วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๔๗



cover siwadol

ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว) 



บทที่ ๒๗



            สภาพภายในศาลาแปดเหลี่ยมพังยับเยิน เศษหุ่นจำลองแตกกระจายเกลื่อนพื้น เครื่องบัดพลีบวงสรวงล้มระเนระนาด แหลกเป็นชิ้น ๆ ด้วยแรงกระสุนอาคม

            พิจิกเดินรอบศาลาแผ่จิตสัมผัสควานหาร่องรอยผู้ทรงเวทในเงาทั้งสอง สิ่งกระทบกลับมาคือความเงียบงันปราศจากร่องรอย อีกฝ่ายจงใจซุกงำพลังตนไว้รอจังหวะจู่โจม

            เมษายืนกลางศาลา สัมผัสได้รับไม่ต่างจากชายหนุ่ม สายตามองผลงานรอบตัวแล้วอดส่ายหน้าไม่ได้

            “ไอ้จิก...ทำไมแกไม่ย้ำกับอีตาศิวาวะ ว่าให้ยิงแค่หุ่นจำลอง ห้ามยิงคนที่ทำพิธีเด็ดขาด”

            “อีตาศิวาของแกอายุห้าสิบกว่าแล้วนะ เป็นถึงซีอีโอผู้บริหารระดับสูง บอกคำสองคำก็น่าจะรู้เรื่องแล้วมั้ย” พิจิกเถียง

            “แกก็น่าจะรู้...ป้าแมวฆ่าเมียเขาทั้งสามคน พอเห็นอย่างนี้ต้องอดใจไม่ไหวแน่” เมษาไล่ต้อน

            “แล้วฉันจะรู้มั้ยล่ะว่า ‘ร่างมายา’ นั่นจะเป็นป้าแมว...ป้าเพ็ญแขอะไรนั่น...ในตำราบอกแค่ว่า ในพิธีจะมีร่างมายาออกมาล่อลวงให้ไขว้เขว หากใครพลาดพลั้งทำร้ายต่อร่างมายา จะโดนอาคมตอบโต้ทันที”

            “นั่นไง” เมษาได้ช่องตำหนิ “ถ้าแกบอกเขาแต่แรกว่าเป็นร่างมายา เผลอทำร้ายไปจะโดนอาคมตอบโต้...เท่านั้น เรื่องก็ไม่ยุ่งขนาดนี้”

            “เออ...ฉันผิดเองที่ลืมบอก” ชายหนุ่มยอมรับแกมประชด “คิดว่าเตือนเฉย ๆ ไม่ให้ยิงคนส่งเดชก็น่าจะเข้าใจ รู้เรื่องแล้ว ใครจะไปคิดล่ะว่าป้าแมวของแกจะส่งร่างมายาตัวเองออกมาหลอกล่อ...แต่ถ้าเป็นฉันนะ ต่อให้แค้นยังไง ก็ยิงผู้หญิงแก่อายุหกเจ็ดสิบไม่ลงหรอก”

            เมษาไม่ไล่ต้อน บ่นอะไรอีก พลาดพลั้งไปแล้วก็คือพลาดพลั้ง ที่ควรใส่ใจตอนนี้น่าจะเป็นเรื่องการเผชิญหน้าป้าแมว ปิศาจนายทองมากกว่า

            ทั้งสองจงใจปิดบังซ่อนตัวแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะเล่นลูกไม้อะไร?

            การปิดบังซ่อนเร้น ใช่ว่าเกรงกลัว แต่เป็นการรอเวลาหาจังหวะจู่โจม และเป็นการจู่โจมที่มั่นใจต้องประสบผลในคราวเดียว

            พิจิกขึ้นมาบนศาลา มองหน้าหญิงสาวเป็นเชิงถามว่าสัมผัสกระแสคลื่นผู้ทรงเวทในเงาหรือไม่...

            เมษาไม่ตอบ แต่อากัปกิริยาแสดงชัดแทนวาจา...เธอไม่รู้สึกถึงสองมารร้ายเช่นกัน

            ในเมื่อฝ่ายหนึ่งซ่อนเร้น อีกฝ่ายเปิดเผย ย่อมแสดงความได้เปรียบเสียเปรียบชัดเจน

            ฝ่ายเปิดเผย ตั้งรับย่อมมีโอกาสเสียเปรียบ พลาดพลั้งสูง ฉะนั้นต้องเปลี่ยนจากฝ่ายตั้งรับมาจู่โจมให้ได้

            ...ถ้าฝ่ายตรงข้ามยังหลบซ่อน ควรเปิดฉากจู่โจมอย่างไร...?

            พิจิกคุกเข่าข้างกองเศษปูนที่เคยเป็นหุ่นจำลองสองผู้เฒ่า แรงกระสุนทำให้หุ่นปูนปั้นแตกกระจาย เศษผงปูนร่วงกราว

            ชายหนุ่มกอบเศษปูนมากำไว้ในมือ ก่อนปล่อยมันร่วงพรูทีละน้อย สายตาจับจ้องเศษปูนร่วงเป็นสายจนหมด แล้วเผยรอยยิ้มน้อย ๆ ก่อนลุกขึ้นยืน

            “ท่าทางคงไม่อยู่แถวนี้ว่ะ” พิจิกอาศัยปูนปั้นเป็นสื่อยังจับกระแสคลื่นสองมารร้ายไม่ได้

            “แกก็ออกไปตามหาสิ” เมษาโบ้ยงานยาก

            “ขี้เกียจ...ฉันจะนั่งรออยู่นี่แหละ...เรือนลับคุณทองอยู่ที่นี่ ยังไงก็ไม่มีทางหนีไปไหนไกลหรอก” พิจิกทำท่าจะนั่งรอจริง ๆ

            “มันก็ไม่แน่หรอก...เท่าที่ฉันรู้...ปิศาจนายทองตอนเป็นคนน่ะทั้งขี้โรค และขี้ขลาดสุด ๆ อาจทิ้งเรือนลับเปิดตูดหนีไปไกลแล้วก็ได้” เมษายิ้มมุมปาก เริ่มเดินเกม

            “แกเป็นจิ้งจกเกาะฝาเรือนเขาเหรอ ถึงรู้เรื่องดีขนาดนี้” พิจิกแหย่ ร่วมเกมด้วย

            “โธ่...แค่นี้ดูโหงวเฮ้งเอาก็ได้...ฉันว่านะอีตาทองนี่ สมัยก่อนแกต้องเป็นลูกชายคนเล็กขี้โรค ขี้อ้อนอ่อนแอ แล้วดันมีพี่ชายอีกสามคนที่เก่งโคตร เป็นขุนน้ำขุนนางมีชื่อเสียงทุกคน เลยเป็นปมด้อยในใจ รักษาไม่หาย พอเป็นผีเลยบ้าอำนาจซะขนาดนั้น” หญิงสาวแกล้งพูดจาเรื่อยเปื่อย พร้อมเปิดสัมผัสกว้างรอบด้าน ตรวจจับกระแสคลื่นผิดปกติ

            “นั่นสิ” พิจิกเออออตามน้ำแนบเนียน “ฉันว่าปมด้อยของเขาคงไม่ได้มีแค่เรื่องขี้โรค อ่อนแอ ขี้ขลาด แถมมีพี่ชายเก่ง แต่ตัวเองเป็นขุนนางไม่ได้เท่านั้นหรอก...เรื่องสำคัญที่เจ็บปวดสุดน่าจะเกี่ยวกับการไปหลงรักผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วโดนมองข้าม ผู้หญิงไปเลือกพี่ชายคนรองของตัวเองแทนนั่นแหละ”

            “อืมม์จริง...ผู้หญิงที่ไหนจะไปชอบผู้ชายบอบบาง อ่อนแอ ขี้โรค ขี้ขลาดแถมไม่มีอนาคตอย่างนั้น...ฉันขอบายคนนึงล่ะ คุณทองแกเลยคิดว่าต้องหาทางทำให้ตัวเองเก่งกล้า เด่นเกินหน้าพี่ชายทุกคนให้ได้” เมษาเสริม

            “ทางเดียวที่จะเก่งเกินหน้าพวกพี่ ๆ ได้คือแอบฝึกวิชาอาคมของพี่ชายคนโต...ที่ชื่อคงเวท” พิจิกรับช่วงเล่าต่อ

            “ที่ต้องแอบฝึกด้วยตัวเองเพราะไม่มีอาจารย์คนไหนยอมสอนให้...แม้แต่พระยาคงเวท...พี่ชายแท้ ๆ” เมษาตอกย้ำเข้าไปอีก

            “ตอนนั้นท่านน่าจะยังไม่ได้เป็นพระยามั้ง” พิจิกแกล้งขัด

            “เหรอ...ไม่รู้สิ ฉันเกิดไม่ทัน...เลยเดาเอา” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงจงใจกวนประสาท

            พิจิกยิ้มเจ้าเล่ห์ ส่งเสียงถามแบบซ่อนนัย

            “หมวยเล็ก...รู้มั้ยว่า คนที่แอบฝึกอาคมโดยไม่มีอาจารย์คอยดูแล สั่งสอนควบคุมน่ะจะเป็นยังไง”

            “ไม่รู้...พอดีปู่ฉันเป็นสุดยอดครู...ฉันเลยเก่งอย่างนี้ไง” หญิงสาววกมาแดกดันชายหนุ่ม

            พิจิกอมยิ้มรู้ทันวาจาเหน็บแนม

            “เออ...แกมันเก่ง ได้ครูดี...แต่พวกแอบฝึกบางคนนะ ต่อให้มีสติปัญญาดี เป็นอัจฉริยะ แต่ถ้าร่างกายมันไม่ไหว จิตใจอ่อนแอปวกเปียกเกินไป ก็อาจเกิดความผิดพลาดได้...ถ้าไม่โดนอาคมครอบงำจนใจมืดบอด ก็จะเป็นอย่างที่ในหนังจีนเขาบอกว่า...ธาตุไฟเข้าแทรกไง”

            “แกมันบ้าหนังจีนชะมัด” เมษาบ่นไม่จริงจัง “ที่จริงพอฝึกผิดพลาด มันก็ทำให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ ยิ่งร่างกายคุณทองไม่แข็งแรงอยู่แล้ว มาเร่งฝึกฝนจนผิดขั้นตอนเลยป่วยหนักเข้าไปใหญ่...แถมผู้หญิงที่ตัวเองหลงรัก ก็กำลังจะแต่งงานกับพี่ชายคนรอง มาเป็นพี่สะใภ้ให้เห็นตำตาอีก หัวอกเลยกลัดหนอง เจ็บหนักกว่าเดิม...”

            “เออ...แล้วสุดท้ายเป็นยังไง” พิจิกเร่งเร้าอยากรู้

            “เรียกว่าตรอมใจตายตั้งแต่ยังหนุ่ม” เมษาเลือกวาจากระทบใจ ‘ผู้ฟัง’“แถมยังมาตายตอนจิตเศร้าหมองอีก ขนาดฝึกสมาธิ ฝึกอาคมได้เก่งระดับนึงแล้วนะ มันก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย”

            “งั้นฉันไม่ถามแล้วล่ะว่า...ตายแล้วไปไหน...” พิจิกจงใจหยอกล้อเหน็บแรง พร้อมปรายตามองออกไปนอกศาลา

            เมษาอมยิ้ม ต่อให้ไม่มองก็รู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น...

            แสงไฟในศาลากะพริบดับ ๆ ติด ๆ หมอกหนาโรยตัวนอกศาลารวดเร็ว อากาศเย็นเฉียบขึ้นในฉับพลัน กระแสโทสะจากภายนอกแผ่มากระทบจิตใจสองหนุ่มสาว 

            เรื่องที่พิจิก เมษาพูดคุยโต้ตอบกัน ไม่ใช่การด้นเดาเรื่อยเปื่อย...มันคือเรื่องจริง ที่ถูกบันทึกอยู่ในตำราแก้อาคมพระยาคงเวท!

            ท่านเล่าเรื่องของนายทอง...น้องชายคนเล็ก ปิศาจตนแรกที่จำเป็นต้องจับมาคุมขังไม่ให้อาละวาด สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้คน โดยเฉพาะน้องชายคนรองที่เพิ่งออกเรือน กับน้องสะใภ้...หญิงสาวในดวงใจนายทอง

            สองหนุ่มสาวจงใจพูดคุยแกมเสียดสี แตะแต้มสีสันในเรื่องของนายทอง เพื่อให้อีกฝ่ายบันดาลโทสะ ปรากฏตัวออกมาเอง โดยไม่จำเป็นต้องใช้มนตราอาคมเรียกหา

            นี่คือแผนเปลี่ยนการตั้งรับเป็นจู่โจม...และการจู่โจมที่ได้ผลที่สุด คือจู่โจมจิตใจคู่ต่อสู้!

            ปิศาจนายทองเกิดโทสะ จิตใจปั่นป่วน เนื่องด้วยไม่เคยมีใครสะกิดแผลใจมานานนับร้อยปี

            มันทำให้แผนการซุ่มโจมตีอันแยบยลที่วางไว้ร่วมกับเพ็ญแขต้องล้มเลิก เปลี่ยนแปลง เพราะตนเองไม่อาจทนต่อการยั่วยุเช่นนี้ได้

            “มึงงงง...” เสียงหวีดหวิว กระหึ่มคำรามฟังบาดหูก้องมาจากทุกทิศทาง

            แสงไฟในศาลาดับวูบ หมอกมนตราลงหนา อากาศเย็นจัด ความมืดกระจายทั่ว 

            สองหนุ่มสาวไม่สะทกสะท้าน ยืนหยัดในจุดเดิม ดวงตาไม่จำเป็น เมื่อสัมผัสทางใจกระจ่างชัดยิ่งกว่ามองเห็นด้วยตาเนื้อ

            การต่อสู้ครั้งก่อน พลังอาคมปิศาจนายทองถดถอย ประกอบกับจงใจอ่อนข้อ เพื่อล่อหลอกให้ติดกับดัก จึงไม่ใช้วิชาทั้งหมดออกไป ผิดกับครั้งนี้ที่สำเร็จอาคมขั้นสูง ต้องการสังหารทายาทสองผู้เฒ่าเต็มที่ ฉะนั้นจึงไม่ออมฝีมืออีกต่อไป เพียงแค่เสียงกระหึ่มนำหน้า ก็บอกให้รู้ว่าพลังของมันเพิ่มพูนทวีคูณขึ้นอีกขนาดไหน

            สองเวทหนุ่มสาวรู้ข้อนี้ดี ไม่เคยประมาท และยิ่งรู้อีกอย่าง...ป้าแมว...เพ็ญแข ผู้ทรงเวทในเงาอีกคนยังเร้นกาย รอคอยโอกาสอย่างใจเย็น

            ในความมืดอันเหน็บหนาว หมอกหนาครอบคลุมทั้งศาลา ได้ยินเพียงเสียงกระหึ่มขู่คำรามสั่นคลอนประสาท คนทั่วไปเจอสถานการณ์นี้คงขวัญหนีดีฝ่อ สิ้นสติตั้งแต่นาทีแรกไปแล้ว

            พิจิก เมษายืนนิ่งหลังพิงเสา จิตเข้าสู่สมาธิรวดเร็ว มองผ่านนิมิตทางใจเห็นทุกสิ่งภายในศาลา และบริเวณรอบศาลาแปดเหลี่ยมกระจ่างชัด ยิ่งกว่าลืมตามองกลางแดดจ้า

            เสียงขู่คำรามจางหาย แปรเปลี่ยนเป็นเสียงจ๊อกแจ๊กเล็ก ๆ ดังระงมเหมือนมอดกัดไม้มาจากรอบศาลา

            ภาพที่เห็นด้วยดวงตาพิเศษเป็นแมลงตัวเล็ก ลักษณะคล้ายแมลงสาบคลานยั้วเยี้ยดาหน้าเข้ามาด้วยจำนวนมหาศาลจากทุกทิศทาง แลครืดเป็นแผงเหมือนแผ่นดินเคลื่อนไหวได้

            พวกมันคลานขึ้นมาเต็มศาลา ไต่ตามเสาจนล้นถึงหลังคา กัดกินทุกสิ่งรอบกาย ทว่าบริเวณเสาที่พิจิก เมษายืนพิงกลับไม่มีพวกมันกล้าเข้าใกล้สักตัว

            ฝูงแมลงประหลาดเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ต่างปีนป่ายเกาะตัวพวกมันเองขึ้นมาทับถมจนสูงขึ้น สูงขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นกองแมลงน่าขยะแขยงที่พยายามจะทะลักผ่านเกราะอาคมรอบร่างสองหนุ่มสาวให้ได้

            เสียงจ๊อกแจ๊ก จี้ดจี้ดดังระงมฟังไม่ได้ศัพท์ ร่างพวกมันกองทับสูงขึ้นมาเกือบเมตร หนวดชูสลอนยุบยับ ชวนขนลุก

            เมษาขยับริมฝีปากสวดอาคมเพียงสองสามคำ แมลงประหลาดเหล่านั้นล้วนสลายวับ กลายเป็นฝุ่นผงปลิวไปไกล

            ...มันเป็นการแก้อาคมที่ง่ายดาย กระตุ้นโทสะฝ่ายตรงข้ามให้รุนแรงกว่าเดิม...



            มวลหมอกหนารอบศาลารวมตัวเป็นกลุ่มก้อน ปรากฏร่างนายทองยืนเรียงหน้ากระดานคล้ายกองทัพขนาดย่อย พวกมันส่งเสียงกู่ร้องดังวู้ วู้ วู้ขานรับดังสะท้านไปทั่ว จงใจข่มขวัญหนุ่มสาวที่อยู่ในศาลาให้จิตใจย่นระย่อ

            ดวงตาปกติไม่สามารถเห็นรอบตัวไกลเกินหนึ่งฟุต ดวงตาภายในกลับมองกระจ่างชัด ร่างนายทองยืนเรียงหน้ากระดานซ้อนเป็นชั้น ส่งเสียงข่มขวัญ ก่อนขยับตัวใกล้ศาลาเข้ามาเรื่อย ๆ

            พิจิก เมษาเคลื่อนตัวจากเสา เดินลงบันไดศาลาคนละด้าน หันหลังให้กัน หันหน้าเผชิญกับปิศาจนอกศาลาโดยไม่มีความหวั่นเกรงในแววตาสักนิด

            “มึง...กล้ามาก” เสียงขู่ขวัญเปลี่ยนเป็นวาจาโกรธเกรี้ยว “มึงกล้าเอาเรื่องกู...มากล่าวล้อเล่น...”

            กระแสโทสะรุนแรงแผ่กระจายออกมาจนน่ากลัว

            “มึงคิดว่ากูเป็นใคร!” คำพูดเกรี้ยวกราดมาพร้อมพลังมืดพุ่งเข้าใส่สองหนุ่มสาวทันที

            รอบร่างเมษา พิจิกมีคลื่นบาง ๆ ก่อเป็นกำแพงกั้นโดยอัตโนมัติ พลังมืดกระทบเข้าก็สูญสลาย แตกกระจายจนหมด

            แววตาจอมปิศาจลุกโพลงแดงจ้าด้วยโทสะ ใบหน้ามนุษย์นายทองเริ่มแปรเปลี่ยน บิดเบี้ยวผิดรูปคล้ายอสูรกาย ร่างกายขยายใหญ่สูงท่วมหลังคา เสียงกู่ร้องบาดหูดังก้องขานรับไปมา สั่นสะเทือนถึงพื้นดิน

            กองทัพอสูรกายเคลื่อนเข้ามาใกล้ แผ่นดินสะเทือนครืนครืน กระแสกราดเกรี้ยวเผ็ดร้อนแผ่กระจายกว้าง หวังสยบคู่ต่อสู้ให้ยอมจำนนก่อนพวกตนจะเหยียบย่ำถล่มศาลา

            ...กริ๊ง...พิจิกเขย่าเหรียญในกระเป๋าให้เกิดเสียงดังขึ้นแทนการส่งสัญญาณ เมษาเริ่มสวดสาธยายอาคมปราบอสูรวรรคแรก ชายหนุ่มสวดขานรับในวรรคสอง จากนั้นสองเสียงผสานมนตราออกมาเป็นจังหวะเดียวกัน

            เสียงสวดไม่ดังไม่เบา บังเกิดคลื่นอาคมอานุภาพสูงแผ่กระจายเป็นวงกว้าง เผชิญหน้ากองทัพอสูรชุดแรก

            เปรียะ...เปรียะ...ครืน...ครืน...การปะทะกันเกิดขึ้นแล้ว

            คลื่นอาคมเมษา พิจิกแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ไม่จำกัด บางส่วนก่อตัวเป็นพลังงานรุนแรงเข้าจู่โจม พุ่งชนอสูรกายแบบตรงไปตรงมา บางส่วนพลิ้วไหวคล้ายเกลียวคลื่นมหายักษ์ ถาโถมซัดสาดจนเหล่าร่างแปลงล้มกลิ้งระเนระนาดไม่เป็นท่า อีกส่วนรวมตัวเป็นพายุหมุนกราดเกรี้ยว บิดตัวกวาดล้าง เหล่าอสูรกายแตกพ่ายกระจัดกระจาย รวมตัวไม่ติด

            กระแสเสียงสวดผะแผ่ว ทว่าต่อเนื่องไม่ขาดตอน คลื่นอาคมหนึ่งเจือจาง อีกคลื่นก่อตัวซัดสาดใหม่ ถักทอเป็นสายอาคมน่าพิศวง โอบล้อมรอบศาลาแปดเหลี่ยม เกิดอานุภาพจัดการกับเหล่าอสูรแปลงโดยเฉพาะ

            วู้...วู้...วู้...เหล่าอสูรขบวนแรกที่แตกพ่ายส่งเสียงกู่ร้อง ตะโกนบอกแก่กันเป็นเชิงให้เปลี่ยนแผน ปรับวิธีโจมตีใหม่ 

            บังเกิดความเงียบกริบชั่วครู่ สรรพสิ่งหยุดการเคลื่อนไหว ก่อนจะปรากฏพลังงานมืดอันยิ่งใหญ่ แผ่กระจายมาแต่ไกล

            คึ่ก...คึ่ก...คึ่ก...เสียงคล้ายย่ำเท้าของสัตว์ขนาดใหญ่ ดังสะเทือนลั่นจนแผ่นดินโคลงเคลง ด้วยอำนาจนัยน์ตาพิเศษสองหนุ่มสาวสามารถมองได้ไกล ก็ยังไม่เห็นตัวตนพวกมันชัดเจน

            แรงสะเทือน เสียงย่ำเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ สัมผัสถึงพลังงานอันแรงกล้าอย่างไม่เคยประสบมาก่อน พุ่งตรงมาจนน่าตระหนก...

            ...นี่คือฝีมือแท้จริงของปิศาจนายทอง...!

            พลังอาคมมารร้าย มีความแข็งแกร่ง ชวนหวาดหวั่น ไม่จำเป็นต้องแสดงรูปลักษณ์ ตัวตนออกมาว่าเป็นอสูรกายรูปร่างหน้าตาเช่นไร พลังอำนาจมืดที่ก่อตัวจากอาคมขั้นสุดยอด สามารถสร้างสิ่งทำลายล้าง แค่ศัตรูได้ยินเสียงก็ขวัญหนี ยอมแพ้ราบคาบแล้ว

            คึ่ก...คึ่ก...คึ่ก...เสียงลั่นสะเทือนโสตประสาท กระแสพลังร้ายระลอกแรกพุ่งตรงเข้ามา ม่านอาคมคุ้มครองกายเมษา พิจิก ถูกกระแทกอย่างแรง ทำเอาสองหนุ่มสาวชะงักวูบ เสียงสวดอาคมขาดหายชั่วขณะ

            ผัสสะผ่านม่านอาคม ก่อให้เกิดจินตภาพกองทัพม้าขนาดยักษ์ แต่งเกราะเหล็กเครื่องทรงออกรบเต็มกำลัง แต่ละตัวสูงเกือบเท่าตึกสองชั้น ตะบึงมาจากทุกทิศทุกทางรอบศาลา หวังบดขยี้ทุกสิ่งขวางหน้าให้ราบเป็นหน้ากลอง

            หากสองหนุ่มสาวแก้วิชานี้ไม่ตก รอจนพวกมันฝ่าม่านอาคมมาถึง รับรองต้องกระอักเลือดตายทันที

            เสียงสวดขาดหาย ม่านอาคมยังอยู่ อาศัยพลังจิตอันแข็งแกร่งของผู้ทรงเวทหนุ่มสาวคอยค้ำยัน 

            จากนั้นตั้งสติ สวดมนตราชุดใหม่ออกไป กระแสคลื่นอาคมมีลักษณะอ่อนพลิ้วเสมือนเส้นยางอันยืดเหนียว หนืดหยุ่น แผ่กระจายเข้าตีโอบล้อม พัวพันกองทัพม้ายักษ์ ชะลอความเร็วของมันลง พร้อมกับขับสลาย ลิดรอนพลังมืดออกไปด้วยอาคมแก้จากพระยาคงเวท

            เสียงคึ่ก คึ่ก คึ่กค่อยซา แผ่วเบา กองทัพม้าผ่อนฝีเท้าลง ไม่แสดงอาการสะบัดดิ้นรนต่ออาคมที่ส่งมาแก้ สุดท้ายเงียบกริบ หายวับราวกับไม่เคยมีพวกมันมาก่อน

            พิจิก เมษาใจหายวูบ รับรู้พร้อมกัน...นี่คือสัญญาณอันตราย!

            สองหนุ่มสาวเร่งก้าวลงบันได ยืนปักเท้ามั่นบนพื้นดิน เงยหน้าขึ้นโอมอ่านมนตราสำคัญ ที่อยู่ในตำราแก้อาคมออกมาทันที...

            พลังอาคมอันแปลกใหม่ พิสดารกว่าเดิมถูกถักทอขึ้นพร้อมกับเกิดพลังมืดชนิดใหม่ก่อตัวเป็นรูปร่างบิดเบี้ยวเหมือนปิศาจ มหาอสูรกายใต้ขุมนรก สัมผัสได้แค่ความมืดที่มืดสนิทยิ่งกว่าถ้ำก้นเหว กระแสอาคมดำอันร้ายกาจ ล้ำลึกเกินหยั่งคาด

            มันเกิดจากการที่ปิศาจนายทองยอมหลอมรวมตนเองเข้ากับพลังงานร้าย กอปรเป็นจอมมารขั้นสุดยอด ไม่อาจบอกรูปลักษณะชัดเจน มันสามารถขยายตัวได้สูงเทียมเมฆ จรดฟ้า และย่อขนาดลงได้เล็กกว่ารูเข็ม พลังร้ายของมันรุนแรงจนไม่อาจวัด ร้ายกาจที่สุดเท่าที่มารร้ายเคยมี...

            กระทั่งปิศาจนายทองเองยังถูกพลังมารมืดดำนี้ครอบงำ ควบคุม ไม่อาจสั่งการสิ่งใดได้ เป้าหมายเดียวคือทำลายล้างศัตรูตรงหน้าอย่างพิจิก เมษาให้สิ้นซากในพริบตาเท่านั้น

            มหามารร้ายจู่โจม ทุ่มเทอำนาจอาคมเข้าใส่ สองจอมเวทหนุ่มสาวปรับเปลี่ยนอาคมตั้งรับ ตอบโต้ การต่อสู้คับขัน ดุเดือด ไม่อาจพลาดพลั้งได้เลย

            เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นบนหน้าผากเมษา ขณะที่ใบหน้าพิจิกซีดขาวลงเรื่อย ๆ ต่อให้พวกตนโอมอ่านคาถาสกัดกั้นจอมมารได้ทัน ปรับเปลี่ยนวิชามาต่อสู้สารพัด แต่พลังต้านทานในตนยังไม่เพียงพอที่จะใช้อาคมได้อย่างสัมฤทธิ์ผล เนื่องจากเป็นการใช้อาคมนี้ครั้งแรก พลังฝึกปรือไม่สมบูรณ์ ทำได้เพียงค้ำยันไว้ ไม่ถูกบดขยี้ในทันที

            เสียงสวดคาถาต่อสู้ดังไม่หยุด เวลาผ่านไปช้า ๆ พิจิก เมษาจับเคล็ดลับวิชาที่เรียนใหม่ได้ จิตใจตั้งมั่นทีละน้อย สมาธิแน่วแน่มีกำลังเพิ่มขึ้น อาคมเปล่งออกมาจึงผสานด้วยพลังจิตเข้มแข็งสามารถแปรเป็นพลังงานสารพัดแบบไม่จำกัด เข้าโรมรัน ต่อสู้กับมารร้ายนายทองได้พอทัดเทียมขึ้นมาทุกขณะ

            หากแสดงการต่อสู้ออกมาเป็นภาพ มันจะดูชวนหวาดเสียวตึงมือ ผู้ชมแทบลืมหายใจ ไม่อาจพลั้งเผลอ ขาดสติแม้ชั่ววูบ

            ในเวลานั้น พิจิก เมษาเกิดลางสังหรณ์ร้ายกระทบใจ ผัสสะพิเศษบอกให้รู้ถึงสิ่งแปลกปลอมบางอย่างกำลังเคลื่อนตัวขึ้นมาบนศาลาแปดเหลี่ยมอย่างเนิบช้า ใจเย็น

            ยังไม่ทันใช้ดวงตาพิเศษมองดูว่าสิ่งนั้นคืออะไร ก็มีเสียงดัง...ผลุบ...ซู่...ขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ย

            สองหนุ่มสาวรู้สึกถึงแรงปะทะร้อนวาบ กระแทกเข้ากลางหลังอย่างรุนแรงจนร่างเซถลาไปข้างหน้า สมาธิขาดช่วงชั่วขณะ ส่งผลให้พลังมืดร้ายกาจฝ่าม่านอาคมซึมแทรกเข้าร่างจนได้

            ความเจ็บปวดแผ่วูบทั่วกาย สติถูกพลิกกลับขึ้นมาฉับพลัน รวบรวมกำลังสมาธิในชั่ววินาทีไว้ยังกึ่งกลางอก เกิดพลังงานแรงกล้าควบแน่น แผ่กระจายขับพลังร้ายออกจากร่างทันท่วงที

            ผู้ทรงเวทหนุ่มสาวทรุดฮวบ หัวเข่ายันพื้น ปากไม่สามารถเปล่งอาคม แต่ดวงจิตซึ่งมีกำลังกล้าแข็ง สวดท่องมนตร์ต่อในใจ บังเกิดคลื่นอาคมอีกระลอกแผ่ออกมาต้านรับมารร้าย และศัตรูผู้มาใหม่อย่างหวุดหวิด เฉียดฉิว

            ป้าแมวปรากฏร่างกลางศาลาแปดเหลี่ยม เธอมาอย่างเงียบเชียบ ไร้ร่องรอย ในเวลาที่เหมาะพอดี ขนาดพิจิก เมษาใช้กำลังสมาธิเปิดดวงตา ‘พิเศษ’ คอยสอดส่องเป็นระยะ ก็ไม่พบร่องรอยศัตรูร้ายรายนี้

            แรกทีเดียวเพ็ญแข...ป้าแมววางแผนร่วมกับปิศาจนายทองเป็นมั่นเป็นเหมาะ สามารถจัดการจอมเวทหนุ่มสาวได้จบในคราเดียว แต่ปิศาจนายทองโดนแผนยั่วยุของสองหนุ่มสาวจนเกิดโทสะ ล้มเลิกแผนการ บุกเดี่ยวเข้าจู่โจม ด้วยมั่นใจในฤทธีตน ทำให้การต่อสู้ยืดเย้อขนาดนี้

            ป้าแมวจึงเปลี่ยนแผนการใหม่ รอคอยจังหวะเวลาอย่างใจเย็น กระทั่งปิศาจนายทองยอมรวมกับอาคมร้าย กลายเป็นจอมมารขั้นสูงสุด สองจอมเวทหนุ่มสาวต้องรับมือเต็มแรง สิ้นเปลืองพลังงานมากโข จนเปิดช่องโหว่ให้โจมตี

            หญิงชราผู้ร้ายกาจเร้นกายด้วยอาคมกล้า ไม่มีดวงตาพิเศษใดมองเห็น อาศัยหมอกอาคมที่เกลื่อนกระจายแต่แรกเป็นเครื่องช่วยกำบัง ขึ้นมาบนศาลาแปดเหลี่ยมโดยไม่มีใครรู้ จากนั้นใช้อาคมดึงดูด ‘ของ’ ร้ายที่ซ่อนเร้นในเรือนลับใต้ศาลาออกมา แล้วใช้อาคมตนเพิ่มพลังแก่ของนั้น ก่อนสั่งให้มันฝ่าม่านอาคมโจมตีพิจิก เมษาอย่างรวดเร็ว ไร้ร่องรอย

            โชคดีที่จอมเวทหนุ่มสาววันนี้ต่างจาก สองหนุ่มสาวที่มาปิดผนึกอาคมวันก่อน... 

            ‘ของ’ พลังงานร้ายที่ซ่อนเร้นในเรือนลับจึงยากทำอันตรายพวกเขาได้ ต่อให้มันซึมแทรกเข้าไปในกาย ด้วยกำลังสมาธิ อาคมที่เพิ่มพูนสุดหล้า ก็สามารถทำลาย และขจัดออกได้ทันที โดยไม่เกิดผลกระทบกับใครเลย

            นั่นแสดงว่า...ผู้ทรงเวทสองหนุ่มสาว ก้าวข้ามขีดจำกัดของตน จนกลายเป็น ‘ตัวจริง’ เรียบร้อยแล้ว...

            ในเมื่อแผนลอบทำร้ายไม่สำเร็จ ป้าแมวไม่จำเป็นต้องเร้นกายซุกงำวิชาอีกต่อไป เธอยืดกายขึ้นเต็มร่าง เปล่งอาคมร้ายระลอกแรกออกไปเป็นการทักทาย...ทุกถ้อยวาจาฟังสะท้านสะเทือน แฝงความเผ็ดร้อน กล้าแข็งชวนหวั่นใจ 

            พิจิก เมษารู้สึกเหมือนโดนมนตรามหายักษ์จู่โจมมาจากทางด้านหลัง ขณะที่ด้านหน้ากำลังรับมือมารร้ายนายทองจนไม่อาจละสายตาได้

            ยังดีที่ม่านอาคมระลอกใหม่แข็งแกร่งกว่าเดิม ต้านทานมนตราทักทายของป้าแมวได้โดยไม่หนักแรงนัก...ที่น่ากลัวอย่างแท้จริงคือ...พลังมืดที่จะตามมาอย่างไม่ปราณี...

            ป้าแมวทรุดนั่งขัดสมาธิกลางศาลาแปดเหลี่ยม ใบหน้าสงบนิ่งทรงพลัง อาคมใหม่ถูกร่ายมาอย่างเนิบช้า จังหวะท่วงทำนอง แผ่มาพร้อมพลังมืดที่เข้าไปผสานส่งเสริมกับจอมมารนายทอง แล้วสะท้อนกลับมาขยายอานุภาพพลังมืดตนจนลึกล้ำแทบไร้ขีดจำกัด 

            อาคมร้ายเปล่งออกมาแต่ละถ้อยวจี ทำให้ใบหน้าชราถูกอาบด้วยม่านสีเทาดำชวนสะพรึง ยิ่งมนตราถูกสาธยายถี่เร็วกระชั้นเท่าไหร่ ทั้งร่างก็ถูกครอบคลุมด้วยหมอกเทาหนาแน่นทีละน้อย 

            พลังงานร้ายถูกเปล่งออกมาจนถึงขั้นสูงสุด หลอมรวมป้าแมวจนกลายเป็นมารอีกตน ทรงพลังกล้าแข็ง ไร้รูปร่างตัวตนแน่นอน ที่เหนือกว่าจอมมารนายทองคือยังมีสติ ไม่ถูกอำนาจมนตร์ดำขั้นสูงสุดครอบงำจนไม่รู้สึกตัว

            ป้าแมวนั่งอยู่กลางศาลา แต่สามารถแยกตัวตนพิเศษ ยืดออกไปเป็นเงาดำได้ถึงสองทาง มุ่งจู่โจมพิจิก เมษาคนละด้าน โดยพลังอาคมยังแกร่งกล้า หนำซ้ำอาจสูงล้ำกว่ามารร้ายนายทองด้วยซ้ำ

            สองจอมเวทหนุ่มสาวรู้สึกเหมือนโดนภูเขามหายักษ์สองลูกบีบทับ จำเป็นต้องแบ่งสมาธิรับมือทั้งด้านหน้าและด้านหลัง อาคมในใจถูกสวดไม่ขาดสาย ช่วยเสริมพลังจิตให้กล้าแข็งขึ้นเรื่อย ๆ ถึงอย่างนั้นก็รับมือกับสองมารร้ายขั้นสุดอย่างหนักแรง ตึงมือ พลาดเพียงชั่วเสี้ยววินาทีอาจกระอักเลือดถึงตาย



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP