได้อย่างน่าพิศวง

            พอฟังจบรอยธาราบ่นขึ้นอย่างหมั่นไส้

            “แหมทีเรื่องอย่างนี้ ไอ้พี่บ้ามันไม่เล่าให้ฟังเลย”

            มัชฌิมาพยายามพูดเข้าข้างชายหนุ่ม

            “พี่ลุยคงไม่รู้จะเล่ายังไงมั้ง...อีกอย่างมาก็ไม่กล้าบอกเรื่องนิมิตอนาคตกับพี่ลุยเหมือนกัน วันนั้นพี่เขายังพูดประมาณว่า...เราต่างก็มีความลับบอกไม่ได้เหมือนกัน เลยต้องต่างคนต่างเงียบ”

            รอยธาราถอนใจเฮือกใหญ่ ในฐานะที่ตนรู้ ‘ความพิเศษ’ ทั้งสองฝ่ายแต่ปริปากบอกใครไม่ได้

            “จริงสิ มาสนิทกับคุณพายุได้ยังไง”

            “เรื่องมันยาว” มัชฌิมาเริ่มต้นโดยไม่ปิดบัง “ตอนนั้นน้ำกับพี่ลุยไปวัดป่ากัน เลยไม่มีโอกาสเล่า...”

            ด้วยความเป็นเพื่อนสนิทคนเดียว พูดคุยกันทุกเรื่องแม้แต่ความลับอย่างการเห็นนิมิตอนาคต มัชฌิมาจึงเริ่มเล่าตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอพยุหะ ไปจนถึงประสบการณ์ประหลาดร่วมกันที่หน้าล็อบบี้ประชาสัมพันธ์บริษัท

            พอเล่าเหตุการณ์นั้นมันก็ลามมาถึงเหตุลิฟต์ค้างในวันต่อมา การที่หล่อนสลบไสลแล้วฝันถึงเรื่องราวในอดีตสมัยพุทธกาล จนกระทั่งฟื้นขึ้นมาพบพยุหะอยู่ข้างเตียง

            รอยธาราเทียบเคียงเรื่องราวมัชฌิมากับประสบการณ์ผจญภัยของตน แน่ใจว่าเป็นวันเดียวกัน อีกทั้งช่วงเวลาที่สลบไสลฝันถึงอดีตชาติ ก็เป็นเวลาเดียวกับที่รอยเธียรขึ้นไปบนถ้ำหลังเขา สามารถทบทวนเรื่องราวชาติก่อนจนหมด

            ไม่แปลกที่รอยเธียรกับมัชฌิมาระลึกชาติได้ในเวลาใกล้เคียง ต่างกันเพียงฝ่ายหนึ่งมั่นใจว่าเป็นชาติก่อนของตน ส่วนอีกฝ่ายคิดว่าเป็นแค่ความฝัน...หนำซ้ำยังจดจำเรื่องทั้งหมดไม่ได้ด้วย

            “เดี๋ยวนะ...มาฝันถึงแค่ตอนที่กัลยาแยกทางกับวินตกะ ชัยยะแล้วเข้าไปในเมืองอมฤตใช่มั้ย” รอยธาราถามย้ำ

            “ใช่...แล้วมาก็ไม่เห็นเรื่องราวหลังจากนั้นอีกเลย”

            รอยธาราเป่าลมจากปากดังฟู่ นึกอึดอัดขัดใจอยากเล่าเหตุการณ์สำคัญต่อจากนั้นใจจะขาด

            “มาคิดว่าความฝันนั้นเป็นเหตุการณ์ในชาติก่อนจริงมั้ย” รอยธาราถามเพื่อเปิดทาง

            “มันพูดยาก” มัชฌิมาลังเลไม่แน่ใจ “มาอยากเชื่อว่ามันเป็นแค่ความฝัน แต่ทุกอย่าง ทุกเรื่อง ทุกความรู้สึกมันเหมือนจริงเหลือเกิน จนมารู้สึกว่าตัวเองคือกัลยา...มีความคุ้นเคย สนิทสนมกับ...เอ่อ...”

            หญิงสาวไม่กล้าอธิบายความรู้สึกจนหมด คนเป็นเพื่อนจึงพูดต่อเสียเอง

            “กับ...ชัยยะ วินตกะ พญานาค พญาครุฑแปลงสองคนนั่นใช่มั้ย”

            “ใช่” คนเล่ายอมรับ “มาไม่เคยเห็นหน้าพวกเขามาก่อน...แต่ตอนที่อยู่ใกล้มันคุ้นเคยในลักษณะ นิสัย แววตาคลับคล้ายคนจริง ๆ ที่รู้จักในปัจจุบัน”

            “ใครล่ะ” รอยธาราใจร้อนแทบอยากเฉลยเสียเอง

            มัชฌิมานิ่งทบทวนความรู้สึก ความทรงจำต่อบุคคลในฝันทั้งสองอย่างกระจ่างชัด มั่นใจว่ามีส่วนคล้ายผู้ชายสองคนที่ตนรู้จักในปัจจุบัน แต่ไม่กล้าเอ่ยชื่อพวกเขาออกมา

            “พี่ลุย...ใช่หนึ่งในสองคนนั่นมั้ย” รอยธาราต้องเอ่ยชื่อแรกออกมาเอง

            มัชฌิมาไม่แปลกใจ ถามกลับด้วยไม่กล้าตอบชัดเจนขนาดนั้น

            “ทำไมน้ำถึงคิดว่ามีพี่ลุยอยู่ในนั้นด้วยล่ะ”

            “โธ่เอ๊ย ผู้ชายที่สนิทสนมกับมามีกี่คนเชียว น้ำรู้จักหมดแหละ...และทั้งหมดนั้นมีพี่ลุยเข้าข่ายที่สุด ที่น้ำอยากรู้คือ...อีกคนเป็นใคร?”

            โดนจี้ขนาดนี้มัชฌิมาไม่มีความจำเป็นต้องเก็บงำอีกชื่อไว้

            “อีกคนก็คุณพายุ...มารู้สึกว่าเขาคล้าย...วินตกะ...พญาครุฑ”

            “ถ้างั้นพี่ลุยก็คล้าย...ชัยยะ...พญานาค” รอยธาราต่อให้

            “อือ...แต่มาขอเลยนะ น้ำอย่าบอกเรื่องนี้ให้พี่ลุยกับคุณพายุรู้เชียว มันฟังประหลาดเกินไป”

            รอยธาราอยากหัวเราะขันเพื่อนสนิท เจ้าหล่อนช่างไม่รู้เลยว่า ผู้ชายสองคนนั่นรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว หนำซ้ำยังรู้มากกว่าเธอเสียอีก

            “เออ ไม่บอกหรอก” รอยธารารับปาก

            ที่จริงตัวเธอก็มีเรื่องปิดบังเพื่อนสนิทอยู่หลายเรื่องเช่นกัน เพราะไม่เห็นความจำเป็นต้องเล่าออกไป โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับรอยเธียร



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP