ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

หากต้องพบกับผู้ที่พูดจาหยาบคายอยู่เสมอ ควรทำอย่างไรจิตจึงจะไม่เศร้าหมอง



ถาม - ดิฉันตั้งใจว่าจะไม่พูดคำหยาบ แต่กลับต้องพบเจอคนที่พูดจาหยาบคายอยู่เสมอๆ
เมื่อได้ฟังคำพูดเหล่านั้น ดิฉันก็ไม่มีความสุขเลย แบบนี้ควรทำอย่างไรดีคะ


ขอให้ระลึกว่าการที่จิตของเราจะเป็นกุศลได้เรื่อยๆ
มันไม่จำเป็นต้องไปเจอภาวะที่เป็นกุศลอย่างเดียว ภาวะภายนอกที่เป็นกุศล
ขอแค่ภาวะภายในของเราเป็นกุศล อะไรๆ มามันเป็นดอกไม้หมดนะ
ต่อให้เขาปาขี้มา มันก็กลายเป็นดอกไม้ไปได้นะในโลกของวิญญาณ
ทีนี้ถามว่าอย่างไรเรียกว่าเป็นกุศลอันเป็นภายใน
ภาวะของกุศลอันเป็นภายใน ก็คือการฝึกเจริญสติ
อันนี้ท่านบอกไว้นะ ชัดเจนนะ ถ้าหากว่าเกิดอกุศลจิตขึ้นมา แล้วมีสติรู้นะ
จิตมันจะเปลี่ยนจากอกุศล กลายเป็นมหากุศลจิตทันที



ความหมายคือเวลาที่เราได้ยินคำหยาบ แล้วเกิดจิตมันที่สกปรกตาม
เกิดทุกขเวทนาขึ้นมาจากการได้ยินคำหยาบนะ
มันเกิดความรู้สึกว่ามันคล้ายๆ ไปรับของสกปรกเข้ามา รับเชื้อโรคเข้ามา
ถ้าเรามัวแต่รังเกียจ หรือว่าไปโมโหเขา
เฮ้ย
! ทำไมมาพูดคำหยาบนะ ให้เราจิตสกปรกไปด้วย
แบบนี้เรียกว่าเป็นการเพิ่มอกุศลเข้าไปอีกนะ ไปคิดอกุศลกับเขา มีโทสะกับเขา
แต่ถ้าหากว่าเราได้ยินคำหยาบกระทบหูนะ
แล้วใจเราหม่นหมอง มีความรู้สึกยุ่งเหยิง มีความรู้สึกว่าสกปรกตาม
เสร็จแล้วเกิดสติ รู้ว่า ณ ขณะนี้จิตของเรามีความสกปรกอยู่ มีความเป็นอกุศลอยู่
แล้วเห็นว่าภาวะอกุศลนั้น จริงๆ แล้ว มันก่อตัวขึ้นจากการถูกกระทบที่โสตประสาท
พอคำหยาบหายไปนะ ความสกปรกตรงนี้ ที่เกิดขึ้นในใจนี่ มันก็หายตามไปด้วย
ยกเว้นแต่เราจะไปคิดต่อ เราจะไปตรึกนึกนะ
ไปด่าคนพูดหยาบคายว่าทำไมมาพูดหยาบคาย หรือว่าไปขัดเคืองไม่พอใจเขา
อันนี้จิตแหละจิตมันจะเกิดความขุ่นมัวต่อ


แต่ถ้ามีสติ พิจารณาว่าเหมือนกับการที่เราจุดไม้ขีดไฟ
เราเอาไม้ขีดไปสีกับกลัก แล้วมันเกิดไฟลุกขึ้นมา
ถ้าหากว่าเราทำลายไม้ขีดทิ้งนะ ไฟมันก็หายไป
เหมือนกันคำหยาบนั้นน่ะมันจะอยู่กี่นาทีก็ตาม เราก็ดูไป
เออ จิตของเราปรุงแต่งให้เกิดความสกปรกตามเขา เออ ก็ดูๆ ดู
จนกระทั่งความสกปรกนั้นน่ะมันแสดงให้เห็นนะ
ว่าเดี๋ยวมันก็สกปรกมาก เดี๋ยวมันก็สกปรกน้อย
ตามคำพูดของเขาหรือตามสติของเรา



ถ้าสติของเราแยกออกว่าคำพูดหยาบคายกระทบโสตนะ
แต่จิตไม่เอากับคำหยาบ จิตมันก็ตั้งอยู่กับความสว่าง

แต่ถ้าเมื่อไหร่จิตมันเอาความหยาบคายของเขา เอาความสกปรกของเขามา
มันก็ถูกปรุงแต่งให้หยาบคายตาม
หรือมีความเห็นว่า หลีกเลี่ยงไม่ได้
ยอมรับตามจริงว่าจิตมันหม่นหมอง มีความสกปรกตามคำ
แล้วพอคำดับไป แล้วเราไม่ปรุงแต่งต่อ จิตก็กลับสว่าง
อาจไม่ทันที แต่มันค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมา
นี่คือลักษณะของการมีสติ นี่คือลักษณะของการมีธรรม อันเป็นกุศลภายใน
เป็นธรรมอันเป็นกุศลภายในที่จะต้อนรับ จะโต้ตอบกับธรรมอันเป็นอกุศลภายนอก



ถ้าหากว่าเรามีธรรมภายในแล้วนะ ไม่ต้องกลัว
ไม่ต้องไปมีความวิตกว่าเดี๋ยวเราจะพลอยตกต่ำตามเขาไปด้วยหรือเปล่า
บางทีนะ คำหยาบๆ คายๆ กลายเป็นดอกไม้ขึ้นมาเลย
กลายเป็นธรรมะอันวิเศษขึ้นมาเลย
เพราะว่าเราได้เห็นว่าการปรุงแต่งคำหยาบในจิตของเขา มันพลอยเปื้อนในจิตของเรา
แล้วเห็นว่าจิตของเรา ไม่รับความเปื้อนนั้น
มันจะรู้สึกเลยนะว่าภาวะมันแยกได้เป็นชั้นเลยนะ เหมือนกับน้ำกับน้ำมัน



น้ำมันไม่สามารถจมลงไปในน้ำได้ เหมือนกันความสกปรกที่มันเข้ามากระทบนะ
มันจะเหมือนกับเป็นอะไรมืดๆ เป็นแผ่น เป็นปื้นๆ
เข้ามาอยู่ได้แค่ขอบๆ ของจิตที่ขอบผิวนอกของจิต แต่พอจิตไม่รับ มันก็สลายตัวไป
พอเห็นได้อย่างนี้ เราจะนึกขอบคุณเขาเสียอีกที่พูดคำหยาบให้เราได้มีสติพิจารณา
ว่าของสกปรกไม่จำเป็นต้องมาเกลือกกลั้วกับของสะอาดเสมอไป
และของสกปรกนั้นจะแสดงความไม่เที่ยง
ถ้าหากว่าเรามีสติ รู้ทางที่จะเห็นอย่างถูกต้องนะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP