วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๘



cover Amarit


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ‘ป้าพันเกลียว’ ตามมัชฌิมาบอกเล่าระหว่างทาง ไม่แตกต่างจากหญิงวัยกลางคนผู้นั่งอ่านหนังสือรอพวกเขาในห้องรับแขก

            หนังสือถูกวางลงบนโต๊ะ สองหนุ่มสาวเข้ามาแสดงความเคารพ

            “สวัสดีครับ ผมชื่อพยุหะ...เรียกผมว่าพายุก็ได้” พยุหะแนะนำตัวตามมารยาท

            นัยน์ตาโตลึกฝ่ายเจ้าของบ้านจ้องตรงชายหนุ่ม ส่งกระแสพลังงานเข้มข้นพุ่งปะทะ ทั้งยัง ‘อ่าน’ ล้วงภายในจิตใจอย่างละเอียดชั่วเวลาไม่กี่วินาที

            ชายหนุ่มตัวชาวาบ น่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องก้มศีรษะลง เพื่อหลบสายตาบุคคลตรงหน้า จิตใจอ่อนยวบลงรู้สึกเหมือนตนเองเป็นเด็กน้อยอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ อัตตาความถือดีในใจลดลงโดยไม่ได้บีบบังคับ

            ชั่วเวลานั้น สัมผัสรู้ในใจบอกกับตนเองชัด

            ...พันเกลียวจงใจ ‘แกล้ง’ ส่งกระแสจิตมาจู่โจม เพื่อหยั่งดูและ ‘ข่ม’ อัตตาของเขาเท่านั้น...

            อัตตาพยุหะใหญ่ก็จริง แต่ยังไม่ถึงขั้นยึดมั่นถือมั่นในตัวตนแรงกล้า รู้จักยอม ‘ลง’ ให้กับผู้อาวุโสกว่าได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายใช้อุบายอื่นเคี่ยวกรำ

            เมื่อเห็นเช่นนั้น กระแสพลังงานเข้มข้นก็จางหาย แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นความเมตตาแผ่มากระทบ ชายหนุ่มรู้สึกปลอดโปร่งผ่อนคลาย พอเงยหน้ามองผู้สูงวัยกว่าอีกครั้งจิตใจกลับชุ่มเย็นบอกไม่ถูก

            ...นี่คือตัวจริงของพันเกลียว...หญิงกลางคนผู้ปราศจากอัตตา ความถือดี

            พยุหะบังเกิดความเคารพหญิงกลางคนตรงหน้าทันที เป็นความเคารพนับถือซึ่งเกิดขึ้นเพียงแรกพบหน้า ไม่เคยมีให้ใครง่ายดายนัก

            “มีเรื่องอะไรจะคุยหรือ” พันเกลียวถามเข้าประเด็นโดยไม่สนใจทักทายตอบ

            “ผมยังลำดับความคิด คำถามไม่ถูกเลยครับ” เมื่อโดนจู่โจมแบบนี้เขาจึงตอบตามความรู้สึกจริง

            พันเกลียวหันไปมองหลานสาว

            “มา...ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไป๊...ป้าเตรียมอาหารเย็นเผื่อคุณพายุแล้ว เดี๋ยวลงมาอุ่นให้หน่อย จะได้กินข้าวด้วยกัน”

            “ค่ะ” มัชฌิมารับคำ แปลกใจเล็กน้อยที่คุณป้าชวนชายหนุ่มกินข้าว รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายต้องการสนทนากับชายหนุ่มตามลำพัง

            หลังหญิงสาวออกจากห้องรับแขก พันเกลียวจ้องชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน เปลี่ยนจากประกายแข็งกล้าในตอนแรกเป็นคนละคน

            “ถ้ายังลำดับความคิดไม่ถูก ไม่รู้จะถามอะไร ให้ฉันแนะนำคุณก่อนดีมั้ย”

            “ดีครับ” พยุหะรับคำ

            “สิ่งที่ต้องใช้ในการหาคำตอบ มันอยู่ในตัวคุณอยู่แล้ว...แค่คุณตั้งหลักใจให้ถูก ใช้ความแยบคายในการสังเกตตัวเอง สังเกตเรื่องราวที่เกิดรอบตัวโดยไม่มีอคติบังตา แล้วคุณจะเข้าใจมันเอง”

            “ผมยังไม่มั่นใจ” ชายหนุ่มลดอัตตาลงจนยอมเอ่ยประโยคนี้ออกมา

            ดวงตาพันเกลียวมีรอยยิ้มสว่างชั่วขณะ

            “งั้นเราลองมาทดสอบกันดูมั้ย”

            “ทดสอบ?”

            พยุหะทวนคำ สงสัยว่าหญิงกลางคนผู้นี้ต้องการทดสอบสิ่งใดกับตน




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ประตูห้องพระเปิดออก พยุหะรู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่ง ทั้งกลิ่นอาย บรรยากาศ ข้าวของภายใน เหมือนอยู่คนละกาลเวลา

            ภายในห้องพระกว้างขวาง คงสภาพเดิมเหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อน มีแค่การทำความสะอาดไม่ให้ฝุ่นเกาะข้าวของต่าง ๆ เท่านั้น

            โต๊ะหมู่บูชาประดิษฐานพระพุทธรูปโบราณหลายองค์ จัดเรียงลดหลั่นวางอย่างเหมาะสม ผนังด้านหนึ่งเป็นตู้กระจกยาวตลอดฝั่ง แต่ละชั้นเก็บสรรพสิ่งของหายาก ประเภทเครื่องรางของขลัง พระเครื่อง เหรียญพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรุ่นแรกหลายองค์ ของแปลก ๆ ที่ดูแล้วบอกไม่ถูกว่าคืออะไร

            อีกฟากผนังประดับรูปบรรพบุรุษผู้วายชนม์หลายคน เรียงรายตามลำดับอาวุโส ต่อด้วยตู้หนังสือธรรมะ หนังสือเก่าหายาก หนังสือโบราณเขียนด้วยลายมือ พระไตรปิฎก ทั้งหมดถูกจัดวางเป็นระเบียบ ได้รับการดูแลอย่างดี

            พยุหะมองหน้าเจ้าของบ้านเป็นเชิงถาม...ต้องการให้เข้ามาทำอะไรในห้องนี้...

            “ฉันมีของบางอย่างต้องการให้เธอ” พันเกลียวพูดแล้วกวาดตาไปรอบห้อง “ของสิ่งนั้นมันอยู่ในห้องนี้...เธอลองเลือกดูสิ”

            คำพูดหญิงกลางคนคล้ายวาจาท้าทาย

            “ถ้างั้นผมขออนุญาตครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้รับคำท้า

            ห้องพระกว้างขวางก็จริง แต่ข้าวของทุกชิ้นถูกเก็บใส่ตู้อย่างเป็นระเบียบ มองหาง่ายไม่มีหีบห่อตู้ปิดทึบเพื่อซุกซ่อนสิ่งใด

            พยุหะกวาดสายตาไล่มาตั้งแต่โต๊ะหมู่บูชา ตู้กระจก ตู้หนังสือธรรมะ แล้วใช้สัมผัสรู้ของตนแผ่กว้างครอบคลุมทั่วห้อง

            ชั่วขณะแรกรับรู้ถึงกระแสพุทธคุณอันอบอุ่นแผ่มาจากโต๊ะหมู่บูชา ตามมาด้วยกระแสเมตตาจากเหรียญพระเครื่อง พลังปราณกล้าแข็งที่แฝงอยู่ในเครื่องรางของขลังในตู้กระจก

            พยุหะสงบใจ แยกแยะค้นหาว่าสิ่งใดกันแน่ที่พันเกลียวต้องการมอบให้ตน

            ใจผ่อนคลายไม่กระเพื่อมหวั่นไหวต่อพลังงานต่าง ๆ จนสัมผัสถึงกระแสดึงดูดอ่อน ๆ แผ่ออกมาจากวัตถุบางชิ้นในตู้กระจกนั้น

            ชายหนุ่มเดินเข้าไปหา มองเห็นสิ่งของละลานตาวางเรียงเต็มตู้ พลังแฝงในวัตถุต่าง ๆ ดึงดูดสายตาจนต้องพยายามปิดเปลือกตาลง แล้วใช้ใจสัมผัสเชื่อมต่อกับกระแสดึงดูดอย่างนุ่มนวล

            ประตูกระจกถูกเลื่อน นัยน์ตายังคงปิดสนิท มือเอื้อมตามแรงดึงดูด ปลายนิ้วถูกกระแสบาง ๆ ร้อยรัดชักนำทำให้เคลื่อนไปช้า ๆ กระทั่งสัมผัสสิ่งของบางอย่าง

            พยุหะลืมตาพร้อมหยิบของสิ่งนั้นยื่นให้พันเกลียวดู

            “ใช่สิ่งนี้มั้ยครับ”

            สิ่งที่อยู่ในมือชายหนุ่มเป็นก้อนหินแบน ๆ ขนาดเท่าฝ่ามือ หนาประมาณครึ่งนิ้ว เนื้อหินมีประกายทองส่องออกมา บนหน้าหินปรากฏรอยขนปีกคมชัด คล้ายมีใครเคยฝังขนปีกอันแข็งแกร่งลงบนนั้น แล้วทิ้งรอยไว้แทนลายเซ็นเฉพาะตัว

            พันเกลียวพยักหน้า เอ่ยถามอย่างลองเชิง

            “ฉันมอบของสิ่งนี้ให้...แล้วเธอยังมีคำถาม หรืออยากให้ฉันพยากรณ์อะไรอีกมั้ย”

            พยุหะนิ่งงัน ระลึกได้ว่าเหตุผลที่ตนมาก็เพื่อให้ ‘ป้าพันเกลียว’ ช่วยพยากรณ์อนาคต หรือไม่ก็บอกว่าคนปองร้ายเขาเป็นใคร เหตุการณ์แปลกประหลาดทั้งหลายเกิดได้อย่างไร

            พอเจอพันเกลียวตัวจริงเข้าก็พูดไม่ออก เรียบเรียงปัญหาข้อสงสัยเป็นคำพูดไม่ได้ จนฝ่ายเจ้าของบ้านต้องเอ่ยปากเอง

            ยามที่หินรอยขนปีกปักษาอยู่ในมือนี้ พยุหะรู้สึกอบอุ่น เข้มแข็งกว่าเดิม คล้ายพบร่องรอยที่ตนทิ้งเอาไว้ มั่นใจว่ามันจะช่วยเขาค้นหาคำตอบต่าง ๆ ด้วยตนเอง

            “ผมจะลองหาคำตอบด้วยตัวเอง...อย่างที่คุณป้าพันเกลียวแนะนำครับ”

            ชายหนุ่มตอบ สรรพนามที่เรียกแสดงความคุ้นเคย สนิทใจมากกว่าเดิม




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            หอาหารค่ำมื้อนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้ร่วมโต๊ะไม่ใช่คนช่างพูดคุย บทสนทนาต่อกันจึงมีน้อยคำเท่าที่จำเป็น ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีบรรยากาศอึดอัด ฝืดฝืนบนโต๊ะอาหารเลย

            พันเกลียว พยุหะ มัชฌิมาพูดจาต่อกันน้อยคำ แต่ละคำบอกถึงความสนิทสนม เป็นกันเอง ไม่มีอาการฝืนเกร็งด้วยมารยาท เฉกเช่นคนเพิ่งรู้จักทั่วไป

            หลังอาหารค่ำ พยุหะขอตัวกลับด้วยสีหน้าปลอดโปร่ง ผ่อนคลาย ดวงตาที่มองพันเกลียวเหมือนกำลังร่ำลาญาติผู้ใหญ่ที่ตนเคารพ และยามหันมามองมัชฌิมาผู้เปิดประตูหน้าบ้านให้ก็ฉายรอยคุ้นเคย สนิทสนม ไม่เหมือนคนแปลกหน้าที่เพิ่งพูดจากันไม่ทันข้ามวัน

            มัชฌิมามองตามไฟท้ายรถชายหนุ่มก่อนปิดประตูหน้าบ้าน นึกสงสัยในใจเงียบ ๆ ว่าเหตุใดพันเกลียวจึงไว้วางใจ ให้ความสนิทสนม จนเขาได้รับสิทธิพิเศษขนาดนี้

            พยุหะไม่อาจทราบเลยว่า พันเกลียวแทบไม่เคยชวนบุคคลภายนอกร่วมรับประทานอาหารด้วยเลย

            นอกจากตัวเขาแล้วก็มีแค่ครอบครัวรอยเธียร รอยธาราเท่านั้น

            หญิงสาวเพิ่งทราบในงานศพบิดามารดาว่า พ่อแม่สองพี่น้องเคยได้รับการช่วยเหลือจากพันเกลียวมาก่อน ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมคุ้นเคยกับป้าของเธอตั้งแต่เล็ก

            นั่นทำให้สองพี่น้องได้รับสิทธิพิเศษมาบ้านหลังนี้ ร่วมรับประทานอาหารเหมือนคนครอบครัวเดียวกัน เพียงแต่ผู้สูงวัยรักสันโดษ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร สองพี่น้องและพ่อแม่พวกเขาจึงไม่ค่อยแวะเวียนมาบ่อยนัก

            ปิดประตูหน้าบ้านเรียบร้อย ขึ้นบันไดมาก็พบพันเกลียวยืนรออยู่

            “ตามป้าขึ้นไปห้องพระหน่อยนะ” ออกคำสั่งเรียบ ๆ

            “ค่ะ” หญิงสาวรับคำ




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            มัชฌิมาเข้าห้องพระไม่บ่อยนัก ทั้งที่รู้สึกอบอุ่น สบายใจทุกคราที่เดินผ่าน อาจเพราะเห็นว่ามันเป็นอาณาเขตส่วนตัวพันเกลียว จึงไม่กล้าเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต

            ภายในห้องพระยังอบอุ่น กรุ่นกลิ่นอายคุ้นเคยดังเดิม พันเกลียวให้หญิงสาวจุดธูปบูชาพระ และไหว้รูปบรรพบุรุษตามลำดับ

            จากนั้นสองสาวต่างวัยนั่งพับเพียบหน้าโต๊ะหมู่บูชา พันเกลียวยื่นของบางสิ่งให้หลานสาว

            มัชฌิมารับไว้ สัมผัสแรกกระทบคือความเย็นฉ่ำ แผ่ซ่านถึงจิตใจ

            มันเป็นผลึกหินใสสะอาด ปราศจากรอยขุ่นมัวคล้ายแก้วเนื้อดี ลักษณะเป็นทรงรี ขนาดประมาณนิ้วหัวแม่โป้ง อยู่ในเชือกถักเส้นเล็ก ประณีต สามารถคล้องคอสะดวกไม่สะดุดตาผู้คน

            หญิงสาวไม่จำเป็นต้องเอ่ยถาม ผู้สูงวัยกว่าเป็นฝ่ายอธิบายเอง

            “นี่เป็น ‘ผลึกครุฑนาค’ ใส่คล้องคอเอาไว้ รักษาให้ดี มันมีแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น”

            “ผลึกครุฑนาค” มัชฌิมาทวนคำ แววตาสงสัย

            ครุฑกับนาคเป็นคู่ปรับกันมาตลอด เหตุใดจึงมีผลึกที่ใช้นามทั้งสองร่วมกันได้

            “ของสิ่งนี้ใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างคะ” หญิงสาวเอ่ยถาม ในใจคิดว่าสิ่งนี้น่าเป็นเครื่องรางของขลังอะไรสักอย่าง

            ที่น่าแปลกใจคือ...เหตุใดป้าพันเกลียวให้เธอคล้องสิ่งนี้ไว้ ทั้งที่คราวก่อนยังแนะนำให้ใช้สติปัญญาเอาตัวรอด
            
            “วันนี้เจออะไรมาบ้าง?”

            พันเกลียวเอ่ยถามแทนคำตอบ...มันเป็นวาจาที่ควรถามหลานสาวตั้งแต่เธอพาชายหนุ่มแปลกหน้าเข้ามาในบ้านแล้ว

            มัชฌิมาเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่แรกพบพยุหะในห้องประชุม จนถึงการเผชิญหน้ากับดักพิสดาร กระทั่งชายหนุ่มเข้ามาช่วยอย่างละเอียด

            พันเกลียวนิ่งฟังโดยไม่แสดงอาการใด พอหลานสาวเล่าจบก็บอกง่าย ๆ

            “ผลึกครุฑนาคจะช่วยต่อต้านอำนาจเจ้าของกับดักนั้นได้”

            พูดจบก็โบกมือให้หญิงสาวออกจากห้อง เป็นการตัดบท ยุติคำถามใด ๆ ที่จะตามมา



            มัชฌิมาออกจากห้องพระไม่ถึงนาที ร่างสูงใหญ่ดำทะมึนก็ปรากฏกายคุกเข่านั่งแทนที่หญิงสาว

            ยามอยู่เบื้องหน้าพันเกลียว ดวงตาคู่นั้นดูปกติ ฉายแววความรู้สึก ไม่เปล่งแสงแดงโร่เช่นยามมองผู้อื่น

            “ทางนั้นก็ได้เกล็ดนาคาแล้วเหมือนกัน” คำรายงานนี้แสดงว่า เจ้าตัวออกไปสืบข่าวไกลถึงวัดป่า

            “ดีแล้ว” พันเกลียวบอก “ในเมื่ออดีตนาคาได้เกล็ดเดิมของตน และอดีตครุฑก็ได้รับรอยครุฑ ที่เจ้าตัวจงใจทิ้งไว้ นับว่าไม่มีใครล่าช้ากว่าใคร”

            “ฝ่ายนาคอาจระลึก จดจำ ‘เนวะ’ ได้ก่อน” นายทวารและผู้สืบข่าวออกความเห็น

            “ฝ่ายครุฑก็มีจิตสัมผัสเที่ยงตรง บารมีเก่าหลงเหลือพอตัว เพียงแต่ยังไม่รู้จักวิธีใช้สอย คิดว่าคงระลึกชาติได้ไม่เนิ่นช้าหรอก” พันเกลียวบอก

            “เสียดาย...เจ้าเนวะมันใช้อาคมอำพรางร่องรอยมิดชิด ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ที่ไหน ไม่เช่นนั้นคงอ่านออกว่ามันวางแผนจะทำอะไรต่อจากนี้”

นายทวาร            บอกอย่างหนักใจ

            พันเกลียวระบายลมหายใจแผ่ว ดวงตาฉายรอยลึกซึ้ง เยือกเย็น

            “ผู้ทรงฤทธิ์เช่นเนวะ สามารถกระทำในสิ่งที่มนุษย์เห็นว่า ‘มหัศจรรย์’ เหนือธรรมชาติได้ง่ายดาย ไม่ต่างจากการละเล่นของเด็กสามขวบ...ต่อให้อาฆาตแค้นหนึ่งครุฑ หนึ่งนาคาผู้มาเกิดเป็นมนุษย์มากเท่าใด ก็คงไม่คิดสังหารผลาญชีวิตให้ตกตายง่ายดาย...บุคคลเช่นนี้มีความคิดอ่านที่จะ ‘เอาคืน’ ไม่เหมือนใคร เราทำได้แค่เฝ้าดู และแก้ไขตามสถานการณ์เท่านั้น”

            “หากเป็นเช่นนี้ เมื่อไรท่านจะกลับสู่แดนสัปปายะ บำเพ็ญเพียรเพื่อความหลุดพ้น ให้สิ้นภพจบชาติในเร็ววันเสียที” ผู้พูดมีสีหน้าเป็นห่วง เสียดาย

            “เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น...ถ้าใจเราปักมั่นในเป้าหมายโดยไม่ยอมคลอนแคลนแล้ว...ต่อให้ชาตินี้มีภาระยังไม่อาจทำงานได้เสร็จ...ก็ย่อมไปภาวนาต่อในชาติหน้าอยู่ดี เพราะจิตมันไม่ยอมแปรผันไปในทิศทางอื่นได้อีกแล้ว”

            ผู้ฟังนึกน้อมอนุโมทนาต่อจิตใจอันแน่วแน่นั้น อดระลึกถึงวันที่หนึ่งครุฑ หนึ่งนาคมาขอความช่วยเหลือตอนอยู่วัดป่าไม่ได้





            “ใกล้เวลาที่เราจะหมดอายุขัยแห่งครุฑแล้ว เจ้าเนวะศัตรูร้ายน่าจะสำเร็จวิชาออกจากฌานในอีกไม่ช้า”

            “กระผมก็ใกล้จะหมดอายุของนาคา นิมิตภพหน้าปรากฏเป็นเงารำไร จึงอยากขอความช่วยเหลือจากคุณพันเกลียว และท่านสิงหานาคราช”

            “น่าขัน ทั้งครุฑและนาคาต่างมาขอความช่วยเหลือจากเราผู้เป็นพญานาค”

            เหตุการณ์นี้ สิงหานาคราช พระราเมศว์ พันเกลียว และนายทวารต่างอยู่ร่วมฟังด้วยกัน

            “เอาเถอะนาคราช ถ้าเจ้าไม่คิดช่วยเหลือครุฑใกล้ตายเช่นเราก็มิเป็นไร ที่ตามมานี่ก็เพราะทนคำขอร้องของเจ้านาคน้อยผู้นี้ไม่ได้หรอก”

            “ที่กระผมเป็นห่วงไม่ใช่ตนเอง หรือกระทั่งองค์ครุฑ แต่เป็นหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งกระแสวัฏฏะแห่งกรรมจะพัดพาให้มาเกิดเป็นมนุษย์ตามพวกเรา”

            “นางเคยเป็นศิษย์ทรยศของเนวะ เสียชีวิตไปเนิ่นนานแล้ว ด้วยญาณแห่งครุฑบอกให้ทราบว่า นางจะมาเกิดเป็นมนุษย์ตามพวกเราในเวลาไม่ช้านัก”

            “หากเนวะออกจากฌานในช่วงเวลาที่พวกเราเป็นมนุษย์ไม่รู้ความ ย่อมเป็นอันตรายอย่างยิ่ง”

            “พวกท่านจะให้ฉันช่วยอะไร” พันเกลียวเอ่ยปากขึ้นก่อนสิงหานาคราชจะตอบปฏิเสธ

            ผลึกครุฑนาค...สิ่งที่ยากจะเกิดขึ้นบนโลกถูกวางตรงหน้าพันเกลียว

            “ผลึกนี้เกิดจากนำขนครุฑของข้า ไปหลอมด้วยเพลิงพิษขั้นสูงสุดของเจ้านาคน้อยผู้นี้ จนกลายเป็นผลึกหินใสดังแก้วมณี มันจึงมีพลานุภาพต้านทานอำนาจจิตของเจ้าเนวะได้...เป็นผลึกที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก”

            “ได้...ฉันจะเก็บสิ่งนี้ไว้ให้เธอคนนั้น” พันเกลียวรับคำ “แล้วท่านจะไม่ฝากรอยใดไว้แก่ตนเองในชาติหน้าหรอกหรือ”

            เมื่อพันเกลียวถาม ปลายปีกครุฑก็สะบัดผ่านไปในความว่างอีกมิติหนึ่ง ปรากฏก้อนหินที่มีประกายทองกลิ้งมาตกตรงหน้าพร้อมรอยขนปีกครุฑงดงาม

            พันเกลียวถอนใจเบา ยอมรับภาระใหม่อย่างไม่บิดพลิ้ว

            สิงหานาคราชไม่เอ่ยวาจาใด สายตามองนาคาใกล้หมดอายุขัยด้วยแววเมตตาเฉกเช่นนายเหนือหัวเอ็นดูลูกน้อง

            สิ่งที่หนึ่งมนุษย์ หนึ่งนาคราชไม่พูดออกจากปากนั่นคือ เหตุที่ยอมช่วยเหลือครั้งนี้ก็เพื่อรับภาระแทนพระภิกษุผู้กำลังมุ่งมั่นบำเพ็ญเพียร ไม่ต้องการให้ศิษย์ตถาคตวอกแวกพะวักพะวงเรื่องนอกตัว ท่านจะได้ปฏิบัติธรรมเฉพาะตนโดยไม่มีสิ่งใดมากวนใจ

            การรับปากช่วยเหลือนั้น เป็นเหตุให้พันเกลียวต้องออกจากวัดป่าเมื่อถึงเวลาสมควร และทำให้สิงหานาคราชมาพบเด็กชายรอยเธียรที่ริมแม่น้ำโขงเมื่อหลายปีก่อน

            เส้นทางกรรม โยงใยให้เกื้อกูลช่วยเหลือ ขณะเดียวกันก็รอเวลาชดใช้ เรียกคืนเช่นกัน




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            สงครามระหว่างนาคกับครุฑจบลงนานแล้ว

            คำพูดสิงหานาคราชรบกวนจิตใจรอยเธียร แม้กระทั่งยามเข้าสมาธิภาวนาหน้ากุฏิผู้ทรงศีล

            ตอนปิดเทอมมาอยู่วัดสมัยเด็ก หลวงน้ามักเล่านิทานชาดก เรื่องราวสนุกสนานสมัยพุทธกาล รวมถึงนิทานเกี่ยวกับนาคครุฑให้ฟังเสมอ เพื่อให้หลานชายจอมซนยอมอยู่เฉย นั่งฟังตาแป๋ว พักการเล่นซนชั่วคราว

            รอยเธียรจำนิทานบอกเล่าสาเหตุที่ครุฑกับนาคยุติการเป็นศัตรูกันได้

            สมัยครุฑกับนาคเป็นศัตรูกันนั้น ฝ่ายนาคเป็นผู้เพลี่ยงพล้ำพ่ายแพ้ จนพญานาควาสุกรีต้องขอเจรจาสงบศึก โดยยอมส่งนาคไปให้ครุฑกินเป็นเครื่องบรรณาการที่ชายหาด

            วันหนึ่งถึงคิวนาคหนุ่มชื่อสังขจูทะ ต้องยอมสละชีวิตเป็นเหยื่อครุฑ มารดาเขาตามมาถึงชายหาดด้วยความรักอาลัย ขอร้องมารดาอย่างไรก็ไม่ยอมกลับ

            เวลานั้นพราหมณ์ชื่อชีมุตวาหนซึ่งเป็นองค์จุติของพญามุจลินทร์นาคราชได้ผ่านมาเห็น สอบถามเรื่องจนเข้าใจ สงสารในความรักห่วงใยของมารดานาค จึงยอมสละตนเป็นเหยื่อแทนนาคหนุ่มนั้น

            เมื่อพญาครุฑมาถึง เห็นนาคราชแปลงกำลังรอคอยที่ชายหาด ไม่มีอากัปกิริยาวิตกหวาดหวั่นสักน้อย หนำซ้ำยังดูปลาบปลื้มอิ่มใจที่กลายเป็นอาหารแก่พญาครุฑ

            ขณะพญาครุฑกำลังจะจิกกินนาคแปลงนั้น พญานาคสังขจูทะก็แสดงตนออกมาด้วยความกล้าหาญ ไม่ต้องการให้ผู้อื่นสละชีพเพื่อตน

            พญาครุฑได้สอบถามเรื่องราวทั้งหมด บังเกิดความละอายใจ สำนึกบาป ซาบซึ้งในคุณธรรมความกล้าหาญขององค์พญามุจลินทร์ ชื่นชมนาคหนุ่มผู้ไม่กลัวตาย

            เพื่อแก้ไขสิ่งที่ตนกระทำ พญาครุฑได้นำน้ำอมฤตจากสวรรค์มาประพรมกระดูกเหล่านาคที่ตนเคยจิกกินสมัยก่อน จนนาคทั้งหลายฟื้นคืนชีวิต เป็นอันยุติสงครามครุฑนาคที่ยืดเยื้อกันมายาวนาน

            นิทานนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ หลวงน้าไม่ยืนยัน บอกแค่ว่าอ่านมาจากหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งซึ่งจำไม่ได้แล้ว

            ถึงอย่างนั้นเด็กชายรอยเธียรก็เชื่อว่าครุฑกับนาคไม่ได้เป็นอริศัตรูต่อกันอีกแล้ว เพียงแต่อาจมีการเขม่นกันบ้าง ด้วยองค์ครุฑมักถือว่าตนสูงศักดิ์ เก่งกล้ากว่า ส่วนนาคทั้งหลายก็ไม่คิดร่วมทาง ข้องแวะสมาคมด้วย

            ทั้งสองจึงเหมือนเดินคนละเส้นทาง ยากมีเหตุมาเชื่อมโยงให้ร่วมทางเดียวกันได้

            ...แต่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุการณ์นั้น...

            จิตชายหนุ่มฟุ้งซ่าน คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้สารพัด ยากรวมตัวสู่ความสงบ ยังดีที่หลวงน้ามักสอนเสมอ

            ...หากจิตฟุ้งซ่าน ไม่สงบ แล้วพยายามฝืนบีบบังคับให้มันสงบ จิตจะเครียด เป็นอกุศลเปล่า ๆ จิตที่มีโทสะแบบนั้นจะพาไปลงนรก...

            จุดมุ่งหมายของการภาวนาไม่ใช่เพื่อให้จิตมีความสุข ความสงบ แต่เพื่อให้เกิดความรู้สึกตัว ฝึกให้ใจอยู่กับเนื้อตัว จะได้เรียนรู้ความจริงของกาย-ใจ จนยอมรับความจริงของมันได้

            เช่นยามนี้...จิตมันฟุ้งซ่าน วุ่นวาย ก็ยอมรับมันตามจริงว่าไม่สามารถบังคับให้สงบอย่างใจต้องการได้

            รอยเธียรทำได้เพียงพยายามตามดู ตามเห็นความฟุ้งซ่านในหัวอย่างใจเย็น เห็นมันเกิด-ดับวนเวียนกันเป็นระยะ ชั่วครู่แรงฟุ้งซ่านในหัวค่อยลดลง จึงรู้ว่าความฟุ้งซ่านก็ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้นานเช่นเดียวกับสภาวะทางใจอื่น ๆ

            พอใจเห็นความจริง ความฟุ้งซ่านก็แสดงความจริงให้เห็นอีกว่ามันเป็นแค่คลื่นก่อกวนชั่วครั้งชั่วคราว หากไม่เติมเหตุ ขยายความฟุ้งซ่านต่อไปยืดยาว ไม่นานความฟุ้งในหัวจะลดระดับลง จิตสัมผัสความสุขสงบเป็นช่วง ๆ

            จิตตามดู ตามเห็นความฟุ้งซ่าน ความคิดปรุงอย่างไม่ท้อถอย จนสติมีกำลังแข็งแรง ความฟุ้งซ่านดับลง ใจตั้งมั่นขึ้นมาในที่สุด

            จิตสงบตั้งมั่นมีกำลังชั่วขณะหนึ่งก็ถอยออกมา เกิดนิมิตภาพในถ้ำอำพรางต่อเนื่องจากที่สิงหานาคราชแสดงให้ดู คราวนี้เห็นรายละเอียด ได้ยินเสียงสนทนาชัดเจน

            “ท่านเป็นใคร” บรรพตเอ่ยถามร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยหนวดเครายาว

            “คำตอบนี้ มันมีค่าตอบแทน พวกเอ็งจ่ายไหวหรือไม่” คำตอบมาทางกระแสจิต ส่งตรงถึงคนทั้งสาม

            “ค่าตอบแทน...ตอบแทนยังไง” บรรพตหน้าซีด รู้สึกว่ากำลังเผชิญกับบุคคลน่ากลัวเข้าแล้ว

            “ยอมเป็นทาสของเราชั่วชีวิต!” คำนี้ก้องในหัวพร้อมพลังกดดันอันรุนแรงแผ่ออกมา ทำเอาทั้งสามสะดุ้งเฮือก ถอยกรูดอย่างเกรงกลัว

            “มะ...ไม่”

            อาจารย์มิ่งขาสั่นเตรียมหนี ขณะที่คนหนุ่มอย่างเจ้าจ่อยเข่าอ่อนทรุดฮวบยกมือพนมตัวสั่นระริก

            ดวงตาโตลึกแกร่งกร้าวจ้องชายชราผู้มีอาคมราวกับมองเด็กน้อยไม่รู้ความ

            หึหึหึ หัวเราะกระหึ่ม ดังจากปากร่างสูงใหญ่

            “พวกเอ็งเกรงกลัวอันใด เป็นทาสอยู่ใต้บาทเราผู้เดียว แต่อยู่เหนือผู้คนทั้งแผ่นดิน!”

            วาจาครั้งนี้เล่นเอาทั้งสามนิ่งงัน ปฏิบัติตัวไม่ถูก

            ผู้คุมเกมเผยรอยยิ้มประหลาด หันหน้าไปตรงรอยแยกผนังถ้ำ ดวงตาหรี่เรียวเล็งแลค้นหาบางสิ่งภายใน พอพบสิ่งต้องการก็แค่กะพริบตาครั้งหนึ่ง กระแสดึงดูดอันน่าพิศวงพุ่งเข้าไปในรอยแยกนั้น

            อาจารย์มิ่ง บรรพต เจ้าจ่อยต่างมองตามสายตาบุคคลที่พวกเขาไม่รู้จัก และแล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิด

            ‘บางสิ่ง’ คล้ายโลหะเหลวสีดำมันวาว ค่อย ๆ ไหลจากรอยแยกนั้น ลงมารวมตรงแอ่งโขดหินปริมาณมากจนเกือบล้นแอ่ง

            ชายชราเจ้าอาคมเบิกตากว้าง วิ่งเข้าไปดูใกล้ ๆ อุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเกือบวิกลจริต

            “เหล็กไหล...เหล็กไหลของแท้...ทำไมมากมายขนาดนี้”

            เหล็กไหล...ธาตุศักดิ์สิทธิ์เสาะหายากเย็นนักหนา ผู้ครอบครองต้องมีบุญญาธิการ ทรงอาคม การอัญเชิญเหล็กไหลต้องทำพิธีหลายขั้นตอน รวมถึงต้องใช้น้ำผึ้งมาเป็นสิ่งล่อ ขนาดนั้นยังยากจะหยาดมาสักหยดใหญ่

            ทว่า...ชายสูงใหญ่ผมยาว หนวดเครากระเซอะกระเซิงผู้นี้ กะพริบตาครั้งเดียวเหล็กไหลก็ออกมาราวกับสั่งได้

            “นี่เป็นแค่ของกำนัล...เราทำให้เอ็งเป็นจอมเวทที่เหนือกว่าผู้ทรงอาคมทุกคนในโลกได้” เสียงนั้นก้องในหัวอาจารย์มิ่ง

            ชายชราเดินเข้าไปหาอย่างศิโรราบ คุกเข่ากราบพร้อมเอ่ยวาจา

            “กระผมยอมเป็นทาสของท่านแล้วครับ”

            ร่างสูงใหญ่ยืนตรงสง่างาม พยักหน้ารับการเคารพ ก่อนหันมาทางชายกลางคนซึ่งแววตาลังเล ไม่แน่ใจ

            กระแสเสียงผ่านทางความคิดเจาะจงถึงนักธุรกิจใหญ่ผู้นั้น

            “ในถ้ำนี้มีแร่ธาตุวิเศษอีกมากมาย ถ้าเอ็งคิดว่ามันจะนำความร่ำรวยมาให้...เราสามารถเรียกมันมากองตรงหน้าได้ ทั้งยังสามารถทำให้เอ็งกลายเป็นมหาเศรษฐีผู้มีอำนาจบารมีที่สุดในแผ่นดินได้เช่นกัน”

            เพียงเท่านั้น บรรพตก็เดินเข้ามาคุกเข่าก้มหัวแสดงความเคารพ

            “ผมยินดีรับใช้ท่านทุกเรื่อง แล้วแต่จะสั่งครับ”

            ผู้ทรงฤทธิ์พยักหน้า หันไปทางเจ้าจ่อย หนุ่มชาวบ้านผู้ตัวสั่นงันงกทำอะไรไม่ถูก

            “เจ้านายกับอาจารย์เอ็งยอมตัวเป็นทาสเราแล้ว พวกเขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เอ็งกับพวกพ้องอีกสองคนหน้าถ้ำย่อมสบายไปด้วย มีอันใดน่าหวาดกลัว”

            “ขะ...ครับ” เจ้าจ่อยรีบหมอบกราบตามอาจารย์และเจ้านาย

            ใบหน้าใต้หนวดเคราเผยรอยยิ้มพอใจ คำพูดประโยคต่อมาออกจากปากค่อนข้างกระท่อนกระแท่น แสดงว่าไม่สันทัดในภาษาที่คนเหล่านี้ใช้ในปัจจุบัน

            “คำสั่งแรก...พาเราเข้าไปในเมือง”

            คำพูดเพียงเท่านี้ ผู้ฟังทั้งสามเกิดความเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายยืดยาว

            เจ้านายคนใหม่ยังไม่คุ้นเคยกับโลกปัจจุบัน ต้องใช้เวลาศึกษาเรียนรู้ชั่วระยะหนึ่ง พวกเขามีหน้าที่ดูแล จัดหาสิ่งของที่ต้องการ หาที่อยู่อันเร้นลับกลางเมืองเพื่อจะได้ปรับตัว และตามหา ‘คู่แค้น’ ในเวลาต่อมา

            นิมิตดับหาย ความเข้าใจบังเกิดแก่รอยเธียร

            สิ่งที่เขาตอบไม่ได้เวลานี้คือ ชัยยะนาคา อดีตชาติตนเคยไปสร้างรอยแค้นใดกับ ‘เนวะ’ บุคคลผู้ทรงฤทธิ์เช่นนี้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP