ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta

อุชชยสูตร ว่าด้วยอุชชยพราหมณ์ทูลถามประโยชน์สุขปัจจุบันและภายหน้า


กลุ่มไตรปิฎกสิกขา



[๑๔๕] ครั้งนั้นแล อุชชยพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว
จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า
ข้าแต่ท่านพระโคดม ข้าพระองค์ใคร่จะไปอยู่ต่างถิ่น
ขอท่านพระโคดมโปรดแสดงธรรมที่เหมาะแก่ข้าพระองค์
อันจะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในปัจจุบัน
เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในภายหน้าเถิด.


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พราหมณ์ ธรรม ๔ ประการนี้
ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในปัจจุบัน
๔ ประการเป็นไฉน คือ อุฏฐานสัมปทา ๑ อารักขสัมปทา ๑
กัลยาณมิตตตา ๑ สมชีวิตา ๑
พราหมณ์ ก็อุฏฐานสัมปทาเป็นไฉน
กุลบุตรในโลกนี้เลี้ยงชีพด้วยการหมั่นประกอบการงาน
คือ กสิกรรม พาณิชยกรรม โครักขกรรม รับราชการฝ่ายทหาร
รับราชการฝ่ายพลเรือน หรือศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง
เป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้านในการงานนั้น
ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอดส่องอันเป็นอุบายในการงานนั้น สามารถจัดทำได้
พราหมณ์ นี้เรียกว่า อุฏฐานสัมปทา.


พราหมณ์ ก็อารักขสัมปทาเป็นไฉน
กุลบุตรในโลกนี้มีโภคทรัพย์ที่หามาด้วยความหมั่นเพียร
สั่งสมด้วยกำลังแขน เหงื่อโทรมกาย ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม
เขารักษาคุ้มครองโภคทรัพย์เหล่านั้นไว้ได้พร้อมมูล
ด้วยทำไว้ในใจว่า ไฉนหนอ พระราชาไม่พึงริบโภคทรัพย์เหล่านี้ของเรา
โจรไม่พึงลัก ไฟไม่พึงไหม้ น้ำไม่พึงพัดไป ทายาทผู้ไม่เป็นที่รักจะไม่พึงลักไป
พราหมณ์ นี้เรียกว่าอารักขสัมปทา.


พราหมณ์ ก็กัลยาณมิตตตาเป็นไฉน
กุลบุตรในโลกนี้อยู่อาศัยในบ้านหรือนิคมใด
ย่อมดำรงตนเหมาะสม เจรจา สนทนากับบุคคลในบ้านหรือนิคมนั้น
ซึ่งเป็นคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี เป็นคนหนุ่มผู้เคร่งศีลหรือคนแก่ผู้เคร่งศีล
ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา
คอยศึกษาสัทธาสัมปทาของท่านผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาตามสมควร
คอยศึกษาสีลสัมปทาของท่านผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาตามสมควร
คอยศึกษาจาคสัมปทาของท่านผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะตามสมควร
และคอยศึกษาปัญญาสัมปทาของท่านผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาตามสมควร
พราหมณ์ นี้เรียกว่ากัลยาณมิตตตา.


พราหมณ์ ก็สมชีวิตาเป็นไฉน
กุลบุตรในโลกนี้รู้ทางเจริญแห่งโภคทรัพย์และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์
แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้ฟุ่มเฟือยนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก
ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้
พราหมณ์ เปรียบเหมือนคนชั่งตราชั่งหรือลูกมือคนชั่งตราชั่ง
ยกตราชั่งขึ้นดูก็รู้ว่า ย่อมลดออกเท่านี้หรือต้องเพิ่มเท่านี้ ฉันใด
กุลบุตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน รู้ทางเจริญแห่งโภคทรัพย์
และทางเสื่อมแห่งแห่งโภคทรัพย์ แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ
ไม่ให้ฟุ่มเฟือยนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก
ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้
พราหมณ์ ถ้ากุลบุตรผู้นี้มีรายได้น้อย แต่เลี้ยงชีวิตอย่างโอ่อ่า จะมีผู้ว่าเขาว่า
กุลบุตรผู้นี้ใช้โภคทรัพย์เหมือนคนเคี้ยวกินผลมะเดื่อฉะนั้น
ก็ถ้ากุลบุตรผู้นี้มีรายได้มาก แต่เลี้ยงชีพอย่างฝืดเคือง
จะมีผู้ว่าเขาว่า กุลบุตรผู้นี้จักตายอย่างอนาถา
แต่เพราะกุลบุตรผู้นี้รู้ทางเจริญและทางเสื่อมแห่งแห่งโภคทรัพย์
แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้ฟุ่มเฟือยนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก
ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้
พราหมณ์ นี้เรียกว่าสมชีวิตา.


พราหมณ์ โภคทรัพย์ที่เกิดขึ้นโดยชอบแล้วอย่างนี้
ย่อมมีทางเสื่อม ๔ ประการ คือ เป็นนักเลงหญิง ๑ เป็นนักเลงสุรา ๑
เป็นนักเลงการพนัน ๑ มีมิตรชั่ว สหายชั่ว เพื่อนชั่ว ๑
พราหมณ์ เปรียบเหมือนสระน้ำใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง ทางไหลออก ๔ ทาง
บุรุษพึงปิดทางไหลเข้า เปิดทางไหลออกของสระนั้น
และฝนก็มิตกต้องตามฤดูกาล เมื่อเป็นเช่นนั้น
สระน้ำใหญ่นั้นพึงหวังความเสื่อมอย่างเดียว ไม่มีความเจริญเลย ฉันใด
โภคทรัพย์ที่เกิดขึ้นโดยชอบแล้วอย่างนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ย่อมมีทางเสื่อม ๔ ประการ คือ เป็นนักเลงหญิง ๑ เป็นนักเลงสุรา ๑
เป็นนักเลงการพนัน ๑ มีมิตรชั่ว สหายชั่ว เพื่อนชั่ว ๑.


พราหมณ์ โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบอย่างนี้
ย่อมมีทางเจริญอยู่ ๔ ประการ คือ ไม่เป็นนักเลงหญิง ๑
ไม่เป็นนักเลงสุรา ๑ ไม่เป็นนักเลงการพนัน ๑ มีมิตรดี สหายดี เพื่อนดี ๑
พราหมณ์ เปรียบเหมือนสระน้ำใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง ทางไหลออก ๔ ทาง
บุรุษพึงเปิดทางไหลเข้า ปิดทางไหลออกของสระนั้น
ทั้งฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อเป็นเช่นนั้น
สระน้ำใหญ่นั้นพึงหวังความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสื่อมเลย ฉันใด
โภคทรัพย์ที่เกิดขึ้นโดยชอบแล้วอย่างนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ย่อมมีทางเจริญอยู่ ๔ ประการ คือ ไม่เป็นนักเลงหญิง ๑
ไม่เป็นนักเลงสุรา ๑ ไม่เป็นนักเลงการพนัน ๑ มีมิตรดี สหายดี เพื่อนดี ๑
พราหมณ์ ธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์
เพื่อความสุขในปัจจุบันแก่กุลบุตร.


พราหมณ์ ธรรม ๔ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์
เพื่อความสุขในภายหน้าแก่กุลบุตร
๔ ประการเป็นไฉน คือ สัทธาสัมปทา ๑ สีลสัมปทา ๑
จาคสัมปทา ๑ ปัญญาสัมปทา ๑.


พราหมณ์ ก็สัทธาสัมปทาเป็นไฉน
กุลบุตรในโลกนี้เป็นผู้มีศรัทธา เชื่อพระปัญญาเครื่องตรัสรู้ของพระตถาคตว่า
แม้เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส
ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกธรรม นี้เรียกว่าสัทธาสัมปทา.


พราหมณ์ ก็สีลสัมปทาเป็นไฉน
กุลบุตรในโลกนี้ เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาต
เป็นผู้งดเว้นจากอทินนาทาน เป็นผู้งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร
เป็นผู้งดเว้นจากมุสาวาท และเป็นผู้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา
คือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
พราหมณ์ นี้เรียกว่าสีลสัมปทา.


พราหมณ์ ก็จาคสัมปทาเป็นไฉน
กุลบุตรในโลกนี้ มีจิตปราศจากมลทินคือความตระหนี่ อยู่ครองเรือน

มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามือชุ่ม ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ
ยินดีในการจำแนกทาน พราหมณ์ นี้เรียกว่าจาคสัมปทา.


พราหมณ์ ก็ปัญญาสัมปทาเป็นไฉน
กุลบุตรในโลกนี้ เป็นผู้มีปัญญา คือ
ประกอบด้วยปัญญาที่เห็นความเกิดและความดับ เป็นอริยะ
ชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ
พราหมณ์ นี้เรียกว่าปัญญาสัมปทา
พราหมณ์ ธรรม ๔ ประการนี้แล
ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในภายหน้าแก่กุลบุตร.


คนหมั่นในการทำงาน ไม่ประมาท จัดการงานเหมาะสม
เลี้ยงชีพพอเหมาะ ตามรักษาทรัพย์ที่หามาได้ มีศรัทธา
ถึงพร้อมด้วยศีล รู้ความประสงค์ของผู้อื่น ปราศจากความตระหนี่
ชำระทางสัมปรายิกประโยชน์อันสวัสดีเป็นนิตย์
ธรรม ๘ ประการดังกล่าวมานี้ ของผู้ครองเรือน ผู้มีศรัทธา
อันพระพุทธเจ้าผู้มีพระนามอันแท้จริงตรัสว่า
นำสุขมาให้ในโลกทั้งสอง คือ ประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบันนี้
และความสุขในภายหน้า จาคะและบุญนี้ย่อมเจริญแก่คฤหัสถ์
ด้วยประการฉะนี้.


อุชชยสูตร จบ



(อุชชยสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๗)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP