วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๓๒



cover siwadol



ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            “ใครเป็นคนเปิดประตูบานนี้!”

            ยังไม่ทันมีใครขยับตัว เสียงเรียบ ๆ ทรงอำนาจของแม่บ้านเข็มทองดังมา ก่อนร่างสูงผอมบางในชุดกระโปรงยาวสีขาวเรียบร้อยเดินออกมาจากด้านใน

            พิจิก เมษา ลุงชาติ นายสมยศยืนนิ่งอั้น ทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะ

            “เอ่อ...ผมเองครับ...คุณแม่บ้าน” นายสมยศตอบตะกุกตะกัก

            สายตาแม่บ้านใหญ่กวาดมองคนทั้งสี่พร้อมกับรถยนต์ที่จอดริมกำแพงด้วยแววตาเท่าทัน อ่านเรื่องราวออกบางส่วน

            “มีความจำเป็นอะไร?” คุณแม่บ้านถามเสียงเบา แววตาเจิดจ้า

            “เอ่อ...” พ่อบ้านศิวาดลตอบไม่ถูก

            ขืนบอกว่าเปิดให้คนงานสองหนุ่มสาวอย่างพิจิก เมษาออกมาก็ฟังดูไม่เข้าท่า หรือบอกว่าเปิดให้น้าชาติ ญาติสนิทของตนซึ่งจอดรถไว้ตรงนี้ก็ดูมีอภิสิทธิ์มากเกินไป

            “ฉันถามว่า...มีความจำเป็นอะไร...ต้องเปิดประตูบานนี้” แม่บ้านใหญ่ถามซ้ำ แววตาฉายรอยลึกเร้น

            คนที่ก้าวมาข้างหน้า ตอบคำถามแทนทุกคนคือพิจิก

            “ขอโทษครับ...คุณสมยศเขาเปิดประตูนี้เพื่อมาส่งผมกับเมษา” พิจิกไม่หลบสายตาแม่บ้านใหญ่

            “เธอเป็นคนสำคัญ หรือมีธุระด่วนอะไรต้องใช้ประตูบานนี้” คำพูดดุกึ่งปรามาส พร้อมกวาดตามองชายหนุ่มหัวจดเท้า

            ทันทีที่สายตาแม่บ้านเข็มทองปะทะแขนข้างที่โดนมนตร์ดำจนผิวเปลี่ยนสีชัดเจน แววตาเธอทอประกายตระหนกวูบหนึ่ง เม้มริมฝีปากแน่น ตวัดขึ้นจ้องตาชายหนุ่มอย่างต้องการหาคำตอบ

            “แขนข้างนี้ไปโดนอะไรมา” ร่างสูงบางเข้ามาใกล้ จ้องแขนพิจิกชัด ๆ

            “โดน ‘ของ’ ครับ” เป็นคำตอบแบบไม่มุสา พิจิกจงใจกวนโทสะฝ่ายตรงข้าม เพราะคุณแม่บ้านน่าจะคิดว่าเขาโกหก

            ...สมัยนี้ใครจะเชื่อเรื่อง ‘ของ’ อาถรรพณ์ มนตร์ดำต่าง ๆ...

            “โดนขนาดนี้...น่าจะตายตั้งแต่แรกแล้วนะ” วาจาผิดคาด สายตาเงยขึ้นมองกึ่งเยาะหยัน “เลยเที่ยงคืนไปก็ไม่น่ารอด...ไม่มีใครถอนของให้ได้อย่างปลอดภัยแน่!”

            คำพูดเกินคาด พิจิก เมษานิ่งอั้น นายสมยศมองแม่บ้านเข็มทองเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ส่วนลุงชาติเห็นแววบางอย่างซ่อนอยู่ใต้รอยเยาะหยันนั้น

            “ฉันเคยบอกพวกเธอแล้ว ถ้าเจออะไรแปลก ๆ ในศิวาดล ให้บอกฉันได้”

            แม่บ้านใหญ่เท้าความถึงคำพูดที่เคยบอกพิจิก เมษา ตอนนั้นสองหนุ่มสาวยังหวาดระแวงตัวเธอ คิดว่านั่นเป็นวาจาข่มขู่ ดักคอพวกตน

            “คุณ...แม่บ้าน...มีวิธีช่วยเขา...มั้ยคะ” เมษาเอ่ยถามอย่างลังเล ไม่แน่ใจ

            ทั้งคู่เคยเห็นคุณแม่บ้านทำพิธีกรรมบางอย่างที่บ้านน้อยหลังนั้นมาแล้ว รู้ว่าเธอไม่ใช่ธรรมดา ยิ่งพูดถึงอาการบาดเจ็บพิจิกกระจ่างขนาดนี้ โดยแววตาไม่บอกว่าหมดหวังเสียทีเดียว เมษาจึงลองเสี่ยงเอ่ยปากถามขึ้นมา



            “ในรถมีกระดาษ ปากกามั้ย” แม่บ้านเอ่ยถาม

            “มี...มีครับ” ลุงชาติรีบตอบ พลางเปิดรถหยิบสิ่งที่แม่บ้านใหญ่ต้องการออกมา

            แผนที่เส้นทางถูกขีดเขียนอย่างละเอียด เข้าใจง่าย เพียงแต่สถานที่นั้นไกลจากกรุงเทพพอสมควร ยังดีที่อยู่ในเขตตัวเมืองของจังหวัดหนึ่ง การเดินทางสะดวก หาไม่ยากนัก

            “ลองไปที่นี่ดู...” แม่บ้านใหญ่ยื่นแผนที่ให้ “ถ้าคนคนนั้น ไม่สามารถถอนของให้เธอได้ โลกนี้คงไม่มีใครช่วยเธอได้อีกแล้ว”

            เมษารับแผนที่นั้นไว้ ในใจนึกอยากถาม ‘คนคนนั้น’ เป็นใคร มีความสามารถขนาดไหน และคุณแม่บ้านใหญ่เป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงดูลึกลับ แยกแยะไม่ออกว่าเจตนาดีหรือร้ายแบบนี้

            “ถ้าสงสัย ไม่เชื่อจะไม่ไปก็ได้นะ” แม่บ้านเข็มทองดักคออย่างรู้ใจ

            มาถึงตรงนี้ทุกคนอยากรู้ตัวจริง เบื้องหลังของแม่บ้านเข็มทอง อยากเอ่ยถามปัญหา ข้อสงสัยคาใจมากมาย แต่กิริยานิ่ง แววตาเฉยชา ไม่รับรู้ความเป็นความตายของใครบอกให้ทราบ...ถ้าเธออยากเล่าความเป็นมาตนเองให้อีกฝ่ายคลายใจ หมดข้อสงสัย เธอคงบอกไปแล้ว...

            ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีตั้งคำถามท้าทายเช่นนี้

            ...ถ้าไม่เชื่อ...ก็ไม่ต้องไป...

            เมษารู้ดี อาการพิจิกตอนนี้ ต่อให้ปู่สองคนรวมทั้งตนเองร่วมมือด้วย ยังยากที่จะถอนของออกมาอย่างปลอดภัย ไม่มีคนอื่นรับเคราะห์

            ฉะนั้นหากมีหนทางใดปลอดภัยกว่านี้...เธอพร้อมจะเสี่ยง...

            “ลุงชาติ ช่วยพาไอ้จิกไปส่งตามแผนที่นี้หน่อยนะ...ษาจะไปดูคุณปู่” เมษายื่นแผนที่ให้คนที่ไว้ใจได้

            “ได้...คุณหนู” ลุงชาติเข้าใจ เมษาห่วงพิจิกมากแค่ไหนก็ยังไม่เท่ากังวลความปลอดภัยปู่คงคา

            “ฝากดูปู่ฉันด้วยนะ” พิจิกฝากฝังหญิงสาวโดยไม่คำนึงถึงการเสียฟอร์ม

            “ได้...ฉันจะไม่ให้ปู่ทั้งสองคนเป็นอะไรเด็ดขาด” คำพูดยืนยันหนักแน่น

            พิจิกคลายใจ แววตาสองคนสบกันบอกความรู้สึกชัดเจน

            ลุงชาติเปิดประตูรถ เตรียมพาพิจิกไปตามแผนที่ แม่บ้านใหญ่มองคนเหล่านี้แล้วพูดขึ้นมาลอย ๆ

            “ตอนเที่ยงคืน พลังมืดจะกลับสู่ปกติ ถ้ายังไปไม่ถึงที่หมายนั้น จะมีใครช่วยเขาร่ายเวทข่มมนตร์ดำ สกัดกั้นของในตัวไม่ให้ลามสู่หัวใจได้”

            แม่บ้านเข็มทองพูดอย่างผู้ชำนาญเวท ทำเอาจอมเวทหนุ่มสาวสะท้านใจ

            สถานที่เขียนในแผนที่ไม่ใช่ใกล้ อาจใช้เวลาเดินทางนานเกินเที่ยงคืน ระหว่างทางหากกำลังสมาธิพิจิกตกลง หรือเกิดเหตุไม่คาดฝันทำให้ล่าช้า ใครจะช่วยใช้อาคม...เวทมนตร์ปิดกั้นมนตร์ดำ ยับยั้งภัยร้ายไม่ให้จู่โจมหัวใจ

            ยิ่งหากมองในแง่ร้าย ทั้งหมดโดนแม่บ้านเข็มทองหลอกลวงให้ไปยังสถานที่ปลอม ไม่มีตัวตนคนคนนั้นจริง ใครจะช่วยพิจิกในวินาทีสุดท้าย ใครที่มีพลังเวทพอจะช่วยเขาประคองตัวกลับมาบ้านได้อีกครั้ง

            ...เมษา...

            เสียงถอนใจยาวดังมาจากจอมเวทหนุ่มสาว พิจิกไม่พูดอะไร เมษายื่นมือขอกุญแจรถจากลุงชาติเอง

            “ษาจะพาไอ้จิกไปเอง รบกวนลุงช่วยเข้าไปตามหาปู่ให้หน่อย...ได้เรื่องยังไงโทรบอกด้วยนะคะ”

            ช่วงเวลาความเป็นความตายแบบนี้ พิจิกไม่โยกโย้ พูดจากวนประสาทหาเรื่องทะเลาะอย่างเคย เขามองลุงชาติด้วยแววตาขอร้อง เป็นความหวังในความปลอดภัยของปู่ตนเอง

            “ได้ครับคุณหนู คุณพิจิก ผมจะตามหาดูแลคุณท่านทั้งสองเอง วางใจได้...ไม่น่าเกิดเรื่องร้ายอะไรหรอก”

            เมษาฝืนยิ้มรับ... ณ ตรงนี้มีเธอคนเดียวสามารถช่วยพิจิกได้ สังหรณ์ร้ายเกี่ยวกับปู่บอกว่าอันตรายยังไม่ถึงขั้นเสียชีวิต หญิงสาวจำเป็นต้องตัดความกังวลในเรื่องที่มองไม่เห็น ให้ความใส่ใจกับความเป็นความตายของชายหนุ่มตรงหน้าก่อน

            “อ้อ...” แม่บ้านเข็มทองนึกอะไรบางอย่างได้ หันมาบอกชายหนุ่ม “สมาธิที่เธอใช้สะกด ‘ของ’ พวกนี้มันยังอ่อนไป...ถ้าจิตเธอตั้งมั่น ทรงอยู่ในกำลังสมาธิที่หนักแน่นกว่าเดิม มันจะช่วยเธอสะกดอาคมร้ายที่แขนได้นานขึ้น...อาจอยู่ได้ถึงเช้าด้วยซ้ำ”

            คำพูดอย่างคนรู้จริงในกระบวนเวท และอาคมทำให้ความแคลงใจตัวแม่บ้านใหญ่ลดลง มีความหวังในผู้ทรงเวท ‘คนคนนั้น’ มากกว่าเดิม

            พิจิกพยักหน้ารับคำ ยามสบตาแม่บ้านเข็มทอง ใจหมดความลังเล สงสัยในเจตนา เพราะภายใต้ความราบเรียบ ไร้ความรู้สึก เขาสัมผัสได้ถึงความเมตตา อยากช่วยเหลือจากใจจริงของเธอ




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ตั้งแต่ขึ้นรถ พิจิกขยับตัวนั่งผ่อนคลาย ไม่เกร็งกล้ามเนื้อ เอนหลังพิงเบาะ ระบายลมหายใจคั่งค้างออก แล้วค่อยลากลมหายใจเข้าอย่างมีสติ

            สมัยเด็ก พิจิกเคยฝึกสมาธิจนจิตรวม ตั้งมั่นเด่นดวงมีกำลัง ทรงตัวอยู่ในสมาธิได้นาน สัมผัสถึงกำลังอันมั่นคงแน่นหนากว่าปกติมาแล้ว

            พอโตขึ้นมีเรื่องราวภายนอกมากระทบหลายอย่าง ทั้งเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องผู้หญิง ทำให้ยากที่จิตจะเป็นสมาธิในขั้นนั้นได้อีก เพียงแค่ประคองรักษาสมาธิเพื่อใช้ร่ายเวท กำกับอาคมจนถึงทุกวันนี้ ก็นับว่าผิดแปลกจากคนหนุ่มทั่วไปแล้ว

            คำพูดแม่บ้านเข็มทองกระตุ้นให้ฉุกคิด มีแต่สมาธิขั้นนั้นจึงจะเป็นกำแพงป้องกัน ยับยั้งอาคมมืดของผู้ทรงเวทในเงาได้...

            คำสอนของปู่แว่วเข้ามาในหู

            ...เหตุใกล้ให้เกิดสติ คือจิตจำสภาวะได้...เหตุใกล้ให้เกิดสมาธิคือความสุข...

            ...สมถะเกิดขึ้นเมื่อปราศจากความจงใจ...

            จิตที่เป็นสุข...โน้มนำไปสู่ความสงบ...ความสงบที่มีสติรักษา สามารถเกิด-ดับถี่ ๆ จนตั้งมั่นกลายเป็นสมาธิที่แข็งแรงในที่สุด

            หลักการกระจ่างชัดในหัว เหลือแค่ดำเนินจิตไปให้ถูกทางเท่านั้น

            จิต...เป็นสิ่งบังคับไม่ได้ หากต้องการให้มันสงบ ควรเลือกอารมณ์ที่มีความสุขแบบกุศลมาเป็นเหยื่อล่อ ให้จิตเคล้าเคลียในอารมณ์นั้นจนไม่หนีไปไหน

            พิจิกเลือกใช้ลมหายใจ...เฝ้าดูลมหายใจเข้า-ออกโดยไม่บังคับ ไม่แทรกแซง ไม่คาดหมายจะต้องสงบ จิตใจผ่อนคลายมีความสุขโดยใช้สติรักษาเป็นระยะ

            ครู่หนึ่งเกิดนิมิตดวงสว่างตรงหน้า จิตวางลมหายใจเข้าไปรวมกับดวงสว่างนั้น...

            อาการปวดที่แขนทวีความรุนแรงขึ้น บอกให้รู้ว่าพลังมืดเริ่มแกร่งกล้า อีกไม่นานคงยากบังคับควบคุมมันได้แล้ว

            ใจที่เกาะดวงสว่างมีอาการสะเทือน ทุกขเวทนาจากแขนแล่นสู่จิต รบกวนความสงบ เขย่าฐานที่ตั้งมั่นให้คลอนแคลน

            พิจิกสลัดความหวั่นเกรง อาการสะเทือนออกไป ระลึกถึงจิตใจตนเองขณะเป็นเด็ก จิตที่ซื่อตรงเหมาะแก่การฝึกฝน จิตซึ่งไม่คาดหมายว่าต้องสุข ต้องสงบ ต้องเป็นสมาธิให้ได้...

            ใจผ่อนคลายชั่วแวบแล้ววกมาดูทุกข์เวทนาที่เกิด...ใจยอมรับมัน...ตายเป็นตาย...ปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินตามเหตุปัจจัยของมันโดยไม่เอาความต้องการของตนเข้าไปแทรกแซง

            จิตรวมกับดวงสว่างอีกครั้ง ตั่งมั่นอยู่ในความสงบ สมาธิแน่วนิ่งอย่างไม่เกิดมานานแล้ว กำลังสมาธิแข็งแรง มั่นคง ตัดการรับรู้เรื่องราวภายนอกชั่วคราว...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ห้าทุ่มเศษ...รถบางตากว่าเดิม

            เมษาไม่ต้องเหลียวไปมองชายหนุ่มข้างกายก็รู้ว่าเขากำลังเข้าสู่สมาธิ จิตรวมมีกำลังมากพอยับยั้งมนตร์ดำที่แขนได้นานพอสมควร

            จิตใจผ่อนคลาย ระยะทางยังเหลืออีกไกล ด้วยน้ำมันที่เติมเต็มถังตั้งแต่แรก หญิงสาวไม่จำเป็นต้องเสียเวลาแวะปั๊มเติมน้ำมันอีก

            ขับรถด้วยความเร็วขนาดนี้ คาดว่าน่าจะถึงที่หมายตอนเที่ยงคืนเศษ อย่างมากไม่เกินตีหนึ่ง...ถ้า...ไม่มีเหตุอะไรทำให้การเดินทางช้าลง

            เพียงแค่ความคิดแล่นผ่าน...เหตุเกินคาดปรากฏขึ้นทันที

            กลางถนนเบื้องหน้า ห่างไม่กี่ร้อยเมตรมีผู้หญิงผมยาวชุดขาวยืนโดดเดี่ยว โบกมือช้า ๆ เรียกให้รถหยุดรับเธอ

            เมษาเกือบเหยียบเบรกสุดแรง ถ้าสติไม่ทักท้วงก่อนว่า...ผู้หญิงคนนี้มายืนกลางถนนได้อย่างไร ในขณะรถราวิ่งตามปกติเช่นนี้

            ลักษณะท่าทางดูผิดปกติเกินไป ไม่มีเสียงบีบแตรไล่เหมือนไม่มีใครมองเห็นเธอสักคน และหากเธอมีตัวตนจริง น่าจะโดนรถคันอื่นชนไปแล้ว

            ความเข้าใจบังเกิด เมษาผ่อนคันเร่ง เพ่งสมาธิไปยังร่างชุดขาวข้างหน้า พบว่า...เธอสามารถมองทะลุหญิงสาวไปเห็นถนนเบื้องหลังได้

            ...ฟิ้ว...ไม่กี่วินาทีรถเมษาก็แล่นทะลุร่างหญิงสาวอย่างรวดเร็ว ไม่มีแรงปะทะให้รู้สึก ไม่มีเสียงดังขลุกขลักของร่างที่กลิ้งลุ่น ๆ ใต้ท้องรถ

            เมษาเป่าลมจากปากดังฟู่...แปลกใจที่พบภูตผี ดวงวิญญาณกลางถนนเช่นนี้

            ยังไม่ทันคลายใจ หมดข้อสงสัยจากปัญหา หางตาเหลือบเห็นร่างหญิงสาวชุดขาวคนเดิมกำลังเกาะกระจกหน้าต่างข้างรถ ในขณะเมษาเหยียบคันเร่งไม่ต่ำกว่าร้อยสี่สิบ

            หากเป็นคนอื่นประสบเหตุการณ์เช่นนี้ คงแหกปากร้องลั่น รีบนำรถจอดข้างทางเพื่อตรวจดูว่ามีใครมาเกาะรถตนเองจริงหรือไม่

            เมษาผ่อนคันเร่ง ลดความเร็วลงเหลือแค่ร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง สำรวมจิตสาธยายมนตร์ในใจ ก่อนเพ่งสายตามองร่างขาว ๆ ที่เกาะกระจกรถตนเอง

            ...ผลุบ...ร่างนั้นหลุดหายในพริบตา

            รถวิ่งช้าลง นอกจากเมษาจะใช้สมาธิขับรถแล้ว ยังต้องแบ่งสมาธิออกตรวจสอบสิ่งแปลกปลอมบนถนน ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคการเดินทางต่อไป



            ถนนช่วงนี้รถบางตา ข้างหน้าเป็นทางโค้งอันตราย เมษามองเห็นเงาตะคุ่มของรถทัวร์ที่กลิ้งลงข้างทาง ผู้โดยสารหลายสิบรายยืนโบกไม้โบกมือเรียกรถอยู่ข้างทางเต็มไปหมด

            ทว่า...ไม่มีใครจอดรับผู้โดยสารเหล่านั้น

            จิตใจหญิงสาวเข้าสู่ความสงบระดับหนึ่ง พร้อมรับมือพวกมัน...

            พอรถแล่นใกล้ทางโค้ง มองเห็นผู้โดยสารข้างทางชัดกระจ่างตา แต่ละคนเลือดโซมตัว เสื้อผ้าขาดวิ่น พยายามโบกมือตะโกนร้องเรียกรถที่ผ่านไปมา เพื่อขอโดยสารกลับบ้านตนเอง

            ไปด้วย...ไปด้วย...มารับพวกเราด้วย” เสียงหวีดหวิว โหยหวนชวนขนลุกซู่

            รถคันอื่นไม่เห็น ไม่รู้สึกอะไร เมษากลับมองเห็น ได้ยินเสียง และรู้สึกว่ารถของตนมีอะไรบางอย่างดึงดูดภูตผีข้างทางเหล่านั้นอย่างรุนแรง

            ขณะรถเมษาแล่นผ่านปิศาจข้างทาง พวกมันไม่ได้แค่ตะโกนร้องเรียก ขอให้จอดรับเท่านั้น มันกลับกระโดดผึงขึ้นมาเกาะบนหลังคา เกาะกระจกข้าง...ที่น่ากลัวกว่านั้น ยังสามารถขึ้นมาคลานต้วมเตี้ยมบนฝากระโปรงอย่างอาจหาญ ไม่ยอมหนีไปไหน

            กลับบ้าน...พาพวกเรากลับบ้าน...” เสียงอื้ออึงดังก้องในหัว สั่นประสาทจนแทบทำให้บางคนเป็นบ้า เสียสติด้วยความหวาดกลัว



            เมษาเกิดอาการใจหวั่นขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนสติเกิด รวบรวมสมาธิเปล่งคำอาคมออกไปเบา ๆ สองสามคำ...เพียงเท่านั้น สิ่งแปลกปลอมทั้งหลายก็กลับไปยืนริมถนนดังเดิม

            ระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน...เกิดสัมผัสรับรู้ทันที...รถคันนี้ต้องมีสิ่งผิดปกติ!

            มันจอดข้างกำแพงศิวาดลโดยไม่มีใครเฝ้า จึงไม่ใช่เรื่องยาก หากมีใครลอบ ‘วางยา’ รถคันนี้

            การวางยานั้น ไม่ใช่เป็นการตัดสายเบรก ปล่อยน้ำมันเครื่อง แต่เป็นการวางยาแนบเนียนด้วยไสยเวท

            ผู้ทรงเวทในเงารู้ความเคลื่อนไหวพวกเธอ จึงไม่แปลกที่จะวางกับดักไว้บนหนทางหลบหนี...ร่ายอาคมให้รถคันนี้ดึงดูดภูตผีทั่วไป เพื่อให้การเดินทางเกิดอุปสรรค อาจทำให้เธอพลาดพลั้งเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตง่าย ๆ

            ตอนแรกขับออกมาไม่เจออะไร เพราะพลังอาคมไสยดำยังอ่อนด้อย พอใกล้เที่ยงคืนพลังเข้มข้นขึ้น มันจึงดึงดูด ภูตผีข้างทางมาได้มากมายขนาดนี้

            ...อาคมดึงดูดภูตผี...เมษาเคยได้ยินมาก่อน เจอเข้ากับตนเองวันนี้ถึงรู้ว่ามันไม่ธรรมดาเลย เพียงขาดสติเล็กน้อย ทั้งเธอ พิจิกคงได้นอนเค้เก้กันข้างทางไปแล้ว

            หญิงสาวระลึกถึงมนตร์ถอนอาคม...จำได้ว่าเคยเรียนมา แต่ไม่สามารถสวดถอนอาคมในรถตอนนี้ได้ มันต้องมีพิธีกรรมบางอย่างประกอบ และใช้สื่อบางอย่างเช่นน้ำมนตร์มาช่วยประพรมชะล้างมันออกไป

            ในเมื่อไม่สามารถถอนอาคมดึงดูดภูตผี...เมษาจำเป็นต้องขับรถช้ากว่าเดิมเพื่อความไม่ประมาท อีกทั้งคอยตั้งสติระวังตัว แยกแยะภูตผีกับคนจริง ๆ ให้ออก

            ...ไม่รู้ว่า...ตลอดเส้นทางจนถึงจุดหมาย เธอต้องสวดขับไล่ภูตผีอีกกี่รอบ...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เกือบตีสอง

            รถยนต์เข้ามาในเขตตัวเมืองแห่งหนึ่ง ตามแผนที่แล้วจุดหมายเป็นอาคารพาณิชย์ริมถนนย่านการค้า ไม่น่าเสาะหายาก

            เวลาล่วงเข้าวันใหม่ รถราในเมืองต่างจังหวัดว่างวาย นานครั้งจะสวนมาสักคัน

            เมษาเหลือบมองพิจิก...เลยเวลาเที่ยงคืนมาแล้ว พลังมืดกลับคืนปกติ สีดำบนแขนเขาไม่ลามสูงขึ้น เพียงแต่เข้มดำกว่าเดิม ใบหน้าเผือดขาวซีด ลมหายใจเข้า-ออกแผ่วเบา เนิบช้าบอกว่าจิตยังทรงตัวอยู่ในสมาธิมั่นคง

            รถใกล้ถึงจุดหมาย มองเห็นอาคารพาณิชย์เรียงรายเต็มสองฟากถนน เมษาขับรถช้า ๆ สายตามองเห็นภูตผีริมถนนเป็นระยะ

            แสงไฟจากป้ายชื่อร้านสมุนไพรจีนโดดเด่น ปะทะสายตา หญิงสาวรีบชะลอรถจอดข้างทาง พอมาถึงด้านหน้าอาคารพาณิชย์ พบว่าหน้าร้านสมุนไพรมีพื้นที่มากพอให้รถยนต์ขับเข้าไปจอดได้อย่างสบาย

            เมษาไม่เกรงใจ หักพวงมาลัยขึ้นไปจอดถึงหน้าร้านสมุนไพรจีนทันที...

            รถจอด เมษาหันไปมองชายหนุ่ม เห็นเขายังไม่ลืมตา เลยเที่ยงคืนมาแล้ว ‘ของ’ ที่แขนพร้อมกลายเป็นระเบิดสังหารได้ทุกเมื่อ จำเป็นต้องให้เขาประคองรักษากำลังสมาธิตนเองไว้ก่อน

            หญิงสาวลงจากรถ เชื่อว่าเสียงขับรถขึ้นมาจอดหน้าร้าน อาจได้ยินถึงภายในร้านแล้ว

            ยืนอยู่หน้าประตู กำลังจะกดออด คิดว่าอาจต้องรออยู่ครู่ใหญ่กว่าจะมีคนมาเปิด และยังไม่รู้ว่าต้องอธิบายกันอย่างไร ที่จู่ ๆ มีคนแปลกหน้ามาหาในเวลาดึกดื่นขนาดนี้

            ยังไม่ทันกดออด ประตูบานเล็กก็เปิดออก เด็กหนุ่มหน้าใส อายุราวสิบสี่สิบห้า ตัวสูงกว่าเมษาโผล่หน้าออกมา

            “มาถึงกันแล้วเหรอ” คำถามแบบไม่มีหางเสียง

            “เอ่อ...ใช่” เมษาตอบรับ ตั้งตัวไม่ทัน

            “อีกคนนึงล่ะ” เด็กหนุ่มเหลียวมองดูด้านหลังหญิงสาว เมื่อเห็นว่าเธอยืนรอหน้าประตูคนเดียว

            “อยู่ในรถ” ตอบแบบงงหน่อย ๆ ไม่เข้าใจว่าเด็กหนุ่มรู้ได้อย่างไร

            “พาเข้ามาสิ...ให้ช่วยมั้ย” เด็กหนุ่มพูดพลางเดินมาถึงรถ ชะโงกหน้ามองดูชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะข้าง

            “เดี๋ยวน้อง...อย่าเพิ่งปลุกเขา” เมษารีบร้องห้าม การปลุกพิจิกออกจากสมาธิทันทีอาจเกิดผลร้ายได้

            “รู้แล้ว” เด็กหนุ่มหันมาขมวดคิ้วพูดใส่หล่อนราวกับดุเด็กเล็ก ๆ



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP