สารส่องใจ Enlightenment

ทุกขสัจจ์ (ตอนที่ ๑)



พระธรรมเทศนา โดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู




ร่างกายที่อาศัยอยู่นี่ก็ดี มันเป็นของสำหรับโลก เหมือนกันทุกคนน่ะแหละ
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ของใคร
ก็แม่นร่างกายนี่แหละ หมดก้อนเท่านี้เป็นตัวสมุทัย เป็นเหตุให้ยึดถือ
นั่นแหละอัสสิมานะ คนถือเราว่าตัวตน
นั่นแหละ อันนี้แหละ ความมานะนี่แหละคือความว่าเขาว่าเรา
พระพุทธเจ้าว่าอัตภาพสังขาร มันหลงสมมติ
ท่านให้พิจารณาให้รู้ ให้รู้ทุกขสัจจ์
ทุกขัง อริยสัจจัง ปริญเญญยันติ เม ภิกฺขเว ทุกขสัจจ์ควรกำหนดให้มันรู้
ทุกขัง อริยสัจจัง ปริญเญญยันติ เม ภิกฺขเว อันนี้แหละให้ศึกษาสาเหตุมัน
เส้นผมก็ทุกขสัจจ์ ความเกิดเป็นหญิงเป็นชาย ว่าเขาว่าเรา
อ้ายก้อนนี้มันเกิดมาจากไหน ต้องสาวหาเหตุมัน
มันเกิดมาจากตัณหานี่แหละ นั่นแหละจึงให้ถอนตัณหา ให้ละตัณหา
ให้ละทิ้ง ให้สละ ครั้นมันรู้จักแล้วมันก็จะละ



เรื่องทุกขสัจจ์นี้ให้มันรู้ พิจารณามันทั้งนอกทั้งใน
หรือจะออกพิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อาการสามสิบสองน่ะ
กระจายออกทุกๆ ส่วนแล้ว มันเหลือเป็นคนไหม บ่มีคนแล้ว
กำหนดออกไปๆ จนเหลืออายตนะของมัน
บัญญัติ ความสมมุติ สมมุติคือขันธ์
รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
รูปขันธ์ คือธาตุสี่ประชุมกันเป็นรูปขันธ์
ถ้ามีรูปก็มีเวทนาเกิดขึ้น ต่อไปผัสสะมันต่อกันเกิดขึ้น
พระพุทธเจ้าไม่บอกให้พิจารณาไปอื่น ให้พิจารณาที่นี่
หมดก้อนของเขาของเรานี่แหละ แม่นก้อนธรรม
อย่าไปหาที่อื่น อย่าไปพิจารณาที่อื่น
มันไปยึดไปสร้างไปเสีย มันจะเป็นเหตุให้เจ้าของติดอยู่
ให้พิจารณาอันนี้ ทางจะไปพระนิพพานมีเท่านี้แหละ ท่านแสดงไว้



สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ ก็เห็นกายนี่แหละ ให้พิจารณากาย
นี่เป็นทางไปสู่ทางพ้นทุกข์ ไปสู่ที่อันบรมสุข สุขอันเนรมิตใส่ตน อย่าไปหาที่อื่น
พระพุทธเจ้าว่าแม่นอันนี้หละ ให้มันเห็น นอนกอดอยู่แท้ๆ หมดทั้งวัน
ถ้ามันไปยึดตัวยึดตนอยู่ มันไม่ได้ไปพระนิพพานดอก
ละว่าเขา ว่าเรา ว่ากู ว่ามึงเสีย
พระพุทธเจ้าว่าอันนี้มาสมมุติว่าเป็นตัวตนเราหมดทั้งก้อน
ให้พิจารณาให้เห็นเป็นไตรลักษณ์ ให้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
พิจารณาให้เห็นเป็นอสุภะ อสุภัง
ไม่ให้เห็นเป็นสุภะ ความงาม ความดี ความมั่นคง
มันเห็นนี่แหละ มันจึงเกิดนิพพิทา
ความเบื่อหน่ายต่อร่างกาย เบื่อต่อความเป็นไปของมัน


มันเกิดมาแล้ว มันก็มีความแก่คร่ำคร่า มีพยาธิเบียดเบียน
มีมรณะ ความตาย พลัดพรากจากกัน โสกะ ความโศกพิไรรำพัน
มีโทมนัส ความเสียใจ ความคับแค้นใจ ความขัดข้อง
เมื่อเกิดมาก็เป็นทุกข์ พิจารณาทุกขสัจจ์นี่ให้มันเห็นความจริง
ความพลัดพราก ความประสบสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจ ก็เป็นทุกข์



นี่เนื่องจากทุกข์ทั้งหลายมันมารวมอยู่ที่ขันธ์ทั้งห้า
ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ขันธ์ทั้งห้าเป็นที่ประชุม รับภาระของธุระของหนัก
ท่านว่าขันธ์ทั้งห้าเป็นภาระอันหนักเน้อ
เมื่อวางภาระแล้วก็เป็นสุขเท่านั้น คือวางร่างกายของตน



ก็ให้พิจารณาเห็นทุกข์นี่เสียก่อน
พอเห็นทุกข์แล้วก็ให้สาวไป อันไหนเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
มีกามตัณหา ความใคร่ในกิเลสกาม วัตถุกาม
ความใคร่ก็คือความอยากเป็นอยากมีนั่นแล้ว อยากเป็นผู้ดีมีลาภมียศนั่นแหละ
เรียกว่า ภวะ ความอยากเป็นอยากมีนั่น
วิภวะ ความไม่ชอบ อารมณ์ที่ไม่ชอบเรียกว่าอนิฏฐารมณ์
อารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เกลียดชังผมหงอก ฟันหัก เกลียดชังหนังหดเหี่ยวเป็นเกลียว
ความเสื่อมของอายุของตน ความเสื่อมลาภยศสรรเสริญทรัพย์
ครั้นเห็นอันนี้ก็เพียรละเพียรถอนมัน
เอ มันเป็นเพราะอันนี้ มันเป็นเพราะอยากนี่แล้ว
ความอยากมันมาจากความโง่ความไม่เข้าใจ ความเป็นตนเป็นตัว
นี่เรียกว่า อวิชชา เราคืออวิชชา



พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนวิชา เปรียบเหมือนผู้ก่อกำเนิดของทารก
ทารกนั่นเป็นที่รักของบิดามารดา มารดาเป็นผู้ทำนุบำรุง ทารกก็เป็นสุข
คือตัณหา ความรักใคร่ความชอบใจ เป็นผู้รักษาสนองความสุข
ทารกก็เจริญขึ้น เจริญขึ้นไป
ครั้นเห็นสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้เกิดตัณหา
กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เหล่านี้เกิดขึ้นแล้วมันก็เป็นทุกข์
ตัณหานี่มันเกิดอยู่ที่ไหน มันตั้งอยู่ที่ไหน ต้องค้นหามัน
นั่นแหละบ่อนมันเกิด บ่อนมันตั้งอยู่



บุคคลจะดับตัณหา จะดับที่ไหน บุคคลจะละตัณหา ละที่ไหน
จะดับตัณหา ดับที่ไหน ตัณหาเกิดขึ้นที่ไหน ให้ดับที่นั่น
โบราณเพื่อนว่า ไฟเกิดที่ไหน เอาน้ำมาราดที่นั่น ดับที่นั่น
ไฟตัณหามันเกิดขึ้นที่ตน ดับนี่ ปล่อยนี่ วางนี่ เกิดขึ้นที่ไหนล่ะ
ตัณหาที่เกิด เกิดขึ้นจากจักขุนั่นแหละ เกิดขึ้นที่โสตะ
เกิดขึ้นที่ฆานะ เกิดขึ้นที่ชิวหา เกิดขึ้นที่กาย เกิดขึ้นที่ใจ
มันเกิดขึ้นที่นี่ ก็ต้องดับที่นี่ ต้องให้เห็นที่นี่
เกิดขึ้นที่ไหนอีก เกิดขึ้นที่รูป เกิดขึ้นที่เสียง
เกิดขึ้นที่กลิ่น เกิดที่รส เกิดที่โผฏฐัพพะ เกิดที่ธรรมารมณ์
เกิดที่ไหนอีก เกิดที่จักขุวิญญาณ วิญญาณความรู้
โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ
กายวิญญาณ มโนวิญญาณ เกิดขึ้นที่นี่



มันเกิดขึ้นนี่มันมาจากสาเหตุไหน มันเกิดมาจากความกระทบ
กระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
เวทนาเกิดขึ้นจากรูป จากจักขุสัมผัส ชิวหากระทบกับรส ชิวหาสัมผัสเกิดเวทนา
กาย เวทนาเกิดขึ้นจากสัมผัสทางกาย
เวทนาเกิดขึ้นทางมโน จากสัมผัสทางใจ ความน้อมนึกไปตามอารมณ์
มันเกิดขึ้นที่นี่ อยู่ที่นี่แหละ มันอยู่ตอนอายตนะ มันจะเกิดขึ้นต่อๆ ขึ้นไป
รูปสัญญา โสตสัญญา คันธสัญญา ชิวหาสัญญา โผฏฐัพพสัญญา มโนสัญญา
รูปสัญเจตนาเป็นทุกข์ของโลก โสตสัญเจตนา คันธสัญเจตนา
ชิวหาสัญเจตนา กายสัญเจตนา โผฏฐัพพสัญเจตนา
ที่มันเกิดขึ้นเพราะความสุขของรูป ของเสียง ของกลิ่น ของรส
รูปตัณหา เห็นรูปเกิดตัณหาขึ้น เป็นทุกข์
โสตตัณหา ฆานตัณหา ชิวหาตัณหา โผฏฐัพพตัณหา มโนตัณหา
ความกระทบของรูป ของเสียง ของกลิ่น ของรส
ของโผฏฐัพพะ ของธรรมารมณ์ ยึดเอาละ นี่แหละตัณหา มันเกิดขึ้น



เรารู้จักบ่อนมันเกิด เราจะละอย่างไรล่ะ ถอนอย่างไรล่ะ
รู้จักบ่อนมันเกิดแล้ว เมื่อมันเกิดขึ้นที่หู
บุคคลจะดับตัณหา ดับที่ไหน ดับที่หู ที่ตา ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ
ดับรูป ดับตา ดับหู ดับจมูก ดับลิ้น ดับสัมผัส ดับธรรมารมณ์
ต้องดับอันนี้ ไม่ใช่ดับอันอื่น เกิดขึ้นที่ไหน ดับที่นั่น
เกิดขึ้นที่นี่ เกิดขึ้นจากอายตนะภายใน เกิดขึ้นจากอายตนะภายนอก
เกิดขึ้นจากจักขุสัมผัส โสตสัมผัส จากจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ
ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ โผฏฐัพพะวิญญาณ มโนวิญญาณ ดับที่นั่น
เว้าซื่อๆ ว่า เกิดที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ดับสนิทแล้ว
ไม่มีความยินดียินร้ายต่อสิ่งทั้งปวง วางใจเป็นกลาง
ครั้นทำใจเป็นกลาง ไม่มีความยินดียินร่ายต่อสิ่งทั้งปวงแล้ว
ใจได้ละวางแล้ว ตัดได้หมดแล้ว แจ้งประจักษ์ ดับสนิทแล้ว
เราได้ทำให้เกิด ให้มีแล้วซึ่งมัคคสมังคี
ทำให้มันแจ้ง มรรคมีองค์แปด ทำให้แจ้งบริบูรณ์



(โปรดติดตามเนื้อหาต่อในฉบับหน้า)


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


คัดจาก พระธรรมเทศนา “ทุกขสัจจ์” ใน "อนาลโยวาท" ฉบับพิมพ์ปี ๒๕๔๓


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP