วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๔๘



cover siwadol

ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            คนภายนอกมองเข้ามาทางศาลาแปดเหลี่ยม จะเห็นเพียงหมอกหนาคลี่คลุม ดวงไฟในศาลาดับสนิท ไม่เห็นผู้คน การต่อสู้ใด ทว่าเมื่อสัมผัสด้วยใจจะรู้สึกได้ถึงการโรมรันพันตูระหว่างพลังงานไร้รูปหลายสาย การต่อสู้รุกรบด้วยชั้นเชิงร้ายกาจ กระแสพลังงานอันเผ็ดร้อน สูงล้ำเกินกว่าใครจะจินตนาการถึง

            พวกมันปราศจากตัวตนให้มองเห็น จับต้องได้ แต่สามารถทำให้คนอยู่ใกล้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องถึงขนาดหัวใจเต้นถี่เร็ว เหน็ดเหนื่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่สามารถอยู่ในบริเวณนี้ได้นานเกินสองสามอึดใจ

            เมษา พิจิกเปลี่ยนจากท่านั่งคุกเข่าเป็นขัดสมาธิ สันหลังตรง เปลือกตาปิดสนิท ไม่มีเสียงเปล่งจากปาก อาคมภายในใจเข้าควบคุมมือทั้งสองข้างให้ยกขึ้น แยกเป็นด้านหน้า ด้านหลัง แล้วใช้ปลายนิ้วขีดเขียน วาดอักขระประหลาดจำนวนมากโดยไม่หยุดนิ่ง

            ...อักษรกลางอากาศสอดผสานกับบทสวดในใจอย่างแนบเนียน ไร้ช่องโหว่...

            เส้นอักษรที่ขีดวาดกลางอากาศกลายเป็นอาวุธสำคัญเข้าฟาดฟัน รุกรบสองสุดยอดจอมมารอย่างห้าวหาญ พลังมืดอันลึกล้ำเกินหยั่งของพวกมัน ถูกต่อต้านด้วยเส้นอาคมไร้เสียง ปราศจากข้อจำกัด แฝงพลังงานสว่างแสนประหลาดที่สองมารร้ายไม่เคยเจอมาก่อน

            ...ไม่มีเสียง ไม่มีภาพการต่อสู้ สัมผัสได้ด้วยใจที่แผ่ออกรับความรู้สึก...

            การต่อสู้ยิ่งนานพลังมืดขั้นสูงสุดยิ่งกล้าแข็ง หักหาญทำลายอาวุธไร้รูปจากสองหนุ่มสาวได้โดยไม่หนักแรง ขณะที่พลังงานที่เคยสว่างไสวค่อยหรี่แสงลง...เมษาเริ่มแรงตก หัวใจเต้นถี่รัวเร็วแทบระเบิดออกมานอกอก ร่างกายพิจิกกำลังเย็นเยียบทีละน้อย พลังจิตอาคมที่มีถดถอยลงเรื่อย ๆ

            ผลการต่อสู้ใกล้ปรากฏ...ความพ่ายแพ้จะตกอยู่กับฝ่ายใด...

            เมษา พิจิกสวดอาคมในใจจนถึงถ้อยคำสุดท้าย ปลายนิ้วเขียนทิ้งหางตัวอักษรไว้กลางอากาศ ใจปล่อยวางผลแพ้ชนะ หวนระลึกถึงช่วงเวลาที่ถอนอาคมยาสั่งแก่ปู่ทั้งสอง แล้วจิตก็ดิ่งสู่สมาธิลึกกว่าเดิม

            นัยน์ตา ‘พิเศษ’ แลเห็นใบหน้าป้าแมวดำสนิทด้วยถูกมนตร์มืดย้อม จิตใจแกกำลังฮึกเหิมเพราะเห็นชัยชนะอยู่แค่เอื้อม ไม่สนใจสภาพตนเองใกล้กลับกลายเป็นมหามารร้าย ปิศาจน่าพรั่นพรึงเพียงใด

            ส่วนจอมมารนายทอง เมื่อถูกอาคมมืดขั้นสูงสุดเข้าครอบงำ ก็กลายเป็นอะไรสักอย่างที่ไร้สติ ปราศจากความรู้สึกตัว ไม่อาจรู้ตนอยู่ในภพภูมิต้อยต่ำดำมืดขนาดไหน

            ต่อให้ทั้งสองเอาชนะพิจิก เมษา สังหารปู่เผด็จ ปู่คงคา เป็นสุดยอดจอมมารไร้ผู้ต่อต้านเพียงสองตนในโลก ก็ไม่อาจนับเป็นอย่างไรได้ เพราะพวกเขาพ่ายแพ้ให้กับอาคมของตนเองแล้ว

            จอมมารนายทอง...ป้าแมว...เพ็ญแขล้วนเป็นทาสอาคมผู้มืดบอด ต่อให้เก่งกล้ากว่านี้อีกร้อยเท่า พวกเขาก็จะไม่มีวันรู้สึกว่ากำลังงมงาย ตาบอด หลงคลำทางอยู่ใน ‘นรกส่วนตัว’ เป็นเวลานานแสนนาน...นานจนแทบหาปลายทางไม่เจอ...

            พอสองหนุ่มสาวมองเห็น...เข้าใจเช่นนั้น ดวงจิตพลิกเปลี่ยนจากหวังเอาชนะ มาเป็นเมตตาอันกว้างใหญ่ รู้สึกสงสาร อยากช่วยเหลือ อยากนำแสงสว่างมาส่องทางให้พวกเขาเดินออกจากความมืดบอด และพลังร้ายที่ควบคุม ครอบงำอยู่นี้...

            จิตเปี่ยมเมตตากลายเป็นมหาสมุทรกว้างไร้ขอบเขต สัมผัสได้ถึงพลังงานอันพิสุทธิ์ใส กว้างขวาง คล้ายพลังงานที่เคยหยิบใช้ตอนช่วยปู่ทั้งสองมาแล้ว ต่างกันแต่ว่า ‘พลังงานกลาง’ ครั้งนี้ มีความสะอาด บริสุทธิ์ยิ่งกว่าเดิม

            พิจิก เมษายกปลายนิ้วขึ้นขีดวาดตัวอักษรเพียงสามแถวกลางอากาศ แทนมนตรา ‘ถอนอาคม’ ในหน้าสุดท้ายของตำราแก้อาคมพระยาคงเวท

            ตัวอักษรสามแถวนี้เป็นเส้นชี้นำพลังงานพิสุทธิ์ใสให้เข้ามาหลอมรวมกับมนตรา ‘ถอนอาคม’ เมื่อมนตราถูกรวมกับพลังงานกลางอันบริสุทธิ์แล้ว ก็ส่องประกายกล้า พุ่งเข้าฉาบทาอาบร่างสองมารร้ายขั้นสูงสุดทันที

            ประกายความสว่างเข้าเคลือบคลุมความมืดดำ แล้วทะลุชอนไชผ่านร่างมหาอสูรกายทั้งสอง ออกมาเป็นลำเส้นแสงจำนวนมหาศาล ก่อรวมให้เกิดแสงสว่างยิ่งกว่าความสว่างใด ๆ เฉิดฉายขจัดความมืดที่มีจนสิ้นซาก ไม่เหลือแม้เพียงปลายเงา...

            หลังจากแสงสว่างดับลง สรรพเสียงล้วนเงียบงัน สงบนิ่ง เงียบกริบราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนชั่วขณะ

            พิจิกลืมตาขึ้นมองไปเบื้องหน้า ก่อนลุกขึ้นยืนระบายลมหายใจแผ่วเบา แว่วเสียงขยับตัวของหญิงสาวจากอีกด้านจึงค่อยหันหลัง เห็นเมษากำลังหยัดยืนอย่างเหนื่อยอ่อน

            หมอกหนาครอบคลุมศาลาหายไปแล้ว จอมมารนายทองกลายเป็นวิญญาณบอบบาง ไร้อิทธิฤทธิ์ ไม่มีพลังอาคมอำนาจใด เนื่องจากถูกถอนอาคมคืนจนหมด แค่จะปรากฏตัวให้คนธรรมดาทั่วไปมองเห็นยังทำไม่ได้

            ถัดออกไปนอกศาลา ดวงวิญญาณคนโบราณต่างยืนเรียงหน้ากระดาน โอบล้อมเป็นวงกว้าง โซ่ตรวนที่ล่ามข้อเท้าล้วนหักสะบั้น แต่ละใบหน้าฉายแววถมึงทึง จ้องตรงมายังดวงวิญญาณนายทองอย่างมาดหมาย

            พิจิกรู้สึกถึงความโกรธแค้น ชิงชังแผ่ออกมาจากดวงวิญญาณที่เคยเป็นทาสเหล่านี้ ตรวนอาคมบีบคั้น สร้างความทุกข์ทรมานเพียงใด เนิ่นนานแค่ไหน บัดนี้ถึงเวลาพวกมันเอาคืนแล้ว...

            ชายหนุ่มขยับริมฝีปากจะสวดบทแผ่เมตตา เพื่อให้จิตใจเหล่าวิญญาณนั้นเกิดความอ่อนโยน ให้อภัย จะได้มีโอกาสก้าวไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่าเดิม แต่วิญญาณทุกดวงต่างเข้าไปประกบล็อควิญญาณนายทอง แล้วเลือนหายทันที ไม่แสดงร่องรอยว่าอยู่ที่ใด บอกให้รู้...คงยากให้อภัย

            ถึงตอนนี้แล้ว ได้แต่ทำใจยอมรับ...อะไรจะเกิดกับวิญญาณนายทอง...ย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรม



            หลอดไฟกลางศาลาเริ่มกะพริบสองสามครั้งก่อนส่องสว่าง ฉายให้เห็นร่างป้าแมวกำลังค่อย ๆ ลุกจากท่าหมอบราบกับพื้น กิริยาอิดโรยหมดเรี่ยวแรง ใบหน้าซีดเผือด แววตาอ่อนโรย ไร้ประกายกล้าแข็ง พลังมืดในตัวมลายหาย...อาคมที่ร่ำเรียนมาหลายสิบปีถูกถอนคืนสิ้นซาก กลายเป็นหญิงชราหมดพิษสงอยู่กลางศาลาแปดเหลี่ยม

            “พวก...แก...” เสียงแหบโหย ดวงตาฉายแววโกรธขึ้งเมื่อรู้สภาพตนเอง “...แก...ทำอะไรกับ...ฉัน”

            น้ำเสียงพยายามกราดเกรี้ยว แต่แหบพร่าไร้เรี่ยวแรงข่มขู่ ชัยชนะที่คิดว่าคว้าถึง กลับวูบหายต่อหน้าต่อหน้า

            “ผมช่วยป้านะ” พิจิกบอกเสียงอ่อนโยน ก้าวขาขึ้นบันไดเพื่อหวังจะช่วยพยุงหญิงชราให้นั่งสะดวก

            ...แต่แล้ว...กลับมองเห็นแสงสีแดงแวบ ๆ ตรงปลายหางตา อดหันไปดูไม่ได้...

            “ฉิบหายแล้ว” เป็นเสียงของเมษาที่มองเห็นชัดเจนกว่า เพราะหันหน้าไปทางคฤหาสน์ศิวาดลพอดี

            พิจิกเบี่ยงตัวมองทางตึกใหญ่ศิวาดล เห็นเปลวไฟสีส้มแดงแลบเลียออกมาจากห้องใต้หลังคา

            เมษาตกตะลึง หวนคิดถึงสังหรณ์ ความรู้สึกแปลก ๆ ตอนผละจากแพรพลอยออกมา สังหรณ์นั้นกำลังปรากฏเป็นเหตุการณ์จริงอยู่ข้างหน้า

            “คุณ...พลอย...” หญิงสาวพึมพำเบา ๆ ไม่อยากเชื่อว่า...นี่อาจเป็นฝีมือนายหญิงศิวาดลคนปัจจุบัน

            ก่อนสองหนุ่มสาวจะขยับตัววิ่งไปคฤหาสน์ศิวาดล ก็เกิดเหตุแทรกซ้อนขึ้นมาก่อน

            ...ปัง...ปัง...กระสุนดังขึ้นสองนัด

            นัดแรกเฉี่ยวต้นแขนพิจิก ทำให้ร่างเขาสะบัดมาทางป้าแมว ส่งผลให้กระสุนนัดที่สองจากปืนในมือหญิงชรายิงเข้าปะทะกลางอกพอดี

            พิจิกหงายหลังล้มลงจากบันไดโดยไม่ทันตั้งตัว...ใจอดคิดถึงคำสอนของปู่ไม่ได้...

            ...อย่าประมาท...

            ใครจะคิด หญิงชราที่ปราศจากคาถาอาคมยังมีพิษสงหลงเหลือ

            ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ....เสียงหัวเราะแหลมสูงฟังบาดหูของป้าแมวดังขึ้น พร้อมกับเจ้าตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรง ขยับปืนที่ซ่อนไว้ตั้งแต่แรกออกมา หันปลายกระบอกมาทางเป้าหมายที่สอง...เมษา

            ...บอกให้ทราบว่า ต่อให้ถูกถอนอาคมจนหมด หญิงชราใจอาฆาตลึกล้ำก็ยังไม่สิ้นลายเสียทีเดียว...

            เมษาเพิ่งตกใจกับพระเพลิงที่ลุกท่วมห้องใต้หลังคาศิวาดล ก็ต้องใจหล่นวูบกับปืนที่หันมาเล็งตนเอง และกระสุนสองนัดเกินคาดหมาย ที่บรรจงยิงใส่พิจิกอย่างจัง

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            เปลวไฟกำลังเริงร่าแลบเลียผ้าม่านหน้าต่างห้องใต้หลังคา แผงไฟฟ้าที่ซ่อนอยู่หลังเสามีรอยไหม้ สะเก็ดไฟแตกให้เห็น ใกล้กันนั้นมีวัสดุประเภทเชื้อเพลิงติดไฟง่ายวางไว้เป็นแนว เพื่อให้พระเพลิงเผาผลาญ ลามไปยังส่วนต่าง ๆ ในห้องอย่างรวดเร็ว

            เมษามั่นใจว่าปลดสายชนวนที่ทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรเรียบร้อยแล้ว แต่ญาณตรวจสอบของเธอยังไม่ละเอียดคมกริบขนาดรู้ทุกซอกทุกมุม จึงพลาดท่า ไม่เห็นการ ‘วางยา’ ในจุดอื่น จนเกิดเพลิงไหม้ในที่สุด

            พระเพลิงโหมกระหน่ำไม่มีวี่แววสร่างซา หนำซ้ำเปลวไฟยังลามไปถึงภาพวาดผลงานดลดาราที่เก็บเรียงไว้อย่างน่าเสียดาย ที่พอหลงเหลือก็คือรูปภาพที่ตั้งอยู่บนขาหยั่งสองภาพซึ่งเปลวเพลิงยังลามมาไม่ถึง



            ศิวาไม่รู้ว่าตนเองมายืนอยู่ห้องใต้หลังคาได้อย่างไร เขาตกใจที่เห็นเปลวไฟลุกท่วมตามจุดต่าง ๆ รอบห้อง พยายามจะร้องเรียกให้คนภายนอกมาช่วยเหลือ แต่แล้วกลับนึกได้ว่าตนไม่รู้สึกถึงความร้อนจากพระเพลิงในห้องเลย

            ...ฝัน...เขาต้องฝันไปแน่ ๆ ฝันว่าไฟไหม้ห้องใต้หลังคา สถานที่เก็บผลงาน ความทรงจำอันงดงามของดลดาราทั้งหมดเอาไว้

            “คุณไม่ได้ฝันไปหรอกค่ะ...ศิวา” ดลดาราปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า

            “ดล...คุณ...ผม...เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...แล้วเกิดอะไรขึ้น” ศิวาสับสนระหว่างความจริงกับความฝัน เหมือนความทรงจำขาดหายชั่วขณะ

            “ค่อย ๆ คิดสิ คุณจำอะไรได้บ้าง” ดลดาราในสภาพหญิงสาวเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเอ่ยถาม

            ศิวาก้มหน้า ขมวดคิ้วเค้นสมองครุ่นคิด...แล้วค่อยนึกได้ ใจหล่นวูบ เงยหน้าถามภรรยา

            “คุณตายไปแล้ว...ส่วนผม...ก็ตายแล้ว...ใช่มั้ย?”

            “ยังหรอกค่ะ คุณแค่กำลังเจ็บหนัก...พี่เข็มรักษาคุณอยู่ในบ้านของเธอ” ดลดาราอธิบาย

            “ผม...เจ็บ...หนัก” ศิวาคิดทบทวนไล่เรียงความทรงจำทีละน้อย ก่อนนึกเรื่องราวทั้งหมดได้ “ใช่แล้ว ผมโดนป้าแมวทำร้าย ถ้าไม่ได้เหรียญอาคมนั่นช่วยคุ้มครองคงตายไปแล้ว...ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่...แล้ว...ไฟไหม้ห้องทำงานคุณ...มันเรื่องจริงหรือความฝัน”

            ในหัวศิวาเต็มไปด้วยคำถาม ข้อสงสัยมากมาย

            “ดวงจิตของคุณออกจากร่างชั่วคราว...ดล...พาคุณมาที่นี่เพื่อบอกลา” ดลดาราจงใจตอบแค่คำถามแรกด้วยท่าทีผิดไปจากเดิม

            “บอก...ลา...” ศิวายืนอึ้งหัวใจวิบวับบอกไม่ถูก...คำบอกลานี้ ฟังดูน่าเศร้ายิ่งกว่าวันที่เห็นเธอเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา

            ดลดารายิ้มแปลก สายตากวาดมองพระเพลิงที่โหมกระหน่ำผลงานของเธอทุกชิ้น สมบัติที่เคยรักหวงแหน จิตใจกลับไม่รู้สึกหวั่นไหว กระทบกระเทือน

            มันแปลก...ผิดปกติกระทั่งเธอยังไม่เข้าใจจิตใจตนเอง



            แรกทีเดียวตอนดลดาราเห็นแพรพลอยได้รับความช่วยเหลือจากลูกน้องที่ตามมาตอนหลัง เธอตั้งใจหาวิธีจัดการหญิงสาวร้ายกาจรายนี้ แต่หาผู้ช่วยเหลือไม่ได้...จึงต้องยอมปล่อยให้รอดพ้นไป

            แพรพลอยกลับไม่หนีไปเปล่า ๆ เธอดำเนินแผนวางเพลิงศิวาดลต่อจนสำเร็จ แล้วพาพรรคพวกขโมยสมบัติข้าวของมีค่าในศิวาดลออกไปมากที่สุดเท่าที่จะขนได้

            ดลดารามารู้สึกอีกทีก็ตอนแผงไฟระเบิด สัมผัสถึงเปลวไฟแรกที่ถูกจุดในห้องใต้หลังคา จิตใจเธอเดือดพล่าน ทั้งอยากไปเข่นฆ่าแพรพลอย และรีบเร่งหาคนมาช่วยดับไฟ สกัดกั้นไม่ให้มันลุกลามใหญ่โต

            ทว่า...แพรพลอยกับพรรคพวกขนของออกจากศิวาดลกันหมดแล้ว ลูกจ้างคนงาน รวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยล้วนตกอยู่ในมนตร์สะกด ต่างหลับใหลไม่ได้สติอยู่ในที่พักตน

            พิจิก เมษากำลังต่อสู้หักหาญเอาเป็นเอาตาย เข็มทองจดจ่อกับการฝังเข็ม ใช้สมุนไพรรักษาศิวา เหลือแค่พ่อบ้านสมยศ ลุงชาติและลูกน้องที่ไม่โดนสะกด สามารถช่วยดับไฟ แต่ทั้งสามมีเครื่องรางป้องกันมนตร์ดำ อาคม รวมถึงภูตผีต่าง ๆ ไม่สามารถปรากฏตัวให้เห็นได้

            ดลดาราพลุ่งพล่าน กระวนกระวาย ทำอะไรไม่ถูก กว่าพ่อบ้านสมยศ ลุงชาติจะเห็นแสงไฟที่ห้องใต้หลังคา ป่านนั้นพระเพลิงคงเผาภาพวาด ผลงาน ของรักสมบัติหวงแหนของเธอจนหมดแล้ว

            ดวงวิญญาณดลดาราร้อนรุ่มพยายามหาแนวร่วม แต่รายา พรนรี พยาบาลโสภีต่างนิ่งเฉย ไม่ช่วยเหลืออะไร มองความวอดวายที่เกิดกับศิวาดลด้วยความรู้สึกชืดชา

            วิญญาณทั้งสามยอมรับอัตภาพใหม่ของตนแล้ว จิตใจไม่มีความผูกพันลึกซึ้งกับศิวาดลเท่าไหร่ หนำซ้ำยังรังเกียจเดียดฉันท์ เพราะ ‘ศิวาดล’ เป็นเหตุ ทำให้พวกเธอต้องตาย มีสภาพทุกข์ทรมานเช่นนี้

            ดังนั้นจึงมีแค่ดลดาราผู้เดียว ที่มองเห็นว่าศิวาดลมีค่า เป็นสมบัติควรรักษา มันคือผลงานศิลปะชิ้นเยี่ยมที่เธอเป็นคนรังสรรค์ด้วยสองมือตั้งแต่แรกเริ่ม

            ...ความผูกพัน หวงแหนจึงหนักหนา รุนแรง...

            พอเห็นไฟลามถึงรูปใบแรก หัวใจแทบขาดรอน แหลกสลาย คล้ายเห็น ‘ลูกรัก’ กำลังจมกลางกองเพลิงต่อหน้าโดยไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้

            ดลดาราวิ่งพล่านไปมาระหว่างห้องใต้หลังคากับบ้านน้อยเข็มทอง พยายามหาจังหวะเหมาะสมตอนแม่บ้านใหญ่ผ่อนคลาย เพื่อร้องบอกให้เธอออกมาสั่งงานพ่อบ้านสมยศ ลุงชาติ และลูกน้องที่นั่งพักอยู่ห้องรับแขก ให้รีบไปดับไฟโดยเร็ว

            ...แต่...แม่บ้านเข็มทองไม่ได้ใช้เข็มรักษาอาการมานาน จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการฝังรักษาอย่างประณีต ไม่กล้าพลั้งเผลอ เพราะหากสะดุดขาดช่วง นายศิวาอาจได้รับอันตรายร้ายแรง

            ดวงวิญญาณศิลปินสาวจึงไม่กล้ารบกวน

            สุดท้ายดลดารากลับไปยืนอยู่กลางห้องใต้หลังคา ดูเปลวไฟที่กำลังเผาไหม้ผลงานของเธออย่างช้า ๆ มองเห็นพระเพลิงเป็นสัตว์ประหลาดตัวร้ายที่เข้ามาแทะกินเหล่าลูก ๆ ของเธออย่างปรีดิ์เปรม

            รูปภาพ ผลงาน ของรักสมบัติที่สะสมถูกพระเพลิงเผาผลาญกลายเป็นเถ้าถ่าน กลืนไปกับกองไฟแดง ๆ

            ดลดาราร้อนใจ ไม่ผิดกับดวงวิญญาณตนเองถูกแผดเผา...ร้อนจนแทบมอดไหม้ ร้อนจนกระทั่งถึงที่สุด ได้สติ มองเห็นความจริงขึ้นมาฉับพลัน...

            ....ของรัก สมบัติแสนหวงแหนมอดไหม้หมดสิ้นเช่นนี้...ทำไมเธอถึงยังอยู่...

            ชั่ววูบหนึ่ง ดลดารานึกถามตนเอง...

            ผลงาน ของรัก สมบัติมีค่าถูกเผาผลาญ มอดไหม้ไม่เหลือซาก แต่ทำไมเปลวไฟไม่ได้แผดเผาวิญญาณเธอ

            ...มีแต่ความรัก ความหวงแหน ความติดยึดใน ‘ของกู’ เท่านั้น ที่ทำร้ายใจเธอแสนสาหัส...

            อะไรคือ ‘ของกู’ ในเมื่อร่างกายเธอก็ยังถูกพระเพลิงเผาเมื่อสิ้นลมหายใจ

            กระทั่งร่างกายยังไม่ใช่ของกู...แล้วผลงานชิ้นเอก ชิ้นโบว์แดงแสนรัก แสนหวงแหน จะเป็น ‘ของกู’ ได้อย่างไร

            ผลงานที่แสนภูมิใจ ของรักที่สุดหวงแหน...ต่อให้ไม่ถูกไฟเผาเดี๋ยวนี้ กาลเวลาผ่านไปมันย่อมกัดกิน ทำลายตัวเอง

            สองรูปภาพบนขาหยั่ง พิจิกลืมปิดผ้าคลุมไว้ รูปแรกเป็นภาพเขียนสีน้ำมัน ‘ดลดารา’ แสงไฟสะท้อนเห็นภาพนั้นแสดงแสงเงาดูลึกลับ น่าค้นหา แต่เพียงไม่นาน เมื่อความร้อนจากเปลวไฟกระทบถึง มันก็เปลี่ยนแปลง กรอบไม้เริ่มติดไฟ ลามมาถึงผ้าใบตัวรูป...

            ภาพ ‘ดลดารา’ อันงดงามถ่ายทอดความละเอียดทั้งสีสัน อารมณ์ผ่านแววตา ดูไม่แตกต่างจากตัวจริง เป็นผลงานที่เกินกว่าคำว่า ‘ลูกรัก’

            ...เพราะนี่คือตัว ‘ดลดารา’ เอง ชีวิตจิตใจเธอถูกผนึกไว้ในรูปใบนี้ มันจึงนับเป็นอีกร่างหนึ่งของศิลปินสาว...

            ยามที่ดลดาราเห็นภาพนี้ถูกพระเพลิงเผาผลาญ ความรู้สึกจึงไม่ต่างจากเห็นซากศพตนเองได้รับการฌาปนกิจอีกครั้ง...มันเป็นการตายซ้ำสอง ตอกย้ำความเข้าใจเมื่อครู่ให้หยั่งลึกลงกว่าเดิม...

            ...ถูกเผาสองครั้งอย่างนี้ ยังจะติดยึด หวงแหนของรัก ของกูได้อีกหรือ...?



            ขณะนี้ ‘รู้’ แล้วว่าตัวตน ของรัก ของหวง ของกูมันไม่สำคัญเลย ทั้งหมดมันแค่ ‘สมมุติ’ เรื่องสมมุติที่ล่อหลอกให้หลงใหล หลงเชื่อว่าตนเองเป็น ‘อะไร’ สักอย่าง เป็นใครสักคนที่มีความสำคัญนักหนา และมีทุกสิ่งมากมายเป็นผลงาน ‘ของกู’

            พอเริ่มมองเห็นความจริง ยอมรับความจริงที่แสดงให้ดูต่อหน้า ความหวงแหน เป็นเจ้าข้าวเจ้าของค่อยผ่อนคลาย จิตใจโปร่งเบาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

            ดลดาราชักพาดวงจิตศิวาออกมา ตั้งใจบอกลากันตรงนี้ สถานที่ที่เธอยอมรับความจริงว่าไม่มีอะไรเป็นของสำคัญ สำหรับดลดาราอีกต่อไป



            เมื่อศิวาได้ยินคำบอกลา...จากภรรยาที่เสียชีวิตไปนาน หัวใจพลันปวดร้าวลึก เสมือนกำลังสูญเสียผู้หญิงในดวงใจคนเดิมซ้ำเป็นครั้งที่สอง

            ช่วงเวลาสิบกว่าปีที่ดลดาราจากไป และมีคนใหม่ทดแทน จิตใจศิวาคลายความเศร้ามานานแล้ว จนในคืนเปิดรั้วศิวาดล เห็นดลดาราและภรรยาคนอื่นกลับมาอีกครั้ง รู้ว่าพวกเธออยู่ใกล้จนแทบสัมผัสได้ โดยไม่อาจแลเห็นกัน สายใยความผูกพัน ห่วงหวงจึงย้อนกลับมาใหม่อีกครา

            ...ได้ยินคำบอกลาอย่างนี้ จะไม่เจ็บปวดหัวใจได้อย่างไร...

            “ค่ะ...บอกลา” ดลดาราย้ำคำเดิมกับสามี พลางชี้มือไปทางรูปวาดบนขาหยั่งอีกภาพ ซึ่งใกล้ถูกพระเพลิงเผาผลาญแล้ว

            “เห็นรูป ‘ศิวาดล’ มั้ยคะ”

            ภาพเขียนลายเส้นดินสอยังอยู่บนขาหยั่ง ความร้อนเริ่มทำให้กระดาษบางส่วนเหลืองกรอบเป็นสีน้ำตาล แต่เปลวไฟยังแตะไม่ถึง ต่างกับภาพดลดาราที่มอดไหม้ไปแล้ว

            “ศิวา-ดลดารา” ศิวาทวนวาจาที่หญิงสาวเคยพูด “ความรักของเราเป็นการดลบันดาลจากมหาเทพพระศิวะ...เป็นเหมือนพรหมลิขิตที่พาเรามาพบและรักกัน...”

            “ค่ะ...และสุดท้าย ความรักความผูกพันมันก็ถึงเวลาต้องลาจาก...สูญสลายเหมือนกับภาพใบนี้”

            สะเก็ดไฟปลิวมาถึง...กระดาษลุกไหม้ เปลวเพลิงลามเลียภาพเขียนอันสวยงามอย่างรวดเร็ว

            “ไม่นะดล...ไม่...” ศิวาร้องโวยวายด้วยจิตใจหวั่นไหว หวาดกลัว...ตอบไม่ถูกตนเองต้องการฉุดรั้งสิ่งใดไว้...

            ...ชีวิตที่จบไปแล้วของดลดารา...ดวงวิญญาณที่ตนอาจพบเจอแค่ในความฝัน...หรือ...ภาพเขียน ‘ศิวาดล’ สัญลักษณ์ตัวแทนความรักในวันวาน ที่กำลังมอดไหม้อยู่ในขณะนี้

            สุดท้ายศิวาค่อยเข้าใจ...ตนเองไม่อาจฝืนดึง ฉุดรั้งสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปได้เลย...

            “ลาก่อนค่ะ...ศิวา” ดลดารารู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจ ยอมรับได้แล้ว... “ดลไม่เสียใจเลย ที่เคยรักคุณ...”

            ดลดาราจากไป...ผู้มายืนตรงหน้ายามนี้คือรายา...



            ศิวายิ้มให้กับหญิงสาวแถวหน้า ผู้หญิงเก่งที่เขาชื่นชม ภรรยาคนที่สองซึ่งประทับอยู่ส่วนหนึ่งของหัวใจ

            “คุณ...ก็จะไปเหมือนกัน...ใช่มั้ย” เขาถามเสียงอ่อนโยน นุ่มนวล อย่างที่ผู้หญิงไม่กี่คนจะได้ยิน

            “ค่ะ...ยาถูกตรึงไว้ที่ศิวาดลนานเกินไปแล้ว...”

            ศิวาพยักหน้า ยอมรับคำบอกลา รู้สึกผิดกับผู้หญิงตรงหน้า ที่เขาไม่อาจรักเธอได้มากพอ...เท่ากับผู้หญิงอีกคน

            “ขอให้คุณไปดี...และ...อย่าเจอผู้ชายอย่างผมอีกเลย”

            รายายิ้มละไม...ไม่ตอบอย่างไร แววตาของเธอสื่อแทนใจว่า ไม่เคยผิดหวังเลย กับการตัดสินใจมาเป็นนายหญิงของที่นี่ แม้จะเป็นแค่คนที่สอง



            ...และ...ผู้หญิงคนสุดท้าย...พรนรี

            “ผมขอโทษ...ที่ไม่สามารถปกป้องนรีได้” นี่คือวาจาที่เขาอยากบอกกับแม่สาวน้อย ผู้หญิงที่เคยทำให้ดอกไม้ในหัวใจเขาผลิบานได้อีกครั้ง

            “ไม่เป็นไรค่ะ...ถ้าต้องเลือกอีกครั้ง นรีก็คงตัดสินใจอย่างเดิม”

            ศิวารู้สึกถึงก้อนแข็ง ๆ จุกตันในลำคอ สาวน้อยสดใสที่เป็นนายหญิงศิวาดลแค่สามเดือน เสียชีวิตอย่างน่าเวทนา กลับไม่เคยคิดกล่าวโทษ โยนความผิดให้กับเขาเลย

            “ผมเสียใจ...ที่มอบความสุขให้นรีน้อยเกินไป” เขาพูดออกมาจากความรู้สึกจริงในหัวใจ

            “มันอาจจะไม่มีความสุขนัก ที่ต้องอยู่แบบนั้น” สีหน้าสาวน้อยบอกถึงความปลงตก “แต่หลายปีที่นรีอยู่กับคุณดล คุณรายา และพวกอื่น ๆ ที่ทุกข์ทรมานเหมือนกัน...มันทำให้เข้าใจ ยอมรับได้ว่า ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับ ‘กรรม’ นรีอาจไม่รู้สาเหตุ เพราะจำไม่ได้ว่า ทำอะไรไว้ตั้งแต่ชาติไหน...แต่ก็ยินดีรับผลของมันโดยไม่คิดโต้แย้ง...เพราะทุกคนต่างก็มีเส้นทางกรรมของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ฝืนดื้อดึงไปรังแต่จะเพิ่มทุกข์ให้ตัวเอง...แค่ยอมรับมัน ความทุกข์ก็ไม่บีบคั้นมากมายเกินกว่าเท่าที่จำเป็น...”

            ศิวายิ้มรับ ไม่เคยคิดว่าแม่สาวน้อยสดใส จะเข้าใจและยอมรับ ‘รู้’ ทุกข์ได้ง่ายดายขนาดนี้

            “ขอให้นรีได้ไปเกิดในที่ที่ดี...พบคนที่ดี เหมาะสมกับจิตใจดีงามของนรีนะ”

            คำบอกลา...ได้เห็นภรรยาทั้งสามเลือนลับต่อหน้าทีละคน ทำให้จิตใจศิวาเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำอีก ตอกย้ำความเข้าใจว่า...ไม่มีใครเป็นของใครได้ตลอดไป...

            นายใหญ่ศิวาดลมองพระเพลิงที่เผาผลาญห้องใต้หลังคาจนแทบไม่เหลือซาก ไม่เหลือร่องรอยความทรงจำจากภรรยาคนแรกเอาไว้เลย...มันทำให้รู้เดี๋ยวนี้เองว่า...

            บัดนี้...ศิวาดล...ไม่ใช่...ดลดารา...อีกต่อไปแล้ว



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP