วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๕๐ (จบ)



cover siwadol

ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            “หิวมั้ยจ๊ะที่รัก...ในรถมีขนมแสนอร่อย...กินรองท้องก่อนนะตัวเอง เดี๋ยวเค้าจะรีบพาไปร้านอาหารเร็วสุดเลย”

            “นี่แก...” เมษาระเบิดเสียงอย่างอดไม่ได้ “โดนยิงจนสมองเพี้ยนไปแล้วหรือไง เลิกเรียกแบบนี้สักที ฟังแล้วขนลุก ปวดหัวปวดท้องไปหมดแล้ว”

            พิจิกหัวเราะลั่น นัยน์ตาพราวมองหญิงสาวด้วยแววตาเปี่ยมสุขเปื้อนยิ้ม



            นึกถึงเรื่องที่โดนยิงเมื่อปีก่อน...

            กระสุนนัดแรกเรียกเลือดจากต้นแขนเขาจริง ๆ แต่นัดที่สองปะทะหน้าอก โดนเข้าตรงเสื้อเกราะกันกระสุนพอดี!

            ความดีความชอบครั้งนี้ ต้องยกให้กับสารวัตรธงรบผู้รอบคอบ แนะนำผู้ทรงเวททั้งสองอย่างเป็นห่วง

            “คุณจิก น้องเมษาคิดว่าฝ่ายนั้นเขาจะเล่นงานด้วยอาคมอย่างเดียวเหรอ ถ้าเป็นพี่นะ ใช้กระสุนนัดเดียวมันง่ายกว่ากันเยอะเลย”

            ด้วยเหตุนี้ สารวัตรหนุ่มจึงเป็นผู้จัดหาเสื้อเกราะกันกระสุนมาให้สองหนุ่มสาว ป้องกันเหตุพลิกผัน ไม่ให้หลานรักผู้มีพระคุณต้องเป็นอันตราย

            “หิวมั้ย...บ่ายกว่าแล้ว กินอะไรหรือยัง” คราวนี้พิจิกพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แฝงความห่วงใยอยู่ในนั้น

            “กินขนมในรถแกรองท้องก่อนก็ได้” หญิงสาวไม่เรื่องมาก หยิบขนม ของกินในรถชายหนุ่มมารับประทานอย่างเอร็ดอร่อย

            “บริษัทไอ้แดชนี่มันใช้งานเพื่อนยังกะทาส...เสาร์อาทิตย์ไม่รู้จักหยุด...ข้าวปลาไม่หาให้กิน น่าไปฟ้องกรมแรงงานเนอะ” ชายหนุ่มบ่น

            “มันไม่ได้เอาปืนจี้ให้ฉันไปทำงานด้วยนี่หว่า” เมษากินขนมอย่างมีความสุข ไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยหยุมหยิม

            พิจิกอมยิ้ม เหลือบมองหญิงสาวข้างกาย เมษามักทำให้เขาผ่อนคลาย มีความสุขโดยเจ้าตัวไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษกว่าปกติเลย

            “บ่ายนี้อยากกินอะไร...แล้วเราจะไปเดทกันที่ไหนดี” ชายหนุ่มถามแกมล้อเลียน

            ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา นอกจากปัญหาเรื่องผู้อยู่ต่างภพมารบกวนแล้ว งานของเมษาก็ทำให้การเดทต้องสะดุดเลื่อนเวลาบ่อย ๆ

            “ฉันกินข้าวร้านข้างทางแถวนี้ก็ได้ หิวจะหน้ามืดอยู่แล้ว” หญิงสาวบอก “ส่วนเรื่องเดท...เราไปเที่ยวศิวาดลกันมั้ย”

            “เฮ้ย!” พิจิกอุทานลั่นรถ

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ศิวาดลวันนี้ ไม่เหมือนเดิมแล้ว

            เพลิงไหม้ในคืนนั้นทำให้คฤหาสน์งดงามต้องเสียหายหนัก จนนายศิวาหมดกำลังใจจะบูรณะมันให้เหมือนเดิม

            เขาให้คนงานเข้าไปเก็บข้าวของมีค่าที่หลงเหลือ และสมบัติที่สะสมไว้ชั้นใต้ดิน ขึ้นไปฝากในห้องนิรภัยของธนาคารหลายแห่ง จากนั้นเคลียร์เศษข้าวของที่เสียหายทิ้งไปจนหมด เหลือเพียงตัวตึกเปล่าดาย ซากปูนด่างดำจากเปลวพระเพลิง

            ภาพบันทึกเทปเกี่ยวกับงานเปิดรั้วศิวาดลก็ถูกระงับออกอากาศ บางส่วนถูกนำมาตัดต่อออกเป็นสกู๊ปข่าว หลังจากเกิดเหตุไฟไหม้...

            เจ้มีนไม่เสียดายเท่าไหร่ เพราะเจ้าตัวไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ในคืนงานเลี้ยงนั้น



            ศิวาดลปิดตาย คนงานบางส่วนโดนเลิกจ้าง บางส่วนย้ายไปทำงานด้านอื่น นายศิวาไม่อยากสนใจมัน เพราะชื่อเจ้าของตอนนั้นคือแพรพลอย แต่หญิงสาวทำหลักฐานโอนมอบให้กับป้าแมวเรียบร้อยแล้ว

            งานนี้นายศิวาไม่จำเป็นต้องฟ้องร้องแย่งสมบัติชิ้นนี้คืนมา ป้าแมวพร้อมจะโอนศิวาดลคืนให้แก่เจ้าของอย่างถูกต้องอยู่แล้ว เพื่อชดใช้ความผิดที่เธอกระทำ

            มหาเศรษฐีใหญ่รับคืนสมบัติโดยไม่ยินดีเท่าใด ใจเขาอยากสังหารป้าแมวให้แดดิ้นต่อหน้า สมกับที่ทำเรื่องร้ายกาจกับเขาไว้มากมาย

            สุดท้ายเขาไม่ต้องลงมือแก้แค้นป้าแมวให้เปื้อนเลือด...โรคภัยไข้เจ็บเป็นมือสังหาร ไล่ล่าป้าแมวเอง

            หญิงชราป่วยด้วยโรคมะเร็ง ร่างกายซูบผอม ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสอยู่กับโรคร้ายทุกวัน ตลอดทั้งปี เพิ่งเสียชีวิตไม่นานมานี้



            แพรพลอยหายสาบสูญตั้งแต่วันนั้น เธอเดินทางออกนอกประเทศโดยนายศิวาไม่อาจตามไล่ล่าด้วยตัวเอง เพราะก่อนเดินทาง หญิงสาวได้นำข้อมูลความผิดทั้งหมดของนายศิวา ทั้งเรื่องจารกรรมข้อมูล หลบเลี่ยงภาษี และอื่น ๆ อีกพอสมควร ส่งให้ตำรวจและนักข่าว

            นายศิวาถูกสั่งห้ามออกนอกประเทศ ชีวิตวุ่นวายกับการเตรียมสู้คดีมากมาย ถึงอย่างนั้นเขาก็มีเงินมากพอที่จะส่งคนออกไปตามล่าแพรพลอยได้ทุกหนแห่งบนโลก

            อิสระที่หญิงสาวอยากได้ อาจเป็นแค่การตระเวนหนีความผิดตัวเองไปทั่วโลก เปลี่ยนแปลงโฉมหน้า ชื่อเสียง ใช้ชีวิตอย่างปราศจากตัวตน และถ้าพลาดพลั้งโดนตามเจอ อาจไม่ได้กลับแผ่นดินเกิดอีกเลยตลอดชีวิต

            การมีเงินทองมากมาย ได้อิสรภาพโบยบินตามใจ แลกกับต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดระแวงทุกย่างก้าว มันมีความสุขจริงหรือ?

            ส่วนนายศิวาเตรียมรับผลกรรมของเขาอย่างมั่นคง ไม่ถึงกับปฏิเสธทุกข้อหา เขามีเงินมากพอจ้างทนายมือดีมาสู้คดีจนถึงที่สุด ต่อให้สุดท้ายต้องติดคุกชดใช้ความผิด เขาก็ยังมีเวลาจัดการเรื่องธุรกิจ และมหาสมบัติของตน มีคนไว้ใจได้คอยดูแลรักษาให้ รอจนถึงวันที่เขาพ้นโทษ มีโอกาสออกจากคุก ก็ยังได้เป็น ‘นายใหญ่’ อีกครั้ง

            ระหว่างนายศิวา กับแพรพลอย...ชีวิตใครจะมีความทุกข์น้อยกว่ากัน

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            บ่ายคล้อย

            รถยนต์สีดำปลาบแล่นมาจอดประตูด้านข้าง ซึ่งเคยเป็นเส้นทางหลบหนีของสองหนุ่มสาวในคืนวันเปิดรั้วศิวาดล

            บริเวณโดยรอบเงียบสงัด นานครั้งรถราจะผ่านมาสักคัน บานประตูคล้องกุญแจดอกใหญ่สองดอก ป้องกันคนเข้าไปรุกล้ำ

            พิจิกยังไม่ลงจากรถมองกุญแจหน้าประตูอย่างสงสัย

            “ต้องลงทุนไปสะเดาะกุญแจเพื่อออกเดทในนั้นมั้ย” หันมาถามหญิงสาว

            “ฉันมีกุญแจ...คุณสมยศเพิ่งให้ยืมเมื่อวาน” เมษาตอบรับพร้อมอธิบายเสร็จสรรพ “ฉันโทรไปขอยืมเองแหละ”

            พ่อบ้านสมยศย้ายมาทำงานในบริษัทนายศิวา ทั้งยังได้รับหน้าที่ผู้ดูแลศิวาดลอีกด้วย ถึงไม่มีใครอาศัยที่นี่แล้ว แต่ก็ยังต้องคอยป้องกันผู้บุกรุก เข้าไปทำลาย ขโมยทรัพย์สินบางอย่างออกมา

            “อืมม์...” พิจิกพยักหน้าแววตาคาดคั้น แทนการออกปากถามเหตุผลการชวนมาที่นี่ของหญิงสาว

            “ทำไม...เรามาเดทที่ศิวาดลนี่ไม่ได้เหรอ” เมษาเฉไฉ

            “ได้จ้า...ที่รัก” พิจิกจงใจเปลี่ยนน้ำเสียง แกล้งหญิงสาว “ที่ไหนก็ได้ ถ้ามีเค้ากับตัวเองน่ะ”

            เมษาห่อตัวทำท่าขนลุก สยองขวัญยิ่งกว่าเจอผีดุ ๆ ยี่สิบตัว

            “เออ...ฉันบอกเหตุผลก็ได้ แกอย่าพูดแบบตะกี้อีกนะ โดนต่อยแน่...” เมษากำหมัดทำท่าจะต่อยจริง ๆ

            “โอ๊ย...กลัวจังเลย” ชายหนุ่มแกล้งหลบหมัด

            หญิงสาวถอนใจ ในความโมโหยังเจือด้วยความขบขัน เอ็นดู รู้แก่ใจ...พิจิกไม่พูดจาแสดงท่าทางแบบนี้กับผู้หญิงคนอื่นแน่นอน

            “เมื่อคืนก่อน...ฉันฝันเห็นศิวาดล...” เมษาเริ่มต้น “เป็นศิวาดลที่สวยงาม ก่อนที่มันจะทรุดโทรมลงช้า ๆ ต่อหน้าต่อตา จนกลายเป็นเหมือนซากปรักหักพัง เต็มไปด้วยรอยไหม้ดำ ต้นไม้ขึ้นรก ตะไคร่น้ำเกาะเต็มเป็นปื้น...”

            หญิงสาวหยุดพูด พยายามทบทวนความฝัน ชายหนุ่มเอ่ยปากต่อเอง

            “ในท่ามกลางเศษซากศิวาดลนั้น...แกก็รู้สึกถึงความโศกเศร้า เลื่อนลอย เหมือนมีใครกำลังรอขอความช่วยเหลืออยู่ใช่มั้ย...”

            เมษาจ้องตาพิจิก แววตาฉายรอยรู้ทัน

            “แสดงว่าแกก็ฝันแบบเดียวกับฉัน”

            “อือ...แต่ฉันคิดว่ามันเป็นแค่ความฝัน ไม่สนใจอะไร” คุณหมอหนุ่มตอบง่าย ๆ

            “แกไม่คิดเหรอว่า อาจมีใครต้องการความช่วยเหลืออยู่ที่นี่” เมษาอธิบายความรู้สึก

            “ก็คงเป็นผีร่อนเร่ สัมภเวสีทั่วไป” พิจิกตอบง่าย ก่อนทำตาหวานใส่หญิงสาว “วันนี้ฉันอยากเดทกับแฟนตัวเอง ไม่อยากช่วยผีตัวไหน”

            เมษาถอนใจ มองชายหนุ่มอย่างระอา...รู้ล่ะว่าแกล้งพูดใส่ แต่ได้ยินแล้วชวนหมั่นไส้

            “จำได้มั้ยว่าเราไปเดทกันทุกที่ อย่างคนเป็นแฟนธรรมดาเขาไปกัน...แล้วเป็นไงล่ะ...หนีเรื่องพวกนี้ได้มั้ย”

            พิจิกอมยิ้ม นัยน์ตาพราว เมษาพูดถูกทุกคำ...

            สถานที่ไปเที่ยวสำหรับคู่รักส่วนใหญ่มักไม่พ้น ดูหนัง ฟังเพลง เดินห้าง รับประทานอาหารหรู หรือถ้าออกนอกสถานที่ก็จะไปเที่ยวสวนสนุก เที่ยวทะเล ไปเที่ยวต่างประเทศ...

            ยกเว้นเรื่องทริปทัวร์ต่างประเทศ นอกนั้นเมษา พิจิกพากันไปเที่ยวแบบคู่รักทั่วไปกันหมดแล้ว

            ผลก็คือ...ไม่ว่าจะไปที่ไหน มักมี ‘ผู้อยู่ต่างภพ’ เข้ามาขอความช่วยเหลือเนือง ๆ หรือไม่ก็มักเกิดเหตุประจวบเหมาะให้สองคนได้ช่วยเหลือคนรอบตัว...ตั้งแต่คนแก่เป็นลม เกิดอุบัติเหตุผู้คนบาดเจ็บ ไม่เว้นกระทั่งช่วยเด็กหลงทาง



            ตอนงานวันเกิดครูแกลง สองหนุ่มสาวพาคุณปู่ของตนไปเยี่ยมคารวะ จึงเล่าเรื่องพวกนี้ให้ท่านฟังอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดพวกตนต้องเจออะไรแบบนี้ตลอด

            ครูแกลงหัวเราะขันมองหนุ่มสาวทั้งสองด้วยแววชื่นชม เมตตา

            “จะเลี่ยงเรื่องพวกนี้ได้ยังไงล่ะ...ในเมื่อพวกเธอเป็น ‘คู่บุญ’ ที่อธิษฐานมาช่วยเหลือผู้คนเพื่อสร้างบารมีกันนี่นา”

            “อธิษฐานตอนไหน ไม่เห็นจำได้สักที” เมษาบ่น ทั้งที่ใจเต็มตื้น ยอมรับโดยไม่ขัดฝืน

            “แล้วทำยังไง จะได้ไม่ต้องเจอ ‘พวกนั้น’ บ่อย ๆ ครับครู” พิจิกถามโดยเกิดความรู้สึกไม่ต่างจากเมษา

            ท่านผู้เฒ่ายิ้ม รู้ว่าคำถามนี้ไม่มีเจตนาอยากเลี่ยงการช่วยเหลือใคร แต่หวังให้ความสามารถตนพัฒนากว่าเดิม

            “อืมม์...กำลังการฝึกฝนเราสองคนยังอ่อน...บารมีไม่แก่กล้าพอ เลยเปิด-ปิดสวิตช์ตามใจไม่ได้ไง”

            หากเป็นคนอื่น ผู้แกร่งกล้าในอาคมระดับเดียวกับพิจิก เมษาได้ยิน คงเกิดอัตตาขัดเคืองใจ ที่โดนปรามาสฝีมือ

            ผู้ทรงเวท ‘ตัวจริง’ ทั้งสองกลับยกมือไหว้ยอมรับโดยไม่ขัดเคือง

            คำแนะนำเพียงเท่านี้ ทำให้สองหนุ่มสาวรู้สึกตนขึ้นมา... ‘จิต’ ยังพัฒนาได้อีกยาวไกล ไม่ควรทะนงในความสามารถเพียงเล็กน้อย จนกลายเป็นย่ำอยู่กับที่ และจะถดถอยลงไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว

            ...และ...การมาเยี่ยมครูแกลงในวันเกิดครั้งนี้ พิจิก เมษาได้พบบุคคลที่คาดไม่ถึง ‘แม่บ้านเข็มทอง’



            หลังศิวาดลถูกปิด คนงานกระจัดกระจาย นายศิวาชวนแม่บ้านใหญ่ไปพักด้วยกันที่คอนโดหรูกลางกรุงเทพ รับปากจะดูแลเธอไปตลอดด้วยสำนึกในบุญคุณที่ช่วยชีวิต และเป็นคนสนิทคนเดียวของภรรยาที่เขารัก ‘ดลดารา’

            เข็มทองปฏิเสธ...เมื่อไม่มีดลดารา ทั้งศิวาดล และนายศิวาก็ไม่มีความหมายสำหรับเธอ

            หญิงกลางคนมีเงินเก็บ และทรัพย์สินส่วนตัวมากพอเลี้ยงชีวิตโดยไม่ลำบาก

            ในช่วงลังเลกับอนาคตตน ไม่รู้ควรเดินต่อไปในเส้นทางใด พิจิก เมษาแวะมาหา ชวนให้กลับไปดูแลครูแกลง บิดาผู้สูงวัยของเธอ

            เข็มทองปฏิเสธ ด้วยรู้ว่าบิดาชราถูกห้อมล้อมด้วยลูกหลานเหลนที่ดี อบอุ่น สามารถดูแลท่านได้ดีกว่าเธออยู่แล้ว

            เมษาพยายามโน้มน้าวใจ...

            “ถึงอย่างนั้นครูแกลงก็มีคุณแม่บ้านเป็นลูกสาวคนเดียวนะคะ การที่ท่านฝากเข็ม กับยาสมุนไพรมาให้...ไม่ใช่ต้องการแค่ให้คุณแม่บ้านช่วยรักษาคนเท่านั้น...แต่ท่านต้องการบอกเป็นนัยว่า... ‘เข็ม’ ที่ท่านใช้รักษาคนน่ะมีมากมายหลายเล่มแล้ว...แต่ ‘เข็มทอง’ สำหรับท่าน...มีแค่เล่มเดียว”

            แววตาแม่บ้านใหญ่ฉายรอยสะเทือนอย่างคนอยู่ใกล้รู้สึก สัมผัสได้

            พิจิกจึงพูดสำทับต่อ ในจังหวะที่พอดี

            “คนเป็นพ่อ...อภัยให้ลูกนานแล้วนะครับ...” ดวงตาชายหนุ่มทอประกายหนักแน่น จริงจัง “แล้วคนเป็นลูก...เมื่อไหร่จะ ‘ให้อภัย’ ตัวเองได้สักที”

            แม่บ้านใหญ่รับฟังวาจาโน้มน้าวใจโดยไม่โต้เถียง ขัดแย้ง แต่ไม่มีอาการโอนอ่อน คล้อยตาม สองหนุ่มสาวเห็นอย่างนั้นจึงนิ่ง สงบใจ ไม่คะยั้นคะยออีก

            ในงานวันเกิดครูแกลง...พบแม่บ้านเข็มทองอย่างนี้ จึงรู้ว่าคำโน้มน้าวใจของตน ไม่ไร้ผลเสียทีเดียว

            ตี๋เล็ก อาจารย์อาแอบกระซิบสองหนุ่มสาวว่า คุณย่าเข็มทองมาอยู่บ้านเป็นเดือนแล้ว ไม่บอกว่าจะอยู่นานแค่ไหน แต่รับหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่ของครูแกลงทั้งหมด อีกทั้งยังช่วยฝังเข็ม รักษาคนป่วยแทนครูแกลงหลายครั้ง

            ทุกคนในบ้านล้วนยินดี แต่พยายามทำตัวตามปกติ ไม่พูดจาออกหน้าออกตามากเกินไป ปล่อยให้เข็มทองทำทุกอย่างแล้วแต่จะพอใจ เป็นส่วนหนึ่งในบ้านโดยปริยาย

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            นอกกำแพงศิวาดลดูวังเวงทั้งที่แดดแผดจ้า รถขับผ่านไปมาโดยไม่มีใครคิดชะลอจอดแวะ ด้วยสถานที่นี้มีเสียงร่ำลือหนาหูว่า ‘เฮี้ยน’ นักหนา

            บางครั้งยามค่ำคืนดึกดื่น คนขับรถผ่านอาจเห็นเงาร่างสูงละลิบราวเปรตยืนค้ำกำแพงมองออกมา บางทีก็มีร่างดำ ๆ ตัวไม่สูงนัก เดินเรียงรายบนกำแพงเหมือนกำลังตรวจตรา หรือไม่ก็มองหาเป้าหมาย บางครั้งมีหญิงสาวยืนโบกรถอยู่ข้างกำแพง พอขับเข้าใกล้กลับไม่พบใคร

            เสียงร่ำลือเล่าอ้างยิ่งผ่านปากผู้คนยิ่งเติมสีสันเข้าไปจนน่าสะพรึง ส่งผลให้มีพวกอยากลองดีแอบปีนกำแพงเข้าไปสำรวจตอนโพล้เพล้ แล้วพวกมันก็เผ่นแน่บปีนกลับแทบไม่ทัน นอนจับไข้หนาวสั่นนับสัปดาห์ ปากก็พร่ำเพ้อถึงภูตผีมากมายที่ชุมนุมอยู่หลังกำแพงสูงยาวเหยียดนั้น

            ทั้งหมดนี้ทำให้รอบรั้วศิวาดลไม่มีใครกล้าเยี่ยมกราย อย่าพูดถึงขนาดให้บุกเข้าไปพิสูจน์ลองดี...ต่อให้เป็นกลางวันแสก ๆ ก็ตามที



            ทว่าบ่ายนี้กลับมีสองหนุ่มสาวไขกุญแจเดินเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย...

            ตะวันบ่ายคล้อย หลังกำแพงสูงยาวเหยียดกลายเป็นอีกโลกหนึ่ง

            ทันทีที่ย่างก้าวเข้าอาณาเขตศิวาดล รู้สึกถึงอากาศเย็นผิดปกติ แสงตะวันยามบ่ายอ่อนโรยกว่าภายนอก บรรยากาศยะเยือกปกคลุม แผ่กระจายชวนขนบนต้นคอลุกซู่

            ต้นไม้ร่มครึ้มหนาตาจนดูทึบ พงหญ้าสูงรก ทางเดินจากประตูข้างเข้าศิวาดลเต็มไปด้วยวัชพืชขึ้นแซมแน่นขนัด เนื่องจากขาดการดูแล

            ศาลาแปดเหลี่ยมเก่าโทรมผิดตา หลังคาแตกเป็นรูโดยไม่มีใครซ่อมแซม เรือนครัวริมทะเลสาบปิดตาย เศร้าซึมไร้ชีวิตชีวา ตึกที่พักคนงานยืนเหงาหงอยปรากฏเงาดำราง ๆ วอบแวบตามเหลี่ยมเสา บานประตู บริเวณกันสาด เพียงกวาดตามองผ่านอาจทำให้ขนแขนลุกชันโดยไม่มีเหตุผล

            ไม่แปลกเลยที่ผู้คนรอบข้างศิวาดลไม่กล้าเยี่ยมกรายเข้าใกล้ แม้เป็นเวลากลางวัน

            มันกลายเป็นสถานที่ผีสิง เต็มไปด้วยอาถรรพณ์สมบูรณ์แบบ เหล่าดวงวิญญาณเดิมดึงดูดพวกสัมภเวสีเร่ร่อนให้เข้ามาอยู่ร่วม พอรวมกันมากมายหนาแน่นก็บังเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของขึ้นมา

            ความเห็นผิดว่าเป็น ‘บ้านของกู’ ผูกพันโยงยึดจนเกิดความหวงแหน ติดยึด คลื่นแห่งดวงวิญญาณที่หม่นซึม หดหู่ วังเวงรวมกันมากเข้า จึงเปลี่ยนสถานที่แห่งนี้ให้กลายเป็นอีกโลก ซึ่งคนทั่วไปไม่กล้าเข้าใกล้



            ทะเลสาบยามบ่ายด้านหลังคฤหาสน์สะท้อนแสงแดดเป็นประกายสวยงาม ส่งความมีชีวิตชีวาขึ้นมาให้กับสถานที่แห่งนี้ ความงามของมันถูกโอบล้อมด้วยบรรยากาศยะเยือก ชวนขนลุก น่าสะพรึงที่กระจายอยู่ทั่วศิวาดล ไม่ว่าจะเป็นศาลาร้าง เรือนครัวไร้ผู้คน ตึกพักคนงานที่มีแต่แขกไม่ได้รับเชิญสิงสู่

            พิจิกเอื้อมมือไปเกาะกุมมือเมษาเดินช้า ๆ ชมความงามเลียบทะเลสาบ สูดลมหายใจรับอากาศบริสุทธิ์ ซึมซับแสงแดดอ่อนที่สะท้อนมากระทบเป็นระยะ

            หญิงสาวไม่ขัด ปล่อยชายหนุ่มจูงมือเดินเที่ยว เหมือนคู่รักออกเดทในบริเวณคฤหาสน์ผีสิงแสนสวยงามเพียงลำพังสองคน

            จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ ทั้งคู่เข้าไปหลบยืนใต้ร่มไม้ ทอดสายตามองประกายแดดระยิบระยับบนระลอกน้ำโดยไม่พูดจาอะไร

            “แกจะจูงมือฉันไปถึงไหน...ปล่อยได้แล้ว ฉันไม่ใช่เด็ก ไม่ใช่คนตาบอดซะหน่อย” เมษาบ่น

            “ฉันก็ไม่ได้คิดว่าจูงมือเด็ก หรือคนตาบอดนี่...” พิจิกแกล้งไม่ยอมปล่อย หนำซ้ำกำกระชับแน่นอย่างจงใจ “ฉันกำลังจูงมือแฟนตัวเองออกเดทอยู่นะ”

            เมษาบิดมือออกด้วยความรำคาญ

            ชายหนุ่มแกล้งทำหน้าม่อย หญิงสาวเลยพูดใส่...

            “เออ...ขอโทษ...ลืมไปว่ากำลังออกเดทอยู่...แล้วเอาไงต่อ...ปูเสื่อปิคนิคกินแซนวิชใต้ร่มไม้ริมทะเลสาบนี่ดีมั้ย มันคงโรแมนติกอย่างหาไม่ได้อีกแล้วล่ะ” วาจาประชดแรง

            “อือจริง...โรแมนติกว่ะ มาปิคนิคกินแซนวิชกันในบ้านผีสิงแบบนี้...ไม่เคยมีใครทำแน่...แต่แกเตรียมเสื่อเตรียมแซนวิชมามั้ย” พิจิกเล่นด้วย

            “มันหน้าที่แกไม่ใช่เหรอ” เมษาโบ้ยงานให้หน้าตาเฉย

            พิจิกหัวเราะเบา ๆ สายตาเหลือบไปทางคฤหาสน์ศิวาดล นัยน์ตาอ่อนโยนลง

            “งั้นอย่าเพิ่งปิคนิคกันตอนนี้เลย ไปเยี่ยมคนในบ้านก่อนมั้ย ‘เขา’ คงรอเรานานแล้วล่ะ”

            เมษาหันไปมองตามสายตาชายหนุ่ม สัมผัสถึงกระแสอ้อยอิ่ง เฝ้ารอคอย บอกให้ทราบว่าความฝันของเธอกับพิจิก ไม่ใช่เหตุบังเอิญ



            ศิวาดลตรงหน้าเห็นแล้วชวนหดหู่ใจ...

            ตัวคฤหาสน์ถูกเผาวอดวายเกินครึ่ง ห้องใต้หลังคามอดไหม้ไม่เหลือเศษซาก หลังคาหายไปเป็นแถบ ชั้นสองกับชั้นสามมีรอยไหม้ดำกินบริเวณกว้าง ชั้นหนึ่งเสียหายเพียงบางส่วน และชั้นใต้ดินเสียหายเล็กน้อยเพราะไฟลามมาไม่ถึง

            การถูกเจ้าของบ้านทอดทิ้งไม่ดูแลเป็นปี ปล่อยต้นหญ้าวัชพืชขึ้นเต็ม ทิ้งให้แดดฝนกระหน่ำซัดสาด เกิดตะไคร่ขึ้นเต็มทั้งภายในภายนอก ส่งผลให้ศิวาดลเหมือนคนชราป่วยหนัก ไร้คนเหลียวแล รอมรณะมาเยือนอย่างน่าสลดใจ

            พิจิก เมษาก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น จิตสัมผัสรับรู้ว่า...ผู้อยู่ภายในนั้นกำลังออกมาต้อนรับ

            พยาบาลโสภี...ดวงวิญญาณหนึ่งในสี่ที่ได้รับพลังพิเศษจากสองหนุ่มสาว จนสามารถหักตรวนอาคมเป็นอิสระสำเร็จเมื่อปีก่อน

            ทว่า...ขณะที่ดลดารา รายา พรนรีพบทางไปของตนเอง ตัวเธอยังมองหาไม่เห็น จึงเฝ้าวนเวียนอยู่รอบอาณาเขตศิวาดลอย่างงมงาย ไม่รู้เหนือใต้

            ภายในเวลาหนึ่งปี พยาบาลโสภีพบ ‘ผู้มาใหม่’ ทยอยเข้ามาอาศัยเรื่อย ๆ รวมทั้งผู้อยู่ก่อนก็ยังไม่อาจไปไหน อย่างวิญญาณคุณทอง รวมถึงภูตผีคนโบราณที่ยังแค้นเคืองหวังเอาคืน คิดหาทัณฑ์ทรมานมาจัดการกับผู้เคยเป็น ‘เจ้านาย’ ได้ไม่หยุด จึงต่างผูกมัดกันและกันจนไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่าไม่ได้

            กระทั่งมีผู้มาใหม่รายล่าสุด...ป้าเพ็ญแข

            หญิงชราได้กลับเรือนพระยาคงเวทอย่างเคยพร่ำหามาตลอดชีวิต มันคือ ‘บ้านเก่า’ ที่หวังคืนถิ่น เพียงแต่บ้านหลังนี้ ไม่ใช่บ้านอบอุ่นซึ่งเคยมีพ่อแม่ลูกเช่นในวัยเยาว์ มันคือภพภูมิหนึ่งซึ่งน่าเวทนาสงสาร วนเวียนจมอยู่กับความทุกข์ทรมานด้วยความไม่รู้...และไม่รู้ต้องจมอยู่อย่างนี้อีกเนิ่นนานเพียงใด

            มันเป็นเหมือน ‘กรงบาป’ ที่คุมขังโดยเจ้าตัวเต็มใจ

            พอเห็นอย่างนั้น จิตของพยาบาลโสภีเกิดความสะท้านสะเทือน หวาดกลัวต่อภพภูมิร้ายที่ปรากฏต่อหน้า กระแสความหวั่นหวาดนั้นส่งเป็นภาพสื่อสารถึงเมษา พิจิกโดยไม่รู้ตัว



            เมษาส่งรอยยิ้มให้ร่างเลือนรางของพยาบาลโสภีที่ออกมายืนรับถึงหน้าบันได สัมผัสถึงกระแสความทุกข์ พันธนาการที่ฉุดรั้งเธอไว้ ไม่ให้เดินทางต่อได้

            แผ่กระแสจิตออกกว้างครอบคลุมทั่วซากศิวาดล ทำให้รู้ว่ายังมีดวงวิญญาณอีกหลายตนวนเวียนอย่างไม่รู้จุดหมาย เต็มสถานที่แห่งนี้ไปหมด

            พิจิกรับทราบสภาพโดยรวมไม่ต่างจากหญิงสาว ขาก้าวเดินไปจนถึงห้องโถงใหญ่ศิวาดล เงยหน้ามองลวดลายบนเพดานและพื้น...ต่อให้มันด่างดำ มีเชื้อราตะไคร่เกาะเป็นปื้น ก็พอมองเห็นร่องรอยลวดลายคล้ายเลขหนึ่งไทย ลายเซ็นสัญลักษณ์ดลดาราชัดเจน

            สองหนุ่มสาวก้าวมายืนตรงกึ่งกลางห้อง จุดที่เป็นศูนย์กลางคฤหาสน์ และกลางเรือนพระยาคงเวทเดิม จิตต่างรับรู้ร่วมกัน...หน้าที่ตนคือช่วยเหลือพวกเขา...

            ครูแกลงพูดถูก...พิจิก เมษาเกิดมาเพื่อสร้างบารมี ช่วยเหลือโดยไม่เลือกหน้า

            เมื่อสัมผัสก้อนทุกข์ที่ลอยอ้อยอิ่งกระจายทั่ว จิตรู้สึกเมตตาสงสาร อยากช่วยเหลือ...

            สองร่างหันหน้าเข้าหากัน มือสองมือกุมกระชับ ดวงตาประสานก่อนหลับตา ผ่อนลมหายใจออกยาว...ช้า แล้วค่อยลากลมหายใจเข้ามาเป็นจังหวะ

            เพียงสองสามอึดใจ ลมหายใจทั้งคู่ก็เข้าออกเป็นจังหวะเดียวกัน

            กระแสจิตแผ่กว้างครอบคลุมไปทั่ว ริมฝีปากสวดบทแผ่เมตตาผะแผ่ว ทว่าชัดเจนในใจ

            ...สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น...

            ถ้อยคำบทสวดไม่แตกต่างจากผู้คนทั่วไปสวดท่อง...จากนั้นระลึกถึงบุญกุศลทั้งหมดทั้งมวลที่เคยกระทำ กอปรรวมเป็นความอบอุ่นหนาแน่นกลางอก แล้วผสานสองใจรวมเป็นหนึ่งด้วยความเมตตา แผ่อุทิศบุญกุศลทั้งหลายทั้งมวลนี้ออกไปให้แก่พยาบาลโสภี ป้าเพ็ญแข คุณทอง และวิญญาณทุกดวงที่อาศัยอยู่ในศิวาดล

            บุญกุศลผสานด้วยจิตเมตตารวมเป็นดวงสว่างไสว แล้วแผ่กระจายออกจนเต็มซากปรักหักพังภายในตึก จากนั้นขยายออกครอบคลุมทุกอณูทั่วอาณาเขตกว้างขวางของศิวาดล วิญญาณแทบทุกดวงในนี้ล้วนสัมผัสแสงสว่าง ซึมซับเอิบอาบพลังแห่งกุศลอย่างเท่าเทียม เสมอกัน

            เมื่อดวงสว่างฉายโชนทั่วอาณาเขตศิวาดลแล้ว ก็ขยายตัวแผ่กว้างออกไปทุกทิศทุกทาง ไกลแสนไกลจนมองไม่เห็นปลายที่สุดของมัน

            เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง รัศมีแห่งกุศลและความเมตตาค่อยเลือนหาย บรรยากาศทั่วศิวาดลเกิดความเปลี่ยนแปลง ความเย็นยะเยือกเจือจาง รอยหม่นซึมเศร้าหมองหดหู่ค่อยกลับกลาย...วิญญาณหลายดวงซึมซับกำลังแห่งเมตตาจิต สามารถระลึกถึงบุญกุศลที่ตนเองเคยกระทำได้ พยาบาลโสภีเอิบอาบอิ่มเอม จิตเกิดความชุ่มเย็นทั้งจากอำนาจกุศลเมตตาที่สองหนุ่มสาวแผ่ให้ และจิตตนสามารถระลึกเองได้ มองเห็นทางไปของตนชัดเจน

            พิจิก เมษาลืมตาคลายมือจากกัน ดวงจิตยังทรงสมาธิมั่นคง รับรู้ถึงดวงวิญญาณจำนวนมากได้รับประโยชน์จากการอุทิศบุญกุศลแผ่เมตตาครั้งนี้...

            ...แต่...ยังมีอีกจำนวนไม่น้อยที่มืดบอดไม่อาจรับรู้ สัมผัสไม่ได้...อย่างเช่นป้าเพ็ญแข...และคุณทอง...

            อาจเพราะพวกเขายังหนาหนักด้วยวิบากกรรมชั่ว จำเป็นต้องผ่านการชดใช้ให้สมควรเสียก่อน



            ลมหายใจถูกผ่อนระบาย จิตใจสองหนุ่มสาวยอมรับความจริง พวกตนไม่สามารถช่วยทุกคนบนโลกได้ สรรพสัตว์ล้วนมีกรรมเป็นของของตน

            ...สิ่งสมควรกระทำ ล้วนกระทำอย่างเหมาะสมพอดีแล้ว...

            ทั้งสองเดินออกจากซากตึกร้างซึ่งเคยเป็นคฤหาสน์โอ่อ่าสง่างาม ใจอบอุ่น ชุ่มเย็น มือต่อมือกุมกระชับ ก้าวเดินเคียงข้างกันภายใต้แสงตะวันยามเย็น

            ยอดหญ้าเอนพลิ้วต้องลม บรรยากาศทั่วศิวาดลเปลี่ยนแปลงจากเดิมแทบจะกลายเป็นคนละสถานที่ เงาร่างหนุ่มสาวเดินไปไกลลิบ ใกล้ถึงประตูทางออกด้านข้าง แว่วเสียงพูดคุยหยอกล้อ ลอยมาตามสายลม



            “ตัวเอง...เย็นนี้อยากกินอะไร...กุ้งแม่น้ำดีมั้ย เดี๋ยวเค้าแกะกุ้งให้นะ”

            “ไอ้...หมา...จิก...” เสียงข่มขู่

            “ทำไมล่ะ ตัวเองไม่ชอบเหรอ ตอนนี้หาผู้ชายแกะกุ้งให้แฟนกินยากแล้วนะ”

            ...ตุ้บ...

            “โอ๊ย...ต่อยจริงเหรอ...เห็นเค้ารักเอาใจเข้าหน่อย ก็ทำร้ายได้ทำร้ายดี...อยากให้เรียก ‘อี’ หมวยเล็กเหมือนเดิมหรือไง”

            “เออ...เรียกอย่างนั้นฉันยังไม่คลื่นไส้เท่านี้”

            “อีหมวยเล็ก อีหมวยเล็ก อีหมวยเล็ก” คราวนี้ชายหนุ่มตั้งใจล้อเลียนเต็มที่

            ...ตุ้บ...ตุ้บ...

            “เฮ้ย...เจ็บนะเว้ย เอาใจยากจริง...แฟนฉันนี่”

            “ก็ไม่ต้องมาเอาใจอะไร แค่เป็นตัวของแกเอง ฉันก็...” หญิงสาวรีบชะงักวาจาต่อท้ายทันที

            “ฉันก็...อะไร...บอกมานะ”

            เมษาไม่ตอบ พิจิกหัวเราะเบา ๆ พูดต่อวาจานั้นเอง

            “ฉันก็...รักจะแย่แล้ว...ใช่มั้ย” พูดพลางทำเสียงหวานออดอ้อน

            หญิงสาวหัวเราะอย่างอ่อนใจ

            “เออ...อยากพูดอะไรก็พูดไปเลย”

            ความสว่างสดใสจากสองหนุ่มสาว เข้าไปขับไล่เปลี่ยนบรรยากาศหม่นมัว หดหู่ทั่วศิวาดลได้ภายในเวลาไม่นาน ทำให้ความน่าขนพองสยองเกล้าของสถานที่นี้หายไปเกินกว่าครึ่ง

            แดดยามเย็นทอแสงอ่อนสะท้อนสายน้ำเป็นประกาย ยอดหญ้าอ่อนพลิ้วล้อลม เสียงหัวเราะผสานกังวานใส ยังทิ้งรอยชื่นบานไว้ให้ ‘ศิวาดล’ อีกนานแสนนาน



- - - - - - - - - - - - จบ - - - - - - - - - - - -



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP