วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๔๙



cover siwadol

ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ปลายกระบอกปืนในมือป้าแมวหันมาทางเมษา ตั้งใจเหนี่ยวไกสังหารให้เป็นศพที่สอง ต่อจากไอ้หนุ่มคู่หูของมัน

            ป้าแมวคิด...อย่างนี้ค่อยนับว่า...สูญเสียอาคมทั้งหมดไป...แต่ยังไม่พ่ายแพ้เสียทีเดียว!

            เมษาไม่หลบ มองปลายกระบอกปืนที่หันมาทางตนด้วยแววตาเฉยเมย เหลือบเลยไปทางชายหนุ่มที่นอนฟุบอยู่ตีนบันไดด้วยใจเป็นห่วง ก่อนสลัดความกังวลใจทิ้ง เผชิญหน้ากับมัจจุราชด้วยจิตใจเข้มแข็ง ไม่หวั่นไหว

            ฮิฮิฮิ...หญิงชราหัวเราะเยาะหยัน

            “คิดไม่ถึงใช่มั้ย ว่าฉันยังมีไม้ตายแบบนี้อยู่” ป้าแมวส่งเสียงเยาะหยัน

            หญิงสาวขยับรอยยิ้มมุมปาก ไม่กล่าววาจาตอบโต้

            “พวกแกมันควรตายไปตั้งแต่แรกแล้ว รวมทั้งไอ้แก่สองตัวนั่นด้วย” วาจาคั่งแค้น “พวกแกทำกับฉันไว้เยอะ ถึงเวลาต้องเอาคืนซักที...”

            เมษากะพริบตาชั่วแวบ ก่อนลืมตาขึ้นมาทอประกายเจิดจ้า พลังพิเศษที่ใช้ปราบมารร้ายเมื่อครู่ยังค้างคาข้างใน ส่งผลให้พลังจิตทรงอานุภาพกว่าปกติ และหญิงสาวส่งกระแสจิตแรงกล้านั้นออกไปควบคุมป้าแมวทันที!

            หญิงชราเหนี่ยวไก หวังลั่นกระสุนใส่หญิงสาวตรงหน้า แต่นิ้วมือเกร็งค้างไม่เชื่อฟัง สติสัมปชัญญะ ร่างกายถูกควบคุมด้วยพลังจิตอันกล้าแข็งของเมษาไปแล้ว

            “ป้าคิดว่า ‘ความตาย’ เป็นเรื่องเล่น ๆ เหรอ” เมษาพูดช้า ๆ เป็นจังหวะ ผสานด้วยอำนาจสะกดจิต

            “ป้าฆ่าคน มอบความตายด้วยอาคมกับคนอื่นมากี่ครั้งแล้ว...เคยรู้สึกถึงจิตใจคนที่ถูกป้าฆ่าบ้างมั้ย”

            นัยน์ตาเมษาทอประกายกล้า แผ่กระแสครอบคลุมมาพร้อมกับวาจาทุกคำ

            “ความตาย...ทำให้คนคนหนึ่งไม่อาจกระทำในสิ่งที่อยากทำอีกมากมาย...ความตาย...ทำให้ใครบางคนสูญเสียโอกาสสำคัญในชีวิต ไม่สามารถเห็นโลกที่สวยงาม...และความตาย ก็ทำให้คนที่อยู่ข้างหลังเศร้าโศก เสียใจจนแทบอยากตายตามไปด้วย”

            “รู้มั้ย...ป้าสร้างความทุกข์แก่คนอื่นมากแค่ไหน...ไม่ใช่แค่คนที่ตาย แต่กับคนที่อยู่ข้างหลังอีกจำนวนไม่น้อยเลย”

            ดวงตาเมษาส่งสัญญาณแรงกล้าเข้าควบคุม ร่างกายป้าแมวไม่เป็นตัวของตัวเอง มือที่จับปืนกำลังหักเลี้ยวปากกระบอกมาอีกทาง แกพยายามฝืนข้อมือตัวเองไว้ แต่ไม่อาจต้านทานอำนาจจิตเหนือกว่า...ทั้งร่างกลายเป็นหุ่นเชิด สุดแต่หญิงสาวข้างหน้าจะสั่งการควบคุม

            มือจับปืนจ่อขมับตัวเอง นิ้วสอดโกร่งไกพร้อมเหนี่ยวยิง ผิวสัมผัสร้อนผ่าวตรงปลายกระบอกปืนจ่อชิด บังเกิดความกลัวจับใจ เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก แล้วไหลเปียกโชกร่าง

            ป้าแมวมองเห็นความตายอยู่ใกล้เพียงแค่ปลายนิ้วกระดิกเท่านั้น

            เมื่อรู้ว่าไม่อาจฝืนพลังจิตอันแรงกล้า ที่มาควบคุมร่างกายตนเองได้ ป้าแมวพยายามหลับตาลง ใจสั่นระรัวหวาดกลัวที่สุดในชีวิต ร่างกายสั่นเทิ้มบังคับไม่อยู่ อยากร้องไห้ปล่อยโฮเหมือนเด็ก ๆ

            ความทุกข์ใจ ทรมานทั้งหลายที่เคยประสบมาตลอดชีวิต เทียบไม่ได้เลยกับความกลัวตายในวินาทีนี้

            ยามเป็น ‘ผู้ฆ่า’ คิดแค่ต้องการขจัดอุปสรรคขวากหนาม ตอบโต้บุคคลที่สร้างความเจ็บแค้น อาฆาต ด้วยมนตรา...และอาคมกล้าก็ยิ่งส่งเสริมจิตใจให้มืดบอด หยิ่งผยองไม่รู้จักถูกผิด

            พอกลับกลายมาเป็น ‘ผู้ถูกฆ่า’ ทำให้สัมผัสความกลัวที่สุดจากก้นบึ้งหัวใจ...กลัวสูญเสียชีวิต กลัวไม่ได้เห็น ไม่ได้เสพสิ่งอันคุ้นเคย และที่สำคัญ...กลัวอัตภาพใหม่ซึ่งคาดเดาไม่ได้เลย...

            ‘ตัวกู’ ต้องกลายเป็นอะไร?

            ปลายนิ้วสั่นระริก พยายามฝืนไม่ยอมให้มันเหนี่ยวไก แต่ไม่สามารถต้านทานได้...นิ้วแตะไกปืน เหนี่ยวเข้ามาช้า ๆ ทีละนิด ทีละนิด รอยร้อนจากปากกระบอกปืนยังไม่จาง ความหวาดกลัวในใจพุ่งสู่จุดสูงสุด

            ...ปัง...

            ในหัวมีเสียงดังลั่น...กึกก้อง...ป้าแมวสะดุ้งเฮือก ลืมตาด้วยความตระหนก

            หญิงชรากำลังนั่งกลางศาลาแปดเหลี่ยมอย่างเดียวดาย ปืนในมือหายไปแล้ว...หายไปพร้อมกับสองหนุ่มสาว ผู้ทรงเวท ‘ตัวจริง’

            ป้าแมวยันกายลุกขึ้นยืนอย่างโผเผเหนื่อยอ่อน ปวดร้าวทั่วร่าง ค่อย ๆ เดินลงบันไดทางที่พิจิกถูกยิงลงไปนอนหมอบราบ

            พบรอยเลือดกองอยู่หย่อมหนึ่ง น่าจะเป็นผลจากกระสุนนัดแรกที่เฉี่ยวต้นแขน แต่ไม่พบรอยเลือดกองใหญ่ ซึ่งควรมาจากกระสุนนัดสองปะทะกลางอก

            ถอนใหญ่เฮือกใหญ่ ไม่รู้สองหนุ่มสาวเล่นตลกอะไรกับเธออีก กระสุนนัดที่สองไม่พลาดเป้าแน่นอน ส่วนผลของมันจะเป็นอย่างไร เวลานี้ป้าแมวคร้านที่จะใส่ใจ

            ...อาจเป็นเพราะว่า...ความกลัวสุดขีดเมื่อครู่ ได้สอนอะไรบางอย่างแก่ป้าแมวแล้ว...



            หญิงชราหันหน้าไปทางคฤหาสน์ศิวาดล เปลวไฟลุกลามลงมาถึงชั้นสาม แสงไฟสว่างเจิดจ้า มองเห็นแต่ไกล ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือแพรพลอยจัดการให้...แลกกับการขอเป็นอิสระ โบยบินสู่ฟ้ากว้าง

            ...ศิวาดลมอดไหม้...ตัวแกได้อะไร?

            ...เรือนพระยาคงเวท...บ้านในความทรงจำไม่มีวันกลับมา...

            ป้าแมว...เพ็ญแขเงยหน้ามองท้องฟ้า เห็นดวงจันทร์กระจ่างพ้นหมู่เมฆ...โสตประสาทคล้ายได้ยินเสียงไวโอลินของพ่อแว่วมา...กำลังบรรเลงบทเพลงที่เป็นตัวแทนความสุข ความงดงามในชีวิตของเธอ...

            ...จันทร์กระจ่างฟ้า...นภาประดับด้วยดาว...

            ...โลกสวยราวเนรมิต...ประมวลเมืองแมน...

            จิตใจป้าแมวอ่อนโยนลง หวนนึกถึงตนเองยามเป็นเด็ก มองโลกด้วยสายตาบริสุทธิ์งดงาม ได้รับความรัก ความอบอุ่นเต็มปรี่ อย่างที่เด็กน้อยคนหนึ่งพึงมีโดยไม่ขาดแคลน

            แล้วความเปลี่ยนแปลงของโลก ทำให้ชีวิตป้าแมวเปลี่ยนไป จิตใจใสสะอาดในวัยเยาว์แปดเปื้อน มัวหมองด้วยความโกรธแค้น อาฆาต สะสมมานานปี เป็นยาพิษร้ายกัดกร่อนหัวใจ

            ยิ่งเรียนวิชาอาคม ยิ่งรู้สึกตนยิ่งใหญ่ หยิ่งผยอง สามารถกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้โดยไม่รู้สึกผิด

            ...แม้กระทั่งการปล่อยอาคมฆ่าคน...



            เวลานี้เพ็ญแขยังมีชีวิตอยู่ ได้เงยหน้าชื่นชมจันทร์แจ่ม เสพความงามอันอบอุ่น ได้หวนระลึกถึงความสุขในวันวาน เมื่อครั้งพ่อแม่ลูกได้อยู่ร่วมกัน

            ...แต่...เธอกลับสังหาร ผลาญชีวิตผู้คนมากหลายด้วยใจมืดบอด...ทำให้พวกเขาต้องเผชิญหน้าความกลัวรุนแรงอย่างที่เธอเพิ่งประสบเมื่อครู่...ปิดโอกาสพวกเขาไม่ให้ชื่นชมโลกสวย หมดโอกาสใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ซึมซับความงดงามใต้แสงจันทร์เช่นนี้...

            คลื่นความเสียใจขนาดใหญ่ถาโถมขึ้นมาจนล้นหัวอก เพ็ญแขรู้สึกจิตใจอัดแน่น เจ็บปวด จนต้องทรุดร่างลงกับพื้น ก้มหน้าสะอื้นฮัก พร้อมกับร่ำไห้ หลั่งน้ำตาอย่างสุดกลั้น ด้วยความเสียใจกับทุกสิ่งที่เคยกระทำไป...











บทส่งท้าย



            คลินิกทันตกรรมแห่งนั้นตั้งอยู่ชั้นล่างคอนโดมิเนียมหรู ติดถนนใหญ่มีที่จอดรถเฉพาะสำหรับลูกค้า

            ประตูกระจกด้านหน้าแขวนป้าย ‘ปิด’ หากมองเข้าไปจะยังเห็นลูกค้าพิเศษเข้าไปใช้บริการอยู่ด้านใน

            ทันตแพทย์หนุ่มผิวขาวจัด เส้นผมปรกหน้าผาก ปลายหยักศกน้อย ๆ ดวงตาโตเปลือกตาสองชั้นใต้คิ้วเข้มสวย จมูกปากถูกปิดด้วยหน้ากากผ้า ถึงอย่างนั้นก็ยังมองออกว่าโครงหน้าสวย จมูกโด่งคมสะดุดตา

            คุณหมอกำลังเตรียมการถอนฟันแม่หนูน้อย ลูกค้าคนพิเศษที่กำลังเบ้หน้า กลัวอุปกรณ์ทำฟันทั้งหลายที่เรียงรายบนถาด

            คุณแม่ยังสาวนั่งอยู่ใกล้คอยให้กำลังใจ

            “ไม่เจ็บหรอกนะคะเป๋าเป่า เดี๋ยวถอนฟันเสร็จคุณแม่จะพาไปกินไอติมอร่อย ๆ นะ”

            ดวงตาคุณหมอทอประกายรอยยิ้มระยิบระยับ ขบขันแกมเอ็นดู มือหยิบอุปกรณ์ชิ้นแรกขึ้นมาพร้อมบอกแม่หนูน้อย

            “อ้าปากนะจ๊ะ...ขอคุณหมอดูฟันผุหน่อย” คุณหมอเสียงนุ่ม ใจดี

            “เป๋าเป่ากลัว” เด็กหญิงรีบบอกก่อน

            “คุณหมอดูเฉย ๆ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” พูดพร้อมส่งรอยยิ้มผ่านดวงตา ชวนให้หนูน้อยคลายใจ “เดี๋ยวคุณหมอจะดูว่าฟันมันผุเยอะแค่ไหน...เป๋าเป่าไม่ต้องกลัวหรอก”

            ด้วยน้ำเสียงใจเย็น อบอุ่นใจดี ดวงตาส่งรอยยิ้มสวย เด็กหญิงจึงยอมอ้าปากให้คุณหมอฉายไฟ แล้วนำเครื่องมือที่เธอไม่รู้จักเข้าไปตรวจดูสภาพฟันข้างในปาก

            “อ๋อ...คุณหมอเห็นแล้ว ฟันผุอยู่ตรงนี้เอง...นี่ไงตัวการทำให้เป๋าเป่าปวดฟัน...”

            คุณหมอฟันพูดคุยเรื่อย ๆ เบี่ยงเบนความสนใจของเด็ก ใช้น้ำเสียงผ่อนคลาย เล่าเรื่องที่ฟังแล้วเพลิดเพลิน โดยมือคุณหมอยังทำงานไม่หยุด

            สุดท้ายเจ้าฟันผุตัวปัญหาก็ถูกถอนอย่างเบามือโดยเด็กน้อยไม่ทันรู้ตัว

            “เรียบร้อยแล้ว เห็นมั้ย...ไม่น่ากลัวเลย” คุณหมอพูดพลางนำน้ำสะอาดให้เด็กบ้วนปาก ก่อนถอดผ้าปิดปากออก แล้วเก็บอุปกรณ์ทำฟันอย่างรวดเร็ว เป็นระเบียบ

            “ขอบคุณมากนะคะ...รบกวนคุณหมอจริง ๆ” คุณแม่พูดอย่างเกรงใจ เพราะรู้ว่าวันนี้คลินิกปิด แต่คุณหมอเจ้าของคลินิกยังส่งคุณหมอหนุ่มรายนี้มาช่วยถอนฟันให้ลูกสาวเธอ

            เมื่อถอดผ้าปิดปากออก เผยใบหน้าที่ซ่อนอยู่ออกมาคลี่ยิ้มอย่างคนอารมณ์ดี

            “ไม่เป็นไรครับ” คุณหมอตอบตามมารยาท

            “เอ่อ...แล้วคุณหมอจะมาประจำคลินิกที่นี่วันไหนบ้างคะ เผื่อยังไงจะได้พาเป๋าเป่ามาถูกวัน” คุณแม่ถามเพราะรู้สึกถูกใจกับฝีมือ วิธีชวนคุยหลอกล่อเด็กของคุณหมอ

            “คือ...หมอไม่ได้ประจำคลินิกนี้หรอกครับ...พอดีคุณหมอเจ้าของคลินิกท่านติดธุระด่วน ผมเลยมาแทนชั่วคราว”

            คำตอบสุภาพ เต็มไปด้วยมารยาท...หากความเป็นจริง ทันตแพทย์เจ้าของคลินิกกลับบอกอีกอย่าง...



            “ไอ้จิก...ช่วยหน่อยเถอะวะ พรุ่งนี้พี่ปิดคลินิกต้องพาเมียไปทำธุระ...แต่ลูกค้ารายนี้เขาจะพาลูกสาวมาถอนฟันให้ได้”

            “โธ่...แค่ถอนฟัน นัดมาวันอื่นก็ได้นี่พี่...อีกอย่างเขาไม่รู้เหรอว่าเป็นวันหยุดของคลินิก...ไม่เอาหรอก พรุ่งนี้ผมก็นัดแฟนไว้เหมือนกัน” พิจิกปฏิเสธ

            “ถ้าพี่ปฏิเสธ พูดตรง ๆ ได้อย่างแกก็ดีสิวะ...แต่นี่...แม่ของเด็กเป็นลูกสะใภ้เจ้าของคอนโดฯ ขืนไปขัดใจแกเข้าแล้วเกิดเขาไม่ยอมต่อสัญญาเช่าปีหน้าให้จะทำยังไง”

            พิจิกถอนใจเฮือกใหญ่ พูดไม่ออก นึกด่าตัวเองว่าไม่น่าเลย...อุตส่าห์ขับรถข้ามจังหวัดมาถึงกรุงเทพฯตอนเย็นย่ำแล้ว ก็ควรจะขึ้นไปนอนเล่นพักผ่อนบนคอนโดฯห้องพี่ธันวาให้สบาย พรุ่งนี้จะได้ไปตามนัดเมษาด้วยใบหน้าสดชื่น กลับแวะไปเยี่ยมรุ่นพี่ที่เปิดคลินิกอยู่ชั้นล่างเสียนี่...

            พอรุ่นพี่ทันตแพทย์รู้ว่าเขาจะนอนค้างที่ห้องพี่ชายชั้นบนคอนโด ก็เลยรีบขอร้องให้ช่วยรับงานลูกค้าพิเศษ หลานสาวเจ้าของคอนโดฯทันที

            ปฏิเสธไม่ออก ได้แต่ไลน์บอกหญิงสาวว่าจะไปรับที่อพาตเมนท์ช้าสักหน่อย เมษาตอบกลับมาทันทีว่า...พรุ่งนี้เธอก็มีงานด่วนแทรกเหมือนกัน จำเป็นต้องเลื่อนเวลานัดเดทออกไป แล้วให้เขาตามไปรับเธอที่ไซด์งานแทน



            ตอนนี้พิจิกจึงยังใจเย็น ถอนฟันให้แม่หนูน้อยอย่างราบรื่น...

            ดูท่าคุณแม่น้องเป๋าเป่าจะชื่นชมในอัธยาศัย หน้าตาคุณหมอไม่น้อย พยายามชวนคุยต่อ

            “ปกติแล้วคุณหมอประจำอยู่ที่ไหนคะ...ถ้ายังไงจะพาเป๋าเป่าตามไปให้คุณหมอดูแลรักษาฟันต่อ เพราะปกติแกงอแงมาก ไม่ค่อยยอมให้ถอนฟันง่าย ๆ แบบนี้”

            พิจิกยิ้มขัน

            “บ้านหมออยู่ต่างจังหวัดครับ เลยประจำโรงพยาบาลที่นั่น...ไม่มีคลินิกของตัวเองหรอก”

            “น่าเสียดายนะคะ ถ้าคุณหมอเปิดคลินิกเอง รับรองลูกค้าแน่นแน่นอน”

            ทันตแพทย์หนุ่มอมยิ้ม...อดนึกถึงข้อตกลงกับปู่เมื่อปีก่อนไม่ได้...

            การแข่งขันระหว่างเขากับเมษาไม่มีผลแพ้ชนะ ปู่เผด็จเลยบอกง่าย ๆ

            ปู่โอนที่ดินตึกแถวนั่นให้เอ็งแล้วกัน แต่ถ้าจะปลูกตึก สร้างคลินิกก็หาเงินเอาเอง

            พิจิกแกล้งโวยวายพอเป็นพิธี ทั้งที่ใจจริงไม่เคยสนใจของรางวัล สิ่งล่อจากปู่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

            หลังจากเสร็จงานที่ศิวาดล เขาก็ขอมาทำงานโรงพยาบาลในจังหวัด โดยไม่มีโครงการเปิดคลินิก จะได้มีเวลาอยู่บ้านดูแลท่านผู้เฒ่า พอมีคนพูดให้เขาเปิดคลินิกเองอย่างนี้จึงอดขำไม่ได้

            หนูเป๋าเป่าลงจากเก้าอี้ทำฟันเรียบร้อย คุณหมอก้มหน้ายิ้มสวย คุยด้วยน้ำเสียงน่าฟัง

            “อีกเดี๋ยวฟันซี่ใหม่ก็จะขึ้นแล้ว...ต่อไปเป๋าเป่าไม่ต้องกลัวหมอฟันแล้วนะคะ...” คำลงท้ายแบบนี้ใช้คุยกับเด็กผู้หญิงที่เขาเอ็นดู

            “ค่ะ” แม่หนูน้อยยิ้มตาหยี

            คุณหมอหนุ่มเงยหน้าบอกกับคุณแม่

            “เดี๋ยวยังไงคุณแม่น้องเป๋าเป่าค่อยพาน้องมาหาคุณหมอธวัชในวันที่คลินิกเปิดอีกทีก็ได้นะครับ เผื่อคุณหมอท่านจะแนะนำอะไรให้เป็นพิเศษ”

            “ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ” คุณแม่ยิ้มรับยินดี รู้สึกเหมือนตนเองเป็นลูกค้าสำคัญของที่นี่

            ทันตแพทย์หนุ่มเหลือบตามองด้านหลังคุณแม่ยังสาว นัยน์ตาหรี่ลงฉายแววลังเลชั่วแวบ ก่อนถอนใจหันมาถามลูกค้าคนสำคัญด้วยน้ำเสียงปกติ

            “เดี๋ยวคุณแม่น้องเป๋าเป่าจะไปไหนต่อหรือเปล่าครับ” เป็นคำถามไม่เกี่ยวกับการทำฟันเลย

            “อ๋อ...ว่าจะพาน้องเป๋าเป่าไปดูที่เรียนพิเศษใหม่ แล้วว่าจะพาไปกินไอศกรีมที่ห้าง...ด้วยค่ะ” คุณแม่ยินดีที่คุณหมอชวนคุยแบบกันเอง

            “อืมม์...ผมว่าถ้าไม่รีบร้อนเร่งด่วนอะไร ก็อย่าเพิ่งพาน้องไปไหนเลยครับ ถ้าน้องเป๋าเป่าอยากกินไอศกรีม ผมว่าร้านที่อยู่ใกล้กับคลินิกนี่ก็อร่อยมาก ยี่ห้อใหม่เพิ่งนำเข้าจากต่างประเทศ...กินไอศกรีมเสร็จแล้วน่าจะพาน้องขึ้นไปพักผ่อนข้างบนน่าจะเหมาะกว่า”

            “อ้าว...เหรอคะ” ท่าทางคุณแม่ดูแปลกใจแกมผิดหวัง “แค่ถอนฟันเอง...ต้องให้น้องพักผ่อนทั้งวันเลยเหรอ”

            พิจิกยิ้มเฉย ไม่อธิบายอะไร และไม่คะยั้นคะยอต่อ...

            “ค่ะ...ก็ได้” สุดท้ายคุณแม่เชื่อหมอ “เดี๋ยวเราไปกินไอติมกันนะจ๊ะเป๋าเป่า”

            สองแม่ลูกเปิดประตูออกจากห้อง คุณหมอหนุ่มยังส่งสายตามองความว่างเปล่าข้างประตูนิ่ง ๆ แลเห็นเงาราง ๆ ของผู้ชายวัยใกล้เคียงกับคุณแม่เป๋าเป่ายืนอยู่...

            ...ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงเป็นสามีของเธอ บิดาน้องเป๋าเป่าที่เสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน...

            “ผมช่วยได้แค่นี้...ครั้งเดียวนะครับ” วาจาลอย ๆ เจตนาส่งถึงบุคคลตรงหน้า

            ชายผู้นั้นพยักหน้าก่อนเลือนหาย ตามภรรยาและบุตรสาวที่ตนเป็นห่วงออกไป...

            ...เขาเป็นคนขอร้องพิจิก ให้เอ่ยปากรั้งสองแม่ลูกไว้ อย่าออกไปไหนวันนี้ เพราะจะเกิดอุบัติเหตุรออยู่...

            สังหรณ์ของดวงวิญญาณที่มีความผูกพันแน่นแฟ้น อาจทำให้เกิดลางบอกเหตุอนาคตได้บ้าง...ซึ่งอาจจะเที่ยงตรงหรือคลาดเคลื่อนก็ยากพิสูจน์

            ...แต่...เมื่อได้รับคำวิงวอน ขอร้องขนาดนั้น จะให้พิจิกทำเฉย ไม่ใส่ใจก็ดูโหดร้ายเกินไป จึงใจอ่อนยอมช่วยเหลือ

            ด้วยนิสัยใจอ่อนจนวุ่นวายช่วยเหลือ ‘ผู้ต่างภพ’ เช่นนี้บ่อย ๆ ทำให้การนัดเดทระหว่างเขากับเมษาตลอดปีที่ผ่านมา ไม่เคยราบรื่น ปกติเหมือนคู่รักอื่นเลย

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ตึกสูงกำลังก่อสร้างแถบชานเมือง

            เมษาแต่งชุดทะมัดทะแมง สวมหมวกนิรภัย มือถือแบบแปลนภายในตึก นำเพื่อนที่เป็นวิศวกรอาคาร หัวหน้าคนงาน หัวหน้าช่าง ไล่ตามเส้นทางเดินสายไฟฟ้า ชี้ให้เห็นจุดผิดพลาดที่ทำให้เกิดปัญหา ต้องรีบแก้ไขโดยด่วน

            เพื่อนวิศวกรคอยถ่ายรูปจุดที่เกิดปัญหา หัวหน้าช่าง หัวหน้าคนงานคอยจดบันทึกการแก้ไขในแต่ละจุด พร้อมมีข้อซักถามเป็นระยะ

            ทั้งกลุ่มใช้เวลาเดินขึ้น-ลงตามชั้นต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบ ชี้จุดที่เกิดปัญหา ปรึกษาหาวิธีแก้ไขอยู่ร่วมสามสี่ชั่วโมงกว่าจะเข้าใจตรงกัน ยอมรับทางแก้ไขปัญหาอย่างลงตัว

            หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มยกมือปากเหงื่อ ใบหน้าขาวใส นัยน์ตาเรียวรีเหมือนสาวน้อยในมหาวิทยาลัยมากกว่าวิศวกรสาวผู้เข้มแข็ง หนักแน่น ไม่มีการล้อเล่นเมื่อถึงเวลาลงสนามทำงานจริงจัง

            “เออ เรียบร้อยแล้ว...ขอบใจว่ะไอ้เมษ...ขอโทษด้วยที่ต้องให้มาทำงานในวันหยุด” เพื่อนผู้ชายที่เรียนวิศวะด้วยกันมักเรียกเมษาว่า ‘ไอ้เมษ’ เหมือนเป็นผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่ม

            เมษาเป่าลมจากปากดังหวือ ทั้งเหนื่อยทั้งร้อน...อดนึกในใจไม่ได้ว่า หล่อนตัดสินใจถูกหรือผิด ที่มาทำงานกับกลุ่มเพื่อนซึ่งริอ่านตั้งบริษัทเอง แทนที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศอย่างเคยบอกปู่คงคาเอาไว้

            ต่อให้ไม่ได้นำเงินมาร่วมลงทุนก่อตั้งด้วย แต่ใช้เรี่ยวแรงสมอง กำลัง และเวลาให้กับบริษัทนี้จนหมด แทบไม่เหลือเวลาส่วนตัว



            “เฮ้ย...โตแล้ว ยังจะขอเงินทางบ้านใช้อยู่อีกทำไม...ต่อให้เอ็งเก่งเกินไปจนทำงานกับคนอื่นไม่ได้...แต่ลองมาทำงานกับเพื่อนดูมั้ย อย่างน้อยพวกเราก็รู้ใจ รู้ไส้ รู้พุงกันดี”

            คงเพราะเหตุผลประหลาดนี้ หญิงสาวจึงยอมอยู่กรุงเทพ เช่าอพาตเม้นท์คนเดียว ไม่อาศัยคอนโดฯเจ้มีน เพื่อจะได้เป็นอิสระส่วนตัว ทุ่มเททำงาน ให้เวลากับบริษัทแห่งนี้เต็มที่ดูสักที

            เต็มที่...ทุ่มเทขนาดต้องเลื่อนนัดเดทแฟนตัวเองเพื่อมาทำงานอย่างนี้หลายครั้งแล้วด้วยซ้ำ

            หลังจากเคลียร์ปัญหาเรียบร้อย ทั้งกลุ่มเดินลงบันไดที่กำลังก่อสร้างอย่างระมัดระวัง ทางลงค่อนข้างชัน เศษหินเศษปูนเกลื่อนระเกะระกะ เหล็กเส้นโผล่ให้เห็นเป็นระยะ

            พอทั้งหมดลงมาถึงชั้นล่างสุด เมษาค่อยเหลือบมองตรงพื้นข้างตีนบันได เห็นศพคนงานตกลงมาตายชั่วแวบก่อนเลือนหาย แอบถอนใจเบา ๆ จิตเกิดการสื่อสารระหว่างกันขึ้นขณะหนึ่ง

            ศพที่เลือนหายเมื่อครู่กำลังยืนอยู่ข้างบันได มองมาที่เมษาอย่างมีความหวัง

            วิศวกรสาวยิ้มอ่อนโยนในหน้า จิตเกิดความเมตตา หันหน้ามาทางหัวหน้าคนงานที่อยู่ใกล้

            “พี่ชิตคะ...คืนนี้สวดศพเจ้าปื้ดคืนสุดท้าย พี่จะไปฟังสวดด้วยหรือเปล่า” จู่ ๆ หญิงสาวถามเรื่องนี้แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

            “ไปสิ”

            เจ้าปื้ดเป็นคนงานที่ตกจากบันไดชั้นห้าลงมาเสียชีวิตเมื่อสามวันก่อน ทางเจ้าของโครงการขอให้ปิดข่าวไว้ พร้อมกับจ่ายเงินค่าชดเชยให้จำนวนหนึ่ง

            เมษาไม่สนิทคุ้นเคยกับคนงานก่อสร้าง เพราะอยู่คนละส่วนกัน การเอ่ยปากถามแบบนี้จึงฟังดูน่าแปลก

            “ษาติดธุระ คงไม่ได้ไปฟังสวดคืนนี้ แต่ยังไงขอฝากเงินทำบุญแทนนะคะ”

            วิศวกรสาวพูดจาสุภาพ ให้เกียรติ กับหัวหน้าคนงานที่อาวุโสกว่า

            “อ๋อ...ได้ไม่มีปัญหา” หัวหน้าคนงานรับปาก

            เมษาหยิบเงินจากกระเป๋ายื่นให้

            “นี่ค่ะพี่ชิต...ขอโทษด้วยที่ไม่มีซองใส่ให้” หญิงสาวพูดพลางชะงัก คล้ายนึกถึงเรื่องสำคัญบางอย่างได้

            “อ้อ...ษาได้ยินมาว่า ก่อนตายเจ้าปื้ดเอาเงินให้เจ้ามืดยืมไปสองพัน ป่านนี้ยังไม่ได้คืน...ฝากพี่ชิตทวงให้ทีนะคะ สงสารลูกเมียเจ้าปื้ดมัน เงินชดเชยที่เจ้าของโครงการให้ก็ไม่ได้มากมายอะไรเลย”

            เมษาจงใจไม่บอกว่า ‘ได้ยิน’ มาจากไหน

            “อ้าว...จริงเหรอ เรื่องนี้พี่ไม่รู้เลย” หัวหน้าคนงานอุทานอย่างประหลาดใจ “ไอ้มืดนี่มันเป็นจอมเบี้ยวหนี้ซะด้วย ไม่เป็นไร เรื่องนี้พี่จัดการเอง...ถือว่าช่วยไอ้ปื้ดมันเป็นครั้งสุดท้าย”

            “ขอบคุณแทนเจ้าปื้ดด้วยค่ะพี่ชิต”

            เมษาพูดพลางเหลือบตามองร่างเงาราง ๆ ที่ยืนข้างบันได สัมผัสกระแสใจที่ผ่อนคลาย โล่งอกจนรู้สึกได้ ใบหน้าเจ้าปื้ดส่งยิ้มจาง ๆ ให้ก่อนเลือนหายไป



            ออกมานอกตัวตึก เมษากับเพื่อนวิศวกรหนุ่มเข้าไปในออฟฟิศชั่วคราว ในขณะที่หัวหน้าช่าง หัวหน้าคนงานแยกไปรับประทานอาหารกลางวัน

            ภายในออฟฟิศชั่วคราวไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศ เมษาถอดหมวกนิรภัยและเสื้อคลุมออก หยิบผ้าขนหนูมาซับเหงื่อ เสยผมที่ค่อนข้างยาวขึ้นไป เผยใบหน้าเรียวสวย ผิวขาวจัด ดวงตาเรียวรี เครื่องหน้ารับกันเหมาะเจาะ ดูไม่เหมือนวิศวกรสาวห้าวสักนิด

                        “บ่ายโมงกว่าแล้ว หิวหรือยัง...รอกูเดี๋ยวนึงนะ เคลียร์งานอีกหน่อยแล้วจะขับรถไปส่ง...อ้อ...เลี้ยงข้าวด้วย”

            เพื่อนหนุ่มบอกอย่างนี้ เพราะเมื่อเช้าตนเองขับรถไปรับเมษาจากอพาตเม้นท์มาที่ไซด์งานเอง

            “ไม่ต้องหรอก มีคนมารับแล้ว” เมษาหยิบโทรศัพท์มาดูไลน์ข้อความก่อนบอก

            “ใครวะจะมารับเอ็งถึงที่นี่” เพื่อนหนุ่มหันมาถามอย่างสงสัย

            หญิงสาวไม่ตอบ ใช้มือเสยผมลวก ๆ ก่อนมัดยางง่าย ๆ ถึงอย่างนั้นก็ทำให้เห็นใบหน้าดูผ่องใส รอยยิ้มสะดุดตา ประกายตาฉายแววสวยผิดเคย

            “อย่าบอกนะว่าเป็นแฟน” คนเป็นเพื่อนเห็นแววตาแบบนี้ก็พอเดาออก

            “เออ” เมษาตอบง่าย

            “เฮ้ย...จริงน่ะ ทำไมกูไม่รู้วะ...ผู้หญิงหรือผู้ชาย?” ความที่สนิทสนมคลุกคลีตีโมงจนไม่รู้สึกแปลกแยก ทำให้เผลอคิดบ่อย ๆ ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้หญิง เป็นผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่ม

                        “ผู้ชายสิวะ” เมษาแว้ดตอบ ไม่คิดว่าจะมีใครถามปัญหาแบบนี้กับเธอ

            “ฉิบหาย...ฟ้าผ่าล่ะเอ็ง!” เพื่อนหนุ่มหัวเราะลั่น รีบถามต่อ “ใครวะ กูรู้จักหรือเปล่า?”

            “เออรู้จัก” คำตอบสั้นพร้อมออกจากออฟฟิศ ขี้เกียจตอบปัญหายืดยาว

            วิศวกรหนุ่มรีบทิ้งงานตรงหน้า เดินตามหญิงสาวด้วยความอยากรู้ สาวเท้ายาว ๆ ไปจนถึงลานจอดรถด้านหน้า ปากก็ถามไม่หยุด

            “คนที่กูรู้จักนี่เป็นใคร...เพื่อนคณะเดียวกันหรือคนละคณะ...หล่อมั้ย รวยมั้ย...สติดีหรือเปล่า?” คำถามสุดท้ายจงใจล้อเลียนเพื่อนสาว

                        “อยู่คนละคณะ...หล่อ...บ้านรวย...แล้วก็...” เมษาชะงักเมื่อเห็นรถยนต์สีดำปลาบแล่นมาจอดเทียบข้างหน้า

            หญิงสาวหันมามองเพื่อนสนิท ยิ้มแปลก ๆ ก่อนตอบปัญหาข้อสุดท้าย

            “แล้ว...คนที่จบเกียรตินิยมคณะทันตะได้นี่...เรียกว่าสติดีหรือเปล่า...”

            ตอบถึงตรงนี้วิศวกรหนุ่มชะงักนิ่งอึ้ง เมื่อเห็นประตูรถ SUV สีดำสัญชาติเยอรมันเปิดออก เจ้าของรถก้าวลงมา เปิดรอยยิ้มกว้างให้อย่างคุ้นเคย

            “เป็นไงบ้างวะไอ้แดช...ไม่เจอกันตั้งนาน” พิจิกทักทายเพื่อนต่างคณะที่เคยเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัยด้วยกัน

            “เฮ้ย...ไอ้ ‘หมา’ ฟัน!” แดชอุทานอย่างแปลกใจ แทบพูดอะไรต่อไม่ออก

            “กูเป็น ‘หมอ’ ฟันแล้วเว้ย” พิจิกกล่าวแก้ แล้วจงใจแกล้งยิ้มหวานให้กับหญิงสาว “รอนานมั้ยที่รัก...เค้ารีบเหยียบจนมิดเลย ตัวเองอย่าโกรธเค้านะ”

            ขนาดคนอื่นฟังยังขนลุกซู่ เมษาจ้องตาชายหนุ่มยังกับจะกินเลือดกินเนื้อ เม้มริมฝีปากแน่น กลัวหลุดวาจาด่าทอยืดยาว

            “เดี๋ยว...พวกมึงแอบเป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนอยู่มหา’ลัย เห็นกัดกันตลอด เคยท้าต่อยกันด้วย” คนเป็นเพื่อนนึกสงสัย มองภาพหนุ่มสาวคู่นี้รักกันไม่ออก

            “มึงไม่เคยดูละครหรือไง...พระเอกนางเอกเขาต้องทะเลาะกันก่อน แล้วค่อยรักกันทีหลัง” คุณหมอหนุ่มยังมีอารมณ์หยอกล้อ พูดเล่น

            “ไป!” เมษาพูดคำเดียวสั้น ๆ ก่อนเปิดประตูขึ้นรถเอง

            “จ้า...ที่รัก” พิจิกรีบตอบรับ “ไปแล้วนะเว้ย ว่าง ๆ ค่อยคุยกัน”

            ประตูรถปิดดังปัง ก่อนวิ่งฝุ่นตลบจากไป ทิ้งให้วิศวกรหนุ่มมองตามอย่างสงสัย

            ...เหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเรื่องจริงหรือความฝัน...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP