วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๒



cover Amarit


ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


            ‘รอยจันทร์’ อดีตนักแสดงนางร้ายชื่อดังแต่งงานมาเกินยี่สิบห้าปีแล้ว ก่อนแต่งงานเธอทำงานด้านวงการบันเทิงเกือบครบทั้งเป็นดารา นางแบบ พิธีกร พอแต่งงานก็ลดงานตนเองลงมาเรื่อย ๆ เพื่อเอาเวลามาเลี้ยงดูแลลูก ๆ

            ‘รอยเธียร’ หรือ ‘ลุย’ ลูกชายคนแรกเป็นเด็กน่ารัก ฉลาดเฉลียวจึงทำให้พวกผู้ใหญ่ในวงการบันเทิงเอ็นดู ชักชวนมาทำงานตั้งแต่เล็ก ซึ่งเจ้าตัวไม่ปฏิเสธ อีกทั้งยังสนุกกับงานทุกชิ้นที่ทำ

            เขาเริ่มจากเป็นนายแบบภาพนิ่ง นายแบบโฆษณาสินค้าสำหรับเด็ก แล้วเล่นละครเป็นตัวประกอบเล็ก ๆ จนถึงเป็นพระเอกตอนเด็ก บทพูดไม่กี่ประโยค

            พออายุสิบสี่สิบห้า มีค่ายเพลงชักชวนให้รวมกลุ่มเป็นบอยแบนด์ ทำให้มีเพลงดัง อัลบั้มขายดี ชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ สองสามปีก็ยุบวง เนื่องจากสมาชิกต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ

            ต่อมามีโอกาสได้แสดงภาพยนตร์ ทำรายได้สูงมาก ชื่อเสียงไกลถึงต่างประเทศ จึงได้เป็นนายแบบโฆษณาสินค้าต่าง ๆ อีกทั้งรับเชิญไปร่วมเดินแบบกับแบรนด์เสื้อผ้าระดับโลก

            ค่ายละครโทรทัศน์ต่างรุมจีบให้เซ็นสัญญาเล่นละคร ชายหนุ่มเลือกที่จะเป็นนักแสดงอิสระ ทำงานไม่จำกัดช่อง แต่ละครทุกเรื่องที่เขารับเล่น ล้วนเป็นที่นิยม เรตติ้งดี จนกลายเป็นการการันตีฝีมือ ความสามารถในตัว

            รอยจันทร์เป็นผู้จัดการส่วนตัวลูกชายตั้งแต่เล็กจนโต เธอเลือกรับงานแต่น้อยอย่างรอบคอบ ไม่กอบโกย โดยยึดเรื่องการเรียนเป็นหลัก พยายามให้เขามีชีวิตส่วนตัวเหมือนคนทั่วไปมากที่สุด

            ลุย...รอยเธียร’ จึงเป็นดารานายแบบคุณภาพ รับงานน้อย ชื่อเสียงสามารถการันตีรายได้หนัง เรตติ้งละคร อีกทั้งยังทำให้ยอดขายสินค้าที่เป็นพรีเซนเตอร์เพิ่มขึ้น ติดตลาดอย่างรวดเร็ว นั่นจึงทำให้ค่าตอบแทนต่องานของเขาสูงติดอันดับต้น ๆ ของดารานายแบบเมืองไทยเลยทีเดียว

            ‘รอยธารา’ หรือ ‘น้ำ’ อายุห่างจากพี่ชายประมาณห้า-หกปี เป็นเด็กผู้หญิงร่าเริง แจ่มใส แต่เมื่อใดที่บอกว่า ‘ไม่’ จะไม่มีใครเปลี่ยนใจเธอได้

            รอยธาราไม่สนใจงานวงการบันเทิง ไม่ใส่ใจรูปร่างหน้าตา เจ้าหล่อนจึงไม่มีเรือนร่างแบบบาง สูงระหงเหมือนแม่ เธอมีความสุขในการรับประทาน รูปร่างเลยอวบเล็กน้อย พอยืนคู่กับพี่ชายที่สูงระดับนายแบบอินเตอร์ จึงได้แค่ไหล่เขา ทำให้ดูเตี้ยกว่าปกติ เป็นเหตุให้รอยเธียรเรียกขานน้องสาวว่า ‘ไอ้เตี้ย’ เวลาอยู่ด้วยกันในครอบครัว

            ด้วยความที่สองพี่น้องสนิทสนมกันมาก รอยธาราจึงมักทำหน้าที่สอดส่อง ดูแลแฟนคลับแทนพี่ชายเป็นบางครั้ง ทำให้แอบลงรูปหลุดชายหนุ่มลงในไอจีเจ้าตัวได้

            หญิงสาวเข้าร่วมกลุ่มแฟนคลับพี่ชายมานาน โดยไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นน้องสาวรอยเธียร จนได้เป็นประธานกลุ่มแฟนคลับในที่สุด

            พอเป็นประธานกลุ่ม ก็หาเรื่องดี ๆ ชักชวนเหล่าสาว ๆ แฟนคลับมาร่วมทำกันมากกว่าคอยตามยกป้ายเชียร์ดารา

            พวกแฟนคลับมักอยากได้ ‘ของพิเศษ’ จากศิลปิน เธอจึงมีไอเดียเซอร์วิสแฟน ๆ ด้วยการขอของใช้ส่วนตัวพี่ชาย หรือไม่ก็เอารูปของเขามาให้เซ็นเพื่อประมูลขายในกลุ่มแฟนคลับเวลามีงานเทศกาลพิเศษ จากนั้นชักชวนกันนำเงินที่ได้ทั้งหมดไปร่วมทำบุญตามมูลนิธิต่าง ๆ ยิ่งเวลามีการร้องขอความร่วมมืองานจิตอาสาใด ๆ เธอก็จะชวนแฟนคลับกลุ่มนี้ไปช่วยงานกันอย่างสนุกสนาน

            มัชฌิมาเพื่อนรักตั้งแต่สมัยประถมก็อยู่ในกลุ่มแฟนคลับ และเป็นคนเดียวที่ทราบว่าเธอเป็นน้องสาวดารานายแบบชื่อดังคนนี้



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            โต๊ะอาหารข้างห้องครัว

            รอยเธียรเปลี่ยนเสื้อผ้าจากเสื้อกล้ามตัวบาง กางเกงบ็อกเซอร์เป็นเสื้อยืดเก่า ๆ กางเกงขาสั้นแบบอยู่บ้าน นั่งชันเข่าข้างหนึ่งบนเก้าอี้รับประทานอาหารเช้า พร้อมเปิดไอแพดอ่านข่าวที่น่าสนใจ

            น้องสาวเดินผ่านเห็นสภาพพี่ชายแล้วส่ายหน้า

            “มันน่าถ่ายรูปไปอวดแฟนคลับจริง ๆ อยากรู้ว่าจะรักษาตำแหน่งสามีแห่งชาติได้มั้ย”

            “ใครเขายกตำแหน่งนี้ให้พี่ล่ะ ไม่เห็นอยากได้สักหน่อย” คนเป็นพี่เถียงทั้งที่ไม่เงยหน้าจากข่าว

            หญิงสาวกำลังออกจากห้อง คำถามลอย ๆ ของพี่ชายทำให้ชะงัก

            “เมื่อวานได้ไปกินกาแฟแถวสี่แยก...มั้ย”

            “หือ” รอยธาราหันขวับ กลับมานั่งแปะบนเก้าอี้ข้าง ๆ “รู้ได้ไง”

            รอยเธียรเงยหน้าจากข่าวแล้วบอกง่าย ๆ

            “ก็อ่านข่าวรถหกล้อเสยเข้าร้านกาแฟอยู่นี่ไง”

            “ในข่าวพูดถึงเค้าด้วยเหรอ”

            “เปล่า...แต่มันมีคลิปให้ดูด้วย ในคลิปข่าวถ่ายพวกไทยมุงไว้ ก็เลยเห็นสองสาวอ้วนผอมอยู่ด้วย”

            “เค้าไม่ได้อ้วน!” รอยธาราไม่ใส่ใจคำตอบมากกว่าวาจาเหน็บแนมจากพี่ชาย “แค่มีน้ำมีนวลนิดหน่อย แบบหญิงไทยโบราณน่ะ...รู้จักมั้ย...แต่ยายมามันดันผอมเองต่างหาก”

            “เหรอ...ไอ้เตี้ย” คนเป็นพี่ชายหาเรื่องกัดน้องสาวได้อีก

            “พูดงี้ต่อยกันเลยดีกว่า” น้องสาวท้า

            รอยเธียรหัวเราะไม่ใส่ใจ การที่สองพี่น้องทะเลาะ ท้าต่อยตีกันเป็นเรื่องปกติของบ้านนี้

            ถ้าวันไหนเกิดสามัคคีปรองดอง เงียบเสียงแอบพูดคุยกันงุบงิบ คนเป็นพ่อแม่ต้องหวาดเสียว ไม่รู้ว่าทั้งคู่กำลังรวมหัวหาเรื่องแผลง ๆ อะไรมาเล่นด้วยกัน

            “แล้วคนนี้ใคร?” ชายหนุ่มพึมพำคล้ายพูดกับตัวเองมากกว่าเอ่ยถามน้องสาว

            บุคคลปรากฏเด่นชัดในกลุ่มไทยมุงเพียงแวบเดียว กล้องก็เคลื่อนผ่านมองแทบไม่ทัน บอกไม่ถูกรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร เพียงแวบสั้น ๆ ก็ทำให้เขาเสียวสันหลังวูบเหมือนเกิดลางร้าย

            มันเป็นสัญญาณบอกว่าตนกำลังจะเผชิญหน้ากับบุคคลน่ากลัวที่สุดในชีวิต







บทที่ ๒



            ผู้หญิงสองคนนั่นอยู่ในคลิปข่าว!

            หลังเกิดเหตุรถหกล้อพุ่งชนร้านกาแฟ พยุหะไม่สนใจในร้านเกิดความวุ่นวายเพียงใด เชื่อว่าไม่นานกู้ภัย ตำรวจคงมาช่วยเหลือดูแล

            สิ่งสนใจคือผู้หญิงหนึ่งในสองคนนั้น...คนที่พยากรณ์แม่นยำจนน่ากลัว

            ชายหนุ่มออกตามหาพวกเธอ พอไม่พบจริง ๆ ก็ยอมแพ้กลับไปทำงาน โดยไม่หวนมาดูสภาพร้านกาแฟอีกครั้ง ทั้งที่น่าจะฉุกใจว่าสองสาวอาจกลับมาดูสภาพความเสียหาย พิสูจน์คำนายตน

            มันคลาดกันอย่างน่าเสียดาย

            พบพวกเธออีกทีอยู่ในคลิปข่าว ท่ามกลางกลุ่มไทยมุง ซึ่งไม่ได้ทำให้รู้จัก หรือมีข้อมูลเพิ่มเติมอะไร นอกจากทราบว่าคนขับรถหกล้อหมดสติ เหมือนหลับใน ให้การสะเปะสะปะไม่รู้เรื่อง

            ตำรวจพยายามสอบถามจนพอปะติดปะต่อได้ว่า เขาขับรถนำของมาส่งจากชานเมือง พอมาถึงสี่แยกก็หมดสติ ไม่รู้เรื่องอะไร จู่ ๆ พบว่าตนขับรถเข้ามาอยู่ในร้านกาแฟแล้ว สรุปว่าน่าจะอ่อนเพลียจนหลับใน

            พยุหะอ่านข่าวนึกค้านในใจ สัมผัสส่วนลึกบอกตนเองว่า...คนขับรถโดนสะกดจิต!

            ...สะกดจิต...คำนี้ลอยขึ้นมากลางหัวก่อนดับหาย

            ชายหนุ่มหงุดหงิด ตอบไม่ได้ตนเองรู้อย่างไร บอกได้อย่างเดียว...มันไม่เคยผิดพลาด

            มันไม่ใช่คำพยากรณ์ล่วงหน้า แต่มันคือ ‘ความจริง’ ที่ปรากฏแก่ใจ ซึ่งแสดงออกมาทุกครั้งตอนพบเรื่องราวคลุมเครือ

            นั่นทำให้เขาอยากรู้จัก พูดคุยกับหญิงสาวนักพยากรณ์คนนั้น เพราะเธอมีความพิเศษใกล้เคียงกัน

            เมื่อไม่อาจได้ข้อมูลหญิงสาวเพิ่มเติมจากคลิปข่าว จึงเตรียมปิดหน้าต่างจอ ทันใดนั้นสายตาสังเกตเห็นใครบางคนในกลุ่มไทยมุงชั่วแวบ เป็นคนที่สะดุดตา ปรากฏในจอนิดเดียวกล้องก็เลื่อนผ่าน ไม่ทันเห็นรายละเอียด

            ...ใคร?...พยุหะตั้งคำถามในใจ

            คราวนี้สัมผัสพิเศษไม่ยอมตอบ คล้ายถูกอำนาจบางอย่างปิดกั้น หัวใจกระตุกแรง ไม่พอใจ ไม่อยากเชื่อว่าสัมผัสลึกลับของตนยังโดนยับยั้งได้

            คนที่ปรากฏบนจอชั่วแวบนั้น ต้องมีอะไรไม่ธรรมดาแน่นอน



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            “ใครอ้ะ” รอยธาราชะโงกหน้า เมื่อได้ยินเสียงพึมพำกึ่งถามจากพี่ชาย

            “คนนี้” รอยเธียรย้อนภาพกลับมาให้น้องสาวดู

            “โห...เห็นแค่แวบเดียวใครจะไปรู้” หญิงสาวไม่รู้สึกอะไร

            “ตอนไปเป็นไทยมุงที่นั่นไม่สะดุดตาบ้างเหรอ”

            “ไม่นี่”

            สองพี่น้องพูดถึงตรงนี้ มารดาก็เดินเข้ามาในห้อง

            “ลุยเอาขาลง นั่งดี ๆ หน่อย ชันเข่าอ้าขาเห็นไปถึงไหนแล้ว น้องเป็นผู้หญิงนะ” รอยจันทร์บ่นลูกชาย

            “คร้าบ...แม่” ชายหนุ่มขยับขาลงมา ปากอดเถียงไม่ได้ “ไอ้เตี้ยมันเห็นของลุยไปถึงไหนตั้งนานแล้ว ไม่เห็นมันจะเปลี่ยนจากผู้หญิงไปเป็นทอมเลย”

            “โตแล้วยังเถียงเป็นเด็กอีก” คนเป็นแม่ดุซ้ำ น้องสาวหัวเราะล้อเลียน

            คราวนี้รอยจันทร์หันไปทางลูกสาวบ้าง

            “น้ำ...วันนี้ไม่ไปฝึกงานที่บริษัทคุณพ่อหรือ”

            รอยธารากำลังขึ้นชั้นปีที่สี่ของมหาวิทยาลัย ช่วงปิดเทอมจึงมาฝึกทำงานบริษัทของ ‘เธียร’ บิดาเธอ

            “ไม่ล่ะค่ะแม่...น้ำรู้แล้วว่างานออฟฟิศไม่เหมาะกับตัวเอง” หญิงสาวตอบ

            “แล้วเราจะทำอะไร?”

            “น้ำชอบทำอาหาร ทำขนม...เรามาเปิดร้านอาหาร ที่เน้นของหวานไม่เหมือนใครดีมั้ยคะแม่”

            “อือ...แม่จะรับไว้พิจารณา” รอยจันทร์ไม่ปฏิเสธ

            “ลุย” คราวนี้หันมาไล่เบี้ยลูกชาย “เราเรียนจบ เกณฑ์ทหารแล้ว ตอนนี้มีงานเสนอมาเยอะเลย เริ่มรับงานสักทีดีมั้ย”

            รอยเธียรทำงานควบคู่การเรียนมาตั้งแต่เด็ก จบมหาวิทยาลัยช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน อีกทั้งผ่อนผันการเกณฑ์ทหารมาตลอด พอถึงเวลาจึงขอสมัครเข้าเป็นทหารโดยไม่เสี่ยงจับใบดำใบแดง อาศัยวุฒิปริญญาตรี ทำให้ประจำการแค่หกเดือน

            ก่อนทำหน้าที่ทหารกองประจำการ เขาเคลียร์งานที่ค้างไว้จนหมด ระหว่างเป็นทหารก็งดรับงานทุกชนิด ไม่เว้นแม้แต่ออกอีเว้นท์ในวันหยุด ทำให้ขาดรายได้มากพอสมควร

            “โธ่แม่จ๋า ลุยเพิ่งปลดประจำการ ผมยังไม่ยาวเลย ขอนอนอยู่บ้านเฉย ๆ สักพักไม่ได้เหรอ”

            “ตามใจ” คนเป็นแม่พูดง่ายจนสองพี่น้องแปลกใจเสียเอง

            “เอ๋...วันนี้แม่เป็นอะไร ใจดีจัง” ลูกสาวสงสัย

            “แม่ใจดีแล้วไม่ดีหรือไง” ปากดุ นัยน์ตามีรอยยิ้ม

            “ไอ้เตี้ย...พี่ว่าอย่างนี้น่ากลัวกว่าว่ะ” พี่ชายหันไปบอกน้องสาว

            หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก เห็นด้วย

            “สงสัยแม่เพิ่งไปเช็คเงินในบัญชีพี่ลุยมาแหละ...เห็นบอกว่าถ้าเกินร้อยล้านเมื่อไหร่ เลิกทำงานได้...อยากทำอะไรตามใจทำไปเลย”

            “มันจะเกินร้อยล้านได้ยังไง” รอยเธียรแกล้งทำหน้าสงสัย “แม่เล่นเอาเงินพี่ไปลงทุนซื้อหุ้น ซื้อทองคำ ซื้ออสังหาฯตั้งแยะ...ทำงานมายี่สิบกว่าปีตั้งแต่เด็กไม่กี่ขวบยันป่านนี้ แม่ก็ยังบอกว่าไม่ถึงร้อยล้านสักที”

            น้องสาวหัวเราะพรืด มารดาทำตาขวาง

            “นี่...จะนินทาอะไร เห็นแม่นั่งหัวโด่อยู่นี่มั้ย” พูดเสียงเขียว แววตาไม่มีโทสะ

            ที่สองพี่น้องพูดไม่ผิดความจริงนัก รอยจันทร์อยู่วงการบันเทิงมานานจนรู้ว่าอาชีพนี้ไม่มั่นคง รายได้ที่ลูกชายหาตั้งแต่เด็กไม่เคยเอามาใช้ในครอบครัวเลย แต่นำไปลงทุนด้านต่าง ๆ อย่างไม่ประมาท ด้วยคิดว่าวันหนึ่งคงไม่สามารถหาเงินได้มากเท่าเดิม จนมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของรอยเธียรปัจจุบันเข้าข่ายอายุน้อยพันล้านได้แล้ว

            “โอ๋...เค้าหยอกเพราะรักน้า...” รอยธาราเข้าไปกอดประจบ

            “ลุยยอมรับงานอีเว้นท์ง่าย ๆ สักงานก็ได้...แม่เลือกมาเลย” คนเป็นพี่ชายรีบเอาใจ ไม่ยอมแพ้

            “จริงนะ” แม่พูด ดวงตาขำขันเจ้าเล่ห์

            “ครับพ้ม...เชิญคุณแม่รอยจันทร์สั่งมาได้เลย”

            “ดีแล้ว งานนี้ไม่น่ายาก” รอยจันทร์เลือกเอกสารชิ้นหนึ่งออกมาจากแฟ้มเสนองาน “เป็นอีเว้นท์ของบริษัทบี.บี.พรอม. (B.B.Prom.) ที่ลุยเคยไปเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าให้เขาตั้งหลายชิ้น”

            “จำได้ครับ...มีครีมอาบน้ำ ยาสระผม โรลออน” รอยเธียรจาระไน

            B.B.Prom. หรือ B.B.Promise เป็นบริษัทผลิตเครื่องอุปโภค บริโภคยักษ์ใหญ่ มีสินค้าหลายยี่ห้อ หลายประเภททั้งสบู่ ยาสีฟัน ยาสระผม ผงซักฟอก ฯลฯ แต่ละแบรนด์ทำยอดขายอันดับหนึ่งในตลาด คนมาเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าล้วนเป็นเบอร์หนึ่งในวงการทั้งนั้น

            “งานนี้เป็นการโชว์ตัว แนะนำสินค้าแล้วก็ถ่ายรูปกับผู้บริหาร น่าจะใช้เวลาประมาณชั่วโมงเดียว” รอยจันทร์อธิบายงาน

            “ลุยจำชื่อสินค้าที่ตัวเองเคยเป็นพรีเซนเตอร์ให้เขาได้ก็ดีแล้ว เห็นทางผู้จัดบอกว่าวันนั้นคุณบรรพต...ประธานกรรมการบริหารจะมาร่วมงานด้วย”

            ชื่อ บรรพต’ กระแทกใจรอยเธียรอย่างแรง รู้สึกเหมือนบุคคลนี้มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ตนเห็นชั่วแวบในคลิปข่าว

            บรรพต บัณฑูรย์ เจ้าพ่อบี.บี.พรอม. เป็นมหาเศรษฐีติดอันดับต้นของประเทศ ปกติไม่ค่อยออกงาน ออกสื่อเท่าใดนัก แสดงว่าอีเว้นท์นี้น่าจะสำคัญกับบริษัทตนมาก

            “ครับผม” รอยเธียรฝืนตอบรับ ในใจเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา “เอ่อ...แม่...เสร็จงานอีเว้นท์นี้ ลุยขอไปกราบหลวงน้าสักสามสี่วันนะ”

            “ได้สิ...นึกยังไงถึงอยากไปหาท่านล่ะ” รอยจันทร์ไม่ทันสะดุดใจ

            “ไม่รู้สิครับ จู่ ๆ ก็คิดถึงท่านขึ้นมา ออกจากกรมแล้ว เวลาว่างตั้งเยอะ ช่วงยังไม่รับงานอะไรก็อยากไปหาท่านสักหน่อย” ชายหนุ่มไม่อยากพูดถึงความฝันแปลกให้แม่กังวลใจ

            “น้ำไปด้วยนะ เดี๋ยวพอเปิดเทอมปีสี่ก็ไม่มีเวลาไปกราบท่านแล้ว”

            พอสองพี่น้องพูดถึง ‘หลวงน้า’ พร้อมกัน รอยจันทร์เริ่มสะดุดใจ ย่นหัวคิ้วเกิดสังหรณ์ไม่ดี

            หลวงน้าของสองพี่น้องคือ ‘ราเมศว์’ หรือ ‘ริว’ น้องชายแท้ ๆ ของรอยจันทร์ เขาบวชหลังจากเธอแต่งงาน จนบัดนี้ไม่มีทีท่าว่าจะสึก

            สองพี่น้องรักและผูกพันกับหลวงน้าตั้งแต่เล็ก ทั้งที่ปีนึงมีโอกาสไปกราบทำบุญไม่เกินสามสี่ครั้ง คล้ายมีสายใยบางอย่างโยงใยระหว่างกัน ยามใดลูก ๆ รอยจันทร์คิดถึงหลวงน้า มักเกิดเรื่องผิดปกติตามมาเสมอ

            “อือ...ไปสิ” รอยจันทร์ตอบรับทั้งที่ใจกังวล



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            บ้านสองชั้นค่อนข้างเก่าอยู่ในซอยลึก เมื่อก่อนซอยนี้เปลี่ยวน่ากลัว บางช่วงเป็นที่ดินเปล่าวัชพืชรกเรื้อ ปัจจุบันความเจริญเข้ามา บ้านเรือนใหม่ ๆ แน่นขนัด บ้านท้ายซอยนั้นยังคงลักษณะเดิมไว้ ราวกับกาลเวลาโดยรอบหยุดนิ่ง

            ผู้อาศัยมีแค่สองคน เป็นผู้หญิงทั้งคู่ ใช้ชีวิตสงบสุข ไม่เคยมีปัญหาถูกงัดแงะ บุกรุก ขโมยผู้ร้ายไม่มาวอแววุ่นวาย ทั้งที่ไม่ได้เลี้ยงสุนัขดุ ไม่มียามเฝ้าระวัง

            นั่นเป็นเพราะเคยมีบางคนลอบปีนรั้วเข้ามาตอนดึก หวังลักทรัพย์ขโมยข้าวของ พอหย่อนร่างลงจากกำแพงเท่านั้น ก็พบชายตัวโต ร่างดำทะมึน หน้าดุ ดวงตาแดงก่ำเหมือนมีถ่านไฟแดง ๆ บรรจุ มือชี้หน้าด้วยกิริยามาดร้าย หมายเอาชีวิต ทำเอาผู้บุกรุกหนีเปิง นอนสั่นไข้ขึ้นอยู่สามวัน

            อีกทั้งยามปกติ บรรยากาศรอบบ้านจะทึมทะมึน แค่คนเจตนาไม่ดีเดินผ่าน ก็เสียวสันหลังวาบแล้ว

            มัชฌิมาอาศัยบ้านหลังนี้ตั้งแต่พ่อแม่เสียชีวิต ตอนนั้นหล่อนเพิ่งจบชั้นมัธยม ชีวิตเคว้งคว้าง ไร้ที่พึ่ง บ้านที่อยู่ก็ถูกยึด สมบัติติดตัวแทบไม่มีเหลือ กำลังตัดใจไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัย พอดีพบ ‘ป้าพันเกลียว’ ญาติทางบิดายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

            บ้านที่คนในซอยร่ำลือนักหนาว่าผีดุ ไม่กล้าเยี่ยมกรายยามค่ำคืน หญิงสาวกลับไม่รู้สึกน่ากลัว ชวนขนลุกใด ๆ

            ป้าพันเกลียวเป็นหญิงวัยกลางคน รูปร่างสูงเกินมาตรฐานสตรีทั่วไป โครงหน้าเหมือนรูปปั้น ดวงตาโตลึกทรงอำนาจ เส้นผมเคยยาวถึงกลางหลัง ถูกตัดสั้นแค่ต้นคอ หนำซ้ำยังหงอกขาวแซมเกือบครึ่ง ริ้วรอยความชราพาดผ่าน บารมีในตัวกลับเพิ่มพูน ทำให้คนอยู่ใกล้รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และย่นระย่อเกรงใจในเวลาเดียวกัน

            พันเกลียวให้ที่พัก อาหาร ดูแลความปลอดภัยหลานสาว ส่วนมัชฌิมาพยายามไม่ทำตัวเป็นภาระ เธอใช้สมบัติที่เหลือของครอบครัว ทำงานพิเศษหารายได้เสริม เพื่อส่งตนเองเรียน จนใกล้จบอย่างทุกวันนี้

            สองป้าหลานใช้ชีวิตสงบสุข ไม่ลำบากขัดสน

            ช่วงปิดเทอม มัชฌิมาทำงานพิเศษหลายอย่าง กลับบ้านค่ำ เธอฝากมอเตอร์ไซค์ไว้ที่ร้านค้าหน้าปากซอย ทำให้ไม่มีปัญหาในการเข้าซอยลึกเพียงลำพัง

            กลับบ้านค่ำวันนี้ พบป้าพันเกลียวนั่งรออยู่ห้องรับแขก ทั้งที่ปกติจะเข้าห้องพระสวดมนตร์แล้ว

            “สวัสดีค่ะป้า” มัชฌิมาทำความเคารพตามปกติ

            “ช่วงนี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ผู้สูงวัยกว่าถามเข้าประเด็นโดยไม่เกริ่นนำ

            หญิงสาวยอบตัวเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ใกล้ ๆ พอคุ้นชินกันแล้วค่อยทราบว่า ผู้อาวุโสกว่าจะพูดน้อย เข้าประเด็นทันที อีกทั้งมี สัมผัสรู้’ แม่นยำ เที่ยงตรงจนน่ากลัว

            “ค่ะ...เมื่อวานมาเห็นนิมิตร้าย ก่อนเกิดอุบัติเหตุขึ้นจริง”

            มัชฌิมาบอกโดยไม่ปิดบัง ป้าพันเกลียวรู้อยู่แล้วว่าเธอมี นิมิตอนาคต’ หนำซ้ำ อาจรู้ละเอียดลึกซึ้งยิ่งกว่าเธอบอกเสียอีก

            พันเกลียวฟังโดยไม่แสดงความรู้สึก คำพูดจากปากกระแทกใจหญิงสาว

            “เมื่อจิตมันออกไปรู้เรื่องภายนอกแล้ว ต้อง ‘รู้ทัน’ ใจตัวเองด้วยว่ารู้สึกอย่างไร”

            มัชฌิมาวกดูใจตนทันที ตั้งแต่นิมิตเห็นเพื่อนสาวถูกแฟนทิ้ง ใจเธอเป็นห่วง อยากช่วยเหลือแทรกแซง ตอนนิมิตภาพรถชนร้านกาแฟ ใจเธอแตกตื่น หวาดกลัวเกือบคุมสติไม่อยู่

            สตรีกลางคนพูดต่อโดยไม่เหลือบดูหลานสาว คล้ายรู้ว่าเจ้าตัวจดจำความรู้สึกทางใจที่ผ่านมาได้แล้ว

            “เมื่อรู้ทันใจ...สติก็จะเกิด...ใจเป็นกลางชั่วขณะ...ตอนนั้นจะมีปัญญารู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปตามสมควร”

            คำพูดจบแค่นั้น

            มัชฌิมายกมือไหว้ ก่อนทำใจกล้าเอ่ยปากถามสิ่งค้างคาในใจ

            “มารู้สึก...เหมือนกำลังจะเกิดเรื่องไม่ดีมาก ๆ ในอนาคต แต่คราวนี้มันไม่เห็นภาพนิมิตอย่างเดิม เหมือนโดนใครปิดบังเอาไว้...คุณป้าพอจะทราบมั้ยคะว่ามันจะเรื่องเรื่องร้ายอะไร...แล้ว...มาควรเตรียมรับมือยังไง”

            หญิงสาวมั่นใจ ‘ป้าพันเกลียว’ สามารถพยากรณ์อนาคตแม่นยำกว่าตนเองหลายเท่า

            พันเกลียวสบตาหลานสาว รอยเมตตาปรากฏขึ้น

            “จำคำพูดของป้าเมื่อกี้ไม่ได้แล้วหรือ?”

            วาจานั้นดังลูกศรปักอกดังฉึก...พันเกลียวเพิ่งพูดจบประโยคไม่ทันข้ามนาที

            ...เมื่อจิตออกนอก...ให้รู้ทันใจ...เมื่อรู้ทันใจสติจะเกิด...ใจเป็นกลางชั่วขณะ...เกิดปัญญารู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป...

            พันเกลียวบอกก่อนได้รับคำถามจากเธอด้วยซ้ำ



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ภายในห้องพระ

            พันเกลียวก้มกราบพระพุทธรูปแล้วหันไปกราบรูปบิดา มารดา บรรพบุรุษอีกด้าน ขยับขานั่งพับเพียบในท่าสำรวม ยังไม่เริ่มสวดมนตร์อย่างที่ทำตามปกติทุกวัน

            มุมห้องปรากฏเงาร่างดำทะมึนนั่งคุกเข่าสงบเรียบร้อย

            “รอบบ้านปกติดี ไม่มีใครรบกวน” คำบอกสื่อสารผ่านทางจิตเหมือนรายงานประจำวัน

            “ขอบคุณมาก” พันเกลียวตอบรับด้วยภาษาเดียวกัน

            “ใกล้ถึงเวลาแล้วใช่มั้ยคุณ” คำถามแฝงอาการเป็นห่วง

            “ใช่”

            “คุณต้องเสียเวลาภาวนา เพื่อมายุ่งกับเรื่องทางโลกอีกแล้ว” น้ำเสียงแสดงความเห็นใจ

            “เมื่ออยู่กับโลก เราก็หนีโลกไม่ได้หรอก” ดวงตาพันเกลียวฉายแววเข้าใจ “พอมีภาระมา ก็ต้องทำหน้าที่ไป...ถ้าเราภาวนาเป็น...อยู่ที่ไหนก็ภาวนาได้”



            คำพูดนี้ทำให้ระลึกถึงวาจา ‘ท่านอาจารย์’ ที่เคยบอกเมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนได้รับข่าวว่าญาติผู้น้องเสียชีวิต แล้วตนเอง ‘รู้’ ว่ามีภาระชิ้นใหม่ต้องดูแล

            ใบหน้าท่านอาจารย์อ่อนโยน ผุดรอยยิ้มเมตตาขณะกล่าว

            “คุณพันเกลียวได้หลักได้เกณฑ์ เข้าใจการภาวนาแล้ว...อยู่ที่ไหนก็ภาวนาได้ ไม่ต้องห่วง”

            “ดิฉันยังขะมุกขะมอมเหลือเกิน ไม่ทราบเมื่อไหร่จะ ‘จบ’ อย่างท่าน”

            ‘ท่านอาจารย์’ เป็นพระภิกษุกลางคน อ่อนวัยกว่าเธอเกือบสิบปี บำเพ็ญภาวนาจนจิตสว่าง สะอาดหมดจด ปราศจากธุลีใดแผ้วพาน

            พอหันมองตนเอง เห็นแต่รอยขะมุกขะมอม เห็นกิเลสอาสวะที่ยังทำลายไม่ได้อีกมาก

            “เห็นมั้ย ใจเกิดการ ‘เทียบเขา เทียบเรา’ ขึ้นแล้ว” ท่านอาจารย์ทัก

            “ค่ะ”

            สติเกิด...ใจตั้งมั่น...ยอมรับตามจริง...กิเลสยังมีอยู่

            ใจผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง มองเห็นเส้นทางภาระหน้าที่ข้างหน้าชัดเจน

            “เอาน่า...ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า จะต้องกลัวอะไร” ท่านอาจารย์ให้กำลังใจ

            จิตใจพันเกลียวเกิดปีติ อิ่มเอม เมื่อระลึกถึงพระภิกษุสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบเช่นท่านอาจารย์ กระแสเมตตาแผ่สัมผัส สร้างแรงฮึกเหิมให้กล้าก้าวออกจากสถานที่สัปปายะ เหมาะแก่การภาวนา มายังสังคมโลกอันวุ่นวาย

            ด้วยเหตุผลเดียว...ภาระหน้าที่



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP