วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๑



cover Amarit

ชลนิล



บทที่ ๑




            แม่น้ำสายใหญ่ทอดยาวใต้รัตติกาล แลเห็นระริ้วระลอกน้ำกระเพื่อมไหวสะท้อนแสงจันทร์นวลสกาว

            ริมฝั่งน้ำคลาคล่ำ ผู้คนเฝ้ารอคอยปรากฏการณ์สำคัญ เพียงไม่นานดวงไฟขนาดผลส้มจุดสว่าง พุ่งขึ้นจากกลางแม่น้ำทีละดวง

            เสียงเฮฮา โห่ร้องดังรับเป็นระยะ ดวงไฟพุ่งสูงให้เห็นชั่วขณะก่อนดับหาย จากนั้นดวงที่สอง สาม สี่ ห้าทยอยตามมาไม่ขาดสาย

            คืนออกพรรษา บริเวณท่าน้ำวัดแห่งนี้คึกคัก หนาแน่นผู้คน เสียงมหรสพสมโภชน์ บูชาบวงสรวงองค์พญานาคกระจายไกล

            เมื่อล่องแม่น้ำต่อไป ไกลจากชุมชน ไกลออกไปจนไม่เห็นแสงจากบั้งไฟพญานาค ไม่ได้ยินสรรพเสียงผู้คน จนล่วงเข้าเขตป่าเขาอุดมสมบูรณ์ เงียบสงัด รู้สึกคล้ายหลุดเข้ามายังอีกโลกหนึ่ง

            ป่าเขาใกล้แม่น้ำใหญ่ เมื่อเดินลึกเข้าไปจะพบถ้ำลึกลับแห่งหนึ่ง ถูกปกปิดด้วยแมกไม้หนาทึบ อำพรางด้วยมนตรายากที่คนทั่วไปเสาะหาพบ

            ทว่า...คืนออกพรรษามีผู้ล่องแม่น้ำ บุกป่าฝ่าเขามาจนถึงที่นี่ หนำซ้ำถอนมนตร์พรางตาจนพบถ้ำลึกลับสำเร็จ

            ทั้งคณะมีห้าคน ชายฉกรรจ์สาม ชายกลางคนหนึ่ง และชายสูงวัยอีกหนึ่งคน

            ชายสูงวัยสวมชุดขาวคล้ายพราหมณ์ ร่ายอาคมถอนมนตร์พรางตา เปิดปากถ้ำอันซ่อนเร้นให้ทุกคนเห็น ชายฉกรรจ์สองคนถูกสั่งให้เฝ้าปากถ้ำ ชายฉกรรจ์หนึ่งคนถือตะเกียงไฟฟ้านำหน้า ชายสูงวัยเดินตามพร้อมสาธยายมนตร์สะกดภูตผี สิ่งแปลกปลอมเป็นระยะ ชายกลางคนเดินตามปิดท้าย สีหน้าแววตามีความลิงโลดยินดี เหมือนมองเห็นสมบัติล้ำค่าอยู่เบื้องหน้า

            ภายในถ้ำเงียบสงบ นอกจากเสียงสาธยายมนตร์จากอาจารย์มิ่งแล้ว ไม่มีเสียงใดสอดแทรก บรรพตเดินตามชายสูงวัยเจ้าอาคมด้วยจิตใจตื่นเต้น มือกำไฟฉายกราดส่องดูรอบกายไปมา แสงตะเกียงจากเจ้าจ่อย คนนำทางข้างหน้าสาดกระทบผนัง พื้นถ้ำ แลเห็นเงามันวาวละเลื่อม เรียบเนียน คล้ายเป็นเส้นทางที่มีบางสิ่งขนาดใหญ่เลื้อยผ่านไปมาประจำ

            ถ้ำนาคอำพราง เป็นถ้ำลึกลับ เล่าขานมาเนิ่นนานว่าเป็นสถานที่เก็บซ่อนแร่ธาตุศักดิ์สิทธิ์มากมาย ผู้คนทั่วไปยากค้นพบ

            เมื่อร้อยกว่าปีก่อน อาจารย์แนบ ผู้เรืองเวท ชื่อเสียงเลื่องลือตลอดสองฟากแม่น้ำเคยเปิดม่านอำพราง เข้าไปในถ้ำได้เหล็กไหลชั้นดีออกมาเป็นที่ประจักษ์ ทั้งยังบอกต่อลูกศิษย์ว่า ในถ้ำมีธาตุศักดิ์สิทธิ์อีกหลากหลายชนิด พญานาคเป็นผู้เฝ้ารักษา ต้องคนมีบุญบารมีมากพอ อีกทั้งเปี่ยมด้วยเวทมนตร์จึงเข้าไปได้

            อาจารย์แนบทิ้งลายแทง พร้อมด้วยมนตร์เปิดถ้ำไว้ให้ลูกศิษย์ได้ศึกษา ทว่าร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีผู้ใดตีความลายแทง เสาะพบปากถ้ำ เปิดม่านอำพรางได้เลย

            จนมาถึงรุ่นอาจารย์มิ่ง...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ความเงียบ นิ่ง ว่างโล่งอันเปี่ยมสุข เคยถูกรบกวนบ้าง นั่นยังไม่ทำให้เขาถอนจากการ ‘จำศีล’ อันยาวนาน เพียงแค่เปิดการรับรู้ชั่วขณะ ก่อนกลับเข้าสู่โลกนิ่งว่างเช่นเดิม

            การรับรู้ชั่วขณะนั้น บอกให้ทราบ สถานที่รอบถ้ำเปลี่ยนจากเดิมแล้ว เขาไม่ใส่ใจ เพิกเฉยการรับรู้ จิตเข้าสู่ความสงบดิ่งลึกอีกครั้งเพื่อรอเวลา

            ...เวลานั้น...ใกล้จะมาถึงแล้ว...

            เสียงสวดสาธยายมนตร์ กังวานกระทบถ้ำไม่ได้รบกวนการจำศีล ไม่ได้ปลุกเขาจากการพักผ่อนรอเวลา เพียงแต่จิตรู้ว่าถึง ‘เวลา’ มันจึงถอนจากความสงบลึกขึ้นมา โสตประสาทสดับเสียงสวดพอดี

            แวบแรกใจรำคาญ หงุดหงิด ความสุขจากสมาธิดับหาย หันไปสนใจต้นเสียง ตัวการก่อโทสะ

            ภาพผู้บุกรุกถ้ำปรากฏให้เห็น ชายฉกรรจ์ถือโคมนำหน้า ชายชราร่ายเวทเดินตามหลัง และชายกลางคนกำลังตื่นเต้น ก้าวตามอย่างระมัดระวัง โดยมีชายหนุ่มอีกสองคนเฝ้าหน้าปากถ้ำ

            เขาใช้จิตเข้าไปสำรวจพื้นเพ ภูมิหลังคนทั้งห้า อยากรู้ว่า นอกจากการแต่งกายอันแปลกตา เครื่องไม้เครื่องมือดูไม่คุ้นเคยแล้ว ยังมีอะไรน่าสนใจอีกบ้าง

            พอจิตเข้าไปอ่านความทรงจำ ประสบการณ์คนเหล่านี้ อดอุทานในใจไม่ได้...

            ...อะไรกัน...เราเพิ่งเข้าพัก ‘แค่’ สองพันห้าร้อยกว่าปี โลกเปลี่ยนแปลงขนาดนี้เชียวหรือ?




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ถ้ำกว้าง สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผนังด้านในมีประกายระยิบระยับสะท้อนแสงไฟงดงาม หินงอกหินย้อยรูปร่างแปลกตา บอกอายุยาวนาน

            ผนังด้านหนึ่งมีรอยแยกเล็ก ๆ สูงจากพื้นประมาณหกฟุต ต่ำลงมาเป็นโขดหินเรียงรายลดหลั่นคล้ายชั้นน้ำตก

            อาจารย์มิ่งหยุดสวดบริกรรม ชี้มือเป็นเชิงสั่งให้จ่อยนำตะเกียงไฟฟ้าวางไว้บนโขดหินใกล้รอยแยกผนังถ้ำนั้น

            บรรพตขยับตัวเข้าใกล้ ปีนโขดหินเตี้ย ๆ พยายามมองเข้าไปในรอยแยก เห็นเพียงเงามืดดำ ปราศจากสายลมลอดผ่าน กลิ่นหอมแปลกโชยชาย

            อาจารย์มิ่งสะกิดให้รู้สึก แล้วโบกมือไล่ ก่อนตนเองไปยืนเบื้องหน้ารอยแยก สายตาแหงนเงยมองตรงความมืดด้านใน สัมผัสอันตรายร้ายแรง

            ฟู่...ไม่ถึงเสี้ยววินาที งูจงอางดำเมื่อมพุ่งออกจากรอยแยกเข้าใส่ผู้บุกรุก

            เจ้าอาคมเปล่งวาจาสะกด อสรพิษร้ายชะงัก ร่างเหมือนถูกตรึงชั่วขณะ ก่อนอ่อนราบลง เลื้อยอ้อมโขดหินหายไปในเงามืด

            บรรพตถอนใจโล่งอก ทั้งที่ตนไม่ใช่ผู้เผชิญหน้าภัยร้าย ที่นี่เต็มไปด้วยอันตราย เหล่านาคีนาคาคงไม่ ‘อำพราง’ ปากถ้ำอย่างเดียว ต้องปกปักรักษาสมบัติภายใน ป้องกันผู้บุกรุกด้วย

            การบุกเข้าถ้ำครั้งนี้ อาจารย์มิ่งตรวจฤกษ์ยามละเอียด ทบทวนสรรพวิชาอาคม ปิดวาจารักษาศีลเคร่งครัดตลอดสามวันสามคืน

            บรรพตเป็นนายทุนใหญ่ เตรียมจัดการหาลูกทีมฝีมือดี อำนวยความสะดวกการเดินทางครั้งนี้ทั้งหมด เพื่อหวังผลได้รับธาตุศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอาจารย์มิ่งรับปากยกให้เป็นส่วนใหญ่

            งูจงอาจไม่ใช่ผู้รักษาสมบัติแค่ตัวเดียว มันหายลับโขดหินไม่ถึงครึ่งนาที บริเวณเงามืดนอกแสงตะเกียงบังเกิดเสียงแสกสาก มีการเคลื่อนไหวของสัตว์เลื้อยคลานจำนวนมาก เสียงขู่ฟ่อ ๆ ประสานดังชวนขนลุก

            การคืบคลานครั้งนี้ทำเอาชายหนุ่มอย่างจ่อยตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เริ่มรู้สึกว่าเงินจำนวนมากที่ได้รับว่าจ้างมา มันไร้ค่า ไม่มีประโยชน์เสียแล้ว

            บรรพตขยับตัวเข้าใกล้อาจารย์มิ่ง ถึงมองไม่เห็นชัดก็มั่นใจว่าเงาตะคุ่มดูคล้ายลูกคลื่นบนพื้นถ้ำคืออะไร

            ยิ่งพอพวกมันเลื้อยเข้ามาในเขตแสงตะเกียงก็ยืนยันชัด ชวนให้เข่าอ่อน กองทัพอสรพิษนับพันนับหมื่นโอบล้อมทุกทิศทาง เลื้อยมุ่งเข้ามาด้วยอาการดุร้าย เกรี้ยวกราด

            อาจารย์มิ่งล้วงไปในย่าม หยิบกำมะถันลงอาคมเต็มกำมือ แล้วตวัดหว่านออกไปรอบตัว ส่งผลให้การเคลื่อนทัพอสรพิษชะงักชั่วขณะ

            ทว่า...สัมผัสพิเศษกลับร้องเตือนถึงอันตรายยิ่งกว่า

            เจ้าอาคมเงยหน้าขึ้นมองเพดานถ้ำ พบพญานาคาเปล่งประกายเขียวเรือง หางพันหินงอกหินย้อย ลำตัวหย่อนต่ำลงมา ดวงตาฉายแสงสะกด รู้สึกเหมือนกำลังถูกครอบคลุมด้วยหมอกพิษ เกิดอาการร้อนวูบตามผิวกาย

            เสียงสวดอาคมเปล่งขึ้น มือกำกริชลงอาคมไว้เตรียมต่อสู้ แต่พิษสงนาคาขนาดใหญ่รุนแรงกว่า กระไอความร้อนแสบผิวรุนแรงขึ้น พลังกดดันมหาศาลทำเอาอาจารย์มิ่งเข่าอ่อน ทรุดร่างลงกับพื้น

            วินาทีนั้น เจ้าอาคมเพิ่งยอมรับ วิชาอาคมที่ฝึกฝนมาตลอดชีวิต ยังไม่อาจเทียบเทียมพญานาคาผู้เฝ้าถ้ำได้เลย

            เมื่ออาจารย์ผู้ทรงวิชาทรุดฮวบกับพื้น บรรพตกับจ่อยแทบสติแตก หวาดกลัวตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก คิดไม่ถึง วาระสุดท้ายจะใกล้เข้ามาขนาดนี้

            ก่อนไอพิษนาคาจะเพิ่มความรุนแรงถึงขั้นแผดเผา สังหารผู้บุกรุก เหตุพลิกผันก็เกิดขึ้น

            “อสรพิษน้อย พวกเจ้ากำลังหยอกล้อ...เล่นอะไรกันอยู่...”

            วาจานี้ไม่ได้เปล่งก้องกังวานถ้ำ มันดังอยู่ในหัวมนุษย์ทั้งสาม

            แต่นั่น...มีผลให้กองทัพอสรพิษบนพื้นถอยกรูด เลื้อยหนีออกห่างอย่างรวดเร็ว พญานาคบนเพดานถ้ำชะงันงัน ผงกศีรษะหันไปทางความมืดปลายถ้ำ ร่างค่อยเลือนหายช้า ๆ

            เสียงหัวเราะขบขันดังในหัวอาจารย์มิ่ง บรรพต จ่อย คล้ายเจ้าของจงใจส่งกระแสจิตสื่อสารมาโดยตรง

            “กลัวอะไรกับมายาภาพของนาคน้อยเหล่านี้” น้ำเสียงบอกความเยาะหยัน ดูถูก

            อาจารย์มิ่งได้สติ รีบลุกขึ้นยืน เพ่งสายตาฝ่าความมืดไปยังปลายถ้ำ มองเห็นเงาดำสูงใหญ่เคลื่อนตัวมาหาเชื่องช้า

            หึ...หึ...เสียงหัวเราะดังในหัวอีกครั้ง

            “พวกงูดินเหล่านี้มันไม่ได้เฝ้ารักษาสมบัติที่พวกเอ็งอยากได้หรอก” วาจาคล้ายอ่านใจออก

            “พวกมัน ‘เฝ้า’ ดูแลเราต่างหาก...มันคอยเฝ้าดูว่า ‘เรา’ จะตื่นขึ้นเมื่อใด”

            “ท่าน...” บรรพตเอ่ยปากยากลำบาก เสียงฟังแปร่งเมื่อสะท้อนผนังถ้ำ “ท่านเป็นใคร?”

            เงาดำเคลื่อนเข้าใกล้จนเกือบถึงบริเวณที่แสงตะเกียงส่องถึง

            “คำตอบนี้...มันมีค่าตอบแทน...พวกเจ้าจ่ายไหวหรือไม่...”

            นั่นไม่ใช่คำถาม หรือข้อต่อรอง มันคือคำสั่ง...ที่พวกเขาไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ร้านกาแฟริมถนนใหญ่ ใกล้สี่แยกห้างสรรพสินค้าชื่อดัง รถราพลุกพล่าน ผู้คนขวักไขว่

            ภายในร้านโปร่งกว้าง บรรยากาศอบอุ่น กลิ่นกาแฟโชยชาย

            หญิงสาวสามคน นั่งโต๊ะติดกระจก มองเห็นคนเดินผ่านไปมาบนทางเท้า ลักษณะพวกเธอไม่เหมือนกำลังจิบกาแฟ พูดคุยสัพเพเหระเรื่อยเปื่อยตามประสาผู้หญิง

            มัชฌิมาถอนใจ ดวงตาสวยอ่อนโยนมองเพื่อนสาวตรงหน้าอย่างเห็นใจ คำพูดที่ตั้งใจบอกล้วนออกจากปากหมดสิ้น รู้ว่าต่อให้พูดมากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์

            “เราไม่เชื่อเธอหรอก...มา” เพื่อนสนิทวางเงินค่ากาแฟตนเอง แล้วลุกขึ้นเดินออกจากร้านด้วยความไม่พอใจ

            หญิงสาวถอนใจอีกครั้ง แววตาหดหู่

            “ไม่เป็นไรนะมา...เราทำหน้าที่เพื่อนดีที่สุดแล้ว”‘น้ำ’ เพื่อนสนิทอีกคนให้กำลังใจ

            “จ้ะ...มารู้อยู่แล้วล่ะว่า คำพยากรณ์ที่พูดคลุมเครือแบบนี้ ไม่มีทางทำให้คนฟังเชื่อได้เลย”

            ‘คำพยากรณ์’ สำหรับมัชฌิมาเป็นภาพนิมิตอนาคต ปรากฏไม่บ่อยแต่ไม่เคยพลาด

            เธอมองเห็นเพื่อนตนเองถูกชายคนรักบอกเลิก พอเซ้าซี้มาก ๆ ก็โดนผลักไสจนตกบันไดเจ็บตัว

            คำพยากรณ์มัชฌิมาเอ่ยได้เพียง...วันนี้อย่าเพิ่งไปหา ‘พี่แดน’ จะเกิดเรื่องไม่ดี

            เพื่อนคนนั้นไม่เชื่อ เพราะวางแผนเซอร์ไพรส์แฟนหนุ่มในวันครบรอบหนึ่งปี

            หญิงสาวบอกเพื่อนไม่ได้ว่าเธอจะไปเจอภาพบาดตาของแฟนหนุ่มกับผู้หญิงคนใหม่ จนคนเซอร์ไพรส์คือตนเอง...ทั้งหมดนำไปสู่การเลิกรา เจ็บตัวแบบจบไม่สวย

            เหตุที่ไม่สามารถบอกรายละเอียดขนาดนั้น เพราะเมื่อใดที่เอ่ยปากถึงภาพอนาคต รายละเอียดมันจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเลวร้ายกว่าเก่า

            มัชฌิมามีเพื่อนไม่มากนัก สนิทสุดมีแค่ ‘น้ำ’ ที่รู้จักกันตั้งแต่ชั้นประถม เป็นคนเดียวที่เชื่อคำพยากรณ์ โดยไม่เคยซักถามภาพนิมิต รายละเอียดใด ๆ เลย

            “ช่างเถอะ...ถ้าเรื่องร้ายที่พวกเราเป็นห่วงมันไม่ถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล หรือขึ้นเมรุน่ะนะ ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเองดีกว่า” น้ำบอก

            ผู้พยากรณ์พยักหน้า แววตายังเป็นห่วง คนเป็นเพื่อนหันไปเห็นภาพยนตร์โฆษณาบนจอแอลอีดีตรงสี่แยกใกล้ ๆ จึงหาเรื่องพูดเปลี่ยนบรรยากาศ

            “นี่...มาดูแฟนเธอดีกว่า...โฆษณาตัวนี้ ‘ลุย...รอยเธียร’ หล่อเท่เชียว” ปลายเสียงมีรอยประชดนิด ๆ

            มัชฌิมาหัวเราะเบา ๆ หันมองตาม ลักยิ้มปรากฏบนแก้ม มองภาพนายแบบโฆษณาด้วยแววตาชื่นชม

            “เล่นยกให้เป็นแฟนกันง่าย ๆ แบบนี้ จะหาเรื่องให้ ‘มา’ เป็นศัตรูกับผู้หญิงค่อนประเทศหรือไงจ๊ะ”

            น้ำหัวเราะคิก นัยน์ตาพราว

            v“แหม...ถ้าชอบผู้ชายที่เป็นสามีแห่งชาติแบบนี้ ก็ต้องทำใจหน่อยนะเพื่อน”

            มัชฌิมาอมยิ้มไม่ตอบวาจา ละสายตาจากจอแอลอีดีลงมาที่ป้ายรถเมล์ ยังเจอป้ายโฆษณาที่ ลุย...รอยเธียร’ เป็นพรีเซนเตอร์อีก เชื่อว่าถ้าเดินบนทางเท้าริมถนนสายนี้ อาจเจอป้ายโฆษณาที่ดารานายแบบหนุ่มเป็นพรีเซนเตอร์อีกหลายตัว

            ขณะกำลังจะเอ่ยปากชวนคุยเรื่องอื่น ในหัวเกิดภาพนิมิต...รถหกล้อเบรกแตก ฝ่าสี่แยกไฟแดง ปีนทางเท้าพุ่งชนร้านกาแฟ ตรงโต๊ะที่พวกเธอนั่งขณะนี้พอดี

            “น้ำ...รีบออกจากร้านเดี๋ยวนี้” มัชฌิมาพูดเสียงเครียด จริงจัง “ที่นี่อันตราย!”

            น้ำมองตาเพื่อนสนิท เห็นแววตื่นกลัว หวาดหวั่นปรากฏชัด ไม่ถามอะไรมาก รีบคว้ากระเป๋าลุกจากเก้าอี้ตรงไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์ทันที

            อาการเร่งร้อนของมัชฌิมาแบบนี้ แสดงว่าเหตุร้ายจะเกิดรวดเร็วยิ่ง ไม่มีเวลากระทั่งเอ่ยปากซักถามหรือทำอะไรอย่างอื่นแน่นอน

            สองสาวไม่ทันสังเกต ชายหนุ่มนั่งจิบกาแฟโต๊ะใกล้ ๆ หันมองมาอย่างแปลกใจ มีแววลังเลในดวงตาเล็กน้อย ก่อนลุกตามพวกเธอโดยไม่เข้าใจตนเอง




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            พยุหะชอบทำเหมือนปราศจากตัวตน ทั้งที่รูปร่างเขาสูงใหญ่คนเห็นครั้งเดียวจำได้ ผิวสีแทน ผมยาวระต้นคอที่มักรวบมัดลวก ๆ ดวงหน้าเข้ม คิ้วหนารูปสวย นัยน์ตาคมกริบราวกับเหยี่ยว แผ่อำนาจบางอย่างจนไม่ค่อยมีใครกล้าสบตานาน ๆ

            เขาชอบจิบกาแฟเงียบ ๆ คนเดียว ในร้านริมกระจกที่สามารถมองเห็นคนเดินผ่านไปมาชัดเจน เพื่อจะได้สังเกตชีวิตผู้คนเป็นข้อมูลแต่งแต้มจินตนาการ สร้างผลงานที่เป็นอิสระ ไร้ขอบเขต แต่ยังสื่อสารกับคนทั่วไปได้

            วันนี้ความคิด จินตนาการถูกรบกวนจากสามสาวที่นั่งโต๊ะติดกระจกใกล้กัน การรบกวนไม่ใช่เกิดจากเสียงพูดคุยอันน่ารำคาญหู แต่เป็นเรื่องราวที่ชวนสะดุดหู

            คำพยากรณ์ การเตือนภัย และความดื้อดึงไม่เชื่อฟัง

            เรื่องพวกนั้นดึงความสนใจเขา จนกระทั่งหญิงสาวผู้ได้รับคำเตือนลุกจากโต๊ะอย่างไม่พอใจ สองสาวที่เหลือไม่ตามเซ้าซี้ ท่าทางคล้ายปลงตก แล้วจิบกาแฟชี้ชวนให้ดูโฆษณาจากดารานายแบบดัง

            ทว่า...จู่ ๆ หญิงสาวหนึ่งในสองก็หักมุม บอกให้เพื่อนออกจากร้านโดยด่วน...เพราะที่นี่อันตราย

            ชายหนุ่มไม่ใช่คนงมงาย เชื่อเรื่องคำพยากรณ์ ทำนายทายทัก บางอย่างในใจกระตุ้นเตือน ร้องบอกให้เชื่อเธอ...ผลักไสจนต้องลุกจากเก้าอี้ เดินตามไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ทันเห็นหน้าตาท่าทางสองสาวชัดเจน

            ทั้งคู่มีความแตกต่างกันชัด...แม่สาวนักพยากรณ์รูปร่างผอมบาง ผิวขาวอมเหลือง ใบหน้ารูปหัวใจ ผมยาวเคลียไหล่ ดวงตาอ่อนโยนเป็นธรรมชาติ จมูกปากรับกันพองาม แก้มมีลักยิ้มเป็นจุดเด่น ไม่ใช่ผู้หญิงสวยจัดจนต้องเหลียวหลัง เธอมีความเย็นตา เย็นใจชวนมองไม่เบื่อ อยากเห็นหน้าซ้ำอีกครั้ง

            ส่วนเพื่อนเธอตัวเตี้ยกว่าเล็กน้อย รูปร่างอวบมีเนื้อหนังกว่าจึงเห็นความแตกต่างชัด ผิวขาวอมชมพู ใบหน้ารูปไข่ เครื่องหน้าโดยรวมชวนมอง ไม่ถึงขั้นสวยสะดุดตาแบบดารา หรือสาว ๆ ที่ผ่านการทำศัลยกรรม แต่มีดวงตาแจ่มจรัส สดใส บอกความเป็นคนเปิดเผย อารมณ์ดีเป็นนิตย์

            ทั้งสองชำระเงินเสร็จ กำลังเดินออกจากประตูร้าน พยุหะรีบจ่ายเงินค่ากาแฟตน สายตามองตามหลังสองสาว ตั้งใจจะรีบก้าวตามให้ทัน

            นั่นทำให้เขาลืมสังเกตความผิดปกติบางอย่าง จนกระทั่งเกิดเสียงดังสนั่น

            ...โครม...เพล้ง...ปัง...

            รถหกล้อมาจากไหนไม่มีใครทันสังเกต มันพุ่งเข้ามาในร้าน ชนกระจกแตกกราว กวาดโต๊ะเก้าอี้พังพินาศ ก่อนจะไปหยุดนิ่งตรงเสาเกือบถึงกลางร้าน ลูกค้าบริเวณใกล้เคียงแตกฮือ บาดเจ็บตามกัน

            พยุหะหันไปมอง สูดลมหายใจหนาวเหน็บ หากเขาและสองสาวยังนั่งที่เดิม ตอนนี้คงได้ไปนอนใต้ท้องรถ ถ้าไม่เป็นศพก็คงบาดเจ็บถึงขั้นพิการ

            พอได้สติ ชายหนุ่มรีบมองหาสองสาวที่เพิ่งออกจากร้าน...ทว่า...ทั้งคู่จากไปไร้ร่องรอย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ฟ้าครึ้ม เมฆทะมึน สายฟ้าแลบแปลบปลาบ เสียงครืนคำรณสนั่นพื้นพสุธา ลมกรรโชกแรงพัดยอดไม้เอนลู่ ไม้ใหญ่บางต้นล้มครืน

            มองบนท้องฟ้า เห็นฟากหนึ่งถูกปิดด้วยปีกขนาดมหึมา โบกสะบัดจนเกิดแรงลมมหาศาลราวจะกวาดพื้นดินให้โล่งเตียน

            เจ้าเวหาลอยเด่นกลางนภา ดวงหน้าเชิดผยองอหังการ จงอยปากแหลมแห่งปักษาดูจะหมิ่นเย้ยผู้คนทั่วพารา ดวงตาเฉี่ยวคมทรงอำนาจยิ่ง กรงเล็บกางอ้าคล้ายจะเหยียบแผ่นดินให้ราบเป็นหน้ากลอง

            บนพื้นดินทอดยาวด้วยร่างแห่งพญานาคา ลำตัวใหญ่โตกว่าท่อนซุง เกล็ดส่งแสงเรืองเจิดจ้า เลื้อยชูคอสูงสง่าอย่างไม่เกรง หงอนอันเป็นสัญลักษณ์ชาติพันธุ์เชิดเด่น แสดงชัดว่าไม่ยอมอยู่ใต้กรงเล็บผู้ใด

            การปะทะเริ่มต้นเมื่อพญานาคาทะยานร่างขึ้นบนอากาศ พญาปักษาผงกศีรษะก้มมองแล้วถลาลง กางกรงเล็บหวังตะปบ เพื่อสยบความถือดี แสดงพลังอำนาจเหนือนาคา

            เพลิงพิษนาคาถูกพ่นนำหน้า ปีกปักษาโบกสะบัด เพลิงร้ายดับวูบไร้พิษสง กรงเล็บยังกางอ้าอย่างย่ามใจ นาคาบิดร่างหลบ ลำตัวเฉี่ยวผ่านกรงเล็บแหลมคม ส่งผลให้เกล็ดหลุดร่วง เจ็บแสบทั่วร่าง

            เปรี้ยง...อสุนีบาตผ่าพื้นพสุธา เปลวไฟลุกวูบวาบ

            เจ้าแห่งปักษาโผนเข้าใส่นาคาอีกครั้ง หวังเผด็จศึกปิดบัญชี พญานาคาพลิกกลับพ่นพิษร้อนต้านอีกครา หงอนบนศีรษะเชิดเด่นทระนง กล้าเข้าประจันหน้ากับศัตรูแห่งชาติพันธุ์อย่างไม่เกรง

            ต่อให้เสียที ต่อให้เป็นเหยื่อครุฑ ก็จะไม่ยอมแสดงความอ่อนแอให้เผ่าพันธุ์ตนต้องอับอายเด็ดขาด

            ทั้งสองเคลื่อนเข้าหากันอย่างรวดเร็ว...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            สว่างแล้ว

            แสงสว่างนอกหน้าต่างแยงตา บอกให้ทราบ...นอกจากฟ้าจะสว่าง ยังเป็นเวลาสายมากด้วย

            เขาระบายลมหายใจ นัยน์ตายังไม่ลืม ภาพความฝันเมื่อครู่ติดค้างความทรงจำ การต่อสู้ระหว่างนาคและครุฑอันน่าตื่นเต้นตรึงแน่นในใจ

            หัวใจยังเต้นระรัวหวั่นไหว คล้ายตนเองเป็นผู้ร่วมศึกเสียเอง ความรู้สึกยอมสู้จนตัวตายปลุกเร้าอารมณ์ซ่อนเร้นภายในออกมา

            ความทรงจำบางอย่างปรากฏพร่าเลือน มองไม่ชัด ไม่รู้รายละเอียด รู้สึกชัดอย่างเดียว

            เขาคือพญานาคตนนั้น!

            มันเป็นความรู้สึกที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองนามสกุล ‘นาคพิทักษ์’ ครอบครัวมีความผูกพันกับนาคา นาคี กระทั่งตอนเด็กยังเคยเห็นพญานาคมากับตา

            นี่เป็นความฝันกระจ่างชัด เหมือนจริง ยิ่งไปกว่านั้น รู้สึกถึงพันธะ ความผูกพันที่มีต่อพญาครุฑตนหนึ่งซึ่งอาจไม่ใช่ผู้ที่ตนเห็นในฝันเมื่อครู่

            ...แกร๊ก...เสียงเปิดประตูดังแผ่ว ปลุกชายหนุ่มจากความคิดฟุ้งซ่าน กลิ่นหอมแป้งเด็กอันคุ้นเคยแตะจมูก ทำให้รู้ว่าผู้ใดถือวิสาสะเข้ามาในห้องส่วนตัว

            เสียงเลื่อนเก้าอี้ดังขึ้นอย่างระมัดระวัง เขาอมยิ้มในใจ คาดเดาออกอีกฝ่ายมีเจตนาใด

            การมาเยือนของผู้บุกรุก ปลุกตัวตนปัจจุบันกลับคืน ลืมความรู้สึกค้างคาจากความฝันชั่วคราว เตรียมวางแผนตลบหลังตอบโต้วายร้ายที่แอบเข้าห้องอย่างอารมณ์ดี




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ร่างนั้นนอนซุกใต้ผ้านวมผืนหนา โผล่มาแค่ใบหน้าขาวมีรอยเกรียมแดด ขนตางอนยาว จมูกโด่ง ริมฝีปากได้รูปสวยสีสด ศีรษะทุยขนาดผมสั้นเกรียนเหมือนพลทหารเพิ่งออกจากกรม ก็ยังเห็นชัดถึงความหล่อจัดแบบไม่ต้องสืบ

            ผู้บุกรุกจดฝีเท้าแผ่วเบา ขยับเก้าอี้มาวางในมุมเหมาะสมก่อนปีนขึ้นไปยืน พอได้จังหวะก็กระโดดลงมาบนเตียง เลียนแบบท่านักมวยปล้ำมืออาชีพ ตั้งใจทับจอมขี้เซาเต็มแรง

            ตุ้บ...ผิดคาด แทนที่จะทับร่างชายหนุ่มใต้ผ้าห่ม ปลุกอีกฝ่ายให้ตกใจตื่นด้วยความสะใจ กลายเป็นร่างที่ดูเหมือนนอนหลับ กลับพลิกตัวหนีอย่างได้จังหวะเหมาะสม

            คนตั้งใจกระโดดทับเลยนั่งจุมปุ๊กเหรอหราบนเตียงอย่างงง ๆ หนำซ้ำโดนตลบหลังจู่โจมเอาคืนแบบไม่ทันให้ตั้งตัว

            “จัดการผู้บุกรุก!” เสียงห้าว ๆ กลั้วหัวเราะดังพร้อมผ้านวมผืนใหญ่ตลบคลุมทับคนนั่งเอ๋อบนเตียงอย่างรวดเร็ว

            “โอ๊ย...ไอ้พี่บ้า ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้นะ” เสียงแหวร้องดังจากผู้เพลี่ยงพล้ำ

            ชายหนุ่มพลิกสถานการณ์เป็นฝ่ายนั่งทับผ้านวม โดยมีร่างหญิงสาวตาโตอยู่เบื้องล่าง

            “ฮี้ฮี้...ก่อบก่อบ...ขี่ม้าไอ้หมูเตี้ยสนุกจังเลย” นอกจากไม่ยอมลุกแล้วยังนั่งขย่มผ้านวมสนุกสนาน

            “ไอ้พี่บ้าลุกเดี๋ยวนี้...ลุกนะโว้ย” หญิงสาวร้องลั่นพยายามดันตัวเองออกมา

            “ว่าไงไอ้เตี้ย ยอมแพ้หรือยัง” ชายหนุ่มทำหน้าล้อเลียน

            “ลุกโว้ยยยย...” คราวนี้เสียงลั่นกว่าเก่า หวังให้คนนอกห้องได้ยิน

            “ไม่ลุก ใครใช้ให้แอบเข้ามาในห้องพี่ล่ะ”

            “แม่...ช่วยด้วย” หญิงสาวใช้ไม้ตาย

            แค่สิ้นเสียง ก็มีบางคนมายืนหน้าประตู

            “พี่ลุย...น้องน้ำ เลิกเล่นได้แล้ว” เสียงดุ เฉียบขาด สถานการณ์พลิกผันทันที

            ผู้มายืนหน้าประตูเป็นสตรีวัยกลางคน รูปร่างสูงระหง บอบบาง ดวงหน้าปราศจากการตกแต่ง เผยริ้วรอยความมีอายุเพียงเล็กน้อย ดวงตาสวยคล้ายสองพี่น้อง แต่ดุเอาจริงกว่า

            ชายหนุ่มรีบลงจากผ้านวมทันที

            “แหะแหะ...แม่...ก็ไอ้เตี้ยมันแอบเข้าในห้องลุยก่อนนี่” รีบโยนความผิดให้น้องสาว

            หญิงสาวรีบปัดผ้าออกลุกขึ้นนั่งพร้อมฟ้องกลับ

            “น้ำแค่เข้ามาปลุกพี่ลุยตามแม่สั่ง แต่พี่ลุยเขาแกล้งน้ำ”

            “หนอย...ไอ้น้องทรยศ ทำไมไม่บอกแม่ว่าแกตั้งใจปลุกพี่ด้วยวิธีไหน” ชายหนุ่มหันมาเถียงแบบเด็ก ๆ

            “พอแล้ว...อายุเท่าไหร่แล้วนี่ ทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไปได้”

            ผู้เป็นแม่ถอนใจเฮือกใหญ่ มองลูกทั้งสองอย่างระอา วาจาของเธอไม่ผิดความจริงเลย

            เจ้าลูกชาย อายุเลยเบญจเพสแล้ว ยังใส่กางเกงบ็อกเซอร์ เสื้อกล้ามบาง ๆ นอน ส่วนลูกสาวก็บรรลุนิติภาวะ อายุเลยยี่สิบ แต่ยังชอบใส่กางเกงนอนหูรูด เสื้อยืดเน่า ๆ คอย้วยอยู่บ้าน ดูยังไงก็ไม่อยากเชื่อว่าเป็นหนุ่มเป็นสาว ยิ่งมาเถียงทะเลาะกันแบบนี้ มันไม่ต่างจากเด็กสิบขวบสมัยก่อนเลย

            “พี่ลุย...ทำไมไปว่าน้องแบบนั้น” คนเป็นแม่หาเรื่องดุ กำราบตัวพี่ชายก่อน

            “โหแม่...ไม่ว่ามันเป็นไอ้น้องทรยศได้ยังไง ไอ้เตี้ยนี่มันชอบมาขอของใช้ของลุยไปให้พวกแฟนคลับประมูลบ่อย ๆ แล้วไม่สำนึกบุญคุณ แอบเข้ามาถ่ายรูปทีเผลอมั่ง ตอนหลับมั่งไปลงในไอจีลุยตั้งหลายครั้ง”

            คราวนี้คนเป็นแม่หันไปทำตาดุใส่ลูกสาว

            “แหม...แฟนคลับพี่ลุยเขาอยากได้ของที่ระลึกไปเก็บไว้นี่ น้ำก็เลยมาขอไปเซอร์วิสให้ เงินที่ได้ก็เอาไปทำบุญหมด ไม่หักค่าใช้จ่ายสักบาท นี่ดีแค่ไหนแล้ว...มีสาว ๆ แฟนคลับกระเป๋าหนักเคยมาขอให้ขโมยกางเกงในพี่ลุยไปประมูลขาย เอาแบบยังไม่ซักด้วยนะ เสนอราคาเป็นแสน น้ำยังไม่ทำเลย”

            “อื้อหือ มีจรรยาบรรณจังเลยน้องพี่” ชายหนุ่มประชด

            ส่วนคนเป็นแม่แทบกรี๊ด เป็นลมตรงนั้น

            “ตายแล้ว ผู้หญิงสมัยนี้ ทำไมมัน ‘แรง’ กว่าตัวอิจฉาสมัยแม่อีกนี่”

            สองพี่น้องยิ้มเผล่ แอบยักคิ้วให้กัน มารดาออกอาการเช่นนี้ แสดงว่าหมดอารมณ์เทศนาพวกตนแล้ว



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP