วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
อมฤต ๗
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
สิงหานาคราช...เป็นชื่อที่ผุดขึ้นมาในใจเด็กชายรอยเธียร ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันริมแม่น้ำโขง
คืนออกพรรษา พ่อแม่รอยเธียรพาเขามาอยู่วัดริมแม่น้ำโขง ซึ่งที่นี่แม่กับหลวงน้าเคยตามคุณตาคุณยายมาถือศีลสมัยเด็ก ๆ
วัดแห่งนี้ไม่ใช่จุดชมบั้งไฟพญานาคที่มีผู้คนแห่แหนรวมตัวกันแน่นขนัด มีแต่คนคุ้นเคยเก่าแก่เท่านั้นจึงทราบ...ที่นี่จะมีพญานาคมาจุด ‘ประทีปศรัทธา’ ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโดยไม่ให้คนทั่วไปรู้
ตอนเย็นพ่อแม่อยู่เรือนครัววัด เด็กชายรอยเธียรแอบมาเล่นที่ลานหินริมแม่น้ำโขง ได้พบชายรูปงามท่าทางมีสง่าราศี ทั้งที่สวมเสื้อผ้าแบบชาวบ้านธรรมดา
ความรู้สึกในใจบอกให้เด็กชายคุกเข่า ก้มกราบด้วยใจระย่อ นอบน้อม
ดวงหน้าเฉยชานั้นรับการแสดงความเคารพด้วยแววตาราบเรียบ ไม่แสดงความรู้สึก
“จำเราได้รึ” คำถามพร้อมจ้องตรง
รอยเธียรเป็นเด็กกล้าจึงเงยหน้าสบดวงตานั้นด้วยรอยยิ้ม ชื่อชื่อหนึ่งผุดขึ้นในใจจึงเอ่ยปากออกมาทันที
“ท่านสิงหานาคราช”
ริมฝีปากที่ดูราวจะหมิ่นเย้ยผู้คนเริ่มแย้มรอยยิ้มพอใจ
“ขนาดยังระลึกชาติไม่ได้ ‘สัญญา’ ความทรงจำเก่าก็แม่นยำไม่เลว”
คำชมพร้อมสีหน้าแววตาแบบนี้ เด็กชายรับรู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับบุคคลไม่ธรรมดาเสียแล้ว ยิ่งนามที่หลุดจากปากตนก็เหมือนจะบอกโดยนัยว่า...บุคคลนี้อาจเป็นร่างแปลงพญานาค
“มาทำอะไรที่นี่” ผู้ทรงศักดิ์ถามอย่างชวนคุย
“พ่อกับแม่พามาดูบั้งไฟพญานาคครับ” เด็กชายตอบฉะฉาน
รอยยิ้มขยายจนใบหน้าเคร่งขรึมดูสว่างชวนมอง ดวงตาทอประกายเคารพศรัทธาเต็มเปี่ยม
“งั้นก็รอดูเถิด...คืนนี้เราจะจุดประทีปศรัทธาที่สว่างงดงามกว่าใคร...เพราะนอกจากจะถวายแด่พุทธองค์แล้ว...เรายังจะจุดถวายส่ง...อำลาเจ้าปู่ผู้ล่วงลับ...ซึ่งท่านได้เข้าสู่พระนิพพานอย่างสมศักดิ์ศรีแล้ว”
เด็กชายเกิดปีติแน่นหัวอก ทั้งที่ฟังวาจาไม่เข้าใจทั้งหมด ไม่ทราบว่า ‘เจ้าปู่’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงเป็นใคร
ทันใดนั้น สิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดต่อหน้า ชายรูปงามยืดร่างขึ้นสูงแล้วแปรเปลี่ยนเป็นองค์พญานาคอันงดงามจับตา แสดงกิริยาเลื้อยลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนลงสู่กลางลำแม่น้ำโขงอย่างสง่างาม
รอยเธียรตามไปเกาะขอบลานหิน มองไปยังกลางแม่น้ำ ภาพที่เห็นชวนตื่นตาตื่นใจไม่เคยพบมาก่อน
ใต้ลำน้ำบริเวณนั้น ซึ่งอาจเป็นการเหลื่อมซ้อนของโลกอีกมิติ เด็กชายมองเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ประดิษฐานอยู่เหนือแท่นพญานาค มีเหล่านาคานาคีว่ายเวียนประทักษิณรอบองค์ท่านแสดงกิริยาบูชา
สิงหานาคราชเป็นผู้ว่ายเวียนรอบสุดท้ายก่อนเหล่านาคทั้งหลายจะอยู่ในอาการสงบสำรวม เพื่อเตรียมจุดประทีปถวายบูชาพระพุทธองค์
พลบค่ำ ประทีปดวงแรกก็ถูกจุดขึ้น พุ่งจากกลางแม่น้ำเป็นดวงสว่างสวย ลอยเด่นกลางแม่น้ำ เด็กชายมองด้วยความชื่นชม พอเห็นพ่อแม่ตามมายืนมองข้าง ๆ ก็เอ่ยปากบอกด้วยน้ำตาปีตินองหน้า
“พ่อ...แม่...ประทีปศรัทธาดวงนี้...ท่านสิงหานาคราชเป็นองค์จุดถวายพระพุทธเจ้า กับเจ้าปู่...”
ชื่อ ‘สิงหานาคราช’ ทำให้สองสามีภรรยาชะงัก มองลูกชายด้วยแววตาพิศวง
หลังเหตุการณ์น่าประทับใจชวนจดจำนี้ผ่านไป เด็กน้อยเล่าประสบการณ์ให้พ่อแม่ฟัง จากนั้นทั้งสองก็พาลูกชายไปหาหลวงน้า ด้วยรู้ว่าพระภิกษุรูปนี้จะช่วยไขปัญหา แก้ข้อซักถามสารพันของเด็กน้อย รวมถึงสามารถแนะนำเรื่องที่เป็น ‘ปัจจัตตัง’ แบบนี้ได้ดีกว่าใคร
ทุกปิดเทอม ถ้าไม่มีงานใดติดพัน เด็กชายรอยเธียรมักไปอยู่กับหลวงน้าครั้งละสัปดาห์สองสัปดาห์เป็นประจำ เพื่อเรียนรู้ จัดการกับเรื่องอันเป็นปัจจัตตังเฉพาะตัวที่เพิ่มพูนขึ้นตามวัยด้วย
เด็กชายมักออกรู้เรื่องนอกตัวประเภทสิ่งลี้ลับต่าง ๆ อีกทั้งเริ่มระลึกชาติแบบรัวราง ไม่ละเอียดชัดเจนนัก ทราบว่าชาติก่อนตนเคยเกิดเป็นนาคองค์รักษ์ ของกุมภนาคราช พี่ชายสิงหานาคราชที่ตนเห็น
ส่วน ‘เจ้าปู่’ คือนาคราชผู้ยิ่งใหญ่ เป็นที่เคารพศรัทธาสูงสุดของสิงหานาคราช
พอองค์เจ้าปู่นาคราชมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้บวชเรียน ปฏิบัติธรรมภาวนาจนหมดกิเลสอาสวะ อีกทั้งยังช่วยชี้นำสิงหานาคราชผู้เคยมืดบอด มัวเมาในทิฐิมานะตน ให้กลับมาสู่เส้นทางสว่าง ดำเนินตามรอยธรรมอันถูกต้อง
ตอนรอยเธียรพบสิงหานาคราชครั้งแรกนั้น พระภิกษุผู้เคยเป็นเจ้าปู่นาคราชเพิ่งมรณภาพ เข้าสู่พระนิพพาน สิงหานาคราชขึ้นมาปลงธรรมสังเวช ระลึกถึงผู้มีพระคุณ จึงได้มาเจอกัน
หลังเหตุการณ์วันนั้นรอยเธียรยังไม่ถึงขั้นระลึกชาติชัดเจนมากมายนัก จนกระทั่งมาถึงเหตุการณ์ได้ ‘กราบ’ หลวงน้าตามน้องสาว ความทรงจำอดีตชาติจึงกระจ่างชัดเจนทีละเรื่อง คล้ายเป็นการปูพื้นเพื่อรอจนกว่าเขาจะพร้อม ระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญบางอย่างในอดีตชาติ
ตั้งแต่เด็กจนโตรอยเธียรพบสิงหานาคราชหลายครั้งตอนมาอยู่วัด...
นาคราชผู้ทรงฤทธิ์ตนนี้มักแวะมาพูดคุย สนทนาธรรมกับหลวงน้าเป็นประจำ ถึงจะไม่แสดงกิริยาเคารพ ศรัทธาสูงสุดอย่างเคยมีให้กับเจ้าปู่ แต่สิงหานาคราชก็ยอมลงให้กับธรรมะของท่าน รวมถึงมีความเกรงใจระดับหนึ่ง ถึงขนาดยอมนั่งพื้นต่ำกว่า แสดงถึงความเคารพนอบน้อมในธรรมอย่างไม่มีให้ใครง่าย ๆ
การที่องค์นาคราชมานั่งรอที่กุฏิหลวงน้าคืนนี้จึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเท่าใดนัก
เพราะนาคราชผู้หยิ่งผยองให้ความคุ้นเคยกับเขามาโดยตลอด ในฐานะผู้เคยมีชาติพันธุ์เดียวกัน หนำซ้ำยังเคยช่วยเหลือยามคับขันเมื่อได้รับการร้องขอ
เช่นวันที่เผชิญหน้ากับนกยักษ์ทั้งสามบนดาดฟ้าห้างสรรพสินค้า
...ผู้ช่วยขับไล่พวกมันคือสิงหานาคราช...
ดังนั้นการพบกันที่นี่ คืนนี้จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ รอยเธียรเชื่อว่าหลวงน้าคงทราบเหตุผลที่เขามาหาแล้ว จึงชวนให้สิงหานาคราชมานั่งรอเพื่อสนทนาร่วมกัน
ส่วนลึกในใจบอกว่า...ที่มาของเหตุการณ์ประหลาดทั้งหลาย น่าจะเกี่ยวกับเรื่องในอดีตชาติที่เขายังจดจำไม่ได้อีกด้วย
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ฟ้ามืด ฝนตก รถติด...มัชฌิมานั่งอยู่บนรถพยุหะ
หญิงสาวตอบไม่ได้ ตนเองตัดสินใจถูกหรือผิดที่ยอมนั่งรถมากับผู้ชายเพิ่งเจอกันวันแรก ต่อให้มีประสบการณ์แรกพบหน้าอย่างประหลาดร่วมกัน แต่ก็นับว่าไม่รู้จักคุ้นเคยกันเลย
เมื่อเขาชักชวนแบบทื่อ ๆ ...ฝนตกอย่างนี้ให้ฉันไปส่งที่บ้านมั้ย...
เธอย่อมปฏิเสธทันที ซึ่งไม่ใช่ประโยคตามมารยาทอย่าง...ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ...เสียด้วย
“ไม่ค่ะ” คำตอบสั้น น้ำหนักวาจาบอกชัดว่าไม่ได้ปฏิเสธตามมารยาท
“ฉันไม่อยากไปส่งหรอก แต่มีธุระจะคุยกับเธอ” เมื่อหญิงสาวตอบตรง เขาก็พูดด้วยวาจาตรงไปตรงมาจนฟังห้วน ไร้มารยาทเช่นกัน
“ค่ะ...คุยที่นี่ตอนนี้ก็ได้” มัชฌิมาไม่ปฏิเสธการพูดคุย ‘ธุระ’ นั้น
ส่วนหนึ่งเพราะเธอมีปัญหาข้อข้องใจเกี่ยวกับตัวเขาไม่น้อย
ข้อสงสัยสำคัญคือ พยุหะช่วยเธอจากกับดักพิสดารจริงหรือ?
“งั้นไปนั่งคุยมุมนั้นแล้วกัน” เขาบอกพร้อมกับเดินนำทาง
ทั้งสองอยู่บริเวณล็อบบี้ทางเดินชั้นล่าง มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนั่งหลังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ยามเดินตรวจตราเป็นระยะ พนักงานบริษัทบางคนก็เพิ่งลงมาจากออฟฟิศ ถัดไปอีกมุมเป็นชุดเก้าอี้รับแขก จัดไว้ให้ผู้มาติดต่องานได้นั่งรอ
หญิงสาวมองตามหลังชายหนุ่มอย่างแปลกใจ คิดไม่ถึงโปรดิวเซอร์เพลงคนดังจะพูดจารวบรัด ไม่เคร่งครัดเรื่องมารยาทขนาดนี้
บางทีเขาอาจมองหล่อนเหมือนเด็กกะโปโลคนหนึ่งก็ได้
ทั้งสองนั่งเรียบร้อย พยุหะพูดเข้าประเด็นโดยไม่เกริ่นนำ ไม่อ้อมค้อม
“วันก่อนฉันนั่งอยู่ร้านกาแฟโต๊ะติดกับเธอ...ก่อนรถหกล้อจะพุ่งเข้ามาชน”
ประโยคแรกเล่นเอาคนฟังอึ้ง เขาบอกอย่างนี้แสดงว่าได้ยินบทสนทนาของพวกเธอจนหมดสิ้น รวมถึงคำพยากรณ์ คำแนะนำต่าง ๆ
“ค่ะ” หญิงสาวพยายามถนอมปากคำ “แล้ว...คุณพยุหะมีธุระอะไรคะ”
“เรียกฉันว่าพายุก็ได้” บอกอย่างนี้แสดงว่าให้ความสนิทสนมในระดับหนึ่งแล้ว “ฉันได้ยินที่เธอแนะนำเพื่อน จนถึงตอนที่เธอเร่งให้เพื่อนร่วมโต๊ะรีบออกจากร้าน...นั่นแสดงว่าเธอต้องรู้ล่วงหน้าใช่มั้ยว่าจะเกิดอันตรายบางอย่าง...เช่นรถหกล้อเบรกแตกพุ่งเข้ามาชนอย่างนั้น”
มัชฌิมานิ่ง มองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไตร่ตรอง
ถ้าวันนั้นเขานั่งโต๊ะติดกับเธอจริง แล้ววันนี้ยังรอดชีวิต แสดงว่าต้องเชื่อคำพยากรณ์จนรีบลุกตามหล่อนกับรอยธาราออกมาทันที
บางที...ปฏิกิริยาเมื่อสบสายตากันวันนี้ อาจเป็นเพราะเขาจดจำเธอได้ และมีเรื่องราวมากมายอยากพูดคุยจนถึงขั้นต้องรอเวลาเลิกงานแบบนี้
เธอควรตอบรับหรือหลีกเลี่ยงการสนทนาชวนลำบากใจเช่นนี้ดี?
พยุหะเห็นหญิงสาวเงียบไปนาน ไม่ยอมตอบวาจา สายตาเขาก็แลตรงจ้องตาเธอไม่ต่างจากเครื่องเอ็กซเรย์ซึ่งสามารถอ่านล้วงเข้าไปถึงจิตใจ
ต่อให้มัชฌิมาไม่ตอบรับ หรือปฏิเสธ สีหน้าแววตากิริยาล้วนแสดงชัดแล้วว่า ข้อสันนิษฐานของเขาไม่ผิดพลาด
“ฉันคิดว่าเธอคงไม่ตอบคำถามตะกี้แน่...แต่ก็ขอบใจที่ช่วยชีวิตไว้วันนั้น”
ขณะพูดแววตาอ่อนโยนลงจนหญิงสาวกระดากใจ
“เอ่อ...คุณ...พายุ...อย่าสรุปอะไรเองสิคะ” เมื่อเขาบอกให้เรียกอีกชื่อ หญิงสาวจึงยอมทำตาม
“ถ้าไม่ให้ฉันสรุปเอง เธอมีคำอธิบายอื่นมั้ย”
โดนรุกแบบนี้ มัชฌิมาถอนใจ
“คุณพายุต้องการอะไรจากดิฉันกันแน่คะ” หญิงสาวจงใจใช้สรรพนามแบบนี้เพื่อแสดงความห่างเหินเว้นระยะอย่างเป็นทางการ
“มัชฌิมา” เขาเรียกชื่อเต็มเธอ “ฉันอยากให้เธอพยากรณ์อนาคตให้หน่อย”
“ดิฉันไม่ใช่หมอดู” รีบปฏิเสธทันที
“ฉัน ‘รู้’ ว่าเธอพยากรณ์ได้ วันนั้น...จึงยอมตามพวกเธอออกจากร้าน” เขาหยุดชั่วขณะ ชั่งใจว่าควรพูดต่อดีหรือไม่
“แต่...คิดว่าเธอน่าจะยังไม่รู้...คำพยากรณ์อาจไม่บอกชัดเจนว่า...ที่รถหกล้อมาชนร้านกาแฟ มันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่มีใครบางคนอยู่เบื้องหลัง สะกดจิตสั่งให้คนขับรถทำอย่างนั้น”
มัชฌิมาอึ้งพูดไม่ออก พอตั้งสติได้ค่อยถามเขาอย่างประหลาดใจ
v“คุณพายุรู้ได้ยังไง”
“ฉันมี ‘สัมผัสรู้’ แต่มันไม่ใช่การรู้ล่วงหน้าหรือมองเห็นอนาคตอะไร มันเหมือนการมองทะลุสิ่งซุกซ่อนปิดบังเข้าไปเห็นความจริงเบื้องหลัง อย่างเหตุการณ์ครั้งนี้ ฉันดูข่าวดูสัมภาษณ์คนขับหกล้อก็รู้แล้วว่าเบื้องหลังความจริงคืออะไร”
นี่เป็นครั้งแรกที่พยุหะยอมเปิดเผยความสามารถพิเศษต่อคนอื่น
“ถ้าคุณรู้ขนาดนั้นแล้ว จะมาให้ดิฉันช่วยพยากรณ์ทำไม”
มัชฌิมาเริ่มมองเห็นความพิเศษของเขา แต่ก็พยายามพูดปกป้องตัวเอง
“เพราะฉันมองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เหมือนกับสัมผัสรู้ที่มีโดนปิดกั้นไม่ยอมทำงาน”
ได้ยินอย่างนั้นคนฟังไม่รู้จะพูดอย่างไร
“แล้ว...ที่ผ่านมาสัมผัสรู้ของคุณพายุเคยผิดพลาด เคยโดนปิดกั้นแบบนี้มั้ยคะ” หญิงสาวเลียบเคียงถาม
“ไม่” เขาตอบตรง “ฉันรู้ว่าเพลงที่แต่งเหมาะกับนักร้องคนไหน ทุกเพลงที่มั่นใจจึงดังติดหูคนฟัง ฉันรู้ว่าใครมีบุคลิก เนื้อเสียงเหมาะกับอะไร ใครมีคาแรกเตอร์เป็นคนดังได้ ศิลปินทุกคนที่ฉันเลือกจึงไม่เคยพลาด”
เนื้อความในวาจาฟังดูอวดโอ่ ทว่าสีหน้าแววตาคนพูดไม่แสดงออกถึงความยินดี โอ้อวดอย่างใด หนำซ้ำกลับดูปกติเหมือนกำลังพูดถึงเรื่องธรรมดาทั่วไป
มัชฌิมาถอนใจอีกครั้ง
“คุณพายุจะให้ดิฉันพยากรณ์อะไร จะให้บอกว่าใครอยู่เบื้องหลัง หรืออนาคตคุณต้องเจอกับอะไรหรือคะ”
พยุหะมองหญิงสาวอย่างลังเล...เขาต้องการคำพยากรณ์เรื่องอะไรกันแน่...?
ตั้งแต่รอดตายจากรถหกล้อชนร้านกาแฟ เขาก็รู้สึกเหมือนมีคนคอยจับจ้อง ปองร้าย พยายามใช้สัมผัสรู้ควานหาเท่าใดก็ไม่พบ
วันที่เห็นคลิปข่าว พบหนึ่งในไทยมุงเพียงชั่วแวบก็รู้สึกว่าใช่...คนนี้แน่นอน...แต่สัมผัสรู้ก็บอกแค่นั้น ไม่บอกต่ออีกว่าบุคคลนิรนามเป็นใคร มาจากไหน เพิ่งรู้เมื่อสักครู่เองด้วยซ้ำว่าเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่
ชายคนนั้นร่องรอยเร้นลับ ซุกซ่อนตัวคอยปองร้ายด้วยวิธีการประหลาด
‘งูล่องหน’ ที่แอบเข้ามาในสตูดิโอเป็นตัวอย่างชัดเจน
“ไม่ว่าเธอจะพยากรณ์อะไรเกี่ยวกับตัวฉัน บอกมาได้เลย” เขาเปิดทางเต็มที่
“คุณเชื่อคำพยากรณ์ดิฉันขนาดนั้นเลยหรือคะ”
“สัมผัสรู้ฉันบอกอย่างนั้น”
“อย่างนั้น...คราวนี้สัมผัสรู้ของคุณคงพลาดแล้วค่ะ” มัชฌิมาบอกอย่างจริงจัง ยอมเปิดเผยประสบการณ์ส่วนตัวบ้าง
“เมื่อครู่ดิฉันเพิ่งติดกับดักเจอเรื่องน่ากลัว เสี่ยงอันตรายมา...แต่ ‘นิมิตอนาคต’ หรือที่คุณเรียกว่าคำพยากรณ์ ก็ไม่แสดงภาพเตือนดิฉันล่วงหน้าเลย มันคงโดนปิดกั้นไม่ต่างจากคุณเหมือนกัน”
พยุหะระบายลมหายใจแผ่วเบา ไม่รู้สึกเกินคาดแปลกใจ
“ถ้ากับดักน่ากลัวที่เธอพูดถึง คือการหลุดเข้าไปในแดนสนธยาที่มีงูเป็นโขยงอีกาเป็นฝูง...ฉันก็เจอไม่ต่างกับเธอหรอก...แค่งูกองทัพนึง แต่ไม่มีอีกามาล้อมไว้อีกชั้นเท่านั้นเอง”
มัชฌิมาเบิกตากว้าง พูดอะไรไม่ออก
พยุหะเห็นอาการอย่างนั้นแล้วนึกขันเอ็นดู
“เอาเถอะ...งั้นถือว่าฉันปรึกษาแล้วกัน ถ้าเราจะเจอเรื่องแปลก ๆ แบบนี้ต่อไป โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนปองร้ายเบื้องหลังเป็นใคร แล้วนิมิตอนาคตของเธอ สัมผัสรู้ของฉันก็เกิดมืดบอดพร้อมกันอย่างนี้ เราควรทำยังไงดี”
หญิงสาวก้มหน้านิ่งคิดชั่วขณะ ก่อนถอนใจเฮือกใหญ่อย่างคนตัดสินใจได้
v“คุณป้าดิฉันน่าจะช่วยได้ค่ะ”
“ป้าของเธอ...” ชายหนุ่มทวนคำ
“คุณป้าพันเกลียว...ท่านเก่งมาก เป็นคนที่ดิฉันไม่รู้ว่าท่านทำอะไรได้บ้าง แต่ทุกครั้งที่มีปัญหา ท่านจะช่วยแก้ไขได้อย่างง่ายดาย”
ฟังอย่างนี้พยุหะยิ่งอยากพบหน้า
“ไปหาตอนนี้เลยได้มั้ย”
มัชฌิมารู้อยู่แล้วว่าผู้ชายคนนี้คงไม่ยอมรอนัดหมายล่วงหน้า
“ค่ะ”
“ขอบใจมาก” พยุหะโล่งใจ
“ดิฉันขออนุญาตโทรบอกท่านก่อนนะคะ”
“ได้สิ...แต่ฉันขออะไรเธออย่างนึงได้มั้ย” ชายหนุ่มบอกด้วยสีหน้าเรียบ ๆ
“เลิกใช้สรรพนามแทนตัวว่า ‘ดิฉัน’ ทีเถอะ ฟังแล้วเหมือนคุณป้าแก่ ๆ ที่ทำงานเป็นเสมียนมาสี่สิบปี!”
มัชฌิมาหลุดเสียงหัวเราะดังพรืด ดวงตาพราวระยับ ลักยิ้มปรากฏบนแก้ม หากตาไม่ฝาด เธอก็พบรอยยิ้มสว่างไสวจุดขึ้นในดวงตาคู่ดุของผู้ชายตรงหน้าเช่นกัน
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
“ใกล้ถึงแล้วค่ะ...เลี้ยวซอยข้างหน้าได้เลย”
มัชฌิมาคอยบอกทาง ชายหนุ่มขับตามโดยไม่ผิดพลาด
ฝนหยุดตกครู่ใหญ่ การจราจรบนถนนยังหนาแน่น น้ำท่วมขังเป็นจุด ๆ ทำให้การเดินทางล่าช้า กว่าจะมาถึงซอยแห่งนี้ก็เสียเวลานาน
พยุหะขับรถเข้าซอย คอยสังเกตสองข้างทางจดจำไว้เผื่อต้องมาเองอีกครั้ง
หลังจากเข้าซอยลึกพอสมควรยังไม่เห็นบ้านหญิงสาว จึงเอ่ยปากถาม
“บ้านเธออยู่ลึกขนาดนี้ เข้าออกยังไงนี่”
“มาฝากรถมอเตอร์ไซค์ไว้ที่ร้านของชำหน้าปากซอย เลิกเรียน กลับจากทำงานก็ขับเข้าบ้าน ตอนเช้าก็ขับออกมา”
“เธออยู่สองคนกับป้าเท่านั้นเหรอ” ถามอย่างใส่ใจ
“ค่ะ...หลังจากคุณพ่อคุณแม่เสีย มาก็อยู่กับป้าพันเกลียว ซึ่งท่านก็อยู่คนเดียวมาแต่ไหนแต่ไร”
หญิงสาวบอกเล่า พูดจาด้วยน้ำเสียงคุ้นเคยขึ้น เปลี่ยนมาใช้ชื่อตนแทนสรรพนามเดิมทำให้การพูดจาไหลลื่น สะดวกใจที่จะเล่าเรื่องส่วนตัว
“อือ”
เขาพยักหน้าทั้งที่ในใจยังนึกสงสัย ผู้หญิงสองคนอยู่กันตามลำพังในบ้านซอยลึกขนาดนี้ ทำไมถึงไม่หวาดกลัวมิจฉาชีพใดเลย
รถมาถึงท้ายซอย มองเห็นบ้านหญิงสาวชัดเจนเพราะประตูใหญ่หน้าบ้านเปิดกว้าง รอรับแขกที่จะขับรถเข้ามา
แสดงว่าผู้สูงวัยก็เตรียมตัวรับรองอาคันตุกะ หลังจากได้รับโทรศัพท์จากหลานสาวเหมือนกัน
มัชฌิมาลงจากรถมองเห็นไฟห้องรับแขกเปิดสว่าง จึงเดินนำชายหนุ่มขึ้นบันไดบ้าน มองเห็นป้าพันเกลียวนั่งอ่านหนังสือรอคอยพวกเธอ
พยุหะลงจากรถกำลังจะเดินตามหญิงสาวขึ้นบันได หูแว่วเสียงประตูใหญ่หน้าบ้านกำลังเลื่อนปิด คิดว่าบ้านหลังนี้คงใช้ระบบประตูรีโมท อดไม่ได้ที่จะหันไปดู แล้วต้องชะงักขาแข็งทื่อ
ประตูบานใหญ่ติดถนนในซอยจะใช้รีโมทเปิดปิดหรือไม่พยุหะตอบไม่ถูก สายตาเขามองเห็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ ตัวดำทะมึน กำลังเลื่อนปิดประตูนั้นด้วยท่าทางเบาแรง
จนกระทั่งประตูปิดสนิท นายทวารร่างยักษ์ค่อยหันมามองอาคันตุกะ ดวงตาลุกโพลงเหมือนมีถ่านไฟแดง ๆ บรรจุอยู่
นี่คงเป็นคำอธิบายชัดเจนแล้วว่า ผู้หญิงต่างวัยสองคนอาศัยอยู่บ้านลึกท้ายซอยได้อย่างไร โดยไม่มีมิจฉาชีพมาข้องแวะรบกวน
นอกจากนี้ยังแทนคำยืนยันให้มั่นใจด้วยว่า...ป้าพันเกลียวไม่ธรรมดา...หญิงสูงวัยผู้นี้สามารถไขปัญหา และน่าจะตอบได้ว่าคนที่ปองร้าย ซ่อนตัวในเงามืดเป็นใคร
บทที่ ๖
กุฏิพระอาจารย์ราเมศว์อยู่ในป่าท้ายวัด ขนาดเล็กพออาศัยหลบฝนบังแดด ตั้งโดดเดี่ยวไกลจากกุฏิอื่น ความมืดโอบล้อมรอบด้านคล้ายผ้าม่านผืนใหญ่ มีเพียงตะเกียงดวงเล็กตั้งบนเสาหัวบันไดส่องสว่างเป็นจุดเดียวกลางป่า
นอกชานหน้ากุฏิไม่กว้าง เมื่อสิงหานาคราชนั่งอยู่ก่อน รอยเธียรจึงยึดที่นั่งตรงหัวบันได แสดงความเคารพด้วยการไม่นั่งตีเสมอ
“ตัวปัญหามาแล้ว ท่านมีอะไรจะสั่งสอนมั้ย” พระอาจารย์ราเมศว์ถามผู้นั่งรออย่างอารมณ์ดี
“ในเมื่อเป็นอดีตสหายตน ทำไมไม่สั่งสอนกันเอง” นาคราชตอบ
“อาตมาเห็นท่านเอ็นดูเขา ขนาดยอมส่งพลังไปช่วยถึงกรุงเทพฯ” พระภิกษุพูด
“ก็แค่ไม่อยากให้มีใคร มาหยามฝ่ายนาคเราได้เท่านั้นเอง” พูดด้วยสีหน้าเรียบ แววตาถือดี
พระอาจารย์ราเมศว์ไม่ต่อวาจา หันไปไล่เบี้ยตัวปัญหา
“ว่าไงเรา...มีเรื่องอะไร”
“พวกที่มุ่งร้ายผม เป็นพวกครุฑหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มถามแทนการเล่าที่มาที่ไป เพราะทราบชัดว่าผู้ทรงศีลย่อมรู้อยู่แล้ว
“สงครามระหว่างนาคกับครุฑจบไปตั้งนานแล้ว” สิงหานาคราชบอกเรียบ ๆ ไม่แสดงความรู้สึก
“ถ้างั้นใครกันครับที่ส่งฝูงนกไปรบกวนผมถึงในห้าง ขับรถมาที่นี่ก็เจอเรื่องขัดขวาง ก่อนจะมาถึงวัดก็หลุดเข้าไปในแดนสนธยา แถมตัวร้ายที่ไม่ยอมโผล่หน้าก็ยังรู้จักชื่อเดิมผมอีก”
รอยเธียรไล่เลียงเหตุการณ์เป็นชุด
“ศัตรูในชาติก่อนของเอ็ง สำเร็จวิชา ออกจากฌานมาแล้ว” นาคราชบอก
“ศัตรูในชาติก่อน...” รอยเธียรพึมพำ
เขาจดจำเรื่องสมัยตอนเป็นพญานาคได้หลายเรื่อง พอพูดถึงศัตรูในชาติก่อนกลับจดจำไม่ได้
“จำไม่ได้ล่ะสิ” หลวงน้าทักอย่างรู้ทัน
“ครับ” ชายหนุ่มไม่ปฏิเสธ
“ต้องรบกวนท่านแล้วนะ” พระอาจารย์ราเมศว์หันไปบอกพญานาคราชแปลง
สิงหานาคราชวางเกล็ดนาคสีเขียวอ่อนอมเหลืองไว้ตรงหน้าชายหนุ่ม พร้อมอธิบายโดยไม่ต้องรอการร้องขอ
“เกล็ดของชัยยะนาคา พวกพ้องนาคน้อยของเอ็งเก็บรักษาไว้ให้ เพราะรู้ว่าวันหนึ่งต้องได้ใช้”
รอยเธียรยกมือประนมไหว้ผู้หยิบยื่น ก่อนรับเกล็ดพญานาคชาติก่อนตนไว้ในมือ
สัมผัสแรกที่รู้สึกคือความอบอุ่นของศีลบารมีที่ชัยยะนาคา...อดีตชาติตนได้บำเพ็ญเพียรสะสมมานานนับพันปี ความอบอุ่นนั้นซึมซาบสู่ใจ กระตุ้นความทรงจำเดิมให้แจ่มชัดขึ้นทีละน้อย
เพียงแต่มันไม่อาจตอบคำถามคาใจเขาได้ทันที
“ต้องค่อยเป็นค่อยไป” หลวงน้าเข้าใจจิตใจหลานชาย “เกล็ดนี้ช่วยกระตุ้นความทรงจำได้ก็จริง แต่ถ้าใจมันเกิดความโลภ อยากรู้เรื่องอดีตชาติเร็ว ๆ ก็ยิ่งทำให้มันเนิ่นช้ากว่าเดิม”
“ครับหลวงน้า” ชายหนุ่มเข้าใจ
“เราพอจะช่วยเอ็งได้อีกเรื่อง” สิงหานาคราชเอ่ยปากโดยไม่ต้องร้องขอ
“ท่านทำให้ผมเห็นตัวศัตรูในชาติก่อนได้ใช่มั้ยครับ” ถึงไม่บอกชัดเจนขนาดนั้น รอยเธียรก็รู้เจตนาได้ทันที
สิงหานาคราชไม่ตอบ ดวงตาเพ่งความว่างเบื้องหน้าระหว่างชายหนุ่มกับตนเอง ปรากฏเป็นภาพถ้ำขนาดย่อส่วนขึ้นต่อหน้า
รอยเธียรระบายลมหายใจออกแผ่วเบา ก่อนลากลมหายใจเข้าอย่างเป็นธรรมชาติ บังเกิดความอบอุ่นเยือกเย็นขึ้นภายใน จิตใจเป็นสุข สมาธิเกิด จิตเข้าจับภาพมายาเบื้องหน้าจนเห็นชัดเจนราวกับตนเองเข้าร่วมเหตุการณ์ด้วย
ถ้ำแห่งนี้ชื่อนาคอำพรางก็จริง แต่ไม่ได้ถูกอำนาจของเหล่าพญานาคอำพราง ผู้อาศัยภายในต่างหากใช้วิชาตนปิดบัง อำพราง เพื่อไม่ให้ผู้คนทั่วไปเข้ามารบกวน
บุคคลนั้นสำเร็จฌานขั้นสูง ได้มาเข้าฌานเพื่อฝึกวิชาเร้นลับสองพันห้าร้อยกว่าปีจนถึงขั้นสุดยอด
พวกนาคต่างแวะเวียนมาเฝ้าดู คอยเวลาที่เขาสำเร็จวิชาออกจากฌาน เพื่อจะได้ส่งข่าวต่อชัยยะนาคาให้ระวังตัว
วันที่บุคคลนั้นสำเร็จวิชาขั้นสูงสุด มีผู้บุกรุกเข้าถ้ำถึงสามคน เหล่านาคต่างหาวิธีขับไล่ ไม่ใช่เพื่อปกป้องบุคคลในถ้ำ แต่ไม่ต้องการให้ผู้บุกรุกกลายเป็น ‘ข้ารับใช้’ คนผู้นั้นต่างหาก
รอยเธียรมองเห็นใบหน้าคนทั้งสามชัดเจน ผู้นำเป็นชายชราดูเก่งวิชาอาคม ชายหนุ่มผอมเกร็ง ลักษณะเหมือนลูกน้อง คนนำทาง ส่วนชายกลางคนลักษณะเศรษฐีมีเงินนั้น เห็นแวบเดียวก็จดจำแม่นยำ
บรรพต บัณฑูรย์ เจ้าของบริษัทบีบี พรอมนั่นเอง
ทั้งสามเผชิญการขัดขวางจากฝูงงูแต่เอาตัวรอดได้ กระทั่งเผชิญหน้ากับพญานาคพวกพ้องเก่าของเขาก็เกือบสลบไสล ถูกลากออกจากถ้ำได้แล้ว ถ้าใครคนนั้นไม่ออกจากฌานโผล่มาช่วยก่อน
ชายหนุ่มตั้งใจมองบุคคลผู้ทรงฌาน สำเร็จวิชาขั้นสูงโดยไม่ยอมพลาดสายตา
‘เขา’ เป็นชายร่างสูงใหญ่ลักษณะเหมือนนักรบผู้นำ ผิวสีเข้มออกทองแดง ดวงตาโตลึก จมูกโด่งเป็นสันชัดแบบพวกอินเดีย ผมดกหนายาวกระเซอะกระเซิง หนวดเครารุงรังอย่างฤๅษี เพียงแต่ทั้งเส้นผมและหนวดเป็นสีดำสนิท มันขลับแวววาว
ดวงหน้านั้นซ่อนอยู่ใต้เส้นผมและหนวดเครา ทว่าดวงตาอันโตลึกคู่นั้นทรงพลังอำนาจชวนระย่อ ส่งประกายเข้มข้นบอกถึงอำนาจจิตมหาศาลเกินหยั่งคาด
ภาพมายาโดยสิงหานาคราชดับหาย รอยเธียรเข้าใจเรื่องราวมากขึ้น
“ศัตรูเก่าผมเป็นใคร ชื่ออะไร ฝีมือเขาเก่งกาจขนาดไหน” ชายหนุ่มเอ่ยลอย ๆ หวังว่าจะได้คำตอบจากผู้ร่วมสนทนา
“มันชื่อ ‘เนวะ’ หรือใคร ๆ เรียกว่าท่านอาจารย์เนวะ...อยู่ในฌานมาตลอดสองพันกว่าปี คิดว่าจะมีฝีมือขนาดไหนล่ะ” สิงหานาคราชสงเคราะห์ตอบให้
“เขาเป็นมนุษย์หรืออะไรกันแน่ ทำไมมีอายุยืนยาวขนาดนี้” รอยเธียรสงสัย
“หาคำตอบเองบ้างสิ” นาคราชแสดงอาการรำคาญ
ชายหนุ่มก้มมองเกล็ดนาคในมือ เชื่อว่านี่จะเป็นเครื่องมือช่วยหาคำตอบได้
“แสดงว่าไม่เกี่ยวกับครุฑ แต่ทำไมผมฝันเห็นตัวเองสู้กับพญาครุฑ” อดถามต่อไม่ได้
สิงหานาคราชไม่ตอบ
พระอาจารย์ราเมศว์นิ่ง มองมาด้วยแววตาเป็นคำพูดว่า...คำตอบอยู่ในมือ ลองหาเองก่อนมั้ย...
รอยเธียรถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนเงยหน้ายิ้มให้บุคคลทั้งสอง
“งั้นผมขอถามคำถามสุดท้าย ‘เนวะ’ ออกมาจากถ้ำนี้นานหรือยัง”
ที่ถามเช่นนั้นเพราะเขาเพิ่งพบเจ้าของบีบี พรอมไม่กี่วันก่อน เชื่อว่าเหตุการณ์ที่สิงหานาคราชฉายให้ดูไม่น่าเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้
“สักพักแล้ว” สิงหานาคราชตอบพร้อมอธิบายต่อเองโดยไม่ต้องถาม “นาคน้อยเพื่อนพ้องเอ็งมาบอกเรา...ตอนนั้นเราเห็นว่าไม่ต้องเร่งร้อน ‘เนวะ’ ต้องใช้เวลาเรียนรู้โลกปัจจุบันชั่วระยะหนึ่ง รอให้มันเริ่มต้นลงมือก็ยังไม่สาย”
คำพูดฟังเหมือนประมาทฝีมือฝ่ายตรงข้าม รอยเธียรเข้าใจลึกซึ้งกว่านั้น
ถ้าสิงหานาคราชไม่เห็นความจำเป็นต้องรีบบอก แสดงว่าศัตรูเก่าไม่ได้คิดแค่มาแก้แค้นฆ่าแกง ถ้าบอกล่วงหน้าจะกังวล สับสน ลนลานโดยไม่จำเป็น
รอให้อีกฝ่ายเริ่มลงมือก่อนเพื่อดูทิศทาง เจตนาจริงคอยวางแผนรับมืออย่างเหมาะสม จะเกิดประโยชน์ตรงเป้าหมายมากกว่า
“ขอบพระคุณครับ” รอยเธียรยกมือไหว้พญานาคราชอีกครั้ง
“เราไปล่ะ”
สิงหานาคราชไม่สนใจรับไหว้ ร่างเลือนหายรวดเร็วคล้ายกับหมดหน้าที่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่สนทนาต่อไป
รอยเธียรขยับตัวจากหัวบันไดขึ้นมาตรงจุดเดิมที่พญานาคราชเคยนั่ง เงยหน้ายิ้มให้หลวงน้าซึ่งอยู่บนเก้าอี้ยังไม่เข้ากุฏิ
“คืนนี้ผมขอนอนหน้ากุฏินะครับ”
“มานอนเปล่า ๆ ไม่ได้นะ ต้องภาวนาด้วย” พระภิกษุเสนอเงื่อนไข
“ครับหลวงน้า”
“งั้นเดี๋ยวเอามุ้งกลดอีกอันมาให้”
“แหม...หลวงน้าใจดีจัง ยังกะเตรียมมุ้งกลดไว้ให้ผมล่วงหน้าแน่ะ” ชายหนุ่มยิ้มใส
“อย่าพูดมากน่ะเรา” หลวงน้าดุเข้าให้
รอยเธียรยิ้มรับ ทำตัวเหมือนเด็กน้อย ไม่ถือตัวถืออัตตาว่าเป็นคนดังต้องได้นอนสบายกว่าใคร เขารู้ดีว่าตนได้สิทธิพิเศษแค่ไหน ไม่มีศิษย์วัดคนใด ได้รับอนุญาตให้นอนหน้ากุฏิพระอาจารย์ราเมศว์เลย
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|