ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ทุกข์เพราะเคยทำบาปมาอย่างหนัก จนไม่อยากมีชีวิตอยู่ ควรทำอย่างไร



ถาม - ดิฉันเคยทำบาปมาอย่างหนัก โดยเฉพาะที่กระทำต่อบุพการี
ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้
ตอนนี้รู้สึกมืดมนไปหมด และหมดกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ ควรจะทำอย่างไรดีคะ



เอาเป็นว่านะครับ ขอให้พิจารณานะว่าบาปนี่ อันดับแรก เราจดไว้เลยนะ
ข้อแรก บาปที่ทำไปแล้ว มันย้อนเวลากลับไปแก้ไม่ได้
อันนี้ทำไว้ในใจเป็นอันดับแรก ถ้าทำไว้ในใจเป็นอันดับแรกข้อนี้
แล้วเกิดความว้าวุ่น เกิดความรู้สึกทุกข์ทรมานใจว่า โอ๊ย แย่แล้ว
เออ มันย้อนกลับไปไม่ได้ นี่แหละที่เสียใจที่สุด
ก็ให้พิจารณาว่าใจของเรานะ ณ ขณะนี้ มันเป็นคนละพวกกับในอดีตที่ทำไปแล้ว
ไม่ต้องย้อนเวลากลับไปนะ เอาตอนนี้เลยที่เสียใจ
มันแปลว่าเป็นคนละพวกกันแล้ว มันเป็นตรงกันข้ามกันแล้ว พิจารณาอย่างนี้ก่อน



คือถ้ามันยังเป็นข้างเดียวกันอยู่ ยังเป็นพวกเดียวกันอยู่
มันต้องไม่รู้สึกเสียใจ ต้องไม่รู้สึกอะไรเลย
ยังรู้สึกเหมือนกับว่าฉันเก่ง ฉันทะนงได้ ฉันเจ๋ง ฉันไม่กลัว เหมือนเดิม
ฉันไม่กลัวบาป ไม่กลัวกรรม ไม่เชื่อหรอกว่ามีผลอะไรต่อมิอะไรต่างๆ ที่มันรออยู่
แต่ตอนนี้่เราเป็นคนละพวกกัน วัดได้จากความรู้สึกเสียใจ ความละอายต่อบาป



เมื่อตระหนักว่าจิตมันเป็นคนละพวกกันแล้ว
เราก็มาพิจารณา เริ่มเขยิบขึ้นมานะ ข้อสามนะ นี่บอกสอนให้เป็นขั้นๆ เลยนะ
พอเรารู้สึกว่าตัวตนนี่เป็นคนละพวกกันแล้วกับเมื่ออดีต
ก็ให้พิจารณาต่อข้อสามว่า ตัวของเราที่มันคนละพวกคืออะไรนะ
ตัวที่เป็นตัวจริงๆ นี่ก็คือจิต
เมื่อก่อนตอนที่ยังทำบาปอยู่ จิตมันเป็นอกุศล จิตมันดำมืด
จิตที่มันดำมืด มันดับไปแล้ว เป็นคนละดวงกันแล้วกับจิตตอนนี้
จิตตอนนี้ มันสว่างขึ้น มันรู้ดีรู้ชั่วมากขึ้น
จำไว้ว่าถ้ามีความละอายต่อบาป จำไว้ว่าถ้ามีความรู้สึกผิด
จำไว้ว่าถ้าหากว่าเราเสียใจกับสิ่งที่ทำไปนะ
นั่นแหละ ตรงนั้นแหละเป็นมโนสำนึกแบบมนุษย์ที่มีความสว่าง



เมื่อพิจารณาว่าจิตขณะนี้สว่างขึ้น มีความเป็นกุศลมากขึ้น
แต่ยังหม่นหมองอยู่ด้วยความปรุงแต่งเสียใจว่าฉันทำลงไปได้อย่างไร
ตัวนี้แหละส่วนเกินของกุศล
ให้พิจารณาว่าความรู้สึกละอายต่อบาป
ความรู้สึกเสียใจที่เคยทำอะไรผิดลงไป เป็นสัญญาณบอกว่า
ความดี ความเป็นมนุษย์กลับมาสู่จิตวิญญาณของเราแล้ว ให้ดูแค่ตรงนั้น

ความเสียใจที่เราเคยไปทำอะไรต่างๆ ผิดพลาดไปพลั้งไป
แล้วไปด่าทอตัวเองต่างๆ นี่นะ นั่นคือส่วนเกิน
พอเราพิจารณาอย่างนี้ได้ เราก็จะเห็นว่าส่วนเกินนั้นน่ะ
มันหายไปจากใจเราง่ายๆ เลย หายไปเดี๋ยวนี้เลย
เหลือแต่ความรู้สึกว่าความเป็นมนุษย์ที่มันมีความละอายต่อบาป
มันเป็นความสว่างอยู่ดีๆ แล้ว เราไม่ต้องไปเพิ่มความหม่นหมองให้กับมัน
ด้วยความรู้สึกผิดที่ตอกย้ำซ้ำเติมแบบไม่รู้จบ



แล้วข้อสี่ ข้อสุดท้ายนะให้พิจารณาว่า
จิตที่มันมีความสว่างแบบมนุษย์ จิตที่มีมโนสำนึกแบบมนุษย์
เราสามารถที่จะเอาไปต่อยอดเอาไปพัฒนาเป็นการเจริญสติ
ซึ่งเป็นบุญขั้นสูงสุด เป็นศักยภาพที่แท้จริง อันเป็นที่สุดของมนุษย์

เราสามารถมองเห็นได้ว่าความสว่างอันเกิดจากการละอายต่อบาป ณ ขณะนี้
แป๊บหนึ่งเดี๋ยวมันก็มีความหดหู่ เศร้าหมองเคลื่อนกลับมาเกาะกุมอีก
เพราะว่าคนที่เศร้ามานานๆ นี่นะ
เรื่องที่เศร้านั้นน่ะมันจะคอยเคลื่อนกลับมาครอบงำนะ
แล้วก็เกาะกุมหัวใจของเราอยู่ไม่ขาด



อันนี้ให้ถือว่าเป็นโอกาสดีที่เราจะได้สังเกตนะ
พอเรานึกได้ ระลึกได้ขึ้นมาที มีสติขึ้นมาทีนะ
เห็นว่า เออ นี่มันจิตคนละดวงกันแล้ว
ตอนนี้กับเมื่อก่อนไม่ใช่ตัวเดียวกัน มันเป็นคนละดวงนะ
ตอนนี้กำลังสว่างอยู่ดีๆ เราก็ดู เออ ตอนสว่าง
ใจมันว่างๆ จากบาป ใจมันว่างๆ จากอกุศล ใจมันใสๆ สบายๆ
เสร็จแล้วแป๊บหนึ่ง อยู่ๆ โดยไม่เชื้อเชิญ
ก็เกิดความเศร้าโศกเสียใจจากเรื่องเดิมๆ ย้อนกลับมาอีก
ดูอยู่อย่างนี้ เรียกว่าเป็นการเจริญสติแล้ว
เรียกว่าเป็นการกำลังทำบุญขั้นสูงสุดแล้ว
โดยอาศัยบาปนั่นเองมาเป็นตัวตั้ง มาเป็นเครื่องมือในการเจริญสติ
มาเป็นเครื่องมือในการทำบุญขั้นสูงสุด
ทำไมถึงเรียกว่าเป็นการทำบุญขั้นสูงสุด
ก็เพราะว่าบุญแบบนี้ พาเราออกจากสังสารวัฏได้ พ้นทุกข์อย่างถาวรได้

แล้วก็เป็นจุดประสงค์ที่พระพุทธเจ้าท่านสถาปนาพุทธศาสนาขึ้นมา
ก็เพื่อสิ่งนี้เลย เพื่อที่จะมอบสิ่งนี้ให้ ท่านบอกเลยนะนี่คือบุญขั้นสูงสุด



เพราะฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่เรากำลังเกิดความเศร้าโศกเสียใจ
เหมือนกับเมฆหมอกดำๆ มันเคลื่อนกลับมาห่อหุ้มหัวใจใหม่
แล้วเรารู้ได้ว่านี่มันกลับมาแล้ว
เสร็จแล้วเราก็พิจารณาว่ามันกลับมาห่อหุ้มได้แป๊บหนึ่ง
ถ้าเราพิจารณาว่าตอนนี้จิตของเราเป็นผู้ละอายต่อบาปแล้ว
ก็ไม่เห็นจะต้องไปเศร้าโศกเสียใจกับจิตคนละดวงที่มันเคยเกิดขึ้นเมื่อในอดีต
อย่างนี้มันก็จะเป็นการมีสติเตือนตัวเองให้เกิดความสว่างขึ้นมาได้ทุกครั้ง
แล้วก็เกิดสติเห็นได้ทุกครั้งเช่นกันว่า
ความเศร้าโศกเสียใจที่เข้ามาครอบงำจิตใจของเรา
มันมาได้ครู่เดียว เท่าที่เรายังไม่มีสติ
แต่เมื่อไหร่ที่เราเกิดสติขึ้นมาแล้ว เมื่อนั้นความมืดมันก็สลายตัวไป
นี่ดูอย่างนี้เรียกว่าเป็นการเจริญสติ เรียกว่าเป็นการทำบุญขั้นสูงสุด

เอ้า ตกลงนี่ก็คือว่าบาปในอดีตที่ผ่านมา
มันกลายเป็นบุญขั้นสูงสุดในปัจจุบันแล้ว ไม่มีอะไรต้องเสียใจอีก



ก็แล้วในทางปฏิบัติแบบโลกๆ
ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังอยู่ อันนี้ไม่ทราบนะว่ายังอยู่หรือเปล่า
ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังอยู่เราก็ไปพยายามทำให้พวกท่านมีความสุข
เหมือนกับเมื่อก่อนนี่นะ เราจะทำบาปอะไรเข้าไปก็แล้วแต่
ให้นึกว่าเป็นก้อนเกลือสักก้อนหนึ่ง
เสร็จแล้วเราตั้งใจนะว่าจะทำให้พ่อแม่มีความสุข เหมือนกับเราเติมน้ำลงไป
เติมลงไปได้แก้วหนึ่ง ความเค็มของเกลือมันก็ลดลงนิดหนึ่ง ยังเค็มปี๋อยู่
แต่ถ้าเติมลงไปได้หนึ่งถัง มันก็เริ่มเจือจางลง
แล้วถ้าเติมลงไปได้หนึ่งโอ่งนะ
ความสุขของพ่อแม่ที่เปรียบเหมือนมีปริมาณน้ำหนึ่งโอ่งนะ
ที่ชนะความทุกข์ความเศร้าโศกเสียใจในครั้งอดีต
ที่เราเคยทำไม่ดีกับพวกท่าน เคยทำอะไรชั่วๆ ไว้
มันกลายเป็นเกลือก้อนเล็กๆ ก้อนเดียวนะ ทำให้ได้มากขนาดนั้น
ตราบเท่าที่ยังไม่สิ้นชีวิตนะ
ตราบนั้นเรามีโอกาสที่จะละลายเกลือก้อนเดียวด้วยน้ำหนึ่งโอ่งเสมอนะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP