ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta

เสวนาสูตร ว่าด้วยสิ่งที่ควรเสพและไม่ควรเสพ


กลุ่มไตรปิฎกสิกขา



[๒๑๐] ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรเรียกภิกษุทั้งหลายว่า อาวุโสทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นตอบรับท่านพระสารีบุตรแล้ว
ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า อาวุโสทั้งหลาย
แม้บุคคลก็ควรทราบโดยส่วน ๒ คือ ควรคบหาก็มี ไม่ควรคบหาก็มี
แม้จีวรก็ควรทราบโดยส่วน ๒ คือ ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี
แม้บิณฑบาตก็ควรทราบโดยส่วน ๒ คือ ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี
แม้เสนาสนะก็ควรทราบโดยส่วน ๒ คือ ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี
แม้คามนิคมก็ควรทราบโดยส่วน ๒ คือ ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี
แม้ชนบทและประเทศก็ควรทราบโดยส่วน ๒ คือ ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี.


ก็คำที่ผมกล่าวว่า อาวุโสทั้งหลาย แม้บุคคลก็ควรทราบโดยส่วน ๒ คือ
ควรคบหาก็มี ไม่ควรคบหาก็มี นั้น ผมอาศัยอะไรกล่าวแล้ว
ในบุคคล ๒ จำพวก พึงรู้บุคคลใดว่า
เมื่อเราคบหาบุคคลนี้ อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม
บริขารแห่งชีวิตเหล่าใดแล คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร อันบรรพชิตพึงรวบรวมไว้
บริขารแห่งชีวิตเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นได้โดยยาก
และเราออกบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประโยชน์แห่งความเป็นสมณะใด
ประโยชน์แห่งความเป็นสมณะของเรานั้นย่อมไม่ถึงความเจริญบริบูรณ์
อาวุโสทั้งหลาย บุคคลครั้นรู้แล้ว ในกลางคืนหรือในกลางวัน
ก็พึงหลีกไปเสีย โดยไม่ต้องลา ไม่พึงติดตามบุคคลนั้นไป.


ในบุคคล ๒ จำพวก พึงรู้บุคคลใดว่า
เมื่อเราคบหาบุคคลนี้ อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม
บริขารแห่งชีวิตเหล่าใดแล คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร อันบรรพชิตพึงรวบรวมไว้
บริขารแห่งชีวิตเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นได้โดยไม่ยาก
และเราออกบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประโยชน์แห่งความเป็นสมณะใด
ประโยชน์แห่งความเป็นสมณะของเรานั้นย่อมไม่ถึงความเจริญบริบูรณ์
อาวุโสทั้งหลาย บุคคลครั้นรู้แล้ว
พึงหลีกไปเสียโดยไม่ต้องลา ไม่พึงติดตามบุคคลนั้นไป.


ในบุคคล ๒ จำพวก พึงรู้บุคคลใดว่า
เมื่อเราคบหาบุคคลนี้ อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ
บริขารแห่งชีวิตเหล่าใดแล คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร อันบรรพชิตพึงรวบรวมไว้
บริขารแห่งชีวิตเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นได้โดยยาก
และเราออกบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประโยชน์แห่งความเป็นสมณะใด
ประโยชน์แห่งความเป็นสมณะของเรานั้นย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์
อาวุโสทั้งหลาย บุคคลครั้นรู้แล้ว
พึงติดตามบุคคลนั้นไป ไม่พึงหลีกไปเสีย.


ในบุคคล ๒ จำพวก พึงรู้บุคคลใดว่า
เมื่อเราคบหาบุคคลนี้ อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ
บริขารแห่งชีวิตเหล่าใดแล คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร อันบรรพชิตพึงรวบรวมไว้
บริขารแห่งชีวิตเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นได้โดยไม่ยาก
และเราออกบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประโยชน์แห่งความเป็นสมณะใด
ประโยชน์แห่งความเป็นสมณะของเรานั้นย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์
อาวุโสทั้งหลาย บุคคลแม้ถูกขับไล่ก็พึงติดตามบุคคลนั้นไปจนตลอดชีวิต ไม่พึงหลีกไปเสีย
คำที่ผมกล่าวว่า อาวุโสทั้งหลาย แม้บุคคลก็ควรทราบโดยส่วน ๒ คือ
ควรคบหาก็มี ไม่ควรคบหาก็มี นั้น ผมอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว.


ก็คำที่ผมกล่าวว่า อาวุโสทั้งหลาย แม้จีวรก็ควรทราบโดยส่วน ๒ คือ
ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี นั้น ผมอาศัยอะไรกล่าวแล้ว
ในจีวร ๒ อย่างนั้น พึงรู้จีวรใดว่า เมื่อเราเสพจีวรนี้
อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม จีวรเห็นปานนี้ไม่ควรเสพ
ในจีวร ๒ อย่างนั้น พึงรู้จีวรใดว่า เมื่อเราเสพจีวรนี้
อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ จีวรเห็นปานนี้ควรเสพ
คำที่ผมกล่าวว่า อาวุโสทั้งหลาย แม้จีวรก็ควรทราบโดยส่วน ๒ คือ
ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี นั้น ผมอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว.


ก็คำที่ผมกล่าวว่า แม้บิณฑบาตก็ควรทราบโดยส่วน ๒ คือ
ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี นั้น ผมอาศัยอะไรกล่าวแล้ว
ในบิณฑบาต ๒ อย่างนี้ พึงรู้บิณฑบาตใดว่า เมื่อเราเสพบิณฑบาตนี้
อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม บิณฑบาตเห็นปานนี้ไม่ควรเสพ
ในบิณฑบาต ๒ อย่างนี้ พึงรู้บิณฑบาตใดว่า เมื่อเราเสพบิณฑบาตนี้
อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ บิณฑบาตเห็นปานนี้ควรเสพ
คำที่ผมกล่าวว่า อาวุโสทั้งหลาย แม้บิณฑบาตก็ควรทราบโดยส่วน ๒ คือ
ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี นั้น ผมอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว.


ก็คำที่ผมกล่าวว่า แม้เสนาสนะก็ควรทราบโดยส่วน ๒ คือ
ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี นั้น ผมอาศัยอะไรกล่าวแล้ว
ในเสนาสนะ ๒ อย่างนั้น พึงรู้เสนาสนะใดว่า เมื่อเราเสพเสนาสนะนี้
อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม เสนาสนะเห็นปานนี้ไม่ควรเสพ
ในเสนาสนะ ๒ อย่างนั้น พึงรู้เสนาสนะใดว่า เมื่อเราเสพเสนาสนะนี้
อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ เสนาสนะเห็นปานนี้ควรเสพ
คำที่ผมกล่าวว่า อาวุโสทั้งหลาย แม้เสนาสนะก็ควรทราบโดยส่วน ๒ คือ
ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี นั้นผมอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว.


ก็คำที่ผมกล่าวว่า อาวุโสทั้งหลาย แม้คามนิคมก็ควรทราบโดยส่วน ๒ คือ
ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี นั้น ผมอาศัยอะไรกล่าวแล้ว
ในคามนิคม ๒ อย่างนั้น พึงรู้คามนิคมใดว่า เมื่อเราเสพคามนิคมนี้
อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม คามนิคมเห็นปานนี้ไม่ควรเสพ
ในคามนิคม ๒ อย่างนั้น พึงรู้คามนิคมใดว่า เมื่อเราเสพคามนิคมนี้
อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ คามนิคมเห็นปานนี้ควรเสพ
คำที่ผมกล่าวว่า อาวุโสทั้งหลาย แม้คามนิคมก็ควรทราบโดยส่วน ๒ คือ
ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี นั้น ผมอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว.


ก็คำที่ผมกล่าวดังนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย แม้ชนบทและประเทศควรทราบ
โดยส่วน ๒ คือ ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี นั้น ผมอาศัยอะไรกล่าวแล้ว
ในชนบทและประเทศ ๒ อย่างนั้น พึงรู้ชนบทและประเทศใดว่า
เมื่อเราเสพชนบทและประเทศนี้ อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม
ชนบทและประเทศเห็นปานนี้ไม่ควรเสพ
ในชนบทและประเทศ ๒ อย่างนั้น พึงรู้ชนบทและประเทศใดว่า
เมื่อเราเสพชนบทและประเทศนี้ อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ
ชนบทและประเทศเห็นปานนี้ควรเสพ
คำที่ผมกล่าวว่า อาวุโสทั้งหลาย แม้ชนบทและประเทศก็ควรทราบ
โดยส่วน ๒ คือ ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี นั้น ผมอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว.


เสวนาสูตร จบ



(เสวนาสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๗)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP