จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

ธรรมคุณ


งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it



destination299


ในช่วงนี้ก็ถึงช่วงเวลาส่งท้ายปีเก่า ๒๕๖๓ และต้อนรับปีใหม่ ๒๕๖๔ แล้ว
หากในระหว่างปี เราไม่ค่อยได้ทบทวนถึงการพัฒนาทางธรรมของเราแล้ว
ในช่วงนี้ก็เป็นเวลาที่น่าจะทบทวนว่า ในปีที่ผ่านมา เราได้พัฒนาทางธรรมเพียงไร
เช่น เราลดอกุศลใดให้น้อยลงได้บ้าง หรือละเลิกอกุศลใดได้บ้าง
เราได้เจริญกุศลใดที่เคยทำอยู่แล้ว หรือได้ทำกุศลใหม่ ๆ อะไรบ้าง เป็นต้น
โดยเมื่อทบทวนแล้ว ก็จะได้นำมาปรับปรุงข้อปฏิบัติของตนเองให้ดียิ่งขึ้น



ในคราวนี้ เราจะมาสนทนากันในเรื่องของ “ธรรมคุณ” ครับ
ซึ่งในเวลาที่เราได้สวดมนต์ทำวัตรนั้น
เราก็ย่อมจะได้สวดบทธรรมคุณกันเป็นประจำ
โดยใน “มหาปรินิพพานสูตร” (พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต)
กล่าวสอนว่า “ผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมว่า
พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว อันผู้ปฏิบัติพึงเห็นเอง
ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน
อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน”
https://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=10&A=1888&Z=3915&pagebreak=0



ในกรณีนี้ เราก็อาจจะมีคำถามว่าด้วยเหตุอย่างไร
เราจึงจะเห็นธรรมคุณดังเช่นในพระสูตรได้กล่าวมา?
ในเรื่องนี้ ใน “ปริพาชกสูตร” (พระสุตตันตปิฎก
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต) ได้เล่าว่า
ในสมัยหนึ่ง พราหมณ์ปริพาชกคนหนึ่งได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
และกราบทูลถามว่า ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล
ธรรมจึงเป็นคุณชาติอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง
ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู
ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน



ในปัญหานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ดูกรพราหมณ์ บุคคลผู้กำหนัด ถูกราคะครอบงำ มีจิตอันราคะกลุ้มรุมแล้ว
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนคนอื่นบ้าง
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้งสองฝ่ายบ้าง
ย่อมเสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิตบ้าง เมื่อละราคะได้แล้ว
ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเองเลย
ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนคนอื่น
ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้งสองฝ่าย
ย่อมไม่เสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิต



ดูกรพราหมณ์ บุคคลผู้กำหนัด ถูกราคะครอบงำ
มีจิตอันราคะกลุ้มรุมแล้ว ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย
ย่อมประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อมประพฤติทุจริตด้วยใจ
เมื่อละราคะได้เด็ดขาดแล้ว ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยกาย
ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยใจ



ดูกรพราหมณ์ บุคคลผู้กำหนัด ถูกราคะครอบงำ
มีจิตอันราคะกลุ้มรุมแล้ว แม้ประโยชน์ของตนก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ของคนอื่นก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
เมื่อละราคะได้เด็ดขาดแล้ว แม้ประโยชน์ของตนก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ของคนอื่นก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ด้วยเหตุดังกล่าวมาฉะนี้แล
ธรรมย่อมเป็นคุณชาติอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง
ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู
ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน



ดูกรพราหมณ์ บุคคลผู้โกรธ ถูกโกรธครอบงำ มีจิตอันโกรธกลุ้มรุมแล้ว
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนคนอื่นบ้าง
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้งสองฝ่ายบ้าง
ย่อมเสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิตบ้าง
เมื่อละโกรธได้แล้ว ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเองเลย
ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนคนอื่น
ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้งสองฝ่าย
ย่อมไม่เสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิต



ดูกรพราหมณ์ บุคคลโกรธ ถูกโกรธครอบงำ
มีจิตอันโกรธกลุ้มรุมแล้ว ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย
ย่อมประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อมประพฤติทุจริตด้วยใจ
เมื่อละโกรธได้เด็ดขาดแล้ว ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยกาย
ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยใจ



ดูกรพราหมณ์ บุคคลผู้โกรธ ถูกโกรธครอบงำ
มีจิตอันโกรธกลุ้มรุมแล้ว แม้ประโยชน์ของตนก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ของคนอื่นก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
เมื่อละโกรธได้เด็ดขาดแล้ว แม้ประโยชน์ของตนก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ของคนอื่นก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ด้วยเหตุดังกล่าวมาฉะนี้แล
ธรรมย่อมเป็นคุณชาติอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง
ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู
ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน



ดูกรพราหมณ์ บุคคลผู้หลง ถูกโมหะครอบงำ มีจิตอันโมหะกลุ้มรุมแล้ว
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนคนอื่นบ้าง
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้งสองฝ่ายบ้าง
ย่อมเสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิตบ้าง
เมื่อละโมหะได้เด็ดขาดแล้ว ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเองเลย
ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนคนอื่น
ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้งสองฝ่าย
ย่อมไม่เสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิต



ดูกรพราหมณ์ บุคคลผู้หลง ถูกโมหะครอบงำ
มีจิตอันโมหะกลุ้มรุมแล้ว ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย
ย่อมประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อมประพฤติทุจริตด้วยใจ
เมื่อละโมหะได้เด็ดขาดแล้ว ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยกาย
ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยใจ



ดูกรพราหมณ์ บุคคลผู้หลง ถูกโมหะครอบงำ
มีจิตอันโมหะกลุ้มรุมแล้ว แม้ประโยชน์ของตนก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ของคนอื่นก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
เมื่อละโมหะได้เด็ดขาดแล้ว แม้ประโยชน์ของตนก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ของคนอื่นก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
ดูกรพราหมณ์ แม้ด้วยเหตุดังกล่าวมาฉะนี้แล
ธรรมย่อมเป็นคุณชาติอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล
ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=4117&Z=4159&pagebreak=0



ดังนี้จึงตอบปัญหาดังกล่าวได้ว่า ด้วยเหตุที่ละราคะได้เด็ดขาดแล้ว
ละโกรธได้เด็ดขาดแล้ว และละโมหะได้เด็ดขาดแล้ว
ธรรมย่อมเป็นคุณชาติอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล
ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP