วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๓๕



cover siwadol

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            “ถ้าทวดรวมกำลังกับพวกพี่ ๆ เขา...ก็น่าจะเพียงพอสำหรับถอนอาคมกำกับของนั่นได้แล้วล่ะ” ครูแกลงสรุป

            “งั้นผมจะช่วยด้วย” เด็กหนุ่มประกาศตัวช่วยเหลือ

            ทวดยิ้มอ่อนโยน ตบไหล่เหลนเบา ๆ

            “เราน่ะ...รู้หลักการ ตำราจนหมดแล้วก็จริง แต่พลังการฝึกฝนยังน้อยเกินไป ถ้ามาร่วมด้วยจะเป็นภาระให้ทวดกับพวกพี่เขาเปล่า ๆ”

            เด็กหนุ่มหน้ามุ่ย แสดงท่าไม่ยินยอม

            “ถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาด ทวดใช้พลังเกินขีดจำกัด มันอาจทำให้ป่วยถึงขั้นนอนซมเป็นเดือนได้เลยนะ”

            “ทวดจะระวัง” ตอบพร้อมรอยยิ้มหนักแน่น

            พอทวดแสดงความจริงจังขนาดนี้ ตี๋เล็กค่อยพยักหน้าอย่างจำยอม...ถึงจะหัวดื้อ อัตตาใหญ่แค่ไหน ก็แยกแยะออกว่าพลังจิต การฝึกฝนของตนยังอ่อนกว่าพิจิก ในยามที่ร่างกายเขาป่วยอยู่อย่างเทียบไม่ได้

            หากตนเองฝืนเข้าร่วม แล้วเป็นภาระ สร้างปัญหาทำให้ทวดบาดเจ็บขึ้นมา เด็กหนุ่มคงไม่ให้อภัยตัวเองแน่ ๆ




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            หลังเด็กหนุ่มออกจากห้อง ครูแกลงอธิบายวิธีรวมอาคม เพื่อถอนอาคมอย่างกระจ่าง

            พิจิก เมษาฝึกฝนการถอนของมาจนชำนาญแล้ว แค่ปรับวิธีใช้การผสานพลังอาคมร่วมกันเท่านั้น สำหรับคนที่ฝึกวิชามาจากรากฐานเดียวกัน จึงไม่ยากที่จะรวมกันเป็นหนึ่งได้

            ชายหนุ่มถูกจัดท่าให้นอนเหยียดยาวบนเตียง เข็มถูกปักบนแขนตามจุดต่าง ๆ เพื่อสะกดของไม่ให้ขยับเคลื่อนไหว เมษา ครูแกลงนั่งบนเก้าอี้ขนาบสองฟากเตียง หลับตา จิตเข้าสมาธิในเวลาไล่เลี่ยกัน

            ครูแกลงเริ่มต้นสวดบริกรรมนำหน้า เสียงของเมษา พิจิกขยับสวดตามจนน้ำเสียงกลมกลืน ไม่อาจแยกแยะว่าเป็นเสียงของใคร

            จิตจดจ่ออยู่ในคลื่นเสียงที่เกาะตัวเป็นกลุ่มก้อน ก่อให้เกิดขุมพลังงานก่อตัวหนาแน่นขึ้นทีละน้อย

            พลังจิตครูแกลงเข้มข้น หนักแน่นกว่าหนุ่มสาวทั้งสอง พิจิกเพิ่งจิตรวมเป็นสมาธิไม่นาน ต่อให้ถอนออกมาชั่วคราวก็ไม่ยากที่จะดำเนินตามรอยเดิม ก้าวสู่สมาธิที่แข็งแรงกว่าปกติ เพื่อเกิดเป็นกำลังมาผสานรวมกับท่านอาจารย์ใหญ่

            ส่วนเมษาต้องสวดมนตร์ขับไล่ผีมาตลอดทาง จิตเคล้าเคลียอยู่กับมนตรา วอกแวกน้อย สติคอยระวังจิตเผลอเป็นระยะ เมื่อต้องรวบรวมสมาธิ จิตจึงสู่ความตั้งมั่น มีกำลังรวดเร็ว

            กำลังสมาธิทั้งสามค่อยเคลื่อนมารวมตัวกันอย่างเชื่องช้า เมื่อผสานเป็นหนึ่งเดียวต่างปล่อยหน้าที่ให้ครูแกลงเป็นผู้ควบคุม ดำเนินการ...

            บทสวดถูกเปลี่ยน เป็นมนตราถอนอาคม...

            พิจิกรู้สึกเจ็บปวดเหมือนแขนทั้งท่อนกำลังปริแยกไหวระริก คล้ายฟองคลื่นร้อนแรงภายในกำลังจะระเบิด จิตเขาตั้งมั่นแยกกายกับจิตเป็นต่างหาก มองเห็นท่อนแขนเป็นอื่น ไม่ใช่ตัวตน...ความทุกข์ทรมานจากท่อนแขนแทบระเบิดเป็นแค่ทุกขเวทนาที่มาเกาะอาศัยชั่วคราว ไม่มีใครเป็นเจ้าของ...ตนเองไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ

            พลังงานอันมหาศาลภายนอกกำลังหมุนวน เกิดแรงดึงดูดมหาศาล ชักนำพลังอาคมที่เกาะกุมบนท่อนแขนพิจิกขึ้นมาอย่างยากลำบาก

            ทุกครั้งที่พลังอาคม กำกับของถูกแรงดึงดูดภายนอกเหนี่ยวนำขึ้นมานั้น พิจิกรู้สึกถึงทุกขเวทนารุนแรง สาหัสเหมือนเนื้อหนังบนท่อนแขนกำลังถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ

            ...ตายเป็นตาย...เป็นไงเป็นกัน...เขาบอกกับตนเอง

            เวลานี้พลังจิตของครูแกลง เมษาและพิจิกรวมกันเป็นหนึ่ง โดยมีท่านผู้เฒ่าเป็นผู้กำหนดเส้นทางวิธีช่วยเหลือ...

            ภายในห้องเงียบสงัด หากใครสามารถสัมผัสคลื่นพลังงานได้ จะรับรู้ถึงพลังอันแกร่งกล้าที่ครอบคลุมอยู่เหนือศีรษะคนทั้งสาม กำลังดึงดูดพลังอาคมบนท่อนแขนชายหนุ่มขึ้นมาอย่างเชื่องช้า มั่นคง

            นิ่ง...สงบงัน...นานครู่หนึ่ง

                        พิจิกรู้สึกถึงก้อนความทุกข์มหันต์อันแสนบาดร้อนหลุดผัวะออกจากท่อนแขน เข้าไปสู่วงล้อมพลังงานที่ปกคลุมอยู่ด้านบน ซึ่งกำลังแผ่กางสกัดกั้นมันอย่างแน่นหนา ไม่ยอมให้หลุดรอดออกไปทำร้ายใครเด็ดขาด

            จากนั้นพลังงานอันแผ่กว้างค่อยขมวดตัวบีบรัดพลังร้ายนั้นอย่างใจเย็น ไม่มีช่องตาข่ายเท่ารูเข็มให้หลบหนี เล็ดรอด

            บีบเข้ามา...บีบเข้ามา...ยิ่งบีบแคบแรงต่อต้านยิ่งรุนแรง ขนาดใช้พลังจิต พลังเวทสามคนรวมกันยังสกัดกั้นทำลายแทบไม่ไหว

            มันคล้ายสัตว์ป่าดุร้ายตัวมหึมาที่เต็มไปด้วยเขี้ยวเล็บพร้อมสรรพ โดนตาข่ายดักจับตีวงแคบจนไม่เหลือทางหนี มันจึงดิ้นรน ต่อต้านสุดกำลัง พลังชีวิต ฤทธีใดที่มีล้วนเทเดิมพันจนหมดหน้าตัก หวังฝ่าด่านหักวงล้อมออกไปให้ได้

            การใช้อาคมดึงดูดอาคมออกมาเพื่อทำลาย ย่อมต้องเสียค่าตอบแทนไม่น้อยทีเดียว

            ครูแกลงอาศัยพลังของตน รวมทั้งสองหนุ่มสาวเข้าขยี้ สลายอาคมที่กำกับของในขั้นสุดท้ายอย่างเด็ดขาด รับแรงปะทะหนีตายของมันเต็มที่ ก่อนกวาดล้างจนไม่เหลือร่องรอย พิษร้าย ไม่สามารถทำอันตรายต่อใครได้อีกแล้ว

            ทั้งสามลืมตาในเวลาไล่เลี่ย...พิจิกเหงื่อโชกร่างเหมือนเพิ่งอาบน้ำมาใหม่ เมษาใบหน้าเผือด หัวใจเต้นถี่เร็ว แต่ยังมีเรี่ยวแรงเหลือ

            ครูแกลงถอนใจหนักเฮือกใหญ่ ลมหายใจค่อยแผ่วเบาลง นัยน์ตาโรย สูญเสียพลังพิเศษในร่างจนเกือบหมด

            “ครูแกลงคะ...พักก่อนเถอะ” เมษาหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดใบหน้าผู้อาวุโส

            “ยังพักไม่ได้” ท่านผู้เฒ่าบอกพลางมองใบหน้าผู้ป่วย “ที่ท่อนแขนรู้สึกยังไง...”

            “เหมือน...มีมดวิ่งยิบยับอยู่ในนั้นครับ” พิจิกตอบตามจริง

            “ดีแล้ว” ครูแกลงบอกพร้อมกับถอนเข็มออกจากท่อนแขนชายหนุ่ม

            พิจิกสะดุ้งเยือก รู้สึกราวร่างกายกลวงว่างเปล่า...

            เข็มชุดใหม่ถูกนำมาวางเรียง จากนั้นครูแกลงหยิบเข็มมาปักบนจุดเส้นที่แขนพิจิกที่ละเล่มอย่างประณีต

            ชายหนุ่มระบายลมหายใจแผ่วเบา สัมผัสถึงบางอย่างที่อยู่ในท่อนแขนกำลังรวมตัวเป็นเส้นสาย ค่อย ๆ ไหลช้า ๆ ลงไปยังปลายนิ้ว

            ครูแกลงถอนใจอีกเฮือก ดวงตาเป็นประกายเมื่อเห็นปลายนิ้วชายหนุ่มมีละอองไอจาง ๆ ไหลออกมา แกรีบนำผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นมาพันตั้งแต่ข้อมือลงมาเพื่อไม่ให้ละอองนั้นกระจายทั่ว

            จากนั้นหยิบชามกระเบื้องมาวางข้างเตียง นำมือชายหนุ่มพาดไว้ แล้วโรยสมุนไพรแห้งลงไปพร้อมกับจุดไฟเผาให้เกิดควันบาง ๆ ขึ้นมาสลายไอของพลังร้ายที่ถูกขับออกมาจากปลายนิ้วชายหนุ่ม

            “เมษา” ครูแกลงเรียกชื่อตรง ๆ

            “ค่ะ” หญิงสาวตอบรับ “มีอะไรให้หนูช่วยทำบ้างมั้ยคะ”

            “ตั้งแต่ตอนนี้ถึงเช้า เมื่อไหร่ที่ผ้าขนหนูแห้งให้เปลี่ยนผืนใหม่มาแทนด้วย ส่วนสมุนไพรที่เผานี่ ทยอยเผาทุกครึ่งชั่วโมงจนกว่าจะหมดถุง...เท่านี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว”

            “ได้ค่ะ” หญิงสาวรับคำ



            บนท่อนแขนยังมีเข็มปักเต็มไม่อาจขยับได้ พิจิกจึงไม่สามารถลุกขึ้นเอ่ยขอบคุณครูแกลง ผู้ที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยชีวิตตนเองขนาดนี้...คนที่ทำหน้าที่แทนคือเมษา

            พอหญิงสาวรับคำสั่งเรียบร้อย ก็คุกเข่าลงกราบแทบเท้าครูแกลงด้วยกิริยานอบน้อม เคารพยิ่งอย่างไม่เคยมีใครเห็น

            “ขอบคุณแทนจิกมันด้วยค่ะ...ถ้าครูแกลงไม่ทุ่มเทช่วยขนาดนี้...มันไม่รอดแน่...หนูคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”

            เมษากลืนความรู้สึกตื้นตันลงในลำคอ...ความกดดัน เป็นห่วง รู้สึกผิดที่ปล่อยให้ชายหนุ่มช่วยดึงดูด ‘ของ’ เอาชีวิตตัวเองเข้าแลกกับเธอ ล้วนสลายคลี่คลายลงพร้อมกับพลังอาคมที่ถูกทำลายเมื่อครู่

            ครูแกลงตบไหล่หลานศิษย์เบา ๆ

            “คนกันเอง...ไม่ต้องมากพิธีหรอก” ใบหน้าเซียว เผือดซีดแต่ยังยิ้มละไม “ศิษย์อาจารย์ ก็เหมือนคนในครอบครัวเดียวกันนั่นแหละ”

            “ขอบคุณค่ะ” เมษาตื้นตันจนน้ำตาปริ่ม หัวใจอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก



            ครูแกลงนั่งรถเข็นออกจากห้อง ตี๋เล็กที่รออยู่ข้างนอกรีบพาทวดกลับไปพักผ่อน ก่อนได้รับคำสั่งให้มาดูแลในห้องตรวจรักษา จึงรีบกลับมาดูแลเตรียมยาสมุนไพร ผ้าสะอาดให้เมษา

            วุ่นวายอยู่พักใหญ่กว่าจะเรียบร้อย เด็กหนุ่มปิดปากหาว ท่าทางเพลียเต็มที หันมาถามหญิงสาวก่อนออกจากห้อง

            “เรียบร้อยแล้ว...เข็มบนแขนนี่ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรพรุ่งนี้จะมาถอนให้ มีอะไรสงสัยอีกมั้ย”

            เมษากำลังจะบอกว่า...ไม่มี...พอดีฉุกใจคิดถึงข้อสงสัยบางอย่างขึ้นมาได้

            “ตอนแรกที่น้องบอกว่า ย่าเข็มโทรมาบอก...ย่าเข็มนี่เขาเป็นใคร...”

            “ย่าเข็มก็เป็นลูกสาวทวดน่ะสิ...ลูกสาวคนเล็กน่ะ อายุห่างจากปู่ใหญ่หลายปีอยู่”

            ฟังอย่างนี้แล้วใจตงิดอยากรู้เพิ่มเติม แต่เกรงใจเด็กหนุ่ม คิดว่ารอคุยกันพรุ่งนี้ก็ได้

            “งั้นไม่มีอะไรแล้ว...ขอบใจมากจ้ะ”

            “อือ...คืนนี้เจ๊อาจไม่ได้นอนเต็มที่นะ...แต่ไม่เป็นไรมั้ง อยู่ดูแลแฟนตัวเองแบบนี้ น่าจะมีความสุขออก” เด็กหนุ่มพูดหน้าตาเฉย

            “เฮ้ย...ไม่ได้เป็นแฟนกัน” เมษารีบร้องแก้ทันที

            ตี๋เล็กหัวเราะขัน นัยน์ตาพราวแกล้งพยักหน้าทำท่าเชื่อ

            “อ้อ...ถ้าไม่ใช่แฟนคงเป็น ‘เพื่อนสนิท’ คนพิเศษโคตร ๆ ล่ะมั้ง ถึงเป็นห่วง ทุ่มเทกันขนาดนี้” พูดจบก็เดินยิ้มออกไปโดยไม่สนใจฟังแก้ตัว



            เมษาทิ้งตัวบนเก้าอี้นวม มองชายหนุ่มที่นอนเฉยบนเตียง โดยไม่เอ่ยวาจาคัดค้านโต้แย้งเด็กหนุ่มสักคำ

            “ไม่ช่วยกันอธิบายให้เด็กมันฟังบ้างเลยนะแก” หญิงสาวหาที่ระบายความขัดเขิน

            “จะอธิบายทำไม” พิจิกพูดยิ้ม ๆ “ต่อให้เรียกว่าแฟน เพื่อนสนิท หรือแค่...คนรู้จัก...มันก็เปลี่ยนความรู้สึกที่ฉันมีต่อแกไม่ได้อยู่ดี”

            เมษานิ่งอั้น จุกอกพูดไม่ออก...พิจิกไม่เอ่ยปากบอกรักสักคำ แต่วาจา แววตานั้นมันชัดเจนยิ่งกว่าอะไร เป็นความหวานแบบแปลก ๆ ตรงไปตรงมาเสียจนไม่อาจหลบเลี่ยง เสแสร้งทำเป็นไม่รู้ ไม่เข้าใจได้

            “ฉันกลัว...” หญิงสาวยอมเปิดเผยความในใจบ้าง

            “เรากลัวเรื่องนี้กันมานานแล้ว” พิจิกเข้าใจ...เมษากลัวอะไร...

            ทั้งคู่กลัวปู่จะเสียใจ หากพวกตนมีใจให้กัน...มันทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกเหมือนโดนทอดทิ้ง

            “ถ้าคืนนี้ เราไม่ได้มาเจอครูแกลง...ฉันคงไม่รอด” ชายหนุ่มบอกความรู้สึกในใจ “ก่อนตาย...ฉันคงเสียใจว่าทำไมเราถึงปล่อยเวลาที่มีค่าไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องขนาดนั้น”

            “รอดไปคราวนี้ แกอยากทำอะไร” เมษาถาม

            “อยากออกเดทกับแก” พิจิกตอบตรงเสียจนคนฟังนึกคำพูดไม่ทัน

            “ถ้าปู่รู้...” หญิงสาวยังลังเล

            “แกจำได้มั้ย...ปู่ไม่เคยห้ามพวกเราคบกัน” พิจิกยืนยัน

            ตลอดสิบกว่าปี...สองผู้เฒ่าไม่เคยเอาความบาดหมางส่วนตัว มากำหนดชีวิตลูกหลานในครอบครัว เพียงแต่คนในครอบครัวต่างหาก รู้สึกเกรงใจ เป็นห่วงความรู้สึกผู้เฒ่า ขีดคั่นความสัมพันธ์กันเอง

            “งั้นก็ลองดู...” เมษายิ้มให้ชายหนุ่ม “ลองมาออกเดทกันดูก่อน...แกอาจทนฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ”

            “ตกลง...” พิจิกพูดบ้าง “เสร็จจากงานนี้...เรามาออกเดทกัน...ใครทนใครไม่ได้เดี๋ยวก็รู้เอง”

            สองหนุ่มสาวยิ้มให้กัน นัยน์ตาสองคู่สุกสว่างกว่าเคยสว่าง ความรู้สึกจากใจกระทบใจรุนแรงกว่าครั้งไหน ๆ

            เมษารู้สึกถึงแรงสะเทือนตรงหน้าอก ความจริงนั้นใจเธอยอมรับพิจิกตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าเขายอมสละชีวิตเพื่อเธอแล้ว...

            ชั่วชีวิตหนึ่งจะหาคนอย่างนี้ได้สักกี่คน เมื่อพบแล้ว...เธอจะปล่อยเขาไปได้อย่างไร

            “ขอบใจนะ...ที่ช่วยชีวิตฉันไว้” เมษาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล หวานละไม...เป็นถ้อยคำที่เธออยากบอกเขามาตลอดทั้งคืน

            “ขอบใจเหมือนกัน...ที่พยายามเต็มที่ จนพาฉันมาถึงที่นี่ได้” พิจิกตอบรับ น้ำเสียงอ่อนหวาน นัยน์ตาเป็นประกาย ไม่ปิดบังความรู้สึกตนเองอีกต่อไป

            ภายในห้องเล็ก ๆ อบอวลด้วยความรู้สึกอันงดงาม เสมือนมีดอกไม้บานสะพรั่งทั่วห้อง ฝูงผีเสื้อโบกโบยบินร่อนฉวัดเฉวียนร่าเริง




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            รุ่งเช้า ตี๋เล็กเข้ามาตรวจอาการพิจิกแทนครูแกลง พบว่าที่แขนไม่มีรอยดำหลงเหลือ พลังร้ายถูกขับออกมาหมดแล้ว จึงช่วยถอนเข็มออกมา แล้วนำเสื้อผ้า เครื่องแต่งตัวใหม่มาให้คนทั้งคู่

            “ทวดเหนื่อยมาก วันนี้อาจต้องนอนพักผ่อนทั้งวัน พวกพี่ก็เหมือนกัน อาบน้ำ กินข้าวเช้าเสร็จก็พักผ่อนเยอะ ๆ ร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็ว”

            สองหนุ่มสาวรับคำคุณหมอวัยรุ่นซึ่งแต่งชุดนักเรียนมัธยมดูขัดกับท่าทาง

            เด็กหนุ่มจากไป พิจิก เมษาฝืนเรี่ยวแรงไปอาบน้ำ เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว เพื่อมารับประทานอาหารเช้า...

            จากนั้นพักผ่อนนอนยาวอย่างอ่อนเพลียจนถึงเที่ยง...

            ครูแกลงมาเยี่ยมตอนบ่าย สีหน้ายังซีดเซียว ดวงตาร่วงโรย ปราศจากประกายเข้มข้นเช่นเมื่อคืน หากน้ำเสียงท่าทางยังดูแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกัน

            ท่านผู้เฒ่าสั่งจัดอาหารกลางวันมาบำรุง พร้อมนำยาสมุนไพรจีนมาให้ดื่ม ฟื้นฟูเรี่ยวแรง

            “ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอกค่ะ...ครูแกลงพักเยอะ ๆ เถอะ” เมษาบอกอย่างเป็นห่วง

            “เรารู้กำลังตัวเองดีหรอกน่า อย่ากังวลไปเลย” ท่านผู้เฒ่าบอกอย่างนั้น

            ยังไม่ทันที่เมษาจะพูดอะไรต่อ เด็กลูกจ้างในร้านก็เข้ามาหาครูแกลง

            “ทวดครับ...มีแขกมาหาสองคน รออยู่หน้าร้าน”

            ได้ยินอย่างนี้พิจิก เมษาเหลียวมองหน้ากัน เกิดสังหรณ์แปลก ๆ ขึ้น

            พิจิกลุกจากเก้าอี้ ไปเข็นรถให้ท่านผู้เฒ่าออกไปยังหน้าร้าน เมษาเดินตามด้วยความอยากรู้ว่าสังหรณ์ตนแม่นยำเพียงใด



            ที่หน้าร้านสมุนไพรจีนมีรถยนต์สองคันจอดอยู่ สองหนุ่มสาวเบิกตามองอย่างแปลกใจ คาดไม่ถึง ไม่คิดว่าความรู้สึกตนจะแม่นยำขนาดนี้

            ปู่เผด็จ ปู่คงคาถูกประคองลงจากรถในสภาพอ่อนปวกเปียก ใบหน้าซีดเผือด...

            สองผู้เฒ่าโดนทำร้ายมา...มองเห็นครูแกลงเป็นที่พึ่งสุดท้าย...หารู้ไม่ ท่านผู้เฒ่าหมดเรี่ยวแรงจากการช่วยเหลือพิจิกเมื่อคืนไปแล้ว...

            กว่ากำลังจะฟื้นฟูเป็นปกติดังเดิม ก็ใช้เวลาครึ่งค่อนเดือน...ศิษย์เอกทั้งสองรอได้หรือไม่?







บทที่ ๒๑



            การโดนผู้ทรงเวทในเงาลอบทำร้าย มีผลให้สองผู้เฒ่าบอบช้ำสาหัส จนกระทั่งอีกฝ่ายใช้อาคมซ้ำ หมายปลิดชีพ ค่อยมีโอกาสตีโต้ ด้วยการใช้อาคมสะท้อนกลับ ทำให้อาคม ยาสั่งย้อนคืนกลับไปสู่ฝ่ายตรงข้ามได้บางส่วน อาคมร้ายในร่างกายลดทอนลง ส่วนผู้ทรงเวทในเงารับบาดเจ็บภายใน ต้องเร่งสลายพิษอาคม ยาสั่งของตนโดยเร็ว

            ปู่เผด็จ ปู่คงคาจึงสามารถออกจากศิวาดลมาได้

            ผู้การพฤกษ์พาบิดาตนไปพักฟื้นที่คอนโดลูกชายในกรุงเทพ มีนาก็พาปู่คงคามาพักคอนโดตนเองเช่นกัน

            สองผู้เฒ่าใช้พลังสมาธิ อาคม รวมทุกสรรพวิชาสะกดขับอาคมยาสั่งในร่างออกมาเต็มที่ ทว่าอักขระยันต์ที่ฝ่ายตรงข้ามเขียนทับคอยสกัดเอาไว้ ทำได้มากสุดแค่ยับยั้งอาคมยาสั่งอีกฝ่ายได้ไม่เกินหนึ่งวัน

            ยังดีที่ผู้ทรงเวทในเงาสาดอาคมซ้ำ ทำให้วิชาอาคมสะท้อนกลับสามารถผลักดัน อาคมยาสั่งออกจากร่างกายได้ส่วนหนึ่ง ไม่เช่นนั้น ต่อให้มีพลังสมาธิ อาคมกร้าวแกร่งกว่านี้ คงยากที่จะยับยั้งมันไว้ได้นาน อาจเสียชีวิตทันทีที่ตะวันขึ้น

            รุ่งเช้า สองผู้เฒ่าอ่อนเพลีย บอบช้ำ แทบหมดเรี่ยวแรงกับการยับยั้งอาคมในร่าง ต่างมองหาหนทางรอด...ซึ่งไม่เห็นผู้ใดสามารถช่วยเหลือได้ นอกจาก ‘ครูแกลง’ อาจารย์ผู้ประสิทธิประสาทวิชา

            ต่างฝ่ายให้คนขับรถพามาส่งตั้งแต่ช่วงสาย ถึงจุดหมายตอนบ่ายแก่ ๆ โดยไม่รู้เลยว่า ที่พึ่งสุดท้าย หมดเรี่ยวแรง พลังการรักษาชั่วคราวแล้ว




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ห้องตรวจรักษาถูกจัดใหม่ ขยายพื้นที่ให้กว้างกว่าเดิม คนเจ็บทั้งสองถูกพามานั่งกึ่งเอนนอนบนเก้าอี้นวมข้างกัน

            ครูแกลงเอ่ยถามลูกศิษย์สั้น ๆ

            “ไปโดนอะไรอะไรมา?”

            นั่นเพราะนอกจากสภาพร่างกายอ่อนเพลียจนยืนเดินไม่ไหว ใบหน้าเผือดซีดปราศจากสีเลือดแล้ว ตามร่างกายนอกร่มผ้าไม่มีร่องรอยอื่นเลย

            ปู่เผด็จเป็นคนอธิบาย ปู่คงคาแค่พยักหน้ารับว่าโดนมาเหมือนกัน

            พิจิก เมษาขมวดคิ้ว คาดไม่ถึงปู่ตนจะโดนอาคมร้ายขนาดนี้

            “เมษา พิจิกช่วยปู่เธอขยับหันหลังแล้วถลกเสื้อขึ้นมาให้ดูหน่อย” ครูแกลงบอก

            พิจิกพยักหน้ารับคำ...หลังจากพักผ่อนทั้งคืนกับค่อนวัน เรี่ยวแรงกำลังฟื้นคืนมาเกือบเป็นปกติ ส่วนเมษาได้นอนเต็มอิ่มตั้งแต่เช้ายันบ่ายก็สดชื่น เรี่ยวแรงเต็มร้อยดังเดิม

            สองหนุ่มสาวขยับร่างปู่ตน ถลกเสื้อขึ้นมา เผยให้เห็นแผ่นหลังชัดเจน

            มือที่ดึงเสื้อขึ้นต่างชะงักค้าง หรี่ตามองสิ่งที่ปรากฏอย่างหวั่นไหว...บนแผ่นหลังนั้นมีลวดลายเป็นเส้นอักขระโบราณสีเขียวเข้ม อ่านไม่ออก ไม่เข้าใจความหมาย ที่น่าตระหนกกว่านั้นคือลายเส้นอักษรบนแผ่นหลังสองผู้เฒ่านั้น มันไม่เหมือนกัน

            หากผู้ทรงเวทในเงาขีดเขียนมันด้วยปลายนิ้วสองข้างในเวลาเดียวกัน แสดงว่าวิชาในการแยกประสาทนั้นเหนือธรรมดา มีสมาธิอันเข้มแข็งเป็นแรงสนับสนุนอย่างเหลือเชื่อ

            ครูแกลงระบายลมหายใจแผ่ว เหนื่อยอ่อนทั้งกายและใจ แววตาไม่แสดงความรู้สึกใด รอจนสองหนุ่มสาวดึงเสื้อปู่ตนลงมา ช่วยขยับร่างนั่งในท่าปกติเรียบร้อย ค่อยเอ่ยปากถามอีกครั้ง

            “หลังจากโดนอาคมยาสั่งนี้แล้ว...รักษาตัวกันยังไง”

            คราวนี้ปู่คงคาเป็นคนตอบ ปู่เผด็จพยักหน้ารับ บอกว่าตนก็ใช้วิธีเดียวกัน

            “ทำถูกแล้ว” ท่านผู้เฒ่าบอก “มันจะยับยั้งอาคมยาสั่งนี้ได้จนถึงเที่ยงคืน...คืนนี้!”

            สองผู้เฒ่าใช้อาการนิ่งแทนการรับรู้ ส่วนคนเป็นหลานใจหายวูบ นึกอยากเอ่ยถามถึงหนทางรักษา แต่จำต้องนิ่งด้วยเชื่อมั่นในตัวอาจารย์ปู่ของตน

            “เดี๋ยวเราจะจัดยาฟื้นฟูกำลังมาให้ดื่ม...จากนั้นค่อยปรึกษากันเรื่องวิธีการรักษา” ครูแกลงบอกแค่นั้น



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP