วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๕



cover Amarit




ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            รถจอดหน้าห้างค้าส่งชื่อดัง รอยเธียรดับเครื่องยนต์ เตรียมลงไปซื้อของกับน้องสาว

            “น้ำไปซื้อของคนเดียวได้ จดรายการไว้หมดแล้ว พี่ลุยนั่งรอในรถนี่แหละ”

            “ของมันเยอะนะ เดี๋ยวพี่ไปช่วยถือ จะได้ออกไปเดินยืดเส้นยืดสายด้วย”

            “ที่นี่เขามีรถเข็น ขนของมาถึงลานจอดรถได้ ถ้าพี่ลุยอยากเดินยืดเส้นก็ไปเดินคนเดียว ไม่ต้องมาเดินกับเค้า” คนพูดเริ่มรำคาญพี่ชาย

            “อะไร...เห็นพี่เป็นตัวน่ารังเกียจไปได้ หน้าตาออกจะหล่อขนาดนี้ ไปเดินซื้อของด้วยกันมีแต่คนอิจฉานะ” รอยเธียรหยอกน้องสาวอย่างขำขัน

            “ไม่ได้รังเกียจ แต่ใครอยากจะเดินด้วยก็ไปเหอะ...น้ำกลัวแฟนคลับสามีแห่งชาติแอบถ่ายรูปโพสต์ลงเน็ตด้วยความหมั่นไส้ ไม่อยากมีรูปในโซเซียลโดยไม่จำเป็น”

            รอยเธียรหัวเราะ หากเขาเดินควงสาวคนไหนในสถานที่สาธารณะโจ่งแจ้งอย่างนี้ รับรองต้องเจอมือดีแอบถ่ายรูป ปล่อยข่าวลงโซเซียลแน่

            “เออ...ไม่ลงก็ได้” แกล้งพูดงอน ๆ “งั้นช่วยซื้อของให้พี่หน่อยแล้วกัน”

            “จะเอาอะไร”

            “กางเกงใน แบบบิกินี่นะไม่ใช่บ็อกเซอร์ รู้ใช่มั้ยพี่ใช้ยี่ห้ออะไร ไซด์ไหน เอามาโหลนึงเลยก็ได้” ชายหนุ่มสั่งหน้าตาเฉย

            หญิงสาวหันขวับตาเขม็ง

            “ทำไมไม่จัดใส่กระเป๋ามาจากบ้าน”

            คนพูดเคยจำเป็นต้องซื้อกางเกงในให้พี่ชายหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ดูไม่จำเป็นอย่างทุกที

            “ลืม!” ตอบแล้วโบ้ยความผิดให้อีกฝ่าย “ก็ใครล่ะลากพี่ลงจากเตียงตั้งแต่เช้ามืด คนกำลังเมาขี้ตาหยิบเสื้อผ้าใส่กระเป๋าส่ง ๆ เลยลืมหยิบกางเกงในมาด้วย...ตอนนี้ก็ไม่ได้ใส่มานะจะดูมั้ย?”

            พูดพลางเอี้ยวตัวพยายามดึงขอบกางเกงออกมาให้ดู

            “ไม่ต้อง...โธ่เอ๊ยไอ้พี่บ้า...หาเรื่องแกล้งเค้าใช่มั้ยเนี่ย” น้องสาวรู้ทัน

            “เปล๊า...” แกล้งทำเสียงสูง “ถ้าไม่ซื้อให้ก็ไม่เป็นไร...พี่ไปซื้อเองก็ได้ ถ้าเจอแฟนคลับรุมมาก ๆ ไม่สะดวกจะซื้อ...ยอมไม่ใส่ก็ได้...ไปอยู่วัดไม่จำเป็นเท่าไหร่”

            รอยธาราถอนใจอย่างหมั่นไส้

            “เออ...ไปซื้อให้ก็ได้”

            หญิงสาวลงจากรถ ปิดประตูดังปัง ชายหนุ่มแอบหัวเราะขำอย่างสบายใจ




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            รอยธาราใช้เวลาซื้อของไม่เกินหนึ่งชั่วโมง มั่นใจว่าพี่ชายตัวแสบคงกำลังเอนเบาะนอนอย่างสบายอารมณ์ ผิวปากสบายใจที่แกล้งน้องสาวสำเร็จ

            กลับมาถึงรถก็ชะงัก สัมผัสสิ่งผิดปกติ กระแสความเป็นตัวตนของ ‘ใคร’ บางคนลอยเอื่อยรอบรถอย่างจงใจให้รับรู้ จอดรถเข็นของไว้ด้านข้าง มองเข้าไปในรถไม่เห็นพี่ชาย...ขมวดคิ้วสงสัย

            รอยเธียรหายไปไหน?











บทที่ ๔



            หลังแกล้งน้องสาวสำเร็จ รอยเธียรไม่ได้เอนหลังนอนพักผ่อน เขาลงจากรถไปเข้าห้องน้ำ เดินยืดเส้นยืดสายผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

            คนในห้างอาจสะดุดตาชายร่างสูง หุ่นนายแบบ ไม่มีใครคิดว่าเป็นคนดัง เพราะเจ้าตัวสวมหมวก ใส่แว่น แต่งตัวง่ายด้วยเสื้อยืด กางเกงขาสามส่วน รองเท้าแตะคีบ บุคลิกผิดกับดารานายแบบสามีแห่งชาติเป็นคนละคน

            หลังเข้าห้องน้ำเรียบร้อย รอยเธียรเดินเล่นดูสินค้าในห้างนิดหน่อยพอให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ค่อยกลับมาลานจอด เห็นรถเรียงรายละลานตา พยายามมองหารถตนเองจนเจอ

            กดรีโมทปลดล็อคประตู เตรียมเปิดเข้าไปนอนรอน้องสาว หูแว่วเสียงดังกระทบจงใจให้ได้ยินเฉพาะตัว

            “ชัยยะนาคา” ชายหนุ่มชะงัก ดวงตาฉายโชนก่อนหรี่แสง ทำเป็นไม่สนใจ เอื้อมมือแตะหูจับประตู

            “ชัยยะนาคา เจ้าลืมเลือนนามนี้แล้วฤา” เสียงเดิมดังมาอีก ปลายเสียงเยาะเย้ยเหน็บแนม

            รอยเธียรระบายลมหายใจแผ่ว เปิดใจยอมรับการสื่อสาร หันกลับไปมองทางต้นเสียง

            สิ่งที่เห็นทำให้ยืนอึ้งชั่วขณะ

            ลานจอดรถโล่งกว้าง ว่างเปล่า ไม่เห็นสิ่งใด ไม่พบกระทั่งตัวตนเจ้าของเสียงเรียก

            หันกลับมาด้านหลัง พบเพียงรถตนเองจอดอยู่ อาจเพราะมือเขายังแตะตรงหูจับประตู เกิดความเข้าใจขึ้นมาทันที

            เสียงเรียกคือสิ่งล่อ พอเขาเปิดใจตอบรับการสื่อสาร บุคคลผู้ไม่ยอมแสดงตัวก็ใช้อำนาจพิเศษดึงเขามาอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเหมือนโลกเคยอยู่เพียงแต่มันว่างเปล่าปราศจากสิ่งรบกวน

            “มีอะไรจะคุยกับผม” ชายหนุ่มเอ่ยปากถามความว่างเปล่าตรงหน้า

            “ยอมรับแล้วสิว่าเจ้าคือชัยยะนาคา...นาคองครักษ์ผู้ต่ำต้อย” คำพูดหยอกเอินกดผู้ฟังให้อยู่ต่ำกว่าตน

            “ผมไม่อยากคุยกับคนที่ไม่กล้าสู้หน้าใครหรอกนะ” รอยเธียรบอกเสียงเรียบ แฝงพลังจริงจังในนั้น

            “เรารึไม่กล้าสู้หน้าใคร...” หัวเราะกระหึ่ม “แค่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น...เรามาบอก เวลาพบกันใกล้มาถึงแล้ว ตอนนี้แค่ทดสอบเล่น ๆ ว่าฤทธานาคาของเจ้าหลงเหลืออยู่สักเท่าใด”

            รอยเธียรไม่ตอบ ดวงตาฉายโชนปรากฏแววไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ร่างยืนนิ่งตรงบุคลิกผิดจากปกติเป็นคนละคน พลังบางอย่างแผ่ออกมาเป็นคลื่นรอบตัว

            ฝ่ายไม่ปรากฏตัวเงียบเสียง ไม่กล่าววาจาอีก เป็นความเงียบสงัดจริงจัง ราวกับบริเวณนั้นไร้สิ่งมีชีวิต

            ชายหนุ่มมองรอบตัว เขายังไม่ถูกนำออกจากแดนสนธยา เจ้าของเสียงวางกับดักจงใจลากมาที่นี่เพื่อทดสอบฝีมือ หลังจากหาเรื่องเล่นสนุกบนท้องถนนมาแล้ว

            ลากลมหายใจเข้า-ออกช้า ๆ ใช้สัมผัสนั้นรับรู้ความมีอยู่ของร่างกายชัด บอกตนเองว่าไม่ได้หลุดหายไปไหน เขายังยืนข้างประตูรถเหมือนเดิม

            จิตสัมผัสแผ่ออกกระทบม่านอำพรางปิดบังตนกับโลกภายนอก ที่นี่เป็นโลกอีกมิติซึ่งซ้อนเหลื่อมกับโลกอันคุ้นเคย ชายหนุ่มไม่ขยับไปไหนก็จริง หากมีใครเดินผ่านจุดที่เขายืนอยู่ในโลกปกติก็สัมผัสกันไม่ได้ ไม่สามารถรับรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน

            จะออกไปได้ยังไง’ รอยเธียรถามตัวเองในใจ

            ความกังวลผุดขึ้นในใจ จิตเห็นความกังวลนั้น ความกังวลดับ สติเกิด จิตใจแจ่มใส ระลึกถึง ‘หลวงน้า’ ขึ้นมาทันที

            รอยเธียรไม่ได้หลับตาหรือยกมือประนม ในใจเขากำหนดภาพพระภิกษุกลางคน ใบหน้าผ่องใส ราศีฉายชัดไว้ตรงเบื้องหน้า

            “ขอบารมีหลวงน้าช่วยด้วยครับ” พึมพำส่งกระแสใจตามไปกับน้ำเสียง

            จิตใจรับรู้ถึงความตั้งใจที่ส่งออกไป ภาพนิมิตพระภิกษุตรงหน้าฉายรังสีสว่างเรือง จีวรครองบนร่างทอประกายสว่างสีเหลืองทองกระจายทั่ว

            คลื่นอันอ่อนโยนถ่ายทอดกลับมา สัมผัสคล้ายสายน้ำอบอุ่นไหลผ่าน โอบล้อมจิตใจให้ชุ่มชื่นมีกำลัง

            ดวงตาทั้งคู่ไม่ได้หลับ มองเห็นลานจอดรถว่างเปล่าปรากฏรถยนต์ขึ้นมาทีละคัน แสดงถึงการกลับมาสู่โลกปกติแบบนุ่มนวลไม่เร่งร้อน

            ทุกสิ่งรอบตัวกลายสภาพดังเดิม เห็นรถเข็นของจอดอยู่ใกล้ ๆ ห่างจากตนเองคืบเดียว รอยธารากำลังจ้องมองมาราวกับพบสิ่งประหลาดยืนอยู่ตรงหน้า

            “ถ้าไม่รู้จักกันมาตลอดชีวิต น้ำต้องคิดว่าพี่ลุยหายตัวได้แน่ ๆ”

            จู่ ๆ พี่ชายปรากฏร่างต่อหน้าต่อตาแบบนี้ จะไม่ให้ประหลาดใจได้อย่างไร

            “อือ...รีบไปหาหลวงน้ากันเถอะ”

            นี่เป็นสิ่งที่สองพี่น้องเห็นตรงกัน




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            “โฆษณาชุดนี้เราจะแบ่งเป็นสามตอนเหมือนซีรีย์เรื่องราว ใช้ธีมหลักแต่ละตอนเป็น ‘พบรัก’‘พลัดพราก’ และ ‘คืนดี’ ซึ่งมันจะเชื่อมโยงกับแป้งหอมสามกลิ่น สามฤดูของเราพอดี”

            “พาร์ทแรก ‘พบรัก’ เป็นแป้งหอมฤดูหนาว พาร์ทสอง ‘พลัดพราก’ แป้งหอมฤดูร้อน และพาร์ทสาม ‘คืนดี’ แป้งหอมฤดูฝน”

            “พระเอกโฆษณาคือลุย รอยเธียร รับบทเป็นซุป’ตาร์คนดังเหมือนตัวจริง มีสาว ๆ แฟนคลับตามกรี้ดมากมาย ส่วนนางเอกเราเลือกน้องไอรดา เนตไอดอลชื่อดัง รับบทเป็นผู้หญิงธรรมดาแอบชอบดาราดังแต่เข้าไม่ถึงตัว เราจะใช้กลิ่นแป้งหอมฤดูหนาวเป็นสื่อให้ทั้งสองรู้จัก พบรักกันในตอนแรก”

            “ในตอนสองฤดูร้อน ทั้งคู่เกิดเรื่องขัดแย้ง ไม่เข้าใจ ทำให้ต้องพลัดพรากแยกทาง กลิ่นแป้งหอมฤดูร้อนของเราเป็นเสมือนสื่อให้พวกเขาระลึกถึง โหยหากันและกัน”

            “สุดท้ายฤดูฝน ทั้งคู่ติดฝนอยู่ตรงชายคาร้านดอกไม้ สถานที่แรกพบกัน ด้วยกลิ่นหอมของแป้งฤดูฝน ทำให้ความรักในใจเบ่งบานอีกครั้งเหมือนต้นไม้ได้น้ำ ทำให้ทั้งคู่ยอมลดทิฐิกลับมาคืนดีกัน”

            “นี่เป็นสตอรี่บอร์ดแต่ละพาร์ทโฆษณา และนี่เป็นเพลงประกอบสามฤดูที่คุณพายุ...พยุหะแต่งให้โดยเฉพาะ”

            เสียงเพลงประกอบโฆษณาดังคลอภาพบนจอ

            การนำเสนองานดำเนินอย่างราบรื่น ผู้บริหาร กรรมการต่างพอใจ แผนกประชาสัมพันธ์บริษัทได้หน้าได้ตา ทีมนำเสนอจากบริษัทโฆษณาโล่งอก ยิ้มออกที่ไม่ต้องกลับไปแก้ไขตัวงานใด ๆ

            เพลงประกอบทั้งสามฤดูจบพร้อมภาพตัวอย่างโฆษณา เสียงปรบมือจากบรรพต ผู้บริหารสูงสุดดังคนแรก จากนั้นกรรมการและผู้ร่วมประชุมทุกคนต่างปรบมือชื่นชมพร้อมเพรียง

            ทีมโฆษณารวมถึงพยุหะลุกขึ้นน้อมรับเสียงปรบมือ สายตาโปรดิวเซอร์เพลงเหลือบมองหญิงสาว ‘เด็กฝึกงาน’ ที่นั่งด้านหลังทีมประชาสัมพันธ์บริษัท เขาไม่สนใจคำชื่นชมยินดีมากไปกว่า พยายามคิดหาวิธีคุยกับหญิงสาวในเรื่องที่ค้างคาใจ แต่ไม่รู้ควรเริ่มต้นอย่างไร

            การเปิดฉากสนทนาก่อนเป็นเรื่องยากสำหรับคนอย่างเขา

            นำเสนองานครั้งนี้ควรจบอย่างราบรื่น ไร้อุปสรรคปัญหาใด ถ้าหัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์บีบี พรอม กับหัวหน้าทีมโฆษณาจะไม่ได้รับข่าวสารสำคัญในเวลาเดียวกัน

            ‘ไอรดา เนตไอดอลชื่อดัง เกิดอุบัติเหตุรับบาดเจ็บสาหัส อาการโคม่า ขณะนี้อยู่ในห้องไอซียู’

            “ผู้จัดการไอรดาไลน์มาบอกว่า น้องมาถ่ายโฆษณาสัปดาห์หน้าไม่ได้แล้วครับ”

            “ทำยังไงดี เลื่อนกำหนดถ่ายทำดีมั้ย”

            “เลื่อนไม่ได้ครับ แผนงานถูกวางไว้หมดแล้ว ถ้าเลื่อนมันจะกระทบยาวเลย”

            “จริงด้วย ก่อนประชุมนี่ คุณรอยจันทร์ แม่และผู้จัดการของลุยก็แจ้งมาแล้วว่า ให้คิวได้แค่สองวัน คือวันที่เราขอไปเท่านั้น ถ้าเปลี่ยนหรือเลื่อนอาจไม่ได้คิวเลย”

            “แม่เขาแจ้งมาอีกว่าตอนนี้ลุยไม่อยู่กรุงเทพ ไม่สะดวกมาเซ็นสัญญา ขืนเรามีปัญหาแบบนี้ เขาอาจใช้เป็นข้ออ้างไม่รับงานก็ได้ เพราะบอกว่าต้องการพักงานวงการอยู่แล้ว”

            “ถ้างั้นต้องหานางเอกใหม่”

            “ใครดี...น้องแพรว นางเอกดาวรุ่งตอนนี้ดีมั้ย หรือน้องโม...เจ้าแม่พรีเซนเตอร์ที่ดังพอกับรอยเธียร”

            ผู้ร่วมประชุมต่างเสนอชื่อดารานางเอกดัง นางแบบ เจ้าแม่พรีเซนเตอร์ เนตไอดอลที่ผู้คนนิยม พอลองติดต่อจริงหลายคนไม่มีคิวให้ บางคนติดสัญญาสินค้าตัวอื่น และมีอีกหลายคนซึ่งที่ประชุมเห็นว่า ‘ลุ๊ก’ ไม่เข้ากับสินค้าตนเอง

            คนเสนอความเห็นสุดท้ายคือบรรพต

            “ทำไมเราต้องเลือกนางเอกดัง นางแบบค่าตัวแพง ในเมื่อนางเอกโฆษณาชิ้นนี้เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง...ซึ่งเราอาจจะเคยเดินสวนกันในห้าง นั่งรอรถเมล์ป้ายเดียวกัน หรืออาจทำงานในห้องเดียวกันก็ได้”

            “การที่เราเลือกผู้หญิงที่มีออร่าแรง สวยสะดุดตาอย่างพวกนางเอก นางแบบ หรือเนตไอดอลชื่อดังมาแสดงเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ปลื้มซูเปอร์สตาร์ มันอาจดูไม่น่าสนใจ ไม่สมจริงเท่าไหร่ ทำไมเราไม่เลือกผู้หญิงธรรมดาจริง ๆ ไม่ต้องสวยเลิศเลออย่างนางฟ้านางสวรรค์ ไม่ต้องเป็นนางเอก นางแบบออร่าจับตา ทำให้คนเหลียวมองตั้งแต่แวบแรก เป็นผู้หญิงที่เรามองเห็นได้ใกล้ตัว ผู้หญิงที่พอปรากฏภาพบนจอแล้ว สาว ๆ ทั่วไปจะรู้สึกว่า...ฉันก็เป็นแบบผู้หญิงคนนั้นได้เหมือนกัน”

            คำอธิบายยืดยาวของบรรพตทำให้เหล่าครีเอทีฟ ผู้บริหารคนอื่นเห็นด้วย วาจาปิดท้ายของเขาสร้างเซอร์ไพรซ์ทั้งห้องประชุม
            
                        “ถ้าเราเข้าใจโจทย์ตัวเองแบบนี้ ผมคิดว่าไม่น่าลำบากในการหานางเอกโฆษณาคนใหม่ อย่างเด็กฝึกงานที่นั่งด้านหลังทีมประชาสัมพันธ์คนนั้น ก็เป็นนางเอกโฆษณาให้เราได้สบาย ๆ”

            สิ้นเสียงบรรพต ทุกสายตาหันขวับมองตรงเป้าหมายที่เขาพูดถึง

            ‘เด็กฝึกงาน’ นั่งแข็งทื่อ ทำตัวไม่ถูก

            “แม่หนูคนนั้นน่ะ ลุกขึ้นยืนให้ทุกคนดูสิ” บรรพตสั่ง

            มัชฌิมาลุกขึ้นอย่างเกร็ง ๆ

            คนในห้องประชุมมองมาด้วยแววตางุนงงแวบแรก ก่อนเริ่มสนใจพิจารณาจริงจัง

            เด็กฝึกงานสาวคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงสวยสะดุดตาจนใคร ๆ ต้องเหลียวหลัง จำหน้าได้ทันที เธอมีรูปร่างสมส่วน ผอมบางเล็กน้อย ใบหน้ารูปหัวใจ เครื่องหน้ารับกันพอดี เมื่อมองจริงจังค่อยเห็นดวงตาอ่อนโยน ลักยิ้มน้อย ๆ ลักษณะเย็นตาเย็นใจ ผู้ชายเห็นแล้วอยากอยู่ใกล้ ผู้หญิงไม่รู้สึกริษยาหมั่นไส้

            “เป็นไง...คิดว่าเด็กคนนี้เป็นนางเอกโฆษณาให้เราได้มั้ย” ผู้บริหารสูงสุดเอ่ยถาม
            
            ผู้ตอบรับคนแรกไม่ใช่คณะกรรมการ หรือผู้บริหารระดับรองลงมา

            “ผมเห็นด้วย...น้องคนนี้เป็นนางเอกโฆษณาได้”

            พายุ...พยุหะเป็นคนพูด




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            วัดป่าแห่งนี้อยู่บนเขามีบริเวณกว้างขวาง ปกติไม่ให้ผู้หญิงเข้ามาวุ่นวายในเขตสงฆ์หลังตะวันตกดิน รอยธาราจึงบ่นฟ้าฝนมาตลอดทาง ที่ทำให้มืดเร็วกว่าปกติ พลาดโอกาสกราบหลวงน้าวันนี้

            กุฏิพระอาจารย์ราเมศว์อยู่ลึกเกือบสุดเขตท้ายวัด เป็นไปไม่ได้เลยที่หญิงสาวจะแอบตามพี่ชายเข้าไปโดยไม่มีคนอื่นพบเห็น

            เวลาเพิ่งพลบค่ำ ท้องฟ้ามืดสนิท รถยนต์สองพี่น้องแล่นมาจอดข้างศาลาใหญ่ด้านหน้าวัด พบว่าบนศาลาเปิดไฟไว้หนึ่งดวง ตีนบันไดมีชายชรากำลังยืนรออยู่

            “สวัสดีค่ะคุณตาอ่ำ” รอยธาราลงจากรถ ทักทายอย่างคุ้นเคย

            “พวกคุณนั่นเอง...มากันค่ำจริง” ผู้รับคำทักทายเป็นชายชราผอมเกร็ง ผมหงอกขาวทั้งศีรษะ ใบหน้าเรียบเฉยค่อนข้างดุ

            “สวัสดีครับ” รอยเธียรทักพลางเหลือบมองบนศาลา “หลวงน้าอยู่บนศาลาหรือเปล่าครับ”

            รอยดุบนดวงหน้าชราคลายลง ฉายความเมตตาเอ็นดู

            “อยู่...น่าจะรอพวกคุณนั่นแหละ” ปกติตาอ่ำจะพูดน้อย คนทั่วไปนึกเกรง แต่กับสองพี่น้องถือเป็นข้อยกเว้น

            “หลวงน้าใจดีจัง คิดว่าวันนี้จะไม่ได้เจอซะแล้ว” รอยธาราไม่นึกแปลกใจสงสัย หลวงน้ากับตาอ่ำรู้ได้อย่างไรว่าพวกตนจะมาทั้งที่ไม่ได้โทรบอกล่วงหน้า

            “คงไม่รอพวกผมตั้งแต่บ่ายหรอกนะครับ” รอยเธียรเอ่ยถามอย่างเกรงใจ

            “ท่านกลับกุฏิไปรอบนึงแล้ว นี่เพิ่งออกมาศาลาแค่แป๊บเดียว ไม่ต้องห่วงหรอก...ท่านรู้” ตาอ่ำพูดอย่างเห็นเป็นเรื่องปกติ

            บนศาลามีเสียงดังกุกกักอย่างจงใจขัดจังหวะ

            ดวงหน้าชราแย้มรอยยิ้มอย่างเข้าใจ

            “ท่านดุตาไม่ให้พูดมากแล้ว พวกคุณขึ้นไปเถอะ”




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            บนศาลากว้างขวาง ปูพื้นด้วยไม้กระดานแผ่นใหญ่ขัดมันเรียบ ยกพื้นลดหลั่นเป็นชั้นแยกที่นั่งพระสงฆ์กับฆราวาสชัดเจน ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ขนาบข้างด้วยรูปหล่อครูบาอาจารย์สายวัดป่าเรียงรายตามลำดับ

            พระอาจารย์ราเมศว์ หรือท่านอาจารย์ริว ภิกษุวัยกลางคน ดวงหน้าละม้ายหลานชาย หากแต่สูงวัยกว่ามีความกระจ่างสะอาดตา ขับราศีบาง ๆ ชวนเย็นใจ

            สองพี่น้องคุกเข่า คลานเข้าไปกราบด้วยความเคารพศรัทธา ภิกษุกลางคนทอดสายตามองด้วยรอยเมตตา สนิทสนมคุ้นเคย

            “เป็นยังไง มาหาไม่บอกไม่กล่าว” พระภิกษุเอ่ยถาม

            “หลวงน้าไม่มีโทรศัพท์นี่เจ้าคะ น้ำเลยไม่รู้จะบอกล่วงหน้ายังไง” คนเป็นหลานสาวตอบพร้อมยิ้มแป้นแล้น

            “แล้วจะมาอยู่กี่วัน”

            “สามวันครับ” รอยเธียรตอบ

            “คราวนี้หอบปัญหาอะไรมาฝาก” ถามด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ รู้ใจหลานชาย

            “น้ำไม่มีปัญหา มีแต่ความคิดถึงมาฝากเจ้าค่ะ” รอยธาราประจบ

            ดวงหน้าบรรพชิตแย้มรอยยิ้ม ดวงตาทอดมองหลานสาวอย่างรู้ทัน เพียงแต่ไม่เปิดโปง หันมามองหลานชายแล้วทักตรง ๆ

            “งั้นคนที่หอบปัญหามาฝากคงเป็นเราสิเจ้าลุย”

            “ครับ” ชายหนุ่มตอบอย่างไม่จำเป็นต้องปิดบัง

            “ถ้างั้นคนที่ไม่มีปัญหา มีแค่ความคิดถึงก็ไปพักที่เรือนแม่ชีเหมือนเดิมแล้วกัน ห้องคุณพันเกลียวยังว่างอยู่”

            “เจ้าค่ะ”

            รอยธารารู้จักพันเกลียวตั้งแต่เล็ก ทุกครั้งที่มาวัดป่าจะต้องเจอกันประจำ จนกระทั่งสองสามปีมานี้เธอไปอยู่กรุงเทพกับมัชฌิมา ด้วยความที่ผู้สูงวัยไม่ชอบสุงสิง วุ่นวายกับใครจึงไม่ค่อยแวะเวียนไปมาหาสู่กัน

            พอสั่งความหลานสาวเรียบร้อย ก็หันมาบอกหลานชาย

            “ส่วนเจ้าตัวปัญหานี่...ตามไปที่กุฏิด้วยกัน”

            “ครับ” รอยเธียรตอบรับ

            รอยธาราทำตาละห้อย อยากตามไปด้วย นึกหมั่นไส้พี่ชายที่ได้รับสิทธิพิเศษใกล้ชิดหลวงน้ามากกว่าตน พอเงยหน้าสบดวงตาผู้ทรงศีลก็ทำคอย่น ยิ้มเรี่ย ๆ ด้วยความละอาย

            ...ตัวเธอเองได้รับสิทธิพิเศษจากหลวงน้าแล้ว เป็นโอกาสพิเศษ ที่มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นด้วย...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ‘เมื่อไหร่ที่จิตใจเธอเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมะ...ยายขอโอกาสกราบเธอเป็นบุคคลแรก’

            ประโยคนี้เคยกังวานชัดในจิตใจรอยธารา ณ ที่นี้ เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว

            ขณะหญิงสาวฉายไฟ สะพายกระเป๋าเดินฝ่าแนวต้นไม้มืด ๆ ไปทางเรือนแม่ชีเพียงลำพัง ความทรงจำเมื่อสิบกว่าปีก่อนย้อนกลับคืนมา ราวกับเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน

            หนูน้อยรอยธาราวัยเกือบสิบขวบ คะยั้นคะยอพ่อแม่ให้พาไปหาหลวงน้าโดยไม่ทราบสาเหตุ ในใจเกิดแรงผลักดันมหาศาล กระวนกระวายคิดถึงผู้ทรงศีลที่อยู่ไกลอย่างบอกไม่ถูก

            เธียร รอยจันทร์พาลูกทั้งสองออกเดินทางโดยไม่ขัด ยอมขับรถทั้งคืนเพื่อจะถึงหน้าวัดป่าตอนเช้า

            ผ่านตลาดในหมู่บ้านก่อนถึงจุดหมาย รอยธาราขอให้มารดาช่วยซื้อดอกบัวงามที่วางขายหน้าตลาดมาให้ รอยจันทร์จึงซื้ออาหารจัดเป็นชุดเตรียมใส่บาตรด้วย

            ฟ้าเพิ่งสว่าง รถแล่นมาจอดหน้าศาลา พระยังไม่ออกบิณฑบาต หนูน้อยรอยธาราถือดอกบัวลงจากรถคนแรก เกือบวิ่งไปหาหลวงน้าที่กุฏิแล้ว ถ้าไม่ทันสังเกตเห็นชายผ้าเหลืองไหว ๆ เคลื่อนมาตามทางเดินแนวป่า

            เมื่อหลวงน้ายืนอยู่ตรงหน้า เด็กหญิงสัมผัสถึงกลุ่มก้อนความอบอุ่นเมตตาที่แผ่ออกมาอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ เป็นความรู้สึกซึ่งเธอไม่เคยสัมผัสจากผู้ทรงศีลขนาดนี้มาก่อน สายตามองเห็นความสว่างทอจับใบหน้าท่านจนใจเกิดปีติล้นอก คุกเข่าด้วยกิริยาเคารพสำรวม

            เด็กหญิงบรรจงวางดอกบัวไว้แทบเท้าท่านเป็นอามิสบูชา แล้วก้มลงกราบด้วยหัวอกเต็มตื้น ศีรษะจดพื้นกระแสปีติทะลักล้น กลายเป็นหยาดน้ำตาหลั่งไหลเต็มใบหน้า ในใจนึกน้อมอนุโมทนายินดีอย่างที่สุด ใจเบ่งบานพองฟูแทบลอย...ทั้งที่ตอบตนเองไม่ได้ว่า...ใจอนุโมทนายินดีด้วยเรื่องราวใด...

            ขณะปีติแน่นล้นหัวอก สติเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ จิตตั้งมั่นเด่นดวง ในหัวเกิดเสียงลั่นเปรียะ ก่อนคำพูดหนึ่งผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า

            “ยายขอโอกาสกราบเธอเป็นบุคคลแรก!”

            เพียงเริ่มต้นประโยคนี้ ความทรงจำอดีตก็ไหลทะลักเข้ามา กำแพงแห่งภพชาติถูกเปิดออกให้รับรู้ความเป็นมาแต่เก่าก่อน...ก่อนที่จะมาเป็นเด็กหญิงรอยธารา

            เธอ...เคยเป็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งบากบั่นทำงานจนประสบความสำเร็จในชีวิตและแก่ตายในวัยชรา

            เธอ...เคยเป็นดวงวิญญาณที่รักห่วงหลานสาว คอยติดตามโดยไม่อาจสลัดหนี

            เมื่อวันที่หลานสาวไปสู่สุคติทั้งที่ยังไม่ถึงวัยอันสมควร...เธอหมดห่วง...เมื่อเห็นชายคนรักหลานสาวเจ็บปวด ทุกข์ใจจากความสูญเสียก็นึกอยากช่วยเหลือ

            เขา...เข้าใจการพลัดพรากครั้งนี้ แต่ใจไม่อาจยอมรับ ไม่สามารถสลัดความอาลัย มองเห็นความตายเป็นเรื่องปกติได้เสียที

            วันนั้น...เธอปลอบประโลม และกล่าวปฏิญาณ...เมื่อใดเขาพ้นทุกข์ หมดกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวง จะขอโอกาสกราบเขาเป็นบุคคลแรก...เพื่อให้เขามีกำลังใจมุ่งหน้าเดินบนเส้นทางสายธรรมเต็มกำลัง

            คำปฏิญาณนั้น ทำให้เธอต้องรอคอย ‘ฤกษ์เกิด’ อันเหมาะสมอีกชั่วระยะหนึ่ง

            กระทั่งวันนี้...ชายคนนั้นหมดสิ้นกิเลส รื้อถอนวัฏฏะสำเร็จ เขาจึงเปิดโอกาสตามที่เธอเคยร้องขอ

            ทว่า...ด้วยแรงปีติอันมหาศาล ปลุกความทรงจำอดีตชาติให้ย้อนทวนขึ้นมา เด็กหญิงจึงคล้ายมีอีกตัวตนปรากฏ ไม่ต่างจากเป็นหญิงชราในร่างเด็กน้อย

            กว่าความต่างจะถูกปรับสมดุล ละลายความขัดแย้ง กลายเป็น ‘รอยธารา’ ในปัจจุบัน ต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งทีเดียว




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            แสงไฟฉายส่องตรงทางเดินอย่างคุ้นเคย ภิกษุกลางคนเดินนำคล่องแคล่ว รวดเร็ว ไม่ห่วงหลานชายที่ก้าวตามยาว ๆ จนเกือบวิ่งอยู่เบื้องหลัง
            
            ชายผ้าเหลืองสะบัดไหวเบื้องหน้า เส้นทางสู่กุฏิหลวงน้ายังอีกยาว รอยเธียรเดินกึ่งวิ่งตามผู้ทรงศีลโดยไม่นึกหวั่นต่องูพิษ สัตว์ร้ายที่อาจซุ่มกายอยู่ในความมืด

            นั่นเพราะมั่นใจ สัตว์ร้ายอสรพิษใดล้วนไม่กล้ำกราย ทำร้ายตนแน่นอน

            สมัยเด็ก รอยเธียรซุกซนออกรู้เรื่องนอกตัวประเภทภูตผี วิญญาณ ระลึกชาติได้แบบรัวราง กระทั่งเห็นสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติอย่างพญานาคก็เคย

            ตอนนั้นไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงมีความสามารถเช่นนั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง ‘เจ้าน้ำ’ น้องสาวออดอ้อน ร้องขอให้พ่อแม่พามาหาหลวงน้าโดยเร็ว ทั้งที่เป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว

            พ่อแม่มองหน้ากัน นัยน์ตาแสดงความนัยที่เขาอ่านไม่ออก ก่อนยอมตามใจเจ้าตัวเล็ก ขับรถข้ามคืนมาถึงวัดป่าตอนรุ่งสาง

            พอรอยธาราวิ่งลงจากรถคนแรก รอยเธียรรีบตามไปติด ๆ ด้วยเป็นห่วงกลัวน้องสาวจะผลีผลามเข้าไปเขตสงฆ์ ทั้งที่ยังไม่สว่างเต็มที่

            โชคดี หลวงน้าออกมาคล้ายกำลังยืนรอ พอรอยธาราคุกเข่าลงกราบก็เผยรอยยิ้มน้อย ๆ รอยเธียรสัมผัสกระแสเมตตาขนาดใหญ่ขยายตัวเป็นวงกว้างแผ่ไปทุกทิศทาง ได้ยินเสียง ‘สาธุ’ อนุโมทนาดังลั่นในหัวกึกก้องรับกันเป็นทอด ๆ

            ท้องฟ้ายังไม่สว่าง เขากลับรู้สึกถึงแสงสว่างกระจ่างทั่ว ร่างในผ้ากาสาวพัสตร์หลวงน้าดูมลังเมลืองฉายราศีงดงามจับตา

            จิตใจเกิดความปลื้มปีติโดยไม่ทราบเหตุผล ก้าวตามไปคุกเข่ากราบผู้ทรงศีลเป็นคนที่สองต่อจากน้องสาว แรงปีติจากรอยธาราถ่ายทอดมาถึง ไหลรวมกับกระแสปีติในใจจนเต็มเปี่ยม หยาดน้ำไหลเอ่อคลอดวงตาไม่รู้ตัว

            ชั่วเวลานั้นหัวเปิดโล่ง ความทรงจำอันพร่าเลือนไกลลิบในชาติก่อนกระจ่างชัด ผุดขึ้นเป็นฉาก ๆ

            มันเป็นความทรงจำเนิ่นนานเกินกว่าอายุของเขาในปัจจุบัน

            ความทรงจำนั้นบอกให้รู้ ตนเคยเป็นใคร...มีความผูกพันใดกับหลวงน้าและพ่อแม่

            รอยเธียรเห็นเรื่องราวในอดีตไม่ต่างจากละครตื่นเต้นฉากใหญ่ ทำให้ยอมรับในการเวียนว่ายตายเกิด มองเห็นความไม่เที่ยงแท้ของวัฏสงสาร



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP