วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๔๑



cover siwadol

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            คืนนี้จันทร์กระจ่างฟ้า

            การฝึกฝนกระทำในเวลากลางคืน พักผ่อนกลางวันติดต่อกันมาถึงคืนที่สามแล้ว

            รอบบ้านป้าแมวยามนี้เหมือนป้อมปราการแกร่ง โอบล้อมด้วยภูตผีสมุนนายทอง ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นแหล่งพลังงานเสริมการฝึกปรือ

            ดลดารา รายา พรนรี โสภีล้วนอยู่ในกลุ่มภูตผีรอบบ้าน ไม่อาจหลีกเลี่ยงไปไหน ด้วยตรวนอาคมผูกล่าม เชื่อมโยงทุกตนไว้เพื่อสะดวกแก่การดึงดูดพลังวิญญาณ

            หมอกสีเทาปกคลุม นอกบ้านถูกล้อมด้วยเหล่าภูตผีเป็นวงหลายชั้น ในบ้านหนาแน่นด้วยกระแสมนตรา พลังมืดดำที่ผสานกันระหว่างหนึ่งผู้คน หนึ่งปิศาจร้าย

            อาการบาดเจ็บ...อาคมที่ค้างคาเป็นเหมือนช่องทางให้พัฒนาฝีมือ

            เมื่อบาดเจ็บย่อมรู้...ที่ใดเป็นจุดอ่อน พอรู้จุดบกพร่องย่อมมองเห็นช่องทางในการพัฒนา ช่องโหว่ที่ตนเองต้องสร้างเสริม เพ็ญแขอธิบายเรื่องเหล่านี้ พร้อมแสดงภาพประกอบจากจิตสู่จิตให้นายทองเห็น รับรู้จนเข้าใจ ยอมร่วมมือฝึกฝนด้วยกัน

            สำหรับเพ็ญแข...

            อาคม มนตราทั้งหมดที่เรียนรู้ถูกนำมาเรียบเรียงในหัว เคยคิดว่ามันสมบูรณ์พร้อมแล้วเลยไม่ยอมพัฒนา คราวนี้พลาดพลั้ง เห็นจุดที่ถูกทำร้าย จึงมองมันด้วยสายตาเปลี่ยนไปจากเดิม

            ส่วนปิศาจนายทอง...

            เคยพลาดพลั้งพ่ายแพ้สองจอมเวทจนถูกผนึกในอาคม เวลาหลายสิบปีไม่เคยสนใจมอง...ตนบกพร่องตรงไหน ควรใช้ความผิดพลาดมาพัฒนาตนเองอย่างไร จนกระทั่งทายาทสะกิดเตือน

            ทั้งสองร่วมผสานกระแสพลังเวท เกิดเป็นพลังงานแข็งแกร่ง ค้นหาข้อบกพร่องกันและกัน เติมในส่วนที่ขาด เกลี่ยส่วนที่เกิน ทั้งยังช่วยรักษาบาดเจ็บ สลายรอยอาคมแก่กันและกัน

            กำลังแห่งอาคมเพิ่มพูน แข็งแกร่งทีละน้อย จุดอ่อนช่องโหว่ค่อยผสานปิด กลายเป็นไร้ร่องรอย

            อาการบาดเจ็บทุเลาจนหายสนิท รอยดำบนท่อนขาปิศาจนายทองเจือจาง หลุดหายโดยไม่ต้องทำอะไร

            การฝึกฝนเพื่อให้ถึงขั้นสุดยอด ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย...



            ปิศาจนายทองยืนนิ่งมุมห้องราวกับปราศจากตัวตน ดวงตาเบิกโพลงมองไม่เห็นร่องรอยความรู้สึก ใบหน้าแดงจัดขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่งค่อยหยุดนิ่ง...นาน...

            เหล่าภูตผีล้อมบ้านที่ถูกดึงดูดพลังต่างเกิดอาการสั่นเทิ้ม คลับคล้ายร่างจะโดนกลืนเข้าไปภายใน กระแสลมหมุนพัดอู้ ๆ วนเวียนรอบบ้าน ดวงตาพวกมันเหลือกลาน กลอกกลับไปมาฉายแววหวาดกลัว สยดสยองต่อชะตากรรมตน

            ดลดาราพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากตรวนอาคม สำนึกภายในใจบอกว่าเรื่องน่ากลัวกำลังเกิดแก่ตนเอง แต่เธอจะหมดสภาพ กลายเป็นดวงวิญญาณเลื่อนลอยไร้สติความรับรู้ไม่ได้ จึงพยายามต่อสู้ ชักชวนรายา พรนรี โสภีให้ต่อต้านสุดกำลัง...ทว่าอำนาจแห่งตรวนเหนียวแน่นนัก กำลังดึงดูดจากปิศาจร้ายยิ่งน่ากลัวกว่า...

            ร่างภูตผีถูกกระแสลมดูดให้ลอยขึ้น หมุนคว้างเป็นวงรอบแล้วรอบเล่า วงล้อมบีบกระชับจนเกือบชิดตัวบ้าน ไม่นาน ทั้งหมดคงถูกกลืนพลังจนหมดสิ้น เหลือเพียงเปลือกร่างเปล่าดาย

            ดวงวิญญาณอดีตนายหญิงศิวาดลทั้งสาม รวมกับพยาบาลโสภีรวบรวมกำลัง พยายามหักสะบั้นตรวนที่ขาตนเองจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย ก่อนวิญญาณทุกดวงจะหลุดเข้าไปในบ้านน้อยอันร้ายกาจหลังนี้...

            แต่แล้ว...จู่ ๆ กระแสลมกลับหยุดหมุน บังเกิดแรงดีดสะท้อน ดลดารา และเหล่าภูตผีแตกกระจายคนละทิศคนละทาง

            ภายในห้อง...ปิศาจนายทองหลับตาลงแล้ว ใบหน้าแปรเปลี่ยนจากสีแดงเป็นขาวซีด เวลาผ่านไปช้า ๆ ดวงหน้านั้นยังไม่ปรากฏร่องรอยผิดปกติใด

            สุดท้าย นายทองลืมตาขึ้น ดวงตาเจิดจ้าฉายแววล้ำลึกดั่งห้วงมหรรณพ ก้าวสู่จุดสูงสุดแห่งอาคมพระยาคงเวทง่ายดายเหลือเชื่อ

            ...มันแค่เส้นผมบังภูเขาเท่านั้น...

            ที่ผ่านมา ปิศาจนายทองสามารถดึงดูดพลังจากวิญญาณดวงอื่นได้ จึงคิดว่าการล่ามโยงดวงวิญญาณด้วยตรวนอาคม จะทำให้ตนมีพลังปิศาจสูงส่ง ช่วยให้สำเร็จอาคมพระยาคงเวทขั้นสูงสุดไม่ยาก

            พอมาร่วมผสานพลังกับเพ็ญแข หาข้อบกพร่องตนโดยใช้เหล่าภูตผีทั้งหลายเป็นพลังงานเสริม ดึงดูดเข้ามาได้ทุกเมื่อ...จนครู่นี้ นายทองพยายามรวบรวมพลังจากภูตผีทั้งหมดมาไว้ในตน หวังให้เกิดพลังอำนาจแข็งแกร่งกว่าเคย

            ปิศาจนายทองมองเห็นในแวบสุดท้าย ก่อนพลังงานมหาศาลจะทะลักมาได้ว่า...ยิ่งดึงดูดพลังผู้อื่น กำลังแท้ของตนยิ่งอ่อนแอ...

            เพียงแค่...ตั้งใจพึ่งพาพลังของตนล้วน ๆ ไม่อาศัยกำลังของใคร เชื่อมั่นว่าแค่ตนก็สามารถมีกำลังเหนือฟ้าเหนือดินได้...ความอ่อนแอส่วนลึกในใจจะถูกทำลาย ก้าวสู่ขั้นสูงสุดอาคมโดยไม่เหนื่อยแรง

            เรื่องง่ายแค่นี้ กว่าปิศาจนายทองจะรู้ ก็ใช้เวลาร่วมร้อยปี!



            ส่วนเพ็ญแข...ลืมตาขึ้นในเวลาไล่เลี่ย ใบหน้าแดงก่ำกลับกลายเป็นซีดขาว...ขาวจนดูใส นัยน์ตาลึกเร้น แสดงขุมพลังอันมหาศาลภายใน

            ...สิ่งเดียวที่ปิดกั้นเพ็ญแขไม่ให้ก้าวสู่ความเป็นยอดอาคมนั่นคือ...

            ...ความสมบูรณ์ งามพร้อม...

            ที่ผ่านมาไม่ว่าเพ็ญแขจะทำอะไร ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่แค่ไหน เธอต้องทำเต็มที่ให้มันสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครสามารถต้องติได้

            เธอคิดว่าการฝึกอาคมก็ไม่แตกต่างกัน

            จนพลาดพลั้ง โดนอาคมสะท้อนกลับ...เธอจึงเข้าใจ ความสมบูรณ์พร้อมไม่มี...ผู้ไม่เคยพลาดพลั้ง พ่ายแพ้ยังไม่ปรากฏ...

            พอเห็นเรื่องที่ตนมองข้าม เข้าใจผิดมาตลอด จนใจยอมรับความไม่สมบูรณ์พร้อมได้ อำนาจอาคมของเธอบังเกิดความสมบูรณ์ในรูปแบบของตนเอง

            ...เป็นความสมบูรณ์ที่ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์...บกพร่องเพื่อจะได้มีโอกาสเติมเต็ม...พลาดพลั้งเพื่อชัยชนะภายหลัง

            ...นี่คือการก้าวสู่สุดยอดอาคมพระยาคงเวทสำหรับเพ็ญแข...

            

            สองผู้ทรงเวทด้านมืดหันหน้ามองกัน...รอยยิ้มชวนยะเยือกปรากฏขึ้น

            พวกเขาจะตามไล่ล่า...หรือรอตั้งรับ...เหยื่อ...แบบไหนอย่างไร...ไม่มีใครกล้าคาดเดา











บทที่ ๒๔



            ...หลายคืนก่อน...

            หลังถอนยันต์สลายอาคมยาสั่งให้ปู่เผด็จ ปู่คงคาเรียบร้อย ครูแกลงพาสองหนุ่มสาวมานั่งพูดคุยเรื่องสำคัญ เริ่มจากให้ทั้งคู่บอกเล่าเกี่ยวกับศิวาดลทุกแง่ทุกมุมออกมาก่อน จากนั้นท่านจึงพูดถึงที่มาของยันต์แก้อาคมยาสั่ง

            “นั่นเป็นวิชาพระยาคงเวท...ไม่ใช่ของเรา!”

            “วิชานี้มาอยู่กับครูได้ยังไงครับ” พิจิกเอ่ยถาม ในใจมีข้อสงสัยมากมาย

            “เราได้มาจากพระอาจารย์เมืองชุ่ม...อาจารย์ของเราอีกที”

            เมษา พิจิกสบตากัน จำได้ว่าสมัยเด็ก ปู่เคยเล่าให้ฟังตอนท่านบวชเป็นพระ ได้พบหลวงตาชราอยู่กุฏิท้ายวัด แล้วไปขอเรียนวิชาอาคมจากท่าน แต่ท่านกลับสอนแค่สมถกรรมฐานสายพุทธ พอท่านมรณภาพ ทั้งคู่มางานศพ มีโอกาสพบครูแกลง ลูกศิษย์หลวงตาชรา จนกราบขอเป็นลูกศิษย์ท่านในเวลาต่อมา

            พระอาจารย์เมืองชุ่ม คือหลวงตาชราที่ปู่ของพิจิก เมษาเคยไปขอให้สอนวิชาอาคมนั่นเอง

            “อาจารย์ของเราเป็นศิษย์รุ่นน้องร่วมสำนักกับพระยาคงเวท...ก่อนพระยาคงเวทจะเสียชีวิต ได้มาหาอาจารย์เรา แล้วมอบตำราวิชาแก้อาคมของตนเองไว้ให้”

            “ท่านทำอย่างนั้นทำไมคะ” เมษาไม่เข้าใจ

            ครูแกลงยิ้มละไม อธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

            “พระยาคงเวทเป็นสุดยอดจอมเวทในยุคสมัยนั้น นอกจากวิชาอาคมที่ท่านร่ำเรียนมาจากสำนักอาจารย์แล้ว ก็ยังสามารถสรรค์สร้าง แตกแขนงอาคมใหม่ ๆ ด้วยตนเอง เป็นวิชามหัศจรรย์พันลึกที่มีแต่อัจฉริยะอย่างท่านเท่านั้น ที่จะสร้างขึ้นมาได้”

            ฟังถึงตรงนี้ สองหนุ่มสาวยังสงสัย ในเมื่อมีวิชาอาคมล้ำเลิศขนาดนั้น เหตุใดต้องสร้างตำราแก้ไว้ด้วย

            “เหตุผลที่ท่านเขียนตำราแก้อาคมตัวเองก็คือ...” ครูแกลงพูดต่อราวอ่านใจหลานศิษย์ออก “...วิชาของท่านเป็นเหมือนดาบสองคม หากผู้ฝึกฝนมีศีลมีสัตย์ พื้นฐานจิตใจดีงาม รับการอบรมขัดเกลาจากอาจารย์ที่มีความเห็นถูกตรง วิชานั้นก็จะเป็นไสยขาว สร้างประโยชน์ใหญ่แก่คนทั่วไป...แต่ถ้าผู้ฝึกฝนไม่มีครูบาอาจารย์ที่ดีแนะนำ ควบคุม ฝึกฝน ใจเต็มไปด้วยโลภะอยากเก่งกล้าสามารถเหนือใคร...ด้วยโทสะ โกรธแค้นหวังทำร้ายผู้อื่น หรือกระทั่งลุ่มหลงในอาคม อำนาจ ก็จะทำให้วิชานั้นกลายเป็นไสยดำ...ต่อให้สำเร็จอาคมขั้นสูงสุดในตำรา ก็จะเป็นแค่จอมมารตนหนึ่งเท่านั้น”

            พิจิก เมษาเสียวสันหลังวาบ เกิดสังหรณ์ร้ายจับใจ เหตุการณ์ต่อสู้ระหว่างตนกับปิศาจนายทองย้อนเข้ามาในหัว การเผชิญหน้ากับยันต์สะกด อาคมยาสั่งของเพ็ญแข...ป้าแมวเมื่อครู่ ก็บอกชัดว่า ขนาดฝีมือยังไม่ถึงขั้นสูงสุด ยังร้ายกาจขนาดนี้

            ...จะเป็นอย่างไร...ถ้าทั้งสองสำเร็จอาคมขั้นสูงสุด กลายเป็นจอมมาร จอมปิศาจที่ร้ายกาจเกินกว่าใครขัดขวาง ปราบปรามได้?

            “เพราะอย่างนี้ พระยาคงเวทถึงเขียนตำราขึ้นมากำราบวิชาตนเอง...” พิจิกพึมพำ

            “และการที่ท่านเลือกนำตำรานี้ฝากไว้กับพระอาจารย์เมืองชุ่ม...เพราะมั่นใจว่า พระอาจารย์จะสามารถใช้มันกำราบจอมมาร ผู้สำเร็จอาคมขั้นสูงได้...” เมษาตั้งข้อสังเกต

            “ใช่” ครูแกลงบอก “ถึงจะบอกว่าเป็นตำราแก้อาคมพระยาคงเวท แต่คนที่จะใช้วิชานี้ ต้องมีฝีมือเหนือธรรมดา...ท่านจึงเลือกคนที่เหมาะสมเท่านั้น เป็นผู้สืบทอดตำรา”

            “ถ้าอย่างนั้น ก่อนพระอาจารย์เมืองชุ่มจะมรณภาพ ท่านก็มอบตำราให้ครูแกลงด้วยเหตุผลนี้เหมือนกัน” พิจิกเริ่มเข้าใจ

            “มันเป็นเหมือนหน้าที่ลูกศิษย์ฝั่งเรา ที่จะคอยคานอำนาจอาคมฝ่ายตรงข้าม ถ้าเขาใช้วิชาในทางที่ดี เราก็จะไม่ยุ่ง แต่เมื่อไรสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เราจำเป็นต้องเข้าไปขัดขวาง แก้ไข เพราะไม่ว่าอย่างไร พอสืบสาวขึ้นไปแล้ว วิชาที่ฝ่ายเราและทายาทพระยาคงเวทร่ำเรียน ก็มาจากต้นตอเดียวกัน”

            สองหนุ่มสาวฟังถึงตรงนี้ค่อยระบายลมหายใจออก มองเห็นภาระสำคัญที่ครูแกลงแบกไว้มาหลายสิบปี เข้าใจว่าเหตุใดท่านจึงเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟัง...และยิ่งเข้าใจลึกซึ้ง ทำไมพวกตนถึงเจอบททดสอบเคี่ยวกรำมากขนาดนี้

            “ครูแกลงต้องการให้พวกเรา...” พิจิกเอ่ยปาก “...รับภาระนี้ต่อจากครูมั้ยครับ”

            เมษาไม่คัดค้าน แม้จะรู้พิจิกจงใจเอ่ยรวมเธอไว้ในวาจานั้นด้วย สายตามองท่านผู้เฒ่าบอกความหมายชัด...เธอยินดีรับหน้าที่นี้ด้วยความเต็มใจ

            “เราดีใจ ที่พวกเธอเอ่ยปากขึ้นมาอย่างนี้” รอยยิ้มคลี่บานบนใบหน้าชรา ดวงตาทอประกายเจิดจ้าแฝงรอยเมตตาเปี่ยมล้น

            “ถึงปู่พวกเธอจะถูกขจัดยันต์ อาคมยาสั่งจนหมดแล้ว ร่างกายก็จำเป็นต้องพักฟื้นที่นี่อีกหลายวัน ระหว่างนี้ลองมาศึกษาตำราแก้อาคมดูมั้ย...เราจะช่วยแนะนำให้...”

            พิจิก เมษายิ้มรับ ใจเบิกบานพองฟู ต่อให้รู้ว่าภาระที่รับมาหนักหนาขนาดไหน ในใจกลับปีติยินดีที่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระสำคัญของอาจารย์ปู่ ผู้เฒ่ามาได้




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ...เวลาเย็น...ศิวาดล...

            ประตูเลื่อนบานใหญ่ด้านหน้าศิวาดลเปิดออก ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำซัดสาด ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนด้วยสายน้ำขาวพร่างพราย

            รถยนต์พ่อบ้านสมยศแล่นผ่านประตู ขึ้นบนถนนคอนกรีตทอดยาวคดเคี้ยวลัดเลาะผ่านแนวต้นไม้เขียวขจี สวนป่าปลูกเป็นระเบียบสวยงาม บึงน้ำขนาดใหญ่รองรับน้ำฝนฉ่ำชื่น

            จิตสัมผัสพิจิก เมษากระตุกวาบรับรู้ความผิดปกติอย่างใหญ่กระทบใจ สายตามองบรรยากาศโดยรอบ นัยน์ตาหรี่เรียวราวกับแลเห็นสิ่งผิดปกติ

            ขณะรถยนต์แล่นผ่านคฤหาสน์ศิวาดล เห็นหมอกสีคล้ำแทรกอยู่ในม่านฝน ภูตผีสมุนปิศาจนายทองกระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ใต้ม่านพิรุณ...ในใจได้คำตอบชัดเจน

            “กำแพงอาคมเก้าชั้นของปู่ ถูกทำลายไปหมดแล้ว!” เมษากระซิบแผ่วเบา

            พิจิกพยักหน้ารับ ใจรู้ละเอียดยิ่งกว่านั้น...กำแพงอาคมเพิ่งถูกทำลายเมื่อเช้านี้เอง สิ่งที่คาดหมายได้นั่นคือ ผู้ทรงเวทในเงาทั้งสอง สำเร็จอาคมขั้นสูงสุดของพระยาคงเวทแล้ว!

            เพราะหากไม่ใช่อาคมขั้นสูงสุด รับรองไม่มีทางทำลายกำแพงอาคมเก้าชั้นของปู่เผด็จ ปู่คงคาได้เด็ดขาด

            นี่เองน่าจะเป็นเหตุผลที่ครูแกลงสั่งให้พวกตนกลับศิวาดลโดยด่วน ทั้งที่ร่างกายปู่ยังไม่หายดี



            เราจะดูแลพวกเขาเอง” ครูแกลงให้คำรับรอง

            สองหนุ่มสาวรับคำโดยไม่ขัด จากนั้นท่านผู้เฒ่าหันไปถามเหลนชาย

            ติดต่อย่าเข็มได้หรือยัง

            โทรหาแล้ว แต่ย่าเข็มไม่รับสาย...กว่าจะโทรกลับก็โน่น...สองสามวัน” ตี๋เล็กบอกอย่างคนรู้นิสัยย่าตนเองดี

            ครูแกลงถอนใจ แววตามีความเป็นห่วง

            ส่งข้อความไป...บอกให้ระวังตัว” คำสั่งชัด

            ได้ครับ...แต่ไม่รู้ย่าเข็มจะอ่านตอนไหนนะ” ตี๋เล็กไม่แน่ใจ

            ไม่เป็นไร...เราทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว...”

            ท่านผู้เฒ่าเอ่ยปากอย่างเข้าใจก่อนหันไปมองสองหนุ่มสาว

            กลับไปวันนี้ พยายามสยบเพ็ญแข กับปิศาจนายทองให้ได้เร็วที่สุด!”

            ต่อให้ไม่ถามเหตุผล ผู้เป็นอาจารย์ปู่ย่อมมีคำอธิบาย

            ถ้าพวกนั้นสำเร็จอาคมขั้นสูงสุด เป้าหมายแรกที่จัดการคือปู่พวกเธอ...ส่วนเข็มทองอยู่ที่นั่น ก็น่าเป็นห่วง

            พูดแค่นี้ พิจิก เมษาเข้าใจกระจ่างชัด...ถึงเรื่องที่ท่านผู้เฒ่าพยายามติดต่อบอกข่าวลูกสาวตน

            ส่วนอีกเรื่อง...เวลานี้อาคม ยาสั่งและยันต์กำกับในตัวปู่ถูกขับสลายไปแล้วก็จริง แต่หากศัตรูยังอยู่และสำเร็จอาคมขั้นสูงสุด การส่ง ‘ของ’ ทั้งหมดกลับมาซ้ำนับว่าเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง

            สิ่งน่ากลัวกว่านั้นคือ เมื่อโดนอาคมเดิมย้อนซ้ำ จะไม่มีทางแก้ไขช่วยเหลือได้เลย ต่อให้มีตำราแก้ของพระยาคงเวทก็ตาม

            ครูแกลงรับปากดูแลก็จริง แต่ด้วยกำลังอาคมที่ยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ โอกาสพลาดพลั้ง พ่ายแพ้ย่อมสูงยิ่ง



            เพียงผ่านประตูศิวาดลก็รู้ชัด กำแพงอาคมเก้าชั้นถูกทำลายสิ้น ผู้ทรงเวทในเงาทั้งสองสำเร็จอาคมขั้นสูงสุด สิ่งที่ปกคลุมทั่วศิวาดลยามนี้คือม่านหมอกแห่งภูตร้าย ซึ่งบ่งบอกอาณาเขตของปิศาจนายทอง และป้าเพ็ญแขไว้อย่างชัดเจน

            ตอนนี้พวกมันน่าจะรู้การมาถึงของพิจิก เมษาแล้ว อยู่ที่ว่าฝ่ายนั้นจะวางแผนจัดการพวกตนอย่างไร

            ส่วนแผนการของตน ถูกวางไว้ล่วงหน้าก่อนมาที่นี่ และมี ไพ่ลับ’ ที่ฝ่ายตรงข้ามคิดไม่ถึง

            “พร้อมมั้ย” พิจิกถาม

            “แน่นอน” เมษาตอบหนักแน่น

            พ่อบ้านสมยศขับรถมาจอดยังโรงจอดข้างสำนักงานด้านหลังคฤหาสน์ เหลียวมองสองหนุ่มสาวที่กำลังคุยกันเงียบ ๆ รู้สึกผิดตาจากเดิม แม้ทั้งคู่จะแต่งตัวไม่ต่างกับวันแรกที่เจอ

            “ขอบคุณมากครับ คุณสมยศ” พิจิกพูดด้วยรอยยิ้มสุภาพ

            “เดี๋ยวขอเข้าไปหยิบร่มก่อนนะคะ” เมษาบอกก่อนเปิดประตูลงจากรถ

            “หยิบมาเผื่อด้วยนะ” พิจิกบอกหน้าตาเฉย

            เมษาถลึงตาดุ ก่อนเอ่ยปากสั้น ๆ

            “เออ!”

            พ่อบ้านสมยศมองสองหนุ่มสาว นึกอยากหัวเราะขัน พอกับถอนใจเฮือกใหญ่

            พิจิกช่วยถือกระเป๋าหญิงสาวออกจากรถ เดินตามไปหน้าสำนักงาน

            เมษาเข้าไปหยิบร่มออกมารวดเร็วราวกับรู้ ต้องใช้เวลาที่นี่อย่างคุ้มค่า ไม่ประมาท

            “เอ้า...กระเป๋า” ชายหนุ่มยื่นกระเป๋า หญิงสาวยื่นร่มให้



            “กลับมาแล้วเหรอ” เสียงใส ๆ ของพี่แวว ผู้ช่วยแม่ครัวตึกใหญ่ดังขึ้น

            “สวัสดีค่ะพี่แวว” เมษายกมือไหว้ กลายร่างเป็นสาวต่างจังหวัดทันที

            พิจิกยกมือไหว้ตามเก้ ๆ กัง ๆ ท่าทางเปิ่นซื่อเป็นธรรมชาติเหมือนคนขับรถคนเดิม

            “งานที่บ้านเรียบร้อยแล้วเหรอ” ผู้ช่วยแม่ครัวถามอย่างใส่ใจ

            “เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอโทษที่ลางานไปหลายวัน” เมษาตอบ

            “อือ...ไม่เป็นไรหรอก คุณแม่บ้านเธอไม่ว่าอะไรก็ดีแล้ว นี่มากันยังไง ถึงนั่งรถคุณสมยศเข้ามาแบบนี้ได้ล่ะ” แม่แววสงสัย

            “อ๋อ...ฉันเจอคนคู่นี้ติดฝนอยู่ตรงศาลารอรถทางเข้า เลยรับมาด้วยกัน” พ่อบ้านสมยศรีบอธิบาย

            “เอ่อ...พี่แววมาทำอะไรที่นี่คะ ฝนตกหนักขนาดนี้ทำไมไม่อยู่ตึกใหญ่” เมษารีบถามกลับ ก่อนอีกฝ่ายจะซักไซ้อะไรมากกว่านี้

            “จริงสิ พี่เกือบลืมไป” ผู้ช่วยแม่ครัวทำท่านึกได้ “คุณพลอยถามถึงเธอแน่ะ ว่ากลับมาหรือยัง...ให้พี่ลงมาถามคุณสมยศที่สำนักงาน เลยมาเจอกันพอดี”

            ผู้ช่วยแม่ครัวพูดอย่างเห็นเป็นเรื่องบังเอิญ

            เมษานิ่งงันชั่วขณะ พิจิกเหลือบทางตึกใหญ่ด้วยรอยยิ้มมุมปาก

            หากเป็นเวลาก่อนคืนวันเปิดรั้วศิวาดล ทั้งสองคงคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญเหมือนกัน แต่คราวนี้มั่นใจว่าไม่ใช่แน่นอน เพราะตนสนทนากับปู่เผด็จ ปู่คงคาจนได้ข้อสรุปบางอย่าง



            “เออ...หมวยมีนโทรมาหาเมื่อวาน มีอะไรหรือเปล่า เห็นคุยกันนานเชียว...” ปู่คงคาถาม

            “หลายเรื่องค่ะ แต่มีเรื่องน่าสนใจมากอยู่เรื่องนึง” เมษาบอก สองผู้เฒ่าสนใจฟัง

            มีนาเล่าเรื่องที่ตนกับ ผู้การพฤกษ์แอบเห็นการสนทนาแปลก ๆ ระหว่างแพรพลอยกับป้าแมว ในห้องเล็กข้างห้องจัดเลี้ยง รายละเอียดถูกนำมาถ่ายทอดให้น้องสาวฟังจนหมด เมษาจึงนำมาเล่าต่อ...

            “เมียเจ้าของศิวาดล กับแม่เพ็ญแขนี่ ร้ายกาจพอกัน และต้องมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาแน่” ปู่คงคาบอก

            “ษาก็ว่าอย่างนั้น แต่คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าศิวาดลจะเป็นของแพรพลอยแล้ว” เมษาแปลกใจ

            “ถ้าป้าเพ็ญแขยอมให้แพรพลอยเป็นเจ้าของศิวาดลก่อน แสดงว่าความสัมพันธ์ทั้งคู่ต้องใกล้ชิดกันมาก ถ้าไม่ใช่แม่ลูก ก็เป็นป้าหลาน” พิจิกออกความเห็น

            “เออ ยังมีอีกเรื่องนึง” ปู่เผด็จพูดขึ้น “ไอ้ชาติมันไลน์มาบอกเมื่อวันก่อน เกี่ยวกับกลุ่มนักเลงที่รุมพวกแกด้วย”

            ข้อมูลเพิ่มเติมถูกถ่ายทอด...

            คืนวันนั้นลุงชาติกลับเข้าศิวาดล แต่ไม่พบสองผู้เฒ่า จึงตามล่าจับนักเลงที่มารุมสองหนุ่มสาวได้คนนึง คาดคั้นถามหาผู้บงการ ตอนแรกคิดว่าเป็นนายศิวา พอสืบเสาะอย่างละเอียด อาศัยความร่วมมือจากสารวัตรธงรบ จึงหาต้นตอแท้จริงได้อย่างไม่ผิดพลาด

            “ไอ้ชาติมันบอกว่า ต้นตอเงินที่โอนเข้าบัญชีเจ้านายพวกนักเลงนี่ มาจากแพรพลอย เมียนายศิวา...”

            สองเรื่องราวถูกนำมาเชื่อมโยง ทำให้มองเห็นผู้ร้ายเพิ่มอีกคน

            “สรุปว่าแพรพลอยกับป้าแมว...เอ๊ย...ป้าเพ็ญแขต้องร่วมมือกันแน่นอน ตอนนี้พวกเขาเป็นเจ้าของศิวาดล มีทั้งเงิน อำนาจและอาคม ท่าทางจะเล่นงานยากแล้วล่ะ” เมษาคาดเดา

            “งั้นที่แพรพลอยแกล้งป่วย ทำเป็นไบโพล่าร์ก็เพื่อตบตาทุกคน...การตายของพยาบาลโสภีอาจเกี่ยวข้องกับการที่เธอรู้ความลับนี้ก็ได้”

            พิจิกนึกถึงเรื่องคดีพยาบาลโสภีที่ถูกปิดสรุปสำนวนอย่างรวดเร็ว การปลอมแปลงหลักฐานที่ได้รับการยอมรับง่ายดาย

            หากคิดย้อนไปถึงการตายของดลดารา รายา พรนรีแล้ว อาจเป็นได้ที่แพรพลอยมีส่วนเกี่ยวข้อง

            “เป้าหมายสุดท้ายของเขาคืออะไร?” ชายหนุ่มตั้งข้อสังเกต

            “หลังจากได้ศิวาดล...เป้าหมายสุดท้ายคงต้องจัดการพวกเราและคุณศิวา” เมษาสรุป

            ผู้เฒ่า กับหนุ่มสาวมองเห็นภาพรวมกว้างกว่าเดิม จากเรื่องทั้งหมดที่ประมวลมาตั้งแต่ต้นน่าจะได้ความว่า...

            หลังจากเรือนพระยาคงเวทถูกรื้อทิ้ง ที่ดินโดนขายต่อมือไปจนถึงนายศิวา สร้างเป็นศิวาดล ตัวป้าเพ็ญแข ร่วมมือกับแพรพลอย วางแผนกลับมายึดสมบัติบรรพบุรุษเดิม เพราะฉะนั้นอุปสรรคใดที่กีดขวางเป้าหมายพวกตนต้องถูกทำลายทิ้งให้สิ้นซาก

            พอเข้าใจฝ่ายตรงข้ามมากขึ้นอย่างนี้ แผนการเดินเข้าหาศิวาดลจึงถูกวางขึ้น...เพิ่มหมากบางตัวเข้าไป

            เพราะนอกจากปู่เผด็จ ปู่คงคา พิจิก เมษาแล้ว คนที่อยู่ในข่ายกำจัดทิ้งตอนนี้น่าจะมีนายศิวาอีกคนนึง!



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP