วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๙



cover Amarit


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ออกจากสมาธิ รอยเธียรงีบหลับสองสามชั่วโมงก็ได้ยินเสียงกุกกักในกุฏิ ต้องรีบตื่นลุกขึ้นเก็บที่นอนมุ้งกลดอย่างรวดเร็วก่อนหลวงน้าออกมา

            ฟ้าเริ่มเป็นสีน้ำเงินเข้ม ความมืดคลายตัว เสียงไก่ขันแว่วมาแต่ไกล อากาศเย็นสบายสดชื่น พระรูปอื่นในวัดต่างออกจากกุฏิไปรวมที่ศาลาเพื่อรอเวลาบิณฑบาต

            ระยะทางจากวัดถึงหมู่บ้านใกล้สุดประมาณสามสี่กิโลเมตร เส้นทางลงเขาไม่ชันนักพอเดินสะดวก หมู่บ้านนั้นใหญ่พอสมควร ผู้คนตื่นมาทำบุญใส่บาตรแต่เช้า

            พระเริ่มออกจากวัดตอนฟ้าสว่าง สามารถแยกสีใบไม้อ่อนใบไม้แก่ได้

            ประตูกุฏิเปิดออก พระภิกษุครองผ้าเรียบร้อย ถือบาตรออกมาเตรียมตัวไปรวมกับพระรูปอื่นที่ศาลา

            รอยเธียรเปิดไฟฉายส่องลงไปนำทางหลวงน้า ยังไม่ทันก้าวพ้นบันไดก็โดนเคาะกะโหลกหนึ่งที

            “โอ๊ย...หลวงน้าเจ็บนะ ผมทำอะไรผิดน่ะ” ชายหนุ่มแกล้งโอดครวญทำตาใส

            “บอกให้นั่งภาวนา แต่ฟุ้งซ่าน ส่งจิตออกนอกทั้งคืน...ใช้ได้ที่ไหน”

            ขนาดโดนดุรอยเธียรยังยิ้มกว้างไม่สลด

            “ขอโทษครับ”

            “ไม่ได้เขกกะโหลกให้มาขอโทษ...เขกให้รู้สึกตัว!” ดุซ้ำอีก

            ได้ยินคำนี้ชายหนุ่มชะงัก สติเกิดเห็นข้อผิดพลาดในการภาวนาตลอดคืนทันที

            หลวงน้าพยักหน้า รู้ว่าหลานชายเข้าใจแล้วจึงไม่พูดอะไรอีก

            รอยเธียรอมยิ้มรีบลงบันไดฉายไฟนำทางทันที การได้ยินวาจาตำหนิ ว่ากล่าวแต่เช้าเช่นนี้กลับรู้สึกดี จิตใจแช่มชื่น ด้วยทุกวาจาจากผู้ทรงศีลเปี่ยมด้วยเมตตาทุกคำ

            เขารู้ชัด...หากไม่เกิดประโยชน์แล้ว...พระอาจารย์ราเมศว์จะไม่ตำหนิใคร







บทที่ ๗



            หมู่บ้านใหญ่ห่างจากวัดป่าบนเขาเพียงสามสี่กิโลเมตร กว่าพระจะเดินบิณฑบาตรอบหมู่บ้านก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง

            อาหารที่พระรับมาจนเต็มบาตร จะถูกถ่ายใส่ถาดตามจุดต่าง ๆ เพื่อให้ญาติโยมสามารถใส่บาตรกันทั่วถึง โดยมีลูกศิษย์วัดขับรถกระบะตามเก็บถาดอาหารขึ้นรถแล้วนำไปรวมที่ศาลาฉัน รอหมู่พระสงฆ์กลับวัดเรียบร้อยจึงนำอาหารถวายอีกครั้ง

            โชเฟอร์ขับรถตามเก็บถาดอาหารเช้านี้เป็นตาอ่ำ ศิษย์วัดอาวุโส ส่วนเด็กท้ายรถเป็นเด็กวัดกิตติมศักดิ์ สวมเสื้อยืดขาว กางเกงยีนขาสามส่วน สวมหมวกแก๊ป

            คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านจำได้ว่าเป็นหลานชายพระอาจารย์ราเมศว์ จึงเข้ามาทักทายพูดคุยสนิทสนม เนื่องจากเคยเห็นกันมาตั้งแต่เด็กน้อย

            โชคดีที่คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ทำงานในเมือง ไม่ก็อยู่กรุงเทพฯ ส่วนเด็กวัยรุ่นไม่ตื่นมาใส่บาตรกัน จึงไม่มีใครตื่นเต้นยินดี เข้ามาขอถ่ายรูปดาราดังอย่างรอยเธียร เด็กวัดจำเป็นคนนี้

            กลับถึงวัดตอนสาย ไล่เลี่ยกับหมู่สงฆ์ รอยเธียรเห็นน้องสาวช่วยพวกแม่ชีเข็นรถอาหารจากโรงครัวมาที่ศาลา จึงรีบเข้าไปช่วย

            “ไง...ฝีมือเรากี่ถาดไอ้เตี้ย” พี่ชายทัก

            “ทั้งหมดแหละ เค้าช่วยคุณแม่ชีเตรียมหั่นผักหั่นหมูตั้งแต่เมื่อคืน เช้านี้ก็รีบตื่นมาปรุงตั้งแต่เช้ามืด เพิ่งเสร็จตะกี้เอง” รอยธาราบอกเล่าอย่างรื่นเริง

            หญิงสาวชอบทำอาหาร รู้สึกสนุกกับงานในครัว ทุกครั้งที่มาวัดจะเข้าไปขอช่วยพวกแม่ชีทำอาหารถวายพระเป็นประจำ

            “หลับสบายมั้ย”

            “พอเสร็จงานหัวถึงหมอนก็หลับปุ๋ยยันเช้ามืด...ยังละอายใจป้าพันเกลียวเลยว่า มาอาศัยห้องแกแท้ ๆ แต่ไม่ยอมภาวนาเลย” พูดอย่างรู้สึกผิดแล้ววกถามพี่ชายกลับคืน

            “เมื่อคืนเจอเรื่องสนุกอะไรบ้าง” รอยธารากระตือรือร้น อยากรู้

            หากพี่ชายตามไปนอนกุฏิหลวงน้าแบบนี้ มักพบเรื่องแปลก ๆ น่าสนใจตามมาเสมอ

            “ไม่รู้สักเรื่องได้มั้ยเรา” รอยเธียรดุเจ้าตัวดี

            หญิงสาวย่นจมูกใส่ ไม่เซ้าซี้ ต่อให้พี่ชายไม่เล่าอะไรให้ฟัง เธอพอจะรู้ว่าแอบถามใครได้บ้าง

            ‘ตาอ่ำ’ เป็นบุคคลที่ทั้งวัดมองข้ามไม่สนใจ คิดว่าเป็นตาแก่อาศัยข้าววัดกินไปวัน ๆ นอกจากท่านเจ้าอาวาส กับพระอาจารย์ราเมศว์แล้ว มีแต่สองพี่น้องที่รู้ว่า ชายชราผู้นี้ ‘ไม่ธรรมดา’ ขนาดไหน

            แกมี ‘ของเล่น’ ทำให้เด็กน้อยสองพี่น้องตื่นตาตื่นใจ แต่กลับโดนพระอาจารย์ราเมศว์ดุเอาอย่างไม่เกรงใจ

            “ตาอ่ำ...มัวแต่ ‘เล่นสนุก’ อย่างนี้ ถึงไม่พ้นทุกข์พ้นร้อนกับเขาสักที!”




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            อาจารย์มิ่งมาถึงวัดป่าหลังพระฉันจังหันเรียบร้อย ชายชราเจ้าอาคมมีคนขับรถคันงามมาส่ง เพราะการมาครั้งนี้เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง ‘เจ้านาย’

            “ไอ้มิ่ง...ตามไปดูหน่อยสิว่า พวกมันเข้าไปทำอะไรกันในวัดป่านั้น...ทำไมถึงมีพลังประหลาดปิดบังอำพรางทั่ววัดได้ขนาดนั้น”

            “ท่านให้ผมไปสืบข่าวดูความเคลื่อนไหวพวกมันอย่างเดียวใช่มั้ยครับ” ถามเพื่อย้ำความถูกต้อง

            “ใช่...ไปดูความเคลื่อนไหวอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไร อ้อ...ลองไปหาดูด้วยว่า ใครมันเก่งกล้าถึงขนาดปิดบังญาณหยั่งรู้ของเราได้”

            “ครับ”

            บนศาลาฉัน ญาติโยมกำลังแบ่งอาหารมารับประทาน บ้างก็ห่อกลับบ้าน พระสงฆ์หลายรูปนำบาตรไปล้าง เหลือท่านเจ้าอาวาสกับพระพรรษาสูงสองสามรูปนั่งคุยสนทนากับญาติโยมบนอาสนะ

            อาจารย์มิ่งมองหาหนุ่มสาวเป้าหมาย พบเพียงรอยธารา หญิงสาวคนน้องกำลังช่วยแม่ชีเก็บจานชามใส่ถาด กะละมัง เพื่อนำไปล้างทำความสะอาด ส่วนรอยเธียร ผู้เป็นพี่ชายไม่อยู่บนศาลา

            เจ้าอาคมกวาดตามองหาว่าพอจะพูดคุยกับใครได้ พบชายชราวัยเดียวกัน รูปร่างผอมเกร็ง ผมหงอกขาวทั้งศีรษะรับประทานอาหารคนเดียวอยู่มุมศาลา

            “นี่ตา...ถามอะไรหน่อยสิ” อาจารย์มิ่งเอ่ยประโยคแรก

            “กูชื่ออ่ำ” ตาอ่ำตอบโดยไม่ต้องถามแล้วก้มหน้ารับประทานต่อ

            “เออตาอ่ำ ฉันชื่อมิ่ง...เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก” ผู้มาเยือนพยายามอดทน

            ตาอ่ำหยุดมือ เงยหน้ามองอย่างสงสัย ท่าทางไม่ต่างจากคนบ้านนอกซื่อ ๆ

            อาจารย์มิ่งก็เป็นชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง เพียงแต่มีลูกศิษย์เคารพศรัทธามากจึงถือตัวระดับหนึ่ง ต่อให้ตาอ่ำอยู่ในวัยเดียวกัน แต่เป็นชายชราโง่ ๆ ซื่อ ๆ ถือว่าคนละระดับกับตน

            “ฉันอยากมาไหว้พระน่ะ พอจะแนะนำได้มั้ย”

            “โน้นไง” ตาอ่ำชี้มือทางพระพุทธรูปองค์ใหญ่ด้านในศาลา

            “ไม่ใช่อย่างนั้น” อาจารย์มิ่งปฏิเสธ

            “ท่านเจ้าอาวาสก็อยู่นั่นไง” ตาอ่ำบอกอีกครั้ง

            อาจารย์มิ่งถอนใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้จะหาวิธีพูดจาตีสนิทอย่างไร ปกติคนทั่วไปจะเป็นฝ่ายเข้าหาแสดงความเคารพเกรงใจแก พอเจอแบบนี้เจ้าอาคมก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

            ขณะกำลังหาวิธีพูด สายตามองเห็นรอยเธียร ชายหนุ่มเป้าหมายถือบาตรเพิ่งล้างเสร็จขึ้นมาบนศาลาพอดี

            นัยน์ตาเจ้าอาคมลุกวาว ขยับตัวออกห่างตาอ่ำอย่างไม่สนใจอีก สังเกตชายหนุ่มหญิงสาวผู้เป็นเป้าหมายว่ากำลังจะไปไหน ทำอะไร

            แต่แล้ว...สิ่งผิดปกติก็เกิดขึ้น

            เพียงแค่ชั่วกะพริบตา อาจารย์มิ่งกลับมองเห็น ‘รอยเธียร’‘รอยธารา’ เต็มศาลาไปหมด

            ยกเว้นพระภิกษุที่นั่งบนอาสนะสงฆ์แล้ว ทุกคนล้วนกลายร่างเป็นสองหนุ่มสาวเป้าหมาย ไม่เว้นแม้แต่ตาอ่ำที่เพิ่งพูดจากันเมื่อครู่

            กูโดนลองดีเข้าแล้ว” อาจารย์มิ่งบอกต่อตนเอง

            ด้วยความเป็นเจ้าอาคมคนหนึ่ง เผชิญการท้าทายแบบนี้ แกจึงเกิดแรงฮึดอยากสู้เอาชนะ ถอยหลังนั่งชิดราวลูกกรงศาลา ขัดสมาธิหลับตา บริกรรมอาคมในใจก่อนเปิดเปลือกตาแล้วเป่าลมแผ่ว ๆ ออกทางริมฝีปาก

            สายลมนั้นบังเกิดผลแค่เงาร่างผู้คนเลือนรางชั่วครู่ แยกแยะไม่ออกว่าชายหรือหญิง ก่อนกลับมาเป็นรอยเธียร รอยธาราดังเดิม

            อาจารย์มิ่งพึมพำอาคมบทต่อไป นัยน์ตาจ้องเขม็งยังจุดกลางศาลา ใช้อำนาจจิตเพ่งรวมตัวหนาแน่นก่อนส่งไปทำลายล้างภาพมายาเหล่านั้น

            พลังจิตอันกล้าแข็งถูกส่งออกไปวูบเดียวก็หายสาบสูญไร้ร่องรอยดังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            สิ่งปรากฏหลังจากพลังถูกดูดกลืนคือ ทุกคนในศาลากลับสู่สภาพร่างกายปกติ รับประทานอาหาร เก็บจานชามเหมือนไม่เคยเกิดเรื่องผิดปกติใด

            อาจารย์มิ่งถอนใจมองรอบศาลา ใจหายวูบ รอยเธียร รอยธาราไม่อยู่บนนี้แล้ว!

            เจ้าอาคมสงบใจไม่ลนลาน ระบายลมหายใจช้า ๆ ค่อย ๆ แผ่จิตสัมผัสตรวจสอบทุกคนที่อยู่บนศาลา ควานหาว่าใครคือผู้ท้าทาย ลองวิชาตน

            ...ไม่มี...ทุกคนบนศาลาไม่มีคลื่นพลังแห่งผู้เรียนอาคมเลย...ไม่ว่าจะเป็นท่านเจ้าอาวาส พระสงฆ์พรรษาสูงที่เหลือบนอาสนะสงฆ์ ผู้เฒ่าผู้แก่ที่กำลังช่วยเก็บกวาดจานชาม กระทั่งตาอ่ำที่เพิ่งรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย

            อาจารย์มิ่งคาดคะเนได้สองทาง หนึ่งคือ บนศาลาไม่มีผู้เรียนอาคม เป็นคนธรรมดาจริง ๆ หรือไม่ก็...สอง ผู้ท้าทายแกนั้นเก่งกล้าจนถึงขั้น...สูงสุดคืนสู่สามัญแล้ว




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            รายละเอียดเกี่ยวกับวัดที่รอยเธียร รอยธาราไปพำนักถูกบอกเล่าแจกแจงโดยบรรพต นักธุรกิจใหญ่

            วัดแห่งนี้อยู่ทางภาคอีสาน เจ้าอาวาสเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์ชื่อดังรูปหนึ่ง ซึ่งมรณภาพไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน

            รอยเธียร รอยธาราเป็นหลานแท้ ๆ ของพระอาจารย์ราเมศว์ พระลูกวัดและเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกับท่านเจ้าอาวาสด้วย

            วัดแห่งนี้เน้นเรื่องการปฏิบัติธรรมภาวนา ไม่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับเครื่องรางของขลัง ปาฏิหาริย์ใด ทั้งตัวเจ้าอาวาสเองตลอดจนพระลูกวัดทั้งหมดไม่เคยถูกกล่าวขาน ขึ้นชื่อว่ามีคุณธรรมวิเศษใด เป็นวัดป่าที่อยู่อย่างสงบสมถะแห่งหนึ่งเท่านั้น

            บรรพตอ่านข้อความทั้งหมดให้กับผู้นั่งฟังอย่างสงบหลังเก้าอี้นวมตัวใหญ่

            ห้องของบุคคลนี้กว้างขวาง สูง ผนังสองด้านเป็นชั้นหนังสืออัดแน่นจดเพดาน ผนังอีกด้านติดตั้งจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ฉายภาพข่าวทั่วโลก เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตค้นหาข้อมูล ภาพเหตุการณ์สำคัญ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ เรื่องราวที่ต้องการทราบภายในเวลาอันสั้น

            นักธุรกิจใหญ่แทบไม่อยากเชื่อ บุคคลผู้ไม่รู้เรื่องราวใดในยุคปัจจุบัน ไม่สันทัดกระทั่งภาษาที่พวกเขาพูดคุยกัน จะใช้เวลาไม่นานเรียนรู้ภาษาต่าง ๆ อย่างเชี่ยวชาญได้ไม่ต่ำกว่าห้าหกภาษา ศึกษานวัตกรรมจนเข้าใจ ใช้เป็นไม่ต่างจากเด็กสมัยใหม่ หนำซ้ำยังเรียนรู้ประวัติศาสตร์ด้านเทคโนโลยี สังคม การเมืองของโลกได้อย่างรวดเร็วราวกับสมองเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์

            พอนักธุรกิจใหญ่บรรยายจบ มีเสียงดังจากหลังเก้าอี้นวม

            “วัดป่าแห่งนี้...ปกติธรรมดาดีนะ” ภาษาที่พูดชัดเจน ถูกต้องทุกอักขระ

            “ครับ”

            “ความปกตินี่แหละ ซุกซ่อนสิ่งมหัศจรรย์ได้ดีกว่าที่ไหน ๆ” เสียงทุ้มกังวานกลั้วหัวเราะ “และสิ่งมหัศจรรย์จากที่นี่ สามารถปกปิดญาณหยั่งรู้ของเราได้”

            “ท่านจะให้ผมทำยังไงต่อไปครับ” บรรพตเชื่อว่าผู้เป็นเจ้านายต้องเกิดโทสะ

            “ไม่ต้องหรอก” วาจาที่ตอบแสดงว่ายังอารมณ์ดี ไม่ขุ่นเคืองที่ถูกหยามฝีมือ “เราคิดว่าไอ้มิ่ง ก็คงไปสืบอะไรที่นั่นไม่ได้เหมือนกัน”

            “แล้วจะให้จัดการพวกนั้นยังไงดีครับ”

            “ตอนนี้เฉยไว้ก่อน...เจ้านาคน้อยชัยยะนั่น...มันต้องมา...” วาจาสะดุดเหมือนผู้พูดกำลังนึกศัพท์ไม่คุ้น “มา...ถ่ายโฆษณา...ให้เอ็งไม่ใช่รึ”

            “ครับ”

            “เราไม่ได้ต้องการฆ่าแกง ทำร้ายพวกมันตอนนี้...แค่มีเรื่องสงสัยกวนใจนิดหน่อย...ว่าทำไมตามรอยพวกมันด้วยตัวเองไม่ได้...แต่ช่างเถอะ ตามไม่ได้ก็ไม่ต้องเปลืองแรงเปล่าประโยชน์หรอก”

            ผู้พูดใช้วาจาเนิบเนือยอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ ก่อนกล่าววาจาที่บอกอารมณ์สนใจ กระตือรือร้นกว่าเดิม

            “ตอนนี้เรากำลังสนุกกับการเรียนรู้ประวัติศาสตร์โลกในแง่มุมต่าง ๆ...ไม่อยากเชื่อว่าเวลาไม่ถึงสองพันหกร้อยปี มนุษย์สามารถสร้างในสิ่งที่สมัยเราเรียกว่า ‘ปาฏิหาริย์’ ได้มากมาย”

            บรรพตนิ่งฟังโดยไม่ขัดคอ

            “แต่น่าแปลกใจ...เหตุใดมนุษย์ผู้ฉลาดล้ำสร้างปาฏิหาริย์ขนาดนี้ ไฉนโง่เง่าสร้างสงครามใหญ่โตทั่วโลก รบราฆ่าฟันกันจนตายเป็นเบือถึงสองครั้งสองครา บางทีก็หลงเชื่อผู้นำลัทธิโง่เง่าพากันไปฆ่าตัวตายอย่างกับใบไม้ร่วง และที่โง่สุดก็คือหลงเชื่อผู้นำอย่างจิม โจนส์...ที่ตั้งลัทธิอะไรนะ...พีเพิล เทมเพิล (Peoples Temple)...โกหกบอกว่าจะพาไปอยู่ในโลกใหม่อันเปี่ยมสุขได้...บุคคลเช่นนั้นหรือจะสร้างดินแดนอันเปี่ยมสุขแท้จริงได้...สุดท้ายพอดินแดนที่มันสร้าง ไม่ทำให้เปี่ยมสุขจริง ก็หลอกลวงให้คนที่หลงเชื่อนับถือศรัทธาพากันฆ่าตัวตายเกลื่อนเมืองด้วยสภาพน่าสังเวช”

            เสียงเงียบหายชั่วขณะ ก่อนเกิดคำถามลอย ๆ ออกมา

            “เอ็งเชื่อมั้ยว่า...เราสามารถสร้างเมืองอันเปี่ยมสุขได้จริง”

            “เชื่อครับ” บรรพตเห็นปาฏิหาริย์จากบุคคลนี้กับตาจะไม่เชื่อได้อย่างไร

            “ในเมื่อคนยุคนี้มันอ่อนแอ ต้องการผู้นำทางจิตวิญญาณขนาดนั้น...เราจะตั้งสำนัก...สร้างเมืองลับแล...แดนอมฤตขึ้นอีกครั้ง

            ผู้พูดคล้ายบอกกล่าวความคิดกึ่งบอกเล่าเรื่องราวในอดีต ผู้ฟังจึงสงบใจนิ่งฟัง ไม่กล้าขัด

            “เอาเถอะ...ก่อนที่เราจะไปถึงจุดหมายปลายทางสำคัญ คงต้องจัดการสะสางสำนัก จัดการนางศิษย์ทรยศ รวมถึงมนุษย์ผู้เคยเป็นครุฑ นาคคู่นั้นก่อน”

            บรรพตอยากเอ่ยถาม...ผู้ทรงฤทธิ์เช่นท่านจะจัดการอย่างไรกับบุคคลทั้งสาม

            ‘ผู้ทรงฤทธิ์’ รับรู้กระแสความคิดข้ารับใช้ของตนได้ จึงส่งเสียงหัวเราะบาดลึกออกมา

            เสียงหัวเราะนั้น ทำให้นักธุรกิจใหญ่เสียวสันหลังวูบ ความหวาดกลัวแล่นเข้าจับหัวใจอย่างไม่มีเหตุผล...คนที่บุคคลนี้หมายหัวเอาไว้...ไม่น่ามีบั้นปลายที่ดีเลย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ลงจากศาลาตอนนี้เลย’ เสียงตาอ่ำแว่วในหัวรอยเธียร รอยธารา

            สองพี่น้องเหลือบมองตาอ่ำ เห็นนั่งรับประทานอาหารตรงมุมศาลาทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ แล้วสะดุดตาชายสูงวัยอีกคนซึ่งไม่ใช่ชาวบ้านแถวนี้

            รอยเธียรหันมาเก็บอาสนะสงฆ์ อุ้มบาตรพร้อมตีนบาตรหลวงน้าเดินลงจากศาลาโดยปราศจากความลังเลสงสัย

            รอยธาราเก็บจานชามใช้แล้วใส่กะละมังเสร็จพอดี จึงยกลงจากศาลานำไปใส่รถเข็นอย่างรวดเร็ว

            สองพี่น้องมารวมกันที่เรือนครัว

            “มาช่วยเค้าล้างจานก่อน เดี๋ยวตาอ่ำคงลงมาบอกหรอกว่า ให้รีบลงจากศาลาทำไม” หญิงสาวบอกพี่ชาย

            รอยเธียรไม่ขัด นำตีนบาตรไว้ในที่สมควรแล้วนำบาตรหลวงน้ามาวาง โดยไม่จำเป็นต้องรีบไปส่งให้ที่กุฏิ

            หลังล้างจานชามจนหมด ยังไม่เห็นตาอ่ำมาที่เรือนครัว ชายหนุ่มเป็นฝ่ายออกความเห็นบ้าง

            “พี่จะเอาบาตรไปส่งหลวงน้าที่กุฏิ ไปด้วยกันมั้ย”

            “ไปสิ” ต่อให้ไม่ชวน รอยธาราก็ต้องขอตามไปอยู่ดี

            ไม่นานสองพี่น้องก็เข้ามาเส้นทางสู่ป่าหลังวัด บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด รอยเธียร รอยธาราพยายามสำรวมวาจา พูดต่อกันน้อยคำไม่เอะอะมะเทิ่งเหมือนตอนอยู่บ้าน

            แนวป่าเงียบสงัด ต้นไม้ร่มรื่น ช่วยให้ใจผ่อนคลาย สดับรับฟังสรรพเสียงรอบกายชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเสียงสายลม ใบไม้แห้งร่วงจากต้น กระทั่งเสียงการเคลื่อนไหวของสัตว์เล็ก ๆ

            แสกสาก แสกแสก เป็นเสียงบางสิ่งเคลื่อนผ่านกองใบไม้แห้ง พงหญ้าไหวยวบ ขยับมาจากข้างทางตามสองหนุ่มสาวอย่างเชื่องช้าใจเย็น

            รอยธาราหันมองพี่ชายเป็นเชิงถาม

            รอยเธียรชะงักเท้ายิ้มน้อย ๆ ก่อนตอบ

            “เพื่อนเก่าพี่เอง”

            หญิงสาวสะดุดกึก รีบหลบไปอยู่ข้างหลังเกาะแขนพี่ชายแน่น รู้ทันทีว่า ‘เพื่อนเก่า’ ที่รอยเธียรพูดหมายถึงอะไร

            งูจงอางเผือกเกล็ดขาวอมเหลือง ตัวเท่าแขนยาวประมาณสามเมตรค่อย ๆ ยกตัวโผล่ขึ้นจากพงหญ้าข้างทาง แผ่พังพานในลักษณะทักทาย ศีรษะหันตรงชายหนุ่มไม่มีกิริยาข่มขู่ชวนหวาดกลัว

            รอยธาราเบียดแทบชิดหลังรอยเธียร โผล่หน้ามองอย่างอยากรู้ เพราะที่จริงเจ้าหล่อนก็กลัวงูไม่ต่างจากหญิงสาวทั่วไป

            รอยเธียรจ้องอสรพิษเผือกนิ่ง ๆ ดวงตาสงบ จิตเข้าสู่การสื่อสารพิเศษ ลิ้นงูแลบแปลบเป็นจังหวะเร็วช้า เสมือนกำลังบอกเล่าเรื่องราวบางอย่าง

            ครู่หนึ่งการสื่อสารสิ้นสุด จงอางเผือกหุบพังพาน ลดตัวลงต่ำ ก่อนจากยังหันมาผงกศีรษะเชิงทักทายหญิงสาว อย่างรู้จักคุ้นเคย

            รอยธารายิ้มแหย โบกมือให้ หล่อนเจอ ‘เพื่อนเก่า’ พี่ชายไม่บ่อยนัก ยังทำใจให้คุ้นเคยสนิทสนมไม่ได้สักที

            “เขามาทำไมน่ะ” เอ่ยปากถามอย่างอยากรู้ด้วย

            “เขามาบอกว่ามีคนเข้ามาสืบข่าวพวกเรา แต่โดนตาอ่ำจัดการไปแล้ว” รอยเธียรไม่ปิดบังน้องสาว

            “แสดงว่าต้องเป็นตาแก่แปลกหน้าในศาลาแน่เลย” หญิงสาวคาดเดา

            “อือ...แต่ไม่ต้องห่วง แกเป็นแค่ลูกสมุน ฝีมือระดับนั้นตาอ่ำรับมือสบาย” รอยเธียรจำอาจารย์มิ่งได้จากนิมิต

            “แหม...พี่ลุยไปสร้างศัตรูที่ไหนมาเนี่ย ระหว่างทางก็เล่นเราซะอ่วม ถึงวัดแล้วยังส่งคนมาสืบข่าวอีก”

            “ไม่รู้ว่ะ จำไม่ได้” ชายหนุ่มตัดบทตอบง่าย

            “แล้วเขาบอกข่าวอะไรอีกมั้ย” รอยธารายังไม่หมดคำถาม

            “ก็บอกว่าให้อยู่ข้างในเขตสงฆ์ไปก่อน ไม่จำเป็นต้องรีบออกไปแถวศาลาตอนนี้ ตาอ่ำแกไล่แขกเสร็จเมื่อไหร่จะมาบอกเอง” รอยเธียรบอกกึ่งสั่งความน้องสาวไปในตัว

            “ก็ได้” รอยธาราพยักหน้า แล้วอมยิ้มนึกสนุกอยากรู้บางเรื่อง “แล้วงูจงอางเผือกเพื่อนเก่าพี่ลุยตะกี้น่ะ เป็นงูจริง หรือพญานาคแปลงตัวมา”

            “อย่างหลัง” รอยเธียรไม่เห็นความจำเป็นต้องเลี่ยงคำตอบนี้

            “โห...เสียดายจัง ไม่บอกแต่แรก...ไม่งั้นจะจุดธูปขอหวยสักหน่อย เจอพญานาคตัวเป็น ๆ ทั้งที”

            รอยเธียรหัวเราะ ขยี้ผมน้องสาวเบา ๆ

            “อยากได้อะไรขอตังค์พี่ไปซื้อเลยง่ายกว่ามั้ย...ดีกว่าลงทุนแล้วไปลุ้นให้ถูกหวยอีก”

            “จ้า...ลืมไปว่ามีพี่ชายสายเปย์ กระเป๋าหนักอยู่ทั้งคน” หญิงสาวประชด

            ถึงพูดอย่างนั้นก็รู้ว่าพี่ชายใจป้ำจริง ตั้งแต่เล็กจนโตไม่ว่าร้องขอสิ่งใด รอยเธียรมักไม่ปฏิเสธน้องสาว ยกเว้นจะโดนคุณแม่รอยจันทร์เบรกเอาเพราะเห็นว่าสิ่งที่ขอไร้สาระ เกินความจำเป็น




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            อาจารย์มิ่งลงจากศาลาเดินหาเป้าหมาย งานที่ได้รับสองอย่าง คือสืบร่องรอยสองหนุ่มสาว กับหาตัวคนปิดบังญาณหยั่งรู้เจ้านาย ไม่สำเร็จสักข้อ

            เขามองเห็นสองพี่น้องไม่กี่นาทีก็โดนเล่นงาน หนำซ้ำหาตัว ‘คนเล่นงาน’ ไม่พบเสียด้วย อย่างนี้จะมีหน้ากลับไปรายงานได้อย่างไร

            เจ้าอาคมตั้งใจเดินสำรวจให้ทั่ววัด คิดว่าสองพี่น้องคงไม่หนีไปไหน รถยนต์ยุโรปราคาแพงของพวกเขายังจอดอยู่ใกล้ศาลาถือเป็นข้อยืนยันได้ดี

            อาจารย์มิ่งสั่งให้คนขับรถตนคอยสังเกตรถยนต์สองพี่น้องเอาไว้ หากใครคนหนึ่งหรือทั้งคู่กลับมาที่รถก็ให้โทรศัพท์เรียกตนเองด้วย

            วัดป่าแห่งนี้ไม่มีป้ายห้ามเข้า ห้ามรบกวน พระและแม่ชีจะรู้อาณาเขตของกันและกัน ไม่มีการข้ามเขตเข้ามาด้วยเหตุไม่สมควรเด็ดขาด ส่วนพวกฆราวาส คนอยู่วัดสามารถตระเวนทั่วได้โดยไม่จำกัด ยกเว้นในยามวิกาล

            อาจารย์มิ่งจึงเดินไปทั่วโดยไม่มีคนหวงห้าม ไม่มีสายตาจ้องจับผิด หรือคอยสังเกตว่าเข้ามาด้วยเจตนาไม่ดีแต่อย่างใด คล้ายมีใครบางคนจงใจ ‘เปิดทาง’ ให้เขาสำรวจอย่างไม่ปิดบัง

            เจ้าอาคมเดินไปเรือนครัว เรือนพักแม่ชี กุฏิเจ้าอาวาส กุฏิพระอื่น ๆ โดยสะดวก

            วัดแห่งนี้กว้างใหญ่กว่าที่คิด ส่วนใหญ่เป็นป่าเขา นอกจากศาลาใหญ่ที่ใช้เป็นศูนย์กลางแล้ว ไม่มีสิ่งปลูกสร้างสำคัญอื่น ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ วิหาร พระพุทธรูปองค์ใหญ่สวยงามให้ผู้คนเข้ามาสักการบูชา

            ขณะเดินสำรวจ อาจารย์มิ่งก็บริกรรมคาถาตรวจสอบตลอดทาง ไม่สัมผัสรับรู้ถึงพลังเวท สิ่งแปลกปลอมใด รอบด้านปลอดโปร่ง เปิดกว้างจนน่าประหลาดใจ

            เวลาผ่านไปครึ่งวัน ชายชราสำรวจบริเวณด้านหน้าวัดจนหมด สายตามองเข้าไปในป่าทึบข้างใน ตั้งใจว่าช่วงบ่ายค่อยเข้าไปดู เพราะเชื่อว่ายังมีกุฏิพระอีกหลายหลังอยู่ในป่านั้น

            เดินมาถึงรถตนเองเพื่อพักดื่มน้ำรับประทานอาหารรองท้อง เจอคนขับรถกำลังยืนรอเพื่อบอกข้อความสำคัญ

            “คุณบรรพตโทรมาครับ”

            “ว่ายังไง” อาจารย์มิ่งบอกห้วน ๆ ด้วยความเหน็ดเหนื่อย

            “ท่านบอกว่า...เจ้านายสั่งให้อาจารย์กลับได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาเข้าไปดูตามกุฏิในป่า เพราะตอนนี้เจ้านายรู้แล้วว่า ‘คนนั้น’ ฝีมือระดับไหน”

            อาจารย์มิ่งตัวชาวาบ เข้าใจทันที

            เหตุที่เจ้านายใช้ตนมาทำงานครั้งนี้ ไม่ได้ต้องการให้มาสืบข่าวจริงจัง แค่หวังใช้ตนเป็น ‘สื่อ’ เพื่อเจาะม่านอำพรางเข้ามาสำรวจเองต่างหาก

            ทุกสิ่งที่ตนประสบตั้งแต่มาถึงวัดจนบัดนี้ เจ้านายล่วงรู้ มองเห็น อ่านรายละเอียดที่ซ่อนเบื้องหลังออกหมดแล้ว จึงมีคำสั่งให้กลับได้

            ...เป็นครั้งแรกในชีวิต...ที่เจ้าอาคมอย่างอาจารย์มิ่ง รู้สึกว่าฝีมือตนอ่อนด้อย ไร้ประโยชน์เหลือเกิน...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ปลายปีกแข็งแกร่งโบกสะบัดพาร่างโบยบินอย่างใจ เบื้องล่างเป็นแนวป่าเขียวชอุ่มงดงาม ขุนเขาตระหง่านง้ำแลเป็นทิวเทือกยาวสุดลูกหูลูกตา

            บินร่อนฉวัดเฉวียนเสพสุขแห่งอิสระไร้ขอบเขตชั่วขณะ สายตาคมกล้าแลเห็นบางสิ่งตรงหน้าผาสูงชัน

            บนนั้นมีรังนกอินทรีไร้ผู้ปกป้อง อินทรีน้อยร้องเรียกพ่อแม่กันระงมเมื่อสัมผัสถึงภยันตรายกำลังคืบคลานใกล้เข้ามาถึง

            เขาถลาลงมายังหน้าผารังอินทรีนั้น หยุดปีกลอยตัวเบื้องหน้ารังซึ่งซ่อนตัวใต้ชะง่อนผาอันเร้นลับ

            ศัตรูร้ายเป็นอสรพิษดำเมื่อม ขนาดเท่าแขนนักกล้าม ตัวยาวเหยียดเลื้อยเข้าใกล้รังอินทรีอย่างย่ามใจ ลิ้นแลบแปลบรับรู้ถึงชีวิตน้อย ๆ ที่จะเป็นอาหารในเวลาอันใกล้

            “ไปหาอาหารที่อื่นเถิด อย่าเบียดเบียนชีวิตบริวารตัวน้อยของข้าเลย” วาจาที่กล่าวฟังเหมือนโอนอ่อนขอร้อง น้ำเสียงแสดงออกกลับแกร่งกร้าวไม่ต่างจากคำเตือนอันดุดันอำมหิต

            อสรพิษร้ายชะงักงันรับรู้กระแสคุกคามน่ากลัว ลิ้นแลบแปลบบอกให้ทราบไม่ควรเข้าหาเหยื่อข้างหน้านี้ มันจึงถดกายเลื้อยซอกซอนออกไปตามแนวหินผา ค้นหาเหยื่อรายอื่นเพื่อทดแทน

            ริมฝีปากเขาเผยรอยยิ้มพอใจ ร่างทะยานขึ้นไปยืนเหนือชะง่อนผาน่าหวาดเสียว นัยน์ตาทอดมองขอบฟ้าแสนไกล ก่อนหรี่ลงสงบงันดุจเป็นการพักผ่อน

            ไม่นานนักอินทรีสองผัวเมียก็บินมาพร้อมเหยื่อให้ลูกน้อย

            พอบินห่างจากหน้าผาเพียงไม่กี่เมตรก็ชะงักงัน รับรู้ถึง ‘ผู้สูงศักดิ์’ กำลังยืนปกป้องเหนือรังลูกน้อย ดังนั้นก่อนพวกมันจะนำเหยื่อไปป้อนบุตรตน ก็กระทำการบินวนรอบชะง่อนผาสูงนั้น ดังเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุด

            เขาพยักหน้ารับ มองบริวารนำอาหารให้ลูกน้อยอย่างชื่นใจ ในหูสดับเสียงเรียกขาน

            “วินตกะ...วินตกะ...เจ้าไปเที่ยวเล่นแดนมนุษย์อีกแล้ว...รีบกลับมาโดยไว อย่าให้เรียกซ้ำ”

            รอยยิ้มระอาปรากฏบนหน้า ปีกทั้งสองแผ่คลี่ออกกว้าง ร่างทะยานขึ้นสูงแล้วหายลับในพริบตา




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            วินตกะ...วินตกะ...ชื่อนี้ก้องในหูพยุหะตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงบัดนี้

            ชายหนุ่มนั่งจิบกาแฟริมระเบียงคอนโดชั้นเกือบสูงสุด มองท้องฟ้ากว้าง แม่น้ำสายยาวไหลพาดผ่านจิตใจปลอดโปร่ง ผ่อนคลาย

            รอยขนปีกบนหินสีทองวางอยู่ข้างกาย รู้สึกราวมันเป็นส่วนหนึ่งของตน ความฝันแปลกประหลาดเมื่อคืนคล้ายเกี่ยวเนื่องกับของสิ่งนี้

            อิสระ ความสุขยามโบกบินเหนือพื้นพสุธา ถูกโอบกอดด้วยแผ่นฟ้าและสายลมยังจดจำในใจ เสมือนมันคือความจริงยิ่งกว่าชีวิตประจำวันที่ผ่านมา

            รายละเอียดในฝัน จนกระทั่งนามที่ถูกเรียกขานทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เป็นอีกบุคคลหนึ่งซึ่งอหังการทรงอำนาจยิ่ง

            ...เจ้าแห่งปักษา...

            สิ่งที่เกิดในใจสร้างความสะเทือนกลางอก เขาน่าจะเคยเป็นเจ้าแห่งปักษา โบกบินเหนือพสุธา ฤทธิ์เดชกล้าแข็ง พอถึงวาระต้องตาย ด้วยความที่เคยท่องเที่ยวจนมี ‘สัญญา’ ผูกพันบางอย่างในมนุษยภูมิ จึงมาเกิดเป็นมนุษย์ในที่สุด

            กาแฟหมดถ้วย พยุหะลุกขึ้นยืนเกาะราวระเบียง นัยน์ตาทอดมองท้องฟ้ากว้างไกล ในใจเกิดความคิดหนึ่งผุดขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว

            ...หากอดีตชาติเขาเคยเป็นเจ้าแห่งปักษา เจ้าของรอยขนปีกบนศิลาเหลือบทองนี้...ก็ขอให้มีสัญญาณใดส่งให้ทราบ...บอกให้รู้...ยืนยันให้เชื่อด้วย!

            กระแสความคิดนี้พุ่งตรงสู่ท้องฟ้า ดังถามไถ่ต่อโลกหล้า ใจผ่อนคลายอ่อนเบาลง...และแล้ว...คำตอบกลับมาในเวลาไม่นานนัก

            พยุหะมองเห็นจุดดำบนท้องฟ้าเจ็ดจุด มุ่งมาหาตนด้วยความเร็วผิดปกติ พอใกล้เข้ามาจึงเห็นชัดขึ้นว่าเป็นนกตัวใหญ่ พอใกล้เข้ามาอีกดวงตาก็รับภาพกระจ่างเห็นรายละเอียดครบ

            นกอินทรี...นกอินทรีใหญ่เจ็ดตัว

            พวกมันบินตรงมายังคอนโดสูงเด่น หน้าระเบียงที่ชายหนุ่มยืนอยู่ แล้วค่อยร่อนถลาวนฉวัดเฉวียนอยู่เบื้องหน้า

            พยุหะยืนตรงในใจเกิดปฏิกิริยาตอบรับ นัยน์ตามองอินทรีทั้งเจ็ดด้วยแววเมตตาดังนายใหญ่มีต่อบริวารผู้ภักดี

            อินทรีทั้งเจ็ดกระพือปีกลอยตัวเรียงหน้ากระดาน จากนั้นค่อยบินวนเป็นวงกลมแสดงความเคารพ เฉกเช่นอินทรีผัวเมียในความฝัน

            ไม่จำเป็นต้องให้ใครมายืนยัน พูดซ้ำ...พยุหะผงกศีรษะรับการแสดงความเคารพของพวกมัน นัยน์ตาทอประกายเจิดจ้ากลายเป็นอีกบุคคลหนึ่ง

            ตัวตนในอดีตถูกปลุกด้วยแรงสะเทือนประหลาด มันอาจไม่ทำให้ความทรงจำทั้งหมดฟื้นคืนทันที กระนั้นก็ยังทำให้เขารู้ว่ายังมีอีกตัวตนซ่อนอยู่ภายใน

            อินทรีทั้งเจ็ดบินหายลับไปแล้ว ในใจพยุหะผุดข้อความหนึ่งขึ้นมา

            ...ยามสนธยา...วินตกะ...สนธยานี้มารื้อฟื้นอดีตภพกัน!



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP