วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๑๐



cover Amarit



ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว) 



            “บ่าย ๆ ขึ้นไปภาวนาบนถ้ำท้ายวัดนะ แบกกลดไปด้วย...คืนนี้นอนที่นั่นเลย” หลวงน้าบอกหลานชาย

            “ครับ”

            คนต้องขึ้นไปบนถ้ำไม่แสดงปฏิกิริยาใด ตัวน้องสาวกลับสงสัยโอดครวญแทน

            “ให้พี่ลุยขึ้นไปภาวนาบนถ้ำเลยหรือคะ แล้วนอนที่นั่นทั้งคืนไม่กลัวผีหลอกเหรอ?”

            “เออ...แล้วเราเดือดร้อนอะไรด้วย” ผู้ทรงศีลย้อนหลานสาว

            “แหม ก็น้ำเป็นห่วงนี่คะ ไหนจะเรื่องกิน ไหนจะอันตรายจากสัตว์ร้าย...ผีสาง” หญิงสาวจาระไนเรื่อยเปื่อย

            “ถ้าห่วงเรื่องกินก็ห่อข้าวให้พี่ชายเราสิ ส่วนสัตว์ร้ายจะไปกลัวอะไร เพื่อนเก่าเจ้าลุยอยู่ออกเต็มป่า แล้วผีสางน่ะเคยทำอะไรมันได้หรือไง”

            โดนตอกกลับอย่างนั้นรอยธาราหัวเราะแหะแหะ เจตนาจริงอยากให้หลวงน้าบอกเหตุผลแท้จริงที่ต้องการให้รอยเธียรขึ้นไปบนถ้ำนั้นมากกว่า

            พระอาจารย์ราเมศว์มองหน้าหลานสาวอย่างเข้าใจ แต่จงใจไม่พูดไม่อธิบายอะไร

            “พูดถึงแต่พี่ชาย ตัวเราเองน่ะอยู่วัดทำอะไรบ้าง” หลวงน้าไล่เบี้ยหลานสาว

            “ช่วยคุณแม่ชีทำอาหารถวายพระไงคะ” ตอบตาใส

            “มาอยู่วัดทั้งทีจะบำเพ็ญบุญแค่นี้หรือไง ทำไมไม่ขยันภาวนา เราน่ะฟุ้งซ่านเกินไปแล้ว ขยันรู้สึกตัวบ่อย ๆ อย่าคลุกคลีโลกมากเกินไป อยู่วัดก็หัดวัดใจ...ดูจิตตัวเองบ้างว่าวัน ๆ หนึ่งเผลอบ่อย เผลอยาวขนาดไหน”

            โดนหลวงน้าเทศน์เป็นชุด ใจที่เผลอเพลิดเพลินค่อยเข้าที่ รู้สึกตัวมากขึ้น

            “เจ้าค่ะ” ตอบเสียงอ่อย หน้าเจี๋ยมเจี้ยมจนพี่ชายนึกขัน

            “นอกจากเตรียมกลดไปนอนในถ้ำแล้ว ต้องเอาอย่างอื่นไปด้วยมั้ยครับ” รอยเธียรถาม

            “เอาของที่ได้เมื่อคืนไปด้วย”

            “ได้ครับ” ชายหนุ่มนึกถึงเกล็ดพญานาคที่อยู่ในกระเป๋าตนเองได้

            รอยธาราขยับปากจะถามว่า ‘ของ’ ที่พูดถึงคืออะไร...สติรู้ทันความคิดโดยอัตโนมัติ ความสงสัยดับวูบ หมดคำถามทันที

            หลวงน้าหันมายิ้ม

            “ใช้ได้ โดนดุแล้วมีสติแบบนี้ถือว่าไม่เปลืองน้ำลายคนแก่”

            หญิงสาวยกมือประณมกึ่งงอนนิด ๆ

            “เจ้าค่ะ”

            ที่จริงรอยธารามีคำถาม ข้อสงสัยหลายเรื่อง ทว่ายามอยู่ต่อหน้าหลวงน้า กิเลสความสงสัยอยากรู้ล้วนหลบเร้น กลัวผู้ทรงศีล ไม่กล้าออกหน้าออกตา สติทำงานดี คอยระมัดระวัง สังเกตใจโดยอัตโนมัติ ไม่ปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่านวุ่นวายนานเกินไป





- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -





            ถ้ำท้ายวัด

            ตัวถ้ำลึกประมาณสิบกว่าเมตร เป็นถ้ำตันไม่มีช่องทางออกด้านอื่น พออาศัยหลบแดดฝนให้ผู้ทรงศีลใช้บำเพ็ญภาวนาอย่างเหมาะสมพอดี

            หน้าถ้ำเป็นลานหินกว้าง มองลงไปเห็นแนวป่าเบื้องล่าง ทิวเทือกเขาเขียวชอุ่มยาวสุดสายตา

            ดวงตะวันคล้อยต่ำใกล้ถึงยามสนธยา

            รอยเธียรยืนมองท้องฟ้าด้วยจิตใจชุ่มเย็นเป็นสุข จิตตั้งมั่นผ่อนคลายโดยไม่ต้องกดข่มบังคับ ความรู้สึกแผ่กว้างครอบคลุมอาณาเขตรอบตัว ก่อนหดรวมช้า ๆ เข้ามายังกลางอก

            ระบายลมหายใจผะแผ่ว สัมผัสถึงเกล็ดนาคาในกระเป๋าเสื้อชัดเจน รู้สึกถึงน้ำหนักและความเย็นเจือจางที่แผ่ออกมาเป็นระยะ

            ชายหนุ่มรู้แล้วว่าหลวงน้าให้ตนขึ้นมาภาวนาบนถ้ำนี้เพื่ออะไร?

            ตั้งแต่บ่ายจนถึงเวลานี้ เขาเดินจงกรมสลับกับนั่งสมาธิ จนกระทั่งมายืนภาวนาบนลานหินหน้าถ้ำ จิตทรงตัวมีกำลังเป็นช่วง ๆ และเผลอหลุดส่งออกนอกเป็นระยะเช่นกัน

            แต่ละครั้งที่เผลอส่งจิตออกนอก มันไปกระตุ้นความทรงจำ รับรู้เรื่องราวในภพก่อนเป็นฉาก ๆ อาจไม่ใช่ภาพชัดเจนกระจ่างนัก แค่พอคลำเรื่องราวโดยรวมได้มากกว่าเดิม

            ถึงเวลานี้รู้ว่าต้องรอยามสนธยา...รอยต่อระหว่างตะวันกับจันทรา บุคคลทั้งสามจะร่วมย้อนรอยอดีต ระลึกชาติพร้อมกัน

            หนึ่งครุฑ หนึ่งนาค และหนึ่ง...นางมนุษย์

            สามชีวิตถูกโยงใยด้วยสายบุญสายกรรมอันน่าประหลาด ทว่าชวนอบอุ่นใจ

            ใบหน้ารอยเธียรอ่อนละมุน อาบด้วยแสงตะวันลำสุดท้าย...สนธยามาถึงแล้ว










บทที่ ๘




            นิมิตอนาคตปรากฏในหัวมัชฌิมาอีกครั้ง

            “มาว่าวันนี้เราอย่าเพิ่งเลี้ยงฉลองดีกว่าค่ะ” มัชฌิมาบอกกับนัตตี้ เลขาหัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์

            “ทำไมล่ะจ๊ะหนู...หัวหน้าแกให้ตังค์พี่มาตั้งแต่เมื่อวาน บอกให้พาเธอกับพวกน้อง ๆ ไปเลี้ยงมื้อเย็นกัน ถ้าเมื่อวานฝนไม่ตกหนัก ทุกคนมีภารกิจด่วน ป่านนี้คงอิ่มแปล้กันหมดแล้ว”

            “เอ่อ...วันหลังดีกว่าค่ะ มายังไม่ได้บอกคุณป้าเลยว่าจะกลับค่ำ กลัวท่านเป็นห่วง”

            “โทรบอกตอนนี้ก็ได้นะหนู” นัตตี้แนะนำ

            หญิงสาวพยายามฝืนยิ้ม ลองกดโทรศัพท์หาป้าพันเกลียว ปรากฏว่าไม่มีสัญญาณตอบรับ

            “โทรไม่ติดค่ะ สงสัยแบตหมด คุณป้าท่านไม่ค่อยสนใจชาร์ตแบตโทรศัพท์” มัชฌิมาอธิบาย

            “งั้นเหรอ” นัตตี้ถอนใจ รู้สึกว่าเหตุผลที่เด็กฝึกงานยกมาอ้างไม่ค่อยมีน้ำหนักนัก

            “เอ่อ...วันนี้วันเกิดน้องมีมี่...พี่นัตตี้น่าจะไปรับแกที่โรงเรียนเป็นเซอร์ไพรซ์วันเกิดดีมั้ยคะ” หญิงสาวเปลี่ยนประเด็น

            “เดี๋ยวรถตู้ก็พาแกมาส่งที่บริษัทอยู่ดีแหละหนู” นัตตี้ไม่ใส่ใจ

            โรงเรียนลูกสาวเธออยู่ไม่ไกลออฟฟิศนัก เนื่องจากเลิกงานเย็นจึงให้ลูกสาวนั่งรถตู้โรงเรียนมาลงที่บริษัท แล้วค่อยกลับบ้านพร้อมกัน

            “แหม...วันเกิดแกทั้งที น่าจะเซอร์ไพรซ์ด้วยการไปรับที่โรงเรียน แล้วพาไปกินไอศกรีมก่อนนะคะ” มัชฌิมาพยายามโน้มน้าวใจ “อีกอย่างช่วงบ่ายหัวหน้าไม่อยู่ด้วย พี่นัตตี้ก็ว่าง...กินเลี้ยงกันเองวันไหนก็ได้ค่ะ แต่วันเกิดน้องมีมี่แค่ปีละครั้งเดียวนะคะ”

            “อือ...เอาอย่างนั้นก็ได้ งั้นเลื่อนงานฉลองของหนูเป็นวันพรุ่งนี้แล้วกัน เย็นนี้กลับไปขออนุญาตคุณป้าซะนะจ๊ะ พรุ่งนี้ห้ามเบี้ยวอีก”

            “ค่ะพี่นัตตี้” มัชฌิมายิ้มกว้างโล่งอก

            หญิงสาวเคยพบเด็กหญิงมีมี่ ลูกสาวนัตตี้บ่อย ๆ เพราะแม่หนูต้องมารอคุณแม่เลิกงาน

            นิมิตอนาคตที่มัชฌิมาเห็นวันนี้คือ รถตู้นักเรียนที่แม่หนูน้อยโดยสารเกิดอุบัติเหตุระหว่างทางมาออฟฟิศ

            เธอไม่ทราบว่าเด็กในรถเป็นอย่างไรบ้าง สิ่งที่พอทำได้คือพยายามโน้มน้าวใจให้นัตตี้ไปรับลูกสาวด้วยตัวเอง




            หลังประสบเหตุประหลาดเมื่อเย็นวาน มัชฌิมาคิดว่านิมิตอนาคตคงไม่เกิดกับตนอีกแล้ว พอวันนี้สวมผลึกครุฑนาคติดตัว นิมิตก็ปรากฏตอนบ่าย เสมือนอำนาจแห่งผลึกช่วยขับไล่ม่านหมอกเวทมนตร์ที่ครอบคลุมปิดบังนิมิตตน

            ตลอดบ่ายจนเลิกงานมัชฌิมาทำงานปลอดโปร่ง เห็นนัตตี้ออกไปรับลูกสาวก่อนเวลาเลิกเรียนตามที่พูดค่อยสบายใจโล่งอก

            เสร็จงานตอนเย็นเตรียมกลับบ้าน ยืนรอลิฟต์พร้อมพนักงานอื่นอีกสามคน

            ...ติ้ง...ลิฟต์หยุด ประตูเปิดด้านในว่าง มัชฌิมากับพนักงานอีกสามคนเข้าไปในนั้น

            กระแสบางอย่างหมุนวนในอก บอกไม่ถูกมันคืออะไร...พอปล่อยทิ้งชั่วครู่ก็กลายเป็นก้อนแน่นเสียดกลางอกแบบไม่รุนแรงนักจึงปล่อยทิ้งไว้ไม่สนใจ

            ไม่นาน...มัชฌิมาค่อยทราบ นั่นคือสังหรณ์ร้าย การเตือนภัยที่ไม่อาจแปลเป็นภาพนิมิต

            ...ตึก...ลิฟต์กระตุกวูบแล้วหยุดนิ่ง

            หญิงสาวใจหายวาบ คนในลิฟต์ตื่นตระหนก เสียงหวีดร้องดังสั้น ๆ จากผู้หญิงที่ยืนใกล้ประตู

            ทุกสิ่งอยู่ในสภาวะนิ่งค้างประมาณชั่ววินาที จากนั้นลิฟต์ก็หล่นวูบราวกับสายเคเบิลขาด

            ครืดดดด...กรี้ดดดด...ลิฟต์ไหลลงอย่างรวดเร็วผสานเสียงหวีดร้องลากยาวสุดชีวิตจากหญิงสาวหน้าลิฟต์คนเดิม

            มัชฌิมาหน้าซีดหลังพิงผนังพยายามตั้งสติ ผู้ชายอีกสองคนใบหน้าซีดเผือด ปราศจากสีเลือดใช้มือยันผนังทรงตัวไม่ให้ล้ม ท่าทางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวไม่ต่างกัน

            ...ตึง...ลิฟต์ค้างเติ่งเหมือนเบรกอัตโนมัติเพิ่งทำงาน ช่วงเวลาผ่านไปไม่เกินสิบวินาที ทำให้ทั้งสี่คนในลิฟต์เกือบหัวใจวาย

            ผู้ชายหนึ่งในสองรีบกดกริ่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ผู้ชายอีกคนรีบโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ผู้หญิงหน้าประตูนั่งกอดเข่าตกใจตัวสั่นร้องไห้น้ำตานองหน้า ผู้ชายสองคนเห็นอย่างนั้นก็รีบนั่งลงพยายามพูดจาปลุกปลอบให้กำลังใจ

            ส่วนมัชฌิมาเข่าอ่อนทรุดนั่งกับพื้น ใบหน้าเผือดอาการดูไม่แย่เท่าไหร่

            ทว่า...คนที่ภายนอกไม่น่าเป็นห่วงกลับอาการแย่กว่าใคร

            หญิงสาวรู้สึกอากาศรอบตัวเข้มข้นเหมือนถูกบีบอัดหนาแน่น กลิ่นฉุนแปลกอบอวลไปทั่ว หัวใจเต้นถี่เร็วเหมือนจะหลุดจากขั้ว ลมหายใจขัด ๆ ระบายไม่ค่อยออก

            เธอนิมิตเห็นรถตู้นักเรียนจะเกิดอุบัติเหตุ แต่กลับไม่ทราบ ลิฟต์ที่ใช้งานประจำจะเกิดเหตุขัดข้อง เกิดเรื่องประหลาดน่าหวาดเสียวกับตัวขนาดนี้

            หญิงสาวไม่มีสติปัญญาไตร่ตรองหาคำตอบเหตุผลที่อยู่เบื้องหลัง ทำได้เพียงพยายามสูดลมหายใจลึก ๆ ต่อสู้กับอาการทางกาย บีบมือแน่นเรียกความรู้สึกตัว

            พยายามลืมตามอง ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือชายทั้งสอง แต่พวกเขามัวปลุกปลอบผู้หญิงหน้าประตูซึ่งเธอเพิ่งคลายความแตกตื่นตกใจ ยังคุมสติไม่ได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

            มัชฌิมาจำเป็นต้องช่วยตัวเอง ระลึกถึงผลึกครุฑนาคใต้คอเสื้อ พยายามเอื้อมมือแตะมันเบา ๆ นึกภาวนาในใจ

            ...หากของสิ่งนี้สามารถช่วยเธอจากบุคคลผู้มองไม่เห็นตัวได้จริง ก็ขอให้เธอพ้นจากความอึดอัดทรมานนี้ด้วย...

            ผลึกส่งความร้อนเบาบางทะลุผิวกาย ซึมซ่านทั่วร่าง คลี่คลายอาการอึดอัดกลางอก หัวใจเต้นเป็นปกติขึ้น กลิ่นฉุนแปลกจางหาย ลมหายใจเข้าออกตามปกติ

            นอกจากนั้นยังค่อย ๆ แผ่เป็นเกราะรอบตัว ทว่าพลังงานมืดดำภายนอกก็เร่งทวีความรุนแรงขึ้นโดยไม่หยุด ราวกับคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้จงใจประลองฝีมือกับผลึกในตัวเธอ

            อำนาจแห่งผลึกกับพลังมืดภายนอกโรมรัน ต่อสู้ยันกันนานเท่าไรยากจะตอบ หญิงสาวรู้สึกเหมือนตนเองอยู่ในแคปซูลอะไรสักอย่าง ไม่เจ็บปวดทรมาน แต่ไม่อาจรู้ว่าเกิดสิ่งใดรอบตัวบ้าง

            เวลาผ่านไป สติเธอดับหายเป็นวูบ ๆ นัยน์ตาลืมไม่ขึ้น ฝืนรู้สึกตัวอย่างยากเย็น หูแว่วเสียงก้อง ๆ อื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์

            “น้อง...น้อง...เป็นอะไรมากมั้ย” เสียงผู้ชาย

            “นี่เด็กฝึกงานแผนกประชาสัมพันธ์หรือเปล่า...เป็นลมไปแล้ว...” ผู้ชายอีกคนพูดบ้าง

            “ใช่เด็กฝึกงานจริง ๆ ด้วย อดทนอีกนิดนะคะน้อง เดี๋ยวเจ้าหน้าที่เขามาเปิดประตูให้เราแล้ว” ผู้หญิงที่หน้าประตูลิฟต์คงได้สติ พอเห็นมีคนอาการหนักกว่าตนเองจึงรีบมาช่วยดูแลเหมือนกัน




            มัชฌิมารู้สึกถึงแรงมือที่มาบีบนวด กลิ่นยาดมแตะจมูก สมองมึนเบลอทำอะไรไม่ถูก รู้สึกเหมือนยังอยู่ในแคปซูลแน่นหนาแต่พลังมืดด้านนอกก็โจมตีไม่หยุดเหมือนกัน

            เสียงผู้ชายพูดโทรศัพท์ดังโหวก ๆ

            “รีบเปิดประตูลิฟต์ด่วนเลยครับ...มีเด็กฝึกงานท่าทางเหมือนจะเป็นลม หน้าซีดตัวเกร็ง แต่ยังไม่ถึงขั้นชักครับ”

            “บอกเขาเรียกรถพยาบาลดีกว่า” เสียงผู้หญิงพูดแทรกอย่างเป็นห่วง “อาการน้องเขาน่าเป็นห่วง ออกจากลิฟต์จะได้ไปโรงพยาบาลเลย”

            เวลาผ่านนานเท่าไรบอกไม่ถูก มัชฌิมาได้ยินเสียงงัดเปิดประตูลิฟต์ เสียงโห่ร้องยินดี เสียงเอะอะวุ่นวาย จากนั้นรู้สึกเหมือนโดนอุ้มใส่เปลแล้วยกออกมา

            หญิงสาวอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น พยายามฝืนหรี่ตามองสภาพปัจจุบันของตน เห็นไฟไซเรนแดงวะวาบของรถพยาบาลอยู่นอกตัวอาคาร ร่างถูกพาออกไปเพื่อขึ้นท้ายรถที่เปิดรอ

            เวลาขณะนี้เย็นมากแล้ว ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม ลำแสงสนธยากำลังระบายสีสั่งลาท้องฟ้า...แสดงว่าเหตุการณ์ในลิฟต์ไม่นานเท่าที่คิด

            ผลึกครุฑนาคแผ่ความร้อนเพิ่มอีกระลอก ขับไล่พลังมืดที่กดดันรอบตัวจนกระเด็นออกไป สภาพติดอยู่ในแคปซูลจางหาย ร่างกายคล้ายลอยเคว้งคว้างสู่ภวังค์อันไร้ขอบเขต

            ภาพในหัวมัชฌิมาถอยย้อนวันเวลากลับไปเรื่อย ๆ เธอมองเห็นงานศพพ่อแม่ แล้วถอยไปตอนมัธยมปลาย ครอบครัวอยู่พร้อมหน้ามีความสุข ถอยไปอีกตอนมัธยมต้นได้พบลุย...รอยเธียรเป็นครั้งแรก ตอนประถมได้พบน้ำ...รอยธาราเพื่อนรัก เพื่อนสนิท

            จากนั้นความทรงจำก็ถอยยาวไกล...ไกลกว่านั้น...ไกลจนหลุดข้ามเส้นแบ่งภพชาติ ย้อนเวลาไปยังชาติก่อน ๆ

            ย้อนไป...ย้อนไปจนถึงชาติหนึ่ง

            ชาตินั้นเธอเป็นมนุษย์...ชื่อกัลยา...อาศัยอยู่เมืองประหลาดกว่าใคร

            ชื่อเมืองคือ ‘อมฤต’ ความหมายของมันคือ อ-มฤตยู...เมืองที่มฤตยู-ความตาย ย่างกรายไม่ถึง!





- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -





            เสียงเปียโนแผ่วพลิ้วแว่วหวาน ผู้เล่นนั่งตัวตรงปลายนิ้วพร่างพรมบนคีย์แม่นยำ สติสมาธิอยู่กับบทเพลงชนิดไม่พลาดสักตัวโน๊ต

            ผู้ฟังทั่วไปอาจรู้สึกไพเราะเพลิดเพลิน หากเป็นนักฟังเพลงตัวจริง นักดนตรีแท้จะวิจารณ์ตรงไปตรงมาว่าผู้เล่นขาดอารมณ์ร่วม ไม่มีวิญญาณศิลปินแฝงในบทเพลง

            นั่นเพราะผู้เล่นจงใจแยกร่างกายที่กำลังเล่นดนตรี กับจิตใจออกมาเป็นผู้ดูคนละส่วนชัดเจน

            มือทั้งสอง มันสมองจดจ่อเล่นดนตรีตามตัวโน๊ต ส่วนจิตใจถูกแยกออกมาดูร่างกายที่กำลังเล่นดนตรี เห็นร่างกายนั้นเป็นอื่นไม่ใช่ตัวตน

            นี่เป็นเรื่องส่วนตัวข้อหนึ่งซึ่งพยุหะไม่เคยบอกเล่าต่อใคร เขาสามารถเล่นดนตรีอย่างมีจิตวิญญาณอารมณ์ร่วมกับบทเพลงได้ แต่ก็สามารถแยกจิตออกมาเป็นผู้ดูร่างกายตนเองเล่นดนตรีได้เช่นกัน

            ยามทำงานบรรเลงดนตรีให้ผู้คนฟังอย่างมีอารมณ์ร่วม สนุกสนานเคลิบเคลิ้ม เขาจะใส่วิญญาณจมดิ่งลงไปในบทเพลงนั้น ๆ ไม่ต่างจากศิลปินอื่น

            ยามซักซ้อม อ่อนล้า เขาจะเล่นดนตรีแบบปล่อยให้ร่างกายทำงาน บรรเลงเพลงตามตัวโน๊ตแม่นยำด้วยสติสมาธิคมเฉียบ สองมือทำงาน สมองจดจำไล่เลียงลำดับเพลง ร่างกายเคลื่อนไหวตามจังหวะ จิตใจถูกแยกออกเป็น ‘ผู้ดู’ โดยไม่เข้าไปหลอมรวมกับบทเพลงที่บรรเลง

            การเล่นดนตรีอย่างแรกเพื่อให้ผู้ฟังเต็มอิ่มกับอารมณ์ ส่วนการเล่นอย่างหลังทำเพื่อซักซ้อม พักผ่อนจิตใจ ทำให้สติสมาธิคมชัดแจ่มใส

            ไม่มีใครเคยแยกแยะสั่งสอนถึงการเล่นดนตรีสองแบบเช่นนี้ พยุหะค้นพบด้วยตนเองจากการซ้อมแล้วซ้อมเล่า ฝึกฝนอยู่กับดนตรีจนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต แล้วจิตมันเกิดความ ‘แยบคาย’ สังเกตจิตใจตนขณะเล่นดนตรีแต่ละรอบ จนสามารถอ่านใจตนออกแยกแยะได้เอง

            ปลายนิ้วกดตัวโน๊ตสุดท้าย เสียงเปียโนกังวานก่อนเงียบหาย มือดึงฝาเปียโนปิด ลุกขึ้นยืนด้วยสติแจ่มใส มองออกไปนอกระเบียงเห็นท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม แสงสนธยาสาดเข้ามาภายในห้อง

            ชายหนุ่มหยิบก้อนหินลายขนนกมาถือไว้ในมือ เดินไปยืนริมระเบียงแสงตะวันลำสุดท้ายอาบใบหน้า เส้นผมปล่อยยาวไม่รวบมัดสัมผัสกับสายลม

            ก้อนหินในมือบังเกิดความอบอุ่นจากข้างใน แผ่กระไอผ่านฝ่ามือ ชอนไชตามเส้นเลือด เส้นประสาททั่วร่างกาย

            ดวงตาพยุหะมองผืนฟ้าถูกระบายสีด้วยแสงสนธยา ในหัวปรากฏภาพบุคคลสองคนขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ตั้งใจรู้ล่วงหน้า

            มัชฌิมา...หญิงสาวนักพยากรณ์ กับลุย...รอยเธียร ดารานายแบบคนดัง

            ชายหนุ่มไม่สนใจคนทั้งสองปรากฏขึ้นได้อย่างไร จิตใจยังทรงสมาธิจากการเล่นดนตรีทำให้มองดูเฉย ๆ โดยไม่แทรกแซง ไม่ต่างจากดูร่างกายตนเล่นดนตรีเช่นกัน

            ชั่วเวลานั้น เขารู้สึกถึงจิตของบุคคลทั้งสามเคลื่อนเข้ามาอยู่ในระนาบเดียวกันพอดี

            พยุหะนั่งบนเก้าอี้ริมระเบียงอย่างผ่อนคลาย ภาพในหัวย้อนทวนช้า ๆ ไปสู่วันเก่า ๆ ทีละปี ทีละปีอย่างราบรื่นไร้รอยสะดุดจนกระทั่ง

            วินตกะ...กัลยา...ชัยยะ...สามชื่อนี้ผุดขึ้นโดยไม่มีการเกริ่นนำล่วงหน้า ทำให้จิตเขากระโดดข้ามเส้นแบ่งชาติภพไปรับรู้เรื่องราวในอดีตชาติทันที





- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -





            สนธยามาเยือน

            รอยเธียรนั่งห้อยขาบนโขดหินตรงลานกว้างหน้าถ้ำ ใจปลอดโปร่งผ่อนคลาย ใบหน้าละมุนผิดเคย เกล็ดนาคาตรงหน้าอกถ่ายทอดความอบอุ่นออกมา ซึมผ่านผิวกายแผ่ซ่านทั่วร่าง

            เปลือกตาปิดลงด้วยจิตทรงสมาธิ ความทรงจำแจ่มชัดกำลังย้อนทวนช้า ๆ เหมือนระลึกถึงเมื่อวาน วันก่อน ปีก่อน สิบปีที่แล้ว ตอนยังเด็ก จนข้ามไปถึง...อดีตชาติที่ผ่านมา

            นาม...ชัยยะนาคากระจ่างแก่ใจ เขาคือหนึ่งในสององครักษ์ของกุมภนาคราช องค์พญานาคราชยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง

            ครั้นเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก กุมภนาคราชได้พาสององครักษ์ ทัตตะนาคา ชัยยะนาคา พร้อมด้วยเหล่าบริวารไปเข้าเฝ้าพระองค์ เพื่อร่วมฟังธรรมในเวลาเดียวกับทวยเทพ ยักษ์ ครุฑ นาคอื่น ๆ

            เมื่อฟังธรรมจนอิ่มแก่ใจแล้ว กุมภนาคราชยังไม่พาบริวารกลับเมืองบาดาลทันที นาคราชผู้นั้นได้เลือกขุนเขาซึ่งปลอดจากการปกครองของผู้ใด ใช้เป็นที่พำนักชั่วคราว จะได้ไปเข้าเฝ้าฟังธรรมจากพุทธองค์ได้สะดวกบ่อยครั้ง

            นั่นเพราะเหล่าทวยเทพ ยักษ์ ครุฑ นาคผู้เคารพศรัทธาพระองค์ย่อมทราบแก่ใจ ช่วงเวลาการถือกำเนิดของพระพุทธเจ้านั้นสั้นนัก ช่วงเวลาแสดงธรรมโปรดสัตว์ก็ยิ่งน้อยนิดเมื่อเทียบกับเวลาของภพภูมิต่าง ๆ

            สรรพสัตว์ผู้เคารพรักพระองค์จึงถือว่า...นี่คือวินาทีทองของวัฏสงสาร ไม่มีใครยอมประมาท เพิกเฉยนอนใจในยามที่พระองค์ดำรงขันธ์อยู่แน่นอน

            การจำศีลพำนักที่มนุษยภูมิชั่วคราว ทำให้ชัยยะนาคารู้จักบุคคลผู้ไม่เคยคิดว่าจะได้ร่วมทางกันเลย

            สองบุคคลนั้นคือหนึ่งครุฑ และหนึ่งนางมนุษย์จากเมืองประหลาด





- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -





            กัลยา...นามในชาติก่อนของมัชฌิมา

            เธอเป็นหนึ่งในสามศิษย์ของท่านอาจารย์เนวะ...นักปราชญ์ทรงฤทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองอมฤต

            ‘เมืองอมฤต’ เป็นเมืองลับแล ถูกบดบังอำพรางอย่างเร้นลับ ซ่อนตัวหุบเขากลางป่า สายตามนุษย์ทั่วไปไม่อาจแลเห็น เนื่องด้วยมันอยู่อีกมิติหนึ่งซึ่งซ้อนเหลื่อมกับโลกมนุษย์

            คำว่า ‘อมฤต’ ย่อมหมายถึง อ-มฤตยู ผู้ซึ่งมฤตยู ความตายไม่อาจย่างกรายเข้าถึง แต่ความเป็นจริงผู้คนในเมืองมีเกิดแก่เจ็บตายไม่ต่างจากสัตว์โลกทั่วไป เพียงแต่พวกเขาอายุขัยยืนยาวกว่ามนุษย์ภายนอกพอสมควร

            นั่นเพราะท่านอาจารย์เนวะได้สั่งสอนสรรพวิทยา แนะนำการดำรงชีวิตแบบยืนยาว โรคภัยน้อย และปรุงสมุนไพรตำรับพิเศษช่วยให้ชาวเมืองแข็งแรง อายุยืนยาวนับร้อยสองร้อยปีเป็นปกติ

            จุดมุ่งหมายของปราชญ์ทรงฤทธิ์ผู้นี้คือชีวิตอมตะ...อมฤต...ผู้ที่มฤตยูเข้าถึงตัวไม่ได้

            ดังนั้นอาจารย์เนวะจึงมักเก็บตัว ค้นหาวิธีชะลอชีวิต ทำให้ไม่แก่ ไม่ตายอยู่เสมอ

            ทุกสิบปี ศิษย์อาจารย์เนวะจะออกนอกเมืองหนึ่งครั้งเพื่อแลกเปลี่ยนสมุนไพรใบยา หาสินค้าที่เมืองตนไม่มี อีกทั้งสืบข่าวโลกภายนอก ดูว่ามีความเปลี่ยนแปลงเช่นไรแล้ว

            กัลยาเป็นศิษย์คนเล็ก ประสบการณ์น้อยวิชายังไม่กล้าแข็ง ไม่เคยรับโอกาสออกไปนอกเมือง ต้องรอจนกระทั่งทดสอบความรู้วิชาต่าง ๆ ผ่านพ้น จดจำคำแนะนำเรื่องราวโลกภายนอกจากศิษย์พี่จนแม่นยำ ค่อยได้รับโอกาสแรกในการเผชิญโลกภายนอก

            หญิงสาวจากเมืองอมฤตฉลาดเฉลียว รอบรู้สรรพวิทยา ร่างกายแข็งแรงกว่าคนภายนอก ใช้เวลาไม่นานก็กระทำงานที่ได้รับมอบหมายทั้งหมดสำเร็จ

            ระหว่างทางกลับเมืองได้ยินเสียงร่ำลือว่า พระพุทธองค์ได้มาจำพรรษาอยู่ที่เวฬุวคาม เมืองเวสาลี ซึ่งไม่ไกลจากหมู่บ้านที่ตนแลกเปลี่ยนสมุนไพรใบยานัก

            กัลยาเคยได้ยินนาม ‘พระสมณโคดม’ จากศิษย์พี่มาบ้าง บอกว่าเป็นสมณะมีชื่อเสียง เคยเป็นถึงเจ้าชายเมืองกบิลพัสดุ์ สละราชสมบัติออกบวชแสวงหาโมกขธรรม

            เมื่อท่านพบธรรมอันวิเศษ ก็ทรงเทศนาสั่งสอนผู้คนทั่วไปโดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ นักบวชในศาสนาท่านมีตั้งแต่กษัตริย์ จนถึงจัณฑาลคนเข็ญใจ พอบวชแล้วถือว่าเป็นศิษย์ตถาคตเสมอกันหมด

            กัลยาสนใจอยากรู้ว่าพระสมณโคดมสอนอะไรบ้าง...ศิษย์พี่บอกเล่าไม่ถูก ฟังมาแค่เสียงร่ำลือไม่เคยพบพระองค์ตัวจริง

            อาจารย์เนวะเห็นลูกศิษย์เริ่มหันเหศรัทธา ความสนใจไปยังบุคคลอื่น กลัวว่าจะมีใจออกห่าง ไม่เคารพศรัทธาตนดังเดิม จึงดุด่าว่ากล่าว ไม่ยอมให้กล่าวถึงพระสมณโคดมในเมืองอมฤตอีก

            หญิงสาวลืมเลือนนามท่านไปแล้ว จนกระทั่งออกสู่โลกภายนอก ได้ยินเสียงเล่าขานอีกครั้ง สังเกตเห็นผู้คนเคารพศรัทธา ใบหน้าปลาบปลื้มเปี่ยมสุข ทำให้สนใจอยากพบพุทธองค์สักครั้ง

            นางเห็นว่ายังมีเวลาเหลืออีกหลายวัน ไม่จำเป็นต้องรีบกลับเมืองอมฤต ลองสอบถามเส้นทางไปเมืองเวสาลีจากชาวบ้าน มั่นใจว่าสามารถไปกลับภายในสามสี่วัน จึงนำสมุนไพร สินค้าจำเป็นที่แลกเปลี่ยนได้ไปซ่อนในป่าใกล้ทางเข้าเมืองอมฤต แล้วเร่งเดินทางไปเมืองเวสาลีทันที

            ความที่เพิ่งออกนอกเมืองครั้งแรก หนำซ้ำเดินทางไปยังเส้นทางที่ศิษย์พี่ไม่ได้แนะนำเรื่องอันตราย ต่อให้เฉลียวฉลาดแข็งแรงกว่าคนทั่วไปปานใด ยังพลัดหลงเข้าไปในดงอสรพิษ ซึ่งตรงนั้นมีบึงพญานาคดุร้ายตนหนึ่งอาศัยอยู่ด้วย





- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -





            วินตกะเป็นครุฑผู้เก่งกาจมากฤทธิ์เดชตนหนึ่ง ครั้นเมื่อได้ข่าวว่าพระพุทธองค์ตรัสรู้ ประกาศธรรมอันเกษมจึงติดตามเหล่าทวยเทพ ยักษ์ และองค์มหาครุฑมาฟังธรรมเช่นกัน

            ขณะที่เทพ ยักษ์ ครุฑตนอื่นสดับธรรมจนแช่มชื่น เบิกบานแล้วกลับวิมาน กลับดินแดนตน วินตกะรู้สึกยังไม่เข้าใจธรรมที่พระองค์เทศนาอย่างถึงใจ จึงรั้งอยู่แดนมนุษย์ พำนักบนชะง่อนผาสูงละลิบ ไม่มีมนุษย์ผู้ใดปีนป่ายถึง

            ครุฑผู้นี้ใคร่ครวญ พิจารณาธรรมบนเขา เมื่อใดเกิดข้อสงสัยไม่เข้าใจ ก็ไปรอเวลาเข้าเฝ้า ยามพุทธองค์ทรงโปรดให้เวลาทวยเทพถามปัญหา ตนก็ตามเข้าไปสอบถามข้อข้องใจเช่นกัน

            ครั้นอรุณรุ่งวันหนึ่ง วินตกะเพิ่งกลับจากสำนักแห่งพุทธองค์ กำลังจะทะยานขึ้นไปพักยังชะง่อนผาตน จิตใจถูกดึงดูดด้วยกระแสบางอย่าง สัมผัสถึงเสียงวิงวอน ร้องเรียก และ ‘รู้’ อีกว่า ผู้ที่ส่งกระแสใจวิงวอนถึงตนได้ย่อมเคยมีสายบุญสายกรรมอุปถัมภ์กันมาก่อน

            ดังนั้นครุฑผู้ทรงฤทธิ์จึงร่อนลงตามกระแสเสียงขอความช่วยเหลือ

            พบหญิงสาวชาวบ้านตกอยู่ท่ามกลางอสรพิษร้ายจำนวนมาก หนำซ้ำกลางดงนั้นยังเป็นบึงพญานาคฤทธิ์เดชไม่ธรรมดา

            การจัดการพญานาคากับสมุนงูดินนับร้อยนับพันเหล่านั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ยากเย็น แต่ตนเพิ่งฟังธรรมจิตใจเบิกบาน ไม่มีความคิดอยากทำร้ายเบียดเบียนผู้ใด แม้แต่เหล่านาคานาคีผู้เคยเป็นศัตรูแห่งเผ่าพันธุ์ในอดีตก็ตาม




(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP