ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta

โคตมีสูตร ว่าด้วยประทานครุธรรมแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี


กลุ่มไตรปิฎกสิกขา



[๑๔๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิโครธาราม
ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ครั้งนั้นแล
พระนางมหาปชาบดีโคตมีเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ทรงถวายบังคมแล้วประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส
ขอให้มาตุคามพึงได้การออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัย
ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วเถิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พระนางโคตมี อย่าเลย
พระนางอย่าชอบใจการออกบวชเป็นบรรพชิตของมาตุคาม
ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย.


แม้ครั้งที่ ๒ พระนางปชาบดีโคตมีก็กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส
ขอให้มาตุคามพึงได้การออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัย
ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วเถิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พระนางโคตมี อย่าเลย
พระนางอย่าชอบใจการออกบวชเป็นบรรพชิตของมาตุคาม
ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย.


แม้ครั้งที่ ๓ พระนางปชาบดีโคตมีก็กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส
ขอให้มาตุคามพึงได้การออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัย
ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วเถิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พระนางโคตมี อย่าเลย
พระนางอย่าชอบใจการออกบวชเป็นบรรพชิตของมาตุคาม
ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย.


ลำดับนั้น พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงพระดำริว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัย
ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว
เป็นผู้มีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสงอยู่
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงกระทำประทักษิณแล้วเสด็จหลีกไป.


ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์ตามพระประสงค์
แล้วเสด็จจาริกไปทางกรุงเวสาลี

เมื่อเสด็จจาริกไปโดยลำดับ เสด็จไปถึงกรุงเวสาลี ได้ยินว่า ณ ที่นั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี
ครั้งนั้น พระนางปชาบดีโคตมีทรงปลงพระเกสาแล้ว
ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จไปทางกรุงเวสาลี
พร้อมกับเจ้าหญิงสากิยะหลายพระองค์
เสด็จเข้าไปยังกูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลีโดยลำดับ
พระนางปชาบดีโคตมีทรงมีพระบาทระบม มีพระกายเต็มด้วยฝุ่นละออง
มีทุกข์ เสียพระทัย พระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร
ทรงกันแสงอยู่ ประทับยืนอยู่ ณ ซุ้มประตูด้านนอก
ท่านพระอานนท์ได้แลเห็นพระนางปชาบดีโคตมีทรงมีพระบาทระบม
มีพระกายเต็มด้วยฝุ่นละออง มีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร
ทรงกันแสงอยู่ ประทับยืนอยู่ ณ ซุ้มประตูด้านนอก
ครั้นเห็นแล้ว จึงกล่าวความข้อนี้กะพระนางว่า
พระนางโคตมี เพราะเหตุอะไรหนอ พระนางจึงมีพระบาทระบม
มีพระกายเต็มด้วยฝุ่นละออง มีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร
ทรงกันแสงอยู่ ประทับยืนอยู่ ณ ซุ้มประตูด้านนอก


พระนางมหาปชาบดีโคตมีตรัสตอบว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ เรื่องมีอยู่ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต
ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว
ท่านพระอานนท์ก็กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นขอเชิญพระนางรออยู่ที่นี้ก่อน
จนกว่าอาตมภาพทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้า
ให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยนี้.


ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนางมหาปชาบดีโคตมีนี้ทรงมีพระบาทระบม
มีพระกายเต็มด้วยฝุ่นละออง มีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร
ทรงกันแสงอยู่ ประทับยืนอยู่ ณ ซุ้มประตูด้านนอก
เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต
ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ขอให้มาตุคามพึงได้ออกบวช
เป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วเถิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อานนท์ อย่าเลย
เธออย่าชอบใจการออกบวชเป็นบรรพชิตของมาตุคาม
ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย.


แม้ครั้งที่ ๒ ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนางมหาปชาบดีโคตมีนี้ทรงมีพระบาทระบม
มีพระกายเต็มด้วยฝุ่นละออง มีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร
ทรงกันแสงอยู่ ประทับยืนอยู่ ณ ซุ้มประตูด้านนอก
เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต
ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ขอให้มาตุคามพึงได้ออกบวช
เป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วเถิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อานนท์ อย่าเลย
เธออย่าชอบใจการออกบวชเป็นบรรพชิตของมาตุคาม
ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย.


แม้ครั้งที่ ๓ ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนางมหาปชาบดีโคตมีนี้ทรงมีพระบาทระบม

มีพระกายเต็มด้วยฝุ่นละออง มีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร
ทรงกันแสงอยู่ ประทับยืนอยู่ ณ ซุ้มประตูด้านนอก
เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต
ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ขอให้มาตุคามพึงได้ออกบวช
เป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วเถิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อานนท์ อย่าเลย
เธออย่าชอบใจการออกบวชเป็นบรรพชิตของมาตุคาม
ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย.


ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ได้มีความคิดดังนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต
ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว
ไฉนหนอ เราพึงทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้าให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต
ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วโดยปริยายแม้อื่น
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัย
ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว สามารถจะทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผลได้หรือไม่ พระเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อานนท์ มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต
ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว สามารถทำให้แจ้งแม้โสดาปัตติผล
สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตผลได้.


อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้ามาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัย
ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว สามารถทำให้แจ้งแม้โสดาปัตติผล
สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตผลได้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนางปชาบดีโคตมีทรงมีอุปการะมาก
เป็นพระมาตุจฉาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทะนุถนอมเลี้ยงดู
ให้น้ำนมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงให้ดื่มน้ำนมจากพระถันในเมื่อพระชนนีทิวงคตแล้ว
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ขอให้มาตุคามพึงได้ออกบวช
เป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วเถิด.


ภ. อานนท์ ถ้าพระนางมหาปชาบดีโคตมี ทรงรับครุธรรม ๘ ประการ
นั่นแหละ จงเป็นอุปสัมปทาของพระนาง คือ
ภิกษุณีแม้อุปสมบทแล้ว ๑๐๐ ปี ต้องทำการกราบไหว้ ลุกรับ
ทำอัญชลีกรรม ทำสามีจิกรรม แก่ภิกษุแม้อุปสมบทในวันนั้น
แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วง ตลอดชีวิต.


ภิกษุณีไม่พึงเข้าจำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ
แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณี ต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต.


ภิกษุณีพึงหวังธรรม ๒ อย่าง คือถามอุโบสถ
และการเข้าไปรับโอวาทจากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน
แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณี ต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต.


ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้ว ต้องปวารณาในอุภโตสงฆ์ด้วยฐานะ ๓ ประการ
คือ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ฟัง และด้วยรังเกียจ
แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณี ต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต.


ภิกษุณีละเมิดครุธรรมแล้ว ต้องประพฤติมานัตปักษ์หนึ่งในอุภโตสงฆ์
แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณี ต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต.


ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในอุภโตสงฆ์
เพื่อนางสิกขมานาผู้ศึกษาในธรรม ๖ ประการครบ ๒ ปีแล้ว
แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณี ต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต.


ภิกษุณีอย่าพึงด่าบริภาษภิกษุโดยประการใด ๆ
แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณี ต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต.


ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามภิกษุณีว่ากล่าวตักเตือนภิกษุ
ไม่ห้ามภิกษุว่ากล่าวตักเตือนภิกษุณี
แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณี ต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต.


อานนท์ ถ้าพระนางมหาปชาบดีโคตมีรับครุธรรม ๘ ประการนี้ได้
นั่นแหละจงเป็นอุปสัมปทาของพระนาง.


ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์เรียนครุธรรม ๘ ประการนี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
เข้าไปหาพระนางปชาบดีโคตมีแล้วกล่าวข้อความนี้กะพระนางว่า
พระนางโคตมี ถ้าพระนางพึงยอมรับครุธรรม ๘ ประการได้
นั่นแหละจักเป็นอุปสัมปทาของพระนาง คือ
ภิกษุณีแม้อุปสมบทแล้ว ๑๐๐ ปี ต้องทำการกราบไหว้ ลุกรับ
ทำอัญชลีกรรม ทำสามีจิกรรม แก่ภิกษุแม้อุปสมบทในวันนั้น
แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วง ตลอดชีวิต.


ภิกษุณีไม่พึงเข้าจำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ
แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณี ต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต.


ภิกษุณีพึงหวังธรรม ๒ อย่าง คือถามอุโบสถ
และการเข้าไปรับโอวาทจากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน
แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณี ต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต.


ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้ว ต้องปวารณาในอุภโตสงฆ์ด้วยฐานะ ๓ ประการ
คือ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ฟัง และด้วยรังเกียจ
แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณี ต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต.


ภิกษุณีละเมิดครุธรรมแล้ว ต้องประพฤติมานัตปักษ์หนึ่งในอุภโตสงฆ์
แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณี ต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต.


ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในอุภโตสงฆ์
เพื่อนางสิกขมานาผู้ศึกษาในธรรม ๖ ประการครบ ๒ ปีแล้ว
แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณี ต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต.


ภิกษุณีอย่าพึงด่าบริภาษภิกษุโดยประการใด ๆ
แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณี ต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต.


ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามภิกษุณีว่ากล่าวตักเตือนภิกษุ
ไม่ห้ามภิกษุว่ากล่าวตักเตือนภิกษุณี
แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณี ต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต.


พระนางโคตมี ถ้าพระนางพึงยอมรับครุธรรม ๘ ประการนี้ได้
นั่นแหละจักเป็นอุปสัมปทาของพระนาง.


พระนางมหาปชาบดีโคตมีกล่าวว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์
หญิงหรือชายแรกรุ่นหนุ่มสาว ชอบประดับ ตกแต่ง อาบน้ำชำระร่างกายแล้ว
ได้พวงดอกอุบล พวงมะลิ หรือพวงลำดวน
แล้วเอามือทั้งสองประคองวางไว้บนศีรษะ ฉันใด
ดิฉันก็ยอมรับครุธรรม ๘ ประการนี้ ไม่ก้าวล่วงตลอดชีวิต ฉันนั้นเหมือนกัน.


ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงยอมรับครุธรรม ๘ ประการ
ไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต.


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อานนท์ หากมาตุคามจักไม่ได้การออกบวชเป็นบรรพชิต
ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์ก็ยังจะตั้งอยู่ได้นาน
สัทธรรมพึงดำรงอยู่ได้ ๑,๐๐๐ ปี แต่เพราะมาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต
ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จะไม่ตั้งอยู่นาน
ทั้งสัทธรรมก็จักดำรงอยู่เพียง ๕๐๐ ปี
อานนท์ ตระกูลใดตระกูลหนึ่งที่มีหญิงมากชายน้อย
ตระกูลนั้นถูกพวกโจรผู้ลักด้วยหม้อกำจัดได้ง่าย แม้ฉันใด
มาตุคามได้ออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด
พรหมจรรย์ในธรรมวินัยนั้นจะไม่ตั้งอยู่นาน ฉันนั้นเหมือนกัน
อนึ่ง โรคหนอนขยอกลงในนาข้าวที่สมบูรณ์
นาข้าวนั้นก็ย่อมไม่ตั้งอยู่นาน แม้ฉันใด
มาตุคามได้ออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด
พรหมจรรย์ในธรรมวินัยนั้นจะไม่ตั้งอยู่นาน ฉันนั้นเหมือนกัน
เพลี้ยลงในไร่อ้อยที่สมบูรณ์ ไร่อ้อยนั้นก็ย่อมไม่ตั้งอยู่นาน แม้ฉันใด
มาตุคามได้การออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด
พรหมจรรย์ในธรรมวินัยนั้นจะไม่ตั้งอยู่นาน ฉันนั้นเหมือนกัน
อนึ่ง บุรุษกั้นคันสระใหญ่ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้น้ำไหลออก ฉันใด
เราบัญญัติครุธรรม ๘ ประการไม่ให้ภิกษุณีก้าวล่วงตลอดชีวิตเสียก่อน
ฉันนั้นเหมือนกัน.


โคตมีสูตร จบ



(โคตมีสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๗)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP